Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
บทที่ ๒๗ : ฤทธิ์สิเนหาพาอาวรณ์
พยับฝนมืดทะมึนอยู่บนฟากฟ้าเสียงฟ้าร้องครืนๆอยู่ไกลๆ ลมแรงพัดกรรโชกอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้าเมฆสีดำเคลื่อนเข้ามาปกคลุมจนมืดมัวทั่วท้องฟ้า เพียงไม่นานก็กระหน่ำลงมาอย่างหนาเม็ด
สายฝนที่กระหน่ำลงมาพร้อมฟ้าแลบแปลบปลาบ เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงรู้สึกพระองค์ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงฟ้าคำรามอยู่ครืนๆก่อนจะผ่าลงมาเสียงดังสนั่น
เจ้าหญิงซึ่งทรงพระเยาว์กว่าทรงหวีดร้องดังในความมืด ผวาสะดุ้งโผกอดพระพี่นางที่บรรทมอยู่เคียงข้างกัน
“ขวัญเอยขวัญมานะน้องหญิง”
สุรเสียงปลอบโยนนั้นไพเราะเสนาะพระกรรณยิ่งนัก แสงจากฟ้าแลบเข้ามาแปลบปลาบทำให้ภายในพระตำหนักสว่างจ้า ทรงซบพระพักตร์หวานแนบพระอุระเพื่อข่มพระทัยจากความกลัว พระหัตถ์ของพระพี่นางลูบพระเกศาดุจเส้นไหมของเจ้าหญิงมณีจันทร์เพื่อปลอบประโลมพระทัยของพระนาง
“น้องกลัวเหลือเกินเพคะเสด็จพี่”
“ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ขอให้น้องรู้ไว้ พี่จักขอปกป้องดูแลน้องตราบชีวีพี่จะหาไม่”
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ดวงเนตรหวานช้อนขึ้นสบพระเนตรสีนิลแล้วรู้สึกตื้นตันพระทัยยิ่งนัก พระพักตร์หวานขาวซีดด้วยความหวาดหวั่น แต่เพียงครู่สองปรางผุดผาดนั้นก็แดงซ่านด้วยพิษรักรุมเมื่อเจ้าหญิงนลินยุพาทรงก้มจุมพิตเสียให้บรรเทาอาการหวาดกลัวต่อเสียงฟ้าผ่านั้น
พระโอษฐ์อุ่นของพระภคินีปะพรมไปทั่วพระพักตร์หวานของพระขนิษฐา ก่อนที่จะประทับลงที่พระโอษฐ์อวบอิ่ม ลมหายใจอุ่นๆเป่ารด พระหัตถ์ทั้งสองข้างลูบไล้ส่วนโค้งนูน พระนางโอบกอดจุมพิตไซร้ไปทุกสัดส่วน ความหวิววูบวาบโถมกระหน่ำไม่ขาดสาย เสียงบรรเลงเพลงรักค่อยๆดังขึ้นทีละนิด ให้หัวใจรักนำทางไป
สายใยรักที่ถักทอเป็นเกลียวเชือกเสน่หา รัดร้อยดวงใจสองดวงไว้แนบสนิท ไม่มีคำใดที่ต้องเอื้อนเอ่ยอีก เจ้าหญิงมณีจันทร์ทอดร่างปล่อยไปตามธรรมชาติ ปล่อยไปตามใจปรารถนา ปล่อยให้พระพี่นางนำพาไปถึงฟากฝั่งฝัน กระแสธารสวาทโหมซัดระลอกแล้วระลอกเล่า บทเพลงรักที่มีเพียงพระนางทั้งสององค์ขับขานอย่างแผ่วเบา เคล้าคลอประสานเสียงไปกับเสียงสายลมรัญจวน....
สายฝนสาดซาจนขาดสาย เจ้าหญิงนลินยุพาทรงขยับพระวรกายเข้าไปใกล้เจ้าหญิงมณีจันทร์แล้วน้อมพระองค์ลงจุมพิตประทับตรงที่พระนลาฏกลมกลึงนั้นอย่างทะนุถนอม เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าหญิงนลินยุพาอย่างสุขพระทัยยิ่งนัก
กระทั่งสายฝนขาดหายจึงเห็นรัศมีของดวงจันทราฉายแสงลอดผ่านม่านบัญชรของพระตำหนัก เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงทอดพระเนตรด้วยพระทัยที่เปี่ยมสุข ก่อนจะทรงบรรทมหลับไปในวงพระกรอุ่นของนางอันเป็นที่รัก...
..................................................................................
นับตั้งแต่เจ้าหญิงนลินยุพากับเจ้าหญิงมณีจันทร์เสด็จหนีไปก็ร่วมสิบวันแล้ว เจ้าชายอติรัณณ์ทรงเสวยน้ำจัณฑ์ต่างน้ำมิได้ขาด เพื่อให้พระองค์ทรงลืมความเจ็บปวดไปได้แม้ชั่วขณะก็ยังดี ทรงเมามายทุกทิวาราตรีจนพระราชบิดาพระราชมารดาทรงเวทนายิ่ง แต่มิอาจหาหนทางมาช่วยพระโอรสได้ เพราะทั้งสองพระองค์เองก็มิทรงทราบว่าพระราชธิดาและพระภาคิไนยทรงอยู่ที่ใด
ค่ำคืนอันแสนเจ็บปวดได้เคลื่อนเข้ามาอีกคราหนึ่ง เจ้าชายผู้เกรงไกรพาพระทัยอันบอบช้ำเสด็จพระราชดำเนินเข้ามาในห้องหอเป็นคราแรกหลังจากที่พระนางทรงหายไป แม้นเพลาจะผ่านมาหลายวันแต่หมู่มวลบุปผามาลียังคงงดงามละส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วทั้งห้อง ซึ่งควรจักเป็นห้องหอที่เปี่ยมไปด้วยความสุขสราญพระทัยของพระองค์ แต่เพลานี้ห้องดังกล่าวว่างเปล่าไร้นางมาเคียงข้าง พระอัสสุชลของบุรุษผู้อาจองค่อยๆไหลอาบพระพักตร์อีกครา
พระองค์เสด็จไปประทับยังพระแท่นบรรจถรณ์ กลิ่นหอมจากวรกายจองพระนางยังกรุ่นที่บนพระแท่นทอง กลิ่นหอมของพระเกศายังรวยระรินจางๆตามพระเขนยที่พระนางเคยหนุนนอน
พระองค์มิทรงล่วงรู้เลยว่าเจ้าหญิงนลินยุพาจากไปอยู่ที่ใด ความคิดถึงได้แผดเผาพระทัยของพระองค์ให้ต้องเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
“นลินยุพา น้องทำกับพี่ได้เยี่ยงไร น้องทำได้เยี่ยงไร” เจ้าชายอติรัณณ์ทรงกรรแสงร่ำไห้ด้วยพระทับจะขาดรอนๆ ฤทธิ์สิเนหามีอาณุภาพรุนแรงถึงเพียงนี้หนอ
“กันตา! ใครอยู่ข้างนอก ไปเอาน้ำจัณฑ์มาให้เราเร็ว!” ทรงตวาดสั่งด้วยพระสุรเสียงกร้าว เจ้าบ่าวร้างพระมเหสีเยี่ยงพระองค์ทำได้เพียงเท่านี้ เสวยน้ำจัณฑ์เพื่อลืมนาง...
หลังจากที่เหล่านางกำนัลยกน้ำจัณฑ์เข้ามาถวาย องค์รัชทายาทหนุ่มก็ทรงเสวยน้ำจัณฑ์จนเริ่มเมามาย เมื่อน้ำจัณฑ์หมดคนโฑก็ทรงเรียกหาอีก
“หักอกหักใจเสียบ้างเถอะอติรัณณ์ พระราชธิดาของนครต่างๆที่งดงามยังมีอยู่ทั่วปถพี เจ้าพึงใจผู้ใดพ่อจักไปสู่ขอนางให้” ท้าวชัยวรรธนะเสด็จเข้ามาในห้องหอ พร้อมกับตรัสเตือนสติพระราชโอรส
“ลูกรักน้องหญิงนลินยุพาพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ หากมิใช่นางลูกก็ไม่ปรารถนาอิสตรีใดอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตรัสพร้อมทรงเสวยน้ำจัณฑ์ที่นางกำนัลมาถวายใหม่ทั้งคนโฑ
“อติรัณณ์ ใช่ว่าแม่จะไม่เห็นใจลูก แต่วันพรุ่งเราจักต้องกลับพระนครกันแล้ว เดิมทีพ่อกับแม่จะสละราชบัลลังก์ให้เจ้าครอง แล้วออกบวชตามรอยพระตถาคต แต่ดูสภาพเจ้าตอนนี้สิลูก ปกครองตัวเองลูกยังทำไม่ได้แล้วจะสามารถปกครองพสกนิกรทั่วทั้งนครได้เยี่ยงไร” พระมเหสีศุภาวลัยเทวีตรัสด้วยพระสุรเสียงขรึมสีพระพักตร์ราบเรียบ
“เสด็จแม่...”
“พ่อเคารพในการตัดสินใจของลูก วันพรุ่งเจ้าจะกลับไปปกครองนครบุปผาลัยหรือจะยังเมามายอยู่ที่นครนี้ ก็สุดแท้แต่การตัดสินใจของลูกเถิด” สิ้นพระสุรเสียง พระมหากษัริย์และพระมเหสีผู้ครองนครบุปผาลัยก็เสด็จออกไปจากห้องหอ ทิ้งให้พระโอรสประทับนิ่งอยู่อย่างนั้น
“เสด็จพ่อเสด็จแม่ ไม่เข้าใจลูก ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว”
ตรัสพร้อมยกน้ำจัณฑ์ขึ้นเสวยจนหมดคนโฑเพื่อดับความทุกข์ทรมานในพระทัยของพระองค์ จนพระวรกายสูงใหญ่บรรทมหลับไปแบบมิรู้สึกพระองค์
......................................................................................
‘คะนึงหวลครวญคร่ำค่ำคืนนี้ ทุกนาทีที่ผ่านไปให้ถวิล
แว่วเสียงอ้อนเคยกระซิบยังได้ยิน สัมผัสกลิ่นกายพรอดยามกอดกัน
ไร้พระองค์เคียงกายดั่งครานั้น พิศดวงจันทร์มีแต่เหงาเศร้าโศกศัลย์
น้ำเนตรนองหมองเศร้าร้าวชีวัน แสนจาบัลย์คะนึงหวนยอดดวงใจ’
ศศิธรสีนวลแขวนอยู่บนผืนนภา ณ อุทยานหลวงแห่งนครภวรัตน์ภูตา ดวงจันทร์ทอแสงนวลอยู่เหนือยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม บัดนี้ความมืดเริ่มแผ่เข้าปกคลุม ดอกลำดวนผสานดอกจำปาและดอกไม้หลากหลายชนิดต่างส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณ จักจั่นส่งเสียงเซ็งแซ่เป็นจังหวะรับกับเสียงมวลน้ำกระทบหินดังก้องกังวานมาแต่ไกล
แสงจันทร์สาดส่องอาบร่างของอิสสตรีนางหนึ่งที่นั่งนิ่งบนบัลลังก์ทองคำสุกปลั่งภายในอุทยาน ในพระทัยของพระนางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ซึ่งยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำมาเนิ่นนานหลายทศวรรษ
เมื่อสองทศวรรษก่อน
อุทยานดอกไม้แห่งนครพินทุปุระซึ่งรายรอบสระรมย์นลิน พระสนมสุภาวลัยลักลอบเข้าเฝ้าพระนางภวรัตน์ราชเทวี โดยติดสินบนโขลนวังเสียหลายคน ยามนี้พระนางภวรัตน์ราชเทวีทรงรายลอ้มด้วยเหล่านางกำนัลซึ่งกำลังถวายงานแก่พระนาง
“เมื่อเข้ามาแล้ว ก็มานั่งข้างเราเถิดสวรินทร์” พระนางภวรัตน์ราชเทวีทรงตรัสเรียกด้วยน้ำเสียงเรียบมิเปิดเผยท่าที นางกำนัลและข้าราชพาลที่กำลังถวายงานอยู่เมื่อได้ยินดังนั้นต่างหลบเลี่ยงไปบริเวณอื่น
“ถวายพระพรพระนางภวรัตน์ราชเทวีเพคะ”
“เรียกเราดุจเดิมเถิดสวรินทร์ อย่างไรเสียเรากับเจ้าก็เป็นสหายกันมาแต่เก่าก่อน”
“มิบังควรเพคะ”
“อย่างนั้นรึ เจ้ามีการอันใด”
“กระหม่อมขอพระราชทานอภัย กระหม่อมมิได้ต้องการถวายตัวแม้แต่น้อย กระหม่อมมิอาจขัดคำสั่งได้เพคะ ขอพระนางโปรดทรงอภัยหม่อมฉันด้วยเพคะ” นางคลานเข้ามาซบที่ฝ่าพระบาทของพระนางที่ยืนนิ่ง น้ำตาหยาดรดพระบาท พระเนตรมองสหายเก่าที่สะอื้นรำพันอยู่แทบบาทก่อนจะกล่าวคำ
“เจ้ารักองค์ชัยวรเมธใช่รึไม่” พระนางตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์
“กระหม่อมขอพระราชทานอภัย กระหม่อมเพียงแค่รักองค์ชัยวรเมธ ไม่ได้ต้องการขึ้นเทียมเท่าพระนางเลย”
“มิช้าไปหรอกรึที่เจ้าจะมาบอกเราสวรินทร์ แต่เอาเถิดอย่างไรเสียเจ้ายังเป็นสหายของเรามิแปรเปลี่ยน แม้ในวันที่เจ้าแบ่งปันหัวใจเรา” พระนางสบเนตรของมิตรที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เยาว์วัยด้วยพระสายพระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา แต่กลับทำให้พระสนมสวรินทร์เทวีรู้สึกเสมือนมีเข็มนับแสนเล่มทิ่มแทงไปที่พระทัยของนาง ในใจรู้สึกผิดยิ่งนักที่ตัวนางเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสที่พระนางกำลังประสบ
“ภวรัตน์...เรามิเคยคิดร้ายต่อท่าน มิเคยเลยจริงๆ” พระสนมตรัสด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำเนตรไหลอาบพระบาทของสหายเก่า
“เสด็จแม่เพคะ ลูกกับหญิงนลินปรุงพระเครื่องมาถวายเพคะ” พระสุรเสียงหวานดังมาจากเบื้องหน้า ให้พระนางทรงหลุดจากภวังค์ ทรงเช็ดพระอัสสุชลที่ไหลอาบพระพักตร์ก่อนจะตรัสถามพระธิดาด้ววยพระสุรเสียงหวานเปี่ยมด้วยพระเมตตามิต่างจากกาลครั้งนั้น...
“ทำอันใดมารึธิดาทั้งสองของแม่ จะขุนให้แม่อ้วนหรือเยี่ยงไร...”
...............................................................................................
Facebook เพียงเพราะรัก ทอถักอักษรา
https://www.facebook.com/profile.php?id=100007367077930&ref=tn_tnmnหรือ Facebook
ทอถักอักษรา รักเกินเผื่อใจ
https://www.facebook.com/profile.php?id=100001056359153