Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
บทที่ ๓๑ : ต่อจากนี้ไป...ไม่ขอเฉียดใกล้แม้เพียงเสี้ยวเงา
ดึกสงัดร่างในชุดสีดำสนิทพรางใบหน้าด้วยผืนผ้าสีเดียวกัน ยืนซุ่มอยู่ในดงไม้ สายตาจับจ้องไปยังพระตำหนักหลังใหญ่เบื้องหน้า รอจังหวะให้ก้อนเมฆลอยบดบังดวงจันทร์
พลันที่ดวงจันทร์มืดลง ร่างนั้นก็ปราดไปยังตำหนักหลังนั้นแล้วหลบที่พุ่มไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว บริเวณตัวตำหนักมีทหารองครักษ์ยืนคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่ร่างนั้นก็อาศัยความมืดปีนข้ามเฉลียงน้อยหน้าตำหนัก ก่อนจะเดินเลียบผนังไปสู่ทิศทางที่ต้องการ
เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาในห้องบรรทมและเดินมานั่งลงเคียงข้างทำให้พระนางภวรัตน์ราชเทวีทรงหลุดออกจากภวังค์ พระนางทรงแย้มพระโอษฐ์บางพร้อมกับทรงรินพระสุธารสที่กลั่นจากมวลมาลีใส่ถ้วยทองก่อนส่งให้ผู้มาเยือน
“พระสุธารสเพคะเสด็จพี่” ตรัสพร้อมใช้พระหัตถ์บางปลดผ้าสีนิลที่ปกคลุมใบหน้านั้นออกอย่างเอาใจ เผยให้เห็นว่าผู้มาเยือนนั้นเป็นอิสตรีใบหน้างดงามแม้ไม่ได้ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางใดๆ
“ขอบใจเจ้ามากภวรัตน์” ผู้มาเยือนดื่มพระสุธารสนั้นจนหมดถ้วยแล้วหันมามองพระนางด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเสน่หา
“ทรงเหนื่อยรึไม่เพคะ” พระนางตรัสพร้อมทรงลูบใบหน้าชื้นเหงื่อนั้นด้วยพระหัตถ์เรียวบาง
“แค่ได้เห็นหน้าเจ้า พี่ก็หายเหนื่อยแล้วยอดหญิง”พูดพร้อมโอบกอดร่างบางเอาไว้ พร้อมกับวางคางลงบนไหล่ที่ตั้งตรงสง่าดุจนางพญาของนาง
“เหตุการณ์ในนครพินทุปุระเป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะ องค์ชัยวรเมธทรงกระทำประการใดกับการหายตัวไปของพระธิดาของพระองค์”
“จะทำเยี่ยงไรได้ นอกจากส่งทหารออกตามหา ทั้งๆที่อนุชาทั้งสองของพี่ก็รู้ดีว่าต่อให้ตามหาเยี่ยงไรก็ไม่มีวันพบ” นางตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบ ที่แท้อิสตรีนางนี้ คือ พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวี พระเชษฐภคินีร่วมอุทรของพระเจ้าชัยวรเมธ กษัตริย์ผู้ครองนครพินทุปุระ และพระเจ้าชัยวรรธนะ กษัตริย์ผู้ครองนครบุปผาลัย
“ข้อนั้นแน่นอนอยู่แล้วเพคะ อย่างไรเสียองค์ชัยวรเมธกับสวรินทร์ ก็มิมีทางได้พบพระธิดาเป็นแน่แท้”
“ภวรัตน์ เราอยากจักขอร้อง อย่างไรเสียหญิงนลินยุพากับหญิงมณีจันทร์ก็เป็นหลานของพี่ ดุจเดียวกับหญิงวิรัลยุพิน พี่อยากให้เจ้าเมตตาพวกนาง”
“เสด็จพี่ทรงเห็นว่าน้องเป็นคนใจไม้ไส้ระกำฤๅเพคะ” พระนางภวรัตน์ราชเทวีตรัสพร้อมกับทรงลุกขึ้นแล้วพระราชดำเนินไปยังพระแกลซึ่งบัดนี้ดวงจันทรากำลังทอแสงนวลกระจ่าง
“พี่ไม่ได้คิดเยี่ยงนั้น พี่รู้ว่าเจ้าเป็นคนดีมีเมตตา แต่อยากให้เจ้าเมตตาพวกนาง เหมือนกับหญิงวิรัลเท่านั้น...” พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวี เสด็จพระราชดำเนินมาโอบกอดพระนางจากเบื้องหลัง
“การที่น้องรับพวกนางเป็นพระราชธิดายังเมตตาไม่พออีกฤๅเพคะ ฤๅเสด็จพี่จะให้น้องยกบ้านยกเมืองให้พวกนาง เสด็จพี่จึงจะทรงพอพระทัย” พระนางทรงหันมาสบพักตร์ด้วยสีพระพักตร์และแววพระเนตรซึ่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
“โถ่ภวรัตน์ ไยเจ้าจึงกล่าวคำเยี่ยงนี้ พี่อยากให้เจ้าเมตตาพวกนางด้วยใจจริงของเจ้า มิใช่ตามบัญชาของพี่”
“น้องคิดว่าน้องทำดีที่สุดแล้วเพคะ สำหรับคนที่เป็นลูกของสวรินทร์... เสด็จพี่ยังไม่ทรงสรงน้ำมิใช่ฤๅ กระเดี๋ยวน้องจะเตรียมน้ำไว้ให้สรงนะเพคะ” ตรัสพร้อมเสด็จออกจากห้องบรรทม
พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวีทรงประทับอยู่ตรงนั้นเป็นนาน ในพระทัยนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พระนางภวรัตน์ราชเทวีทรงขุ่นเคือง เหตุการณ์ซึ่งผ่านกาลเวลามานับทศวรรษ...
นครพินทุปุระเพลานั้นทั่วเมืองมีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ ทุกพื้นที่ในพระนครประดับประดาสวยงาม เนื่องจากพระสนมสวรินทร์ทรงมีประสูติกาลพระโอรส ซึ่งพระเจ้าชัยวรเมธทรงพระราชทานนามว่า เจ้าชายธราเทพ เจ้าชายรัชทายาทแห่งมหานครพินทุปุระ และ การสถาปนาพระสนมสวรินทร์ เป็นพระนางสวรินทร์ราชเทวี พระมเหสีฝ่ายซ้าย เพื่อให้สมพระเกียรติพระราชมารดาแห่งองค์รัชทายาท
พระนางภวรัตน์ราชเทวีทรงถือศีลนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในหอพระมาหลายเพลา คล้ายกับว่ามิทรงยินดียินร้ายกับการสถาปนาในครั้งนี้เพื่อข่มความรู้สึกเจ็บร้าวกับการที่องค์ชัยวรเมธยกย่องหญิงอื่นขึ้นทัดเทียมพระนาง
“พระนครมีงานสมโภชเฉลิมฉลองพระราชโอรสองค์ใหม่พร้อมกับการสถาปนาพระสนมเอกขึ้นเป็นราชเทวีเจ้ามิออกไปหรอกรึ
ภวรัตน์เทวี” พระนางเซษฐ์สุดาราชเทวี พระเชษฐภคินีในพระเจ้าชัยวรเมธตรัสขึ้น พร้อมกับทอดพระเนตรพระนางภวรัตน็ราชเทวีที่ประทับนั่งหน้าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเวทนาจับพระทัย
“มีเหตุอันใดที่น้องจักต้องออกไปเพคะ จะให้น้องไปร่วมยินดีกับหญิงอื่นฤๅเพคะพระพี่นาง” พระนางตรัสตอบด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มหากแต่ในพระทัยของพระนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์ระทม
“ภวรัตน์ เจ้าอย่ายึดมั่นถือมั่นนักเลย ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครได้หรอก ต่อให้พระสนมเอกเป็นหญิงอื่นมิใช่สวรินทร์ หากนางมีพระโอรส นางก็ย่อมได้รับการสถาปนาเป็นราชเทวีเฉกเดียวกันเจ้าอย่าถือโกรธสวรินทร์นักเลย” พระนางผู้สูงวัยกว่ากล่าวด้วยพระสุรเสียงเรียบ แต่สีพระพักตร์แสดงออกถึงความรู้สึกสงสารอิสตรีตรงเบื้องพระพักตร์มิน้อย อิสตรีที่พระนางทรง...รัก
“พระพี่นางทรงไม่เข้าใจน้องเลย หากเป็นอิสตรีอื่นน้องคงไม่รู้สึกปวดร้าวเท่านี้ แต่นี่เป็นนาง ผู้เป็นสหายรักของหม่อมฉัน”
“พี่รู้สึกเห็นใจเจ้ายิ่ง แต่มิรู้จะช่วยเจ้าได้เยี่ยงไร นอกเสียจากให้เจ้าน้อมนำพระโอวาทของพระตถาคต เผื่อหัวใจของเจ้าจะสงบขึ้น” ตรัสพร้อมพระราชดำเนินออกไปจากหอพระ เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลองเพราะอย่างไรเสีย เจ้าชายธราเทพก็ทรงเป็นพระภาคิไนยของพระองค์เอง
พระนางสวรินทร์เทวีทรงมีประสูติกาลพระราชโอรสได้ไม่นานก็ทรงตั้งพระครรภ์อีกเป็นคราที่ ๒ สร้างความปลื้มปิติให้แก่พระเจ้าชัยวรเมธและเหล่าพสกนิกรเป็นอันมาก ชาวประชาต่างแซ่ซร้องสรรเสริญพระนาง ต่างจากพระนางภวรัตน์ราชเทวีที่ยังทรงไม่มีวี่แววจะทรงตั้งครรภ์เลยแม้แต่น้อย พระนางทรงเก็บพระองค์อยู่แต่ในพระตำหนักกับหอพระ มิได้ออกว่าราชกิจร่วมกับพระสวามีเหมือนดั่งเก่าก่อน
ในขณะที่พระนางภวรัตน์ราชเทวีกำลังจะเสด็จพระราชดำเนินออกจากห้องพระบรรทม พระนางทรงรู้สึกเวียนพระเศียรอย่างรุนแรงก่อนที่สติสัมปชัญญะของพระนางจะดับวูบไป ข้าพระบาทใกล้ชิดถลันเข้ารับร่างของพระนาง ก่อนที่จะทรงล้มลงกับพื้นได้ทันท่วงที...
“ภวรัตน์เทวีเจ้าเป็นอันใด” พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวีเสด็จเข้ามาในห้องบรรทมของพระมเหสีของผู้เป็นอนุชาของพระนาง ก่อนจะปราดเข้าไปช่วยประคองพระนางไปยังพระแท่นบรรทม
“ดาราบอกนางกำนัลตามหมอหลวงมาเร็ว” พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวี่ตรัสกับดารา ข้าพระบาทใกล้ชิดของพระนางภวรัตน์ราชเทวี
ดาราเรียกนางกำนัลหน้าห้องตามหมอหลวงมาดูอาการประชวรของพระอัครมเหสี เมื่อนางกลับเข้ามาในห้องพระบรรทม ก็พบว่าพระนางทรงฟื้นคืนสติเรียบร้อยแล้ว มีเหล่านางกำนัลกราบกรานอยู่กับพื้น ดาราจึงไล่ออกไปรอข้างนอก พวกนางจึงรีบคลานออกไป แต่มิวายชะเง้อมองพระแม่เมืองด้วยความเป็นห่วงพระนาง
“เป็นอย่างไรบ้างภวรัตน์” ตรัสถามในขณะที่พระองค์ยังคงบีบพระหัตถ์ของพระนางไว้แน่นด้วยความห่วงใย
“หม่อมฉันมิได้เป็นอันใดดอกเพคะ เพียงแต่หน้ามืดเพราะนอนน้อยเท่านั้นเพคะ” พระนางตรัสกับพระเชษฐ์ภคิณีของพระสวามีด้วยพระสุรเสียงแผ่ว
“พระนางภวรัตน์ราชเทวีทรงประชวรฤๅเพคะ” แม่หมอกราบทูลถามเมื่อนางเข้าในห้องพระบรรทมแล้ว
“เราไม่รู้ เจ้ารีบเข้ามาดูอาการของพระนางเถิด” พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวีทรงตรัสพร้อมกับทรงลุกขึ้นแล้วไปประทับยังพระอาสน์ทองคำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระแท่นบรรจถรณ์มากนัก
แม่หมอหลวงเฒ่าเข้ามาดูอาการของพระนางภวรัตน์ราชเทวี อยู่เพียงครู่ก็ยิ้มอย่างยินดีท่ามกลางสายตาแปลกใจของทุกคนที่อยู่ภายในห้องนี้
“หม่อมฉันจะจัดพระโอรสบำรุงให้นะกระหม่อม ช่วงนี้พระนางจักต้องพักผ่อนให้มากนะเพคะ”
“เราเป็นอันใดฤๅ ไยท่านจักต้องจัดยาบำรุงให้เรา” พระนางภวรัตน์ราชเทวีตรัสด้วยความสงสัย
“หม่อมฉันจับชีพจรของพระองค์ดู ก็ทราบว่ามีผู้มีบุญมาเกิด พระนางทรงพระครรภ์กระหม่อม”
ทันทีที่แม่หมอกล่าวคำ พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวี แล ข้าพระบาทดารา รวมทั้งเหล่านางกำนัลต่างยินดียิ่งนัก
“พี่ยินดีกับเจ้าด้วยนะภวรัตน์เทวี เจ้าน้องชายของเราจักได้กลับมารักเจ้าเหมือนดังเก่าก่อน” พระนางตรัสพร้อมแย้มสรวลอย่างทรงยินดีด้วยพระทัยจริง พระนางทรงรักพระนางภวรัตน์ราชเทวีก็จริง แต่ความรักของพระนางหาได้ต้องการครอบครองไม่ ขอเพียงคนที่พระนางรักมีความสุขพระนางก็ทรงปิติสุขหาใดเทียมแล้ว
“ขอบพระทัยเพคะพระพี่นาง แต่หม่อมฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับองค์ชัยวรเมธตอนนี้หรอกเพคะ เรามีคำอยากขอร้องแม่เฒ่า ห้ามแพร่งพรายเรื่องของเราในวันนี้กับใคร” พระนางตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงเด็ดเดี่ยว
“กระหม่อมจักปิดเป็นความลับเพคะ”
“ดาราจัดรางวัลให้แม่เฒ่า แล้วส่งเข้าถึงเรือนด้วยตัวของเจ้าเอง” ดารารับพร้อมกับหยิบรางวัลในกำปั่นของพระนางยื่นให้หมอหลวงชรา แล้วคุมตัวออกจากตำหนัก
“ภวรัตน์ พี่ว่าเจ้าน่าจะทูลองค์ชัยวรเมธให้รู้” พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวีทรงตรัส พร้อมกับทอดพระเนตรมองพระนางอย่างไม่เข้าพระทัยในสิ่งที่พระนางดำริ
“ยังไม่ถึงเวลาเพคะ”
“เจ้าพักผ่อนเถิด ลูกในครรภ์จักได้แข็งแรง” ตรัสพร้อมกับนำผ้าคลุมบรรทมมาห่มให้พระนาง แล้วเสด็จออกมาจากพระตำหนักนั้นปล่อยให้นางกำนัลดูแลพระนางแทน พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวีเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชตำหนักของพระเจ้าชัยวรเมธ แล้วขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์
“พระพี่นางเสด็จมายังพระตำหนักของข้าพระองค์ มีความอันใดฤๅพะย่ะค่ะ” ตรัสถามด้วยความฉงนฉงายไม่น้อย เพราะพระพี่นางของพระองค์มิเคยขอเข้าเฝ้าเป็นการทางการถึงเพียงนี้
“เราจักขอดวงใจที่เจ้าไม่ได้ต้องการแล้วไปดูแลเอง...” พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวีตรัสกับพระอนุชาด้วยพระสุรเสียงเข้มสีพระพักตร์บ่งบอกถึงความไม่พอพระทัยที่พระเจ้าชัยวรเมธทรงไม่สนพระทัยพระนางภวรัตน์ราชเทวีเหมือนดังแต่ก่อน
“พระพี่นางทรงหมายความว่าเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ” พระเจ้าชัยวรเมธตรัสด้วยความฉงนฉงาย เมื่อเห็นพระนางเชษฐ์สุดาตรัสด้วยความกราดเกรี้ยวโดยที่พระองค์ไม่ทรงทราบว่าพระนางทรงกริ้วด้วยเหตุอันใด
“เจ้าเป็นคนฉลาด ความแค่นี้ไยไม่รู้”
“เสด็จพี่หมายถึงน้องหญิงภวรัตน์เทวีฤๅพระเจ้าค่ะ”
“ใช่ เราสงสารนางที่ถูกสวามีอย่างเจ้าทอดทิ้ง”
“ถึงแม้ว่าข้าพระองค์จักมิได้ประทับร่วมกับนาง แต่ข้าพระองค์ก็มิได้ทอดทิ้งน้องหญิงภวรัตน์เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ช่วงนี้สวรินทร์เพิ่งมีประสูติกาลพระโอรสได้ไม่นาน และเพลานางก็ยังตั้งครรภ์อีก ข้าพระองค์จึงต้องดูแลนางเป็นพิเศษ” พระอนุชาตรัสยืดยาว พระองค์มิได้ทอดทิ้งพระอัครมเหสี หากแต่มีพระโอรสและพระมเหสีอีกองค์ที่พระองค์จักต้องดูแล
“มิได้ทอดทิ้ง แต่เจ้าก็ไม่รู้ว่านางประชวร”
“นางประชวรฤๅพระพี่นาง แล้วนางเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ตรัสถามด้วยความร้อนพระทัย พระอัครมเหสีทรงประชวรแต่เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงทราบเลย
“เจ้าเป็นพระสวามีของนาง อยากรู้ว่านางเป็นเยี่ยงไรเจ้าก็ต้องไปดูนางเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์จักไปดูนางเดี๋ยวนี้”
“เจ้าจำไว้ วันใดที่เจ้าละเลยนาง เราจักพานางไปดูแลเอง” พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวีตรัสพร้อมกับเสด็จพระราชดำเนินออกจากพระราชตำหนักของพระอนุชา กษัตริย์หนุ่มผู้ครองนครแห่งนี้
ค่ำคืนนั้นพระเจ้าชัยวรเมธเสด็จพระตำหนักพระนางภวรัตน์ราชเทวี กษัตริย์หนุ่มทรงเบาพระบาทเข้าไปใกล้พระวรกายบอบบางของพระมเหสี ซึ่งบัดนี้บรรทมนิ่งอยู่บนพระแท่นบรรจถรณ์ พระองค์ทรงรวบผ้าแพรออก ประทับนั่งลงข้างพระนาง เอื้อมพระหัตถ์หนาสัมผัสพระอังสาขาวเนียน
“เสด็จพี่ชัยวรเมธ...” พระนางทรงรู้สึกองค์หันมาด้วยสายพระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยร่องรอยแห่งความเจ็บช้ำแลความทุกข์ระทมของพระนาง
“น้องประชวรฤๅ เป็นอันใดมากหรือเปล่า ให้หมอหลวงมาดูอาการหรือยัง” ตรัสถามด้วยความห่วงใย พระนางซูบผอมลงไปขนาดนี้เชียวหรือ ฤๅพระองค์จะละเลยพระนางดั่งที่พระพี่นางตรัส
“มิได้เป็นอันใดดอกเพคะ หมอหลวงมาดูอาการแล้วบอกว่าน้องเพียงแต่พักผ่อนน้อยเท่านั้นเพคะ” พระนางตรัสปด ทั้งๆที่ขณะนี้ผู้มีบุญญาธิการได้ถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ของพระนางแล้ว
“พี่คิดถึงน้องเหลือเกิน ภวรัตน์เทวี...” องค์ชัยวรเมธทรงบรรจงประคองพระวรกายของพระอัครมเหสีไว้ในอ้อมกอด พระนางซบพระเศียรลงบนแผ่นพระอุระหนา สองพระกรโอบรัดพระวรกายกำยำของพระสวามี
“น้องคิดว่าต้องสูญเสียเสด็จพี่ไปแล้ว... นับตั้งแต่พระองค์ทรงมีนางเป็นพระสนม!” พระนางตรัส พระอัสสุชลไหลอาบพระพักตร์
“ถึงแม้พี่จักมีสวรินทร์เป็นเมียสอง แต่พี่มิเคยลืมน้อง มิเคยลืม...” ตรัสพร้อมไล้พระองคุลีเรียวยาวซับน้ำพระเนตรบนพระปรางนวล ในพระทัยรู้สึกผิดที่ทำให้หัวใจของนางชอกช้ำ...
“สรงน้ำได้แล้วเพคะเสด็จพี่ น้องเตรียมน้ำสำหรับสรงและพระภูษาทรงเรียบร้อยแล้วเพคะ” พระนางภวรัตน์ราชเทวีเสด็จเข้ามาในห้องพระบรรทม พระนางเชษฐ์สุดาราชเทวีทรงแย้มพระโอษฐ์ให้พระนางพร้อมกับทรงเสด็จไปสรงน้ำยังห้องสรงซึ่งอยู่ติดกับห้องบรรทมห้องนี้
อ่างไม้ขนาดใหญ่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม โรยด้วยกลีบดอกไม้นานาพันธุ์ แสงสลัวๆจากโคมไฟเพดานสะท้อนกับผิวน้ำในอ่าง ไออุ่นลอยขึ้นเหลืออ่างส่งกลิ่นหอมฟุ้ง พระนางทรงถอดพระภูษาออกแล้วลงไปแช่ในอ่าง กลิ่นหอมนั้นอบอวลฝังลึกไปทั่วพระวรกายบอบบาง
“ชัยวรเมธ...เราจักคืนพระมเหสีและพระธิดาทั้งสองให้เจ้า ก็ต่อเมื่อเราแน่ใจว่า เจ้ารักและต้องการพวกนางด้วยใจจริง” พระนางตรัสก่อนที่จะทรงสนานกายยังอ่างน้ำนั้นอย่างสุขพระทัย...
...................................................................................