บทที่ 2
ตลอดฤดูร้อนหล่อนและข้าวหอมก็อยู่ด้วยกันทั้งวัน ทั้งใต้ต้นไม้ต้นนั้นและบ้านของสาวน่ารัก เธอมีน้ำนวลขึ้นพอสมควรเพราะได้กินขนมมากมายที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ตลอดทั้งวัน
ทิฆัมพรรู้สึกสุขใจที่ได้ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกับสาวหน้าใส เด็กสาวรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ หลายครั้งที่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกันเลย แต่กลับรู้สึกดี เหมือนกับว่าเราเข้าใจกันโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปาก
"วันนี้ไปน้ำตกกันไหม" เสียงหวานใสเอ่ยชวนเมื่อแดดยามสายเริ่มสาดแสงแรงขึ้น เหงื่อเม็ดเล็กใสผุดที่หน้าผากนวล
เธอมองคนข้างๆ และยื่นมือไปปาดน้ำใสนั้นออก คนร่างบางคิดว่าอีกฝ่ายดูดีเวลาที่ไม่มีมันมากกว่า
"เอาสิ" คนแข็งทื่อเป็นประจำยิ้มออกมาเล็กน้อย เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมาเธอยิ้มมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
"แปบนะ ขอข้าวไปเปลี่ยนชุดก่อน" นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแฝงไปด้วยความดีใจ มันพราวระยับเหมือนแสงอาทิตย์ที่ลอดใบไม้มากระทบกับผิวน้ำใส
"อือ" คนผมสั้นบอกมองคนหุ่นดีเดินอ้อมต้นไม้ไปยังประตูหลังบ้าน
เด็กสาวมองคนผมยาวว่ายไปมาอย่างสบายใจ ผมยาวสีน้ำตาลเงาบัดนี้เปียกน้ำจนชุ่ม มีปลาตัวเล็กสองสามตัวว่ายวนอยู่รอบๆ
"อ้อยมาเล่นน้ำกัน" เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้น
หล่อนส่ายหน้าปฎิเสธ แล้วยิ้มที่บ่งบอกความหมายว่าอยากมองอีกฝ่ายมากกว่า ใบหน้าสวยหวานนั้นทำหน้าขัดใจเล็กน้อย ส่ายหน้าในความดื้อดึงของเธอ ทิฆัมพรรู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไงตัวเธอเองก็ไม่อาจเปลี่ยนได้ง่ายๆ
วรดาเดินขึ้นจากน้ำอย่างช้าๆ รอยยิ้มสว่างสดใสส่งมาให้เป็นอันดับแรก เสื้อขาวแนบไปกับลำตัวที่เริ่มมีทรวดทรง ผ้าที่บางไม่อาจปิดบังสิ่งที่ใส่อยู่ข้างในได้เลยแม้แต่น้อย คนผมสั้นรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบไปหมดเมื่อเห็นอย่างนั้น หล่อนไม่กล้ามองต่อจึงเสไปมองปลาที่กำลังตอดปลายเท้าของตัวเองแทน
"มาเล่นน้ำด้วยกันนะ" เสียงอีกฝ่ายแผ่วเบา นุ่มนวล เหมือนเชิญชวนและปลอบโยนไปในเวลาเดียวกัน
สาวนิ่งกลับไปมองคนตรงหน้าอีกครั้ง หล่อนรู้สึกชาวาบ หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นและแรงขึ้น เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
มือขาวสวยที่ยื่นออกมา กับรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นมันพาให้ตัวของหล่อนลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อมือยื่นไปแตะกัน เด็กสาวรับรู้ถึงความเย็น หล่อนกระชับมือนั้นเพื่อให้ความอบอุ่นทั้งที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายยังคงเต้นแรง
"เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าแดงๆ ล่ะอ้อย" ข้าวหอมทักพลางมองอย่างสงสัยหลังจากทั้งคู่อยู่ในน้ำระยะใกล้กัน
"เปล่า" หล่อนไม่รู้จะตอบอย่างไรกับคำถามนี้
"อืม" ดวงตาสีอ่อนครุ่นคิดอะไรสักอย่างหนึ่งก่อนจะกลับมาอบอุ่นเหมือนเดิม
"จะเปิดเทอมแล้ว เราคงไม่ได้เจอกัน" ใบหน้าเรียวรูปไข่ที่มีน้ำเกาะพราวนั้นเศร้าสร้อย อ้อยคิดเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้พูดออกไป
"เจอกันตอนเย็นใต้ต้นมะขามไงคะ" เป็นสถานที่เดียวที่เหมาะที่สุด เด็กสาวไม่กล้าเข้าบ้านยามอีกฝ่ายยามเมื่อมีผู้ใหญ่อยู่ หล่อนหวาดวิตกว่าเสี่ยพุธพ่อของข้าวหอมจะไม่ชอบ อีกอย่างเธอและคนน่ารักเรียนต่างที่กัน จะเจอกันที่อื่นนั้นคงเป็นเรื่องยาก
"ตกลง อ้อยอย่าลืมนะ ข้าวจะนั่งรอ"
"อ้อยคงเป็นฝ่ายนั่งรอมากกว่า เพราะว่าโรงเรียนใกล้แค่นี้เอง" ทิฆัมพรพูดพลางยิ้ม หล่อนชอบเวลาที่คนตรงหน้ามีความสุข
"อืมจริงด้วย" คนสวยพยักหน้าอย่างเห็นตาม
"ทำไมอ้อยดูมอมแมมทุกวันเลยล่ะ มาข้าวล้างหน้าให้" หล่อนอาสา อยากรู้ว่าที่ตัวเองเคยคิดไว้นั้นถูกต้องมากน้อยสักแค่ไหน
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่อย่าเลย" คนรูปร่างแบบบางบอกคิ้วขมวด
"รังเกียจเหรอ" วรดามองอย่างมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องยอมอย่างแน่นอน
"เปล่า" ปากบางขมุบขมิบ เธออดจะยิ้มไม่ได้ อ้อยเป็นคนน่ารักและก็ไม่ชินเลยกับการที่มีคนอยู่ใกล้ๆ หรือมายุ่งกับตัวเอง
"มาใกล้ๆ สิ" คนผมน้ำตาลเอ่ย
เด็กตัวสูงกว่าเดินอย่างอิดออดเล็กน้อยคล้ายลังเล นิ้วเรียววักน้ำขึ้นมาล้างหน้าให้ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ใช้นิ้วถูเบาๆ ไปตามใบหน้าเรียวของอีกฝ่าย มันนุ่มกว่าที่คิดไว้มาก ตอนแรกนั้นเธอเดาว่าคงกร้านกว่านี้เพราะอีกฝ่ายผิวมีร่องรอยของการถูกแดดเผา ไม่ช้าผิวจริงที่ปราศจากฝุ่นผงก็ปรากฏขึ้น ไม่ถึงกับขาวใสอย่างของวรดา แต่ก็ขาวพอสมควรถ้าเทียบกับเด็กคนอื่นๆ แถวนี้ หรือแม้แต่แม่ของอีกฝ่ายที่หล่อนเห็นในวันแรก
"อ้อยดูดีมากรู้ไหม" เด็กสาวพูดจากใจจริง ทิฆัมพรหน้าตาน่ารัก ไม่ถึงกับหวานแต่ดูมีเสน่ห์ ถ้าเจ้าตัวไม่ปิดกั้นขนาดนี้ก็คงมีคนมาชอบหลายคน ไม่ใช่ไม่มีใครเลยอย่างนี้
"ไม่หรอก" เสียงนุ่มบอกด้วยความจริงจัง ไม่เชื่อในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป
"จริง ข้าวยืนยัน" หล่อนบอกยิ้มๆ เสียงหนักแน่น
"คงมีแต่ข้าวคนเดียวแหละที่คิดแบบนี้" คนตัวสูงกว่าพูดประโยคยาวๆ ออกมาสักทีหนึ่ง วรดายิ้มกว้างกว่าเดิม
"ตัวซีดไปหมดแล้วล่ะ ขึ้นกันเถอะ" สาวสวยไม่ต่อปากต่อคำ รู้ว่าอีกฝ่ายค่อนข้างดื้อดึงและมองตัวเองในแง่ลบ
"อือ" อีกฝ่ายว่าตามอย่างง่ายดาย คนร่างบางยอมตามใจหล่อนง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ
"เดินเล่นไหม เสื้อผ้าจะได้แห้ง" เสียงเบานั้นถามด้วยความใส่ใจ
"เอาสิ แต่ข้าวชักหิวแล้วล่ะ เล่นน้ำตั้งนาน เหนื่อยจัง" จริงๆ เธอก็ไม่ได้เล่นอะไรมากเท่าไหร่ นอกจากลอยตัวและว่ายน้ำเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมถึงได้กินพลังงานมากมายถึงขนาดนี้
"มานี่สิ" น้ำเสียงของอ้อยมีความกระตือรือร้นอย่างเต็มเปี่ยม คล้ายกับอยากอวดบางอย่างให้หล่อนได้รับรู้
เลยจากน้ำตกมาทางขวามีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด ใบไม้แห้งกองทับถมกันหลายชั้น บ่งบอกว่าไม่มีใครมาเดินแถวนี้
เด็กสาวรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ในป่าเงียบสงัดจนน่าหวาดหวั่น หล่อนเดินไปข้างๆ คนตัวสูงกว่าที่ก้าวเท้าอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว เธอจังมือบางนั้นเพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้ตัวเอง
"อย่ากลัวเลย" เธอยิ้มให้ด้วยความมั่นใจ หล่อนเดินผ่านตรงนี้มาหลายครั้งแล้ว แถวนี้ไม่ค่อยมีอันตรายเท่าไหร่ ถ้าลึกกว่านี้งูจะเยอะ
"อือ" เสียงหวานตอบเหมือนพยายามจะเชื่อมั่น ทั้งๆ ที่มืออุ่นๆ นั้นยังคงกุมแน่นไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย
เมื่อถึงบริเวณที่ต้องการ หล่อนเอื้อมมือบางคว้าผลไม้ป่าหลายอย่างแล้วส่งให้คนตัวสูงน้อยกว่าหลายลูก
"ขอบใจนะ" คนข้างๆ ยิ้มออกมาได้หลังจากรู้ว่าเด็กสาวพามาถึงนี่เพื่ออะไร
"ลูกแดงๆ นี่คืออะไรอ่ะอ้อย" มือขาวหยิบลูกเล็กๆ สีแดงเปล่งขึ้นมามองในระดับสายตา รูปร่างผลไม้ชนิดนี้คล้ายกับมะเขือเทศเพียงแต่เล็กกว่ามาก
"มะปุ๊ด กินแล้วชุ่มคอเหมือนมะขามน่ะ" หล่อนอธิบายเท่าที่รู้
"กินได้แน่นะ" คนน่ารักถามย้ำ
ทิฆัมพรฉวยลูกที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายมาแล้วส่งเข้าปากตัวเองทันที เพื่อให้เห็นว่าไม่มีอันตรายอะไร เมื่อเห็นดังนั้นคนหุ่นดีก็หยิบจากฝ่ามืออีกข้างของตัวเองแล้วทำตามทันที
"อันนี้ล่ะ ที่คล้ายลูกพีช" นิ้วเรียวชี้ไปที่ผลไม้กลมๆ สีออกแสด เธอไม่รู้ว่าลูกพีชหน้าตาเป็นอย่างไรแต่เดาว่าคงคล้ายคลึงกัน
"เขาเรียกว่าจันทร์ม่วง" ใบหน้ารูปไข่พยักหน้ารับรู้
"อันนี้นางโยน" เธอชี้ไปที่ผลไม้รูปทรงเรียวสีแดงและม่วงดำ
"ชื่อแปลกๆ ทั้งนั้นเลย" คนนัยน์ตาสวยเปรย
"ไปกันเถอะ" เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจแล้ว วรดาจึงชวนหล่อนให้ออกไปจากป่าแห่งนี้ เด็กสาวทำตามโดยพากลับไปทางเดิมเพราะเป็นทางที่ใกล้ที่สุดในการกลับไปแถวบ้าน
เวลาบ่ายจวนเย็น แดดที่เคยส่องเหือดหายไป ลมเย็นพัดเป็นระยะ เธอกับข้าวหอมนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม เมื่อผลไม้หายวับไปการสนทนาก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
"พ่อข้าวเคยบอกนะว่าเราต้องตั้งชื่อให้ต้นไม้ ต้องเรียกดีๆ และถ้าร้องเพลงให้ฟัง ต้นไม้จะโตเร็ว" เสียงหวานพูดขณะที่ใบหน้าเงยมองกิ่งก้านที่แผ่ขยายไปกว้างของต้นมะขาม
"ต้นนี้มันโตอยู่แล้วนะ" หล่อนมองตาม
"ข้าวอยากตั้งชื่อว่าอะไรล่ะ" เธอนึกสนุก เพราะไม่เคยคิดในแบบนี้มาก่อน เนื่องด้วยต้นไม้ทุกต้นก็มีชื่อเรียกที่รู้กันอยู่แล้ว
"อืม...missได้ไหม" นัยน์ตาหวานมองสบตาทิฆัมพร มีบางอย่างในแววตานั้นชวนให้รู้สึกดี
"มิสแปลว่าอะไร" เด็กสาวถาม เธอเดาว่าคำนั้นคงเป็นภาษาอังกฤษ แต่ที่โรงเรียนหล่อนเพิ่งเริ่มเรียนเมื่อปีที่แล้วนี่เอง และคำศัพท์ที่รู้ก็มีแต่พวกข้าวของเครื่องใช้
"มิส เอ็ม ไอ เอส เอส แปลว่า...คิดถึง" อีกฝ่ายพูดตะกุกตะกักอย่างที่อ้อยไม่เคยเห็น หล่อนยิ้มให้กับแก้มนวลขาวใสที่บัดนี้ขึ้นสี
"ตกลง ให้มันเป็นสัญลักษณ์ว่าเราคิดถึงกันดีไหม" คนร่างบางถาม ด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกันมาก เธอไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้อยู่กับคนตรงหน้าอีกนานแค่ไหน ข้าวหอมเป็นอะไรมากมายหลายอย่างที่เธอไม่เคยมี ถ้าเราสองคนต้องแยกกันไปสักวันหนึ่ง หล่อนอยากให้อีกฝ่ายจำได้ว่ายังเคยมีช่วงเวลานี้
"อืม ตกลง" คนหน้าสวยเห็นด้วย
สัปดาห์ถัดมาทิฆัมพรไปโรงเรียนเหมือนปกติ เพียงแต่วันนี้เป็นวันแรกของมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป เสื้อผ้า วิชาที่เรียน เพื่อน เด็กในห้องเกือบทั้งหมดใส่เสื้อผ้าใหม่เอี่ยม มีหล่อนและอีกไม่กี่คนที่ใส่เสื้อผ้าสีขาวหมองจนแทบจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน เธอรู้อยู่แล้วว่าแม่จะไม่เสียเงินกับเรื่องนี้ ชุดหลวมโพรกเพราะเจ้าของเดิมคือบ้านที่อยู่ห่างออกไปสองกิโลเมตร ลูกสาวบ้านนั้นอ้วนกลมเพราะบ้านขายขนมจึงกินเสียทั้งวัน วิชาที่เรียนน้อยลงแต่ยากขึ้นมาก หล่อนไม่มีปัญหา เพราะเรียนค่อนข้างดีอยู่แล้ว ส่วนเพื่อนมีหลายคนที่เธอไม่เคยเห็นหน้า และบางคนก็หายไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคือยังไม่มีใครสนใจมาเป็นเพื่อนของเธออยู่ดี
ถนนดินสีเหลืองดั่งทรายคล้ายจะทอดยาวออกไปเรื่อยๆ เด็กสาวรู้สึกร้อนใจเพราะนัดกับสาวบ้านไม้หลังใหญ่ไว้ เธอแอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะลืมเลือนคำพูดนั้นเสีย เพราะเปิดเทอมวรดาย้ายโรงเรียน คงจะมีเพื่อนใหม่ๆ อะไรใหม่ๆ ให้สนใจมากกว่าจะมาจมอยู่กับหล่อนที่missซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากความร่มเย็นที่พ้นจากแสงแดดเท่านั้น
ทิฆัมพรวางกระเป๋าผ้าลงข้างๆ บนรากต้นไม้ที่เกี่ยวพันกันยุ่งเหยิง เธอพยายามไม่ตื่นเต้น ข้าวหอมเปลี่ยนอะไรหลายอย่างในตัวหล่อนโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามเลยด้วยซ้ำ เมื่อก่อนเด็กสาวชอบอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้อยากให้อีกฝ่ายมาอยู่ข้างๆ คุยกัน ยิ้มให้กัน ทำนู่นนี่กันเหมือนตอนปิดเทอม
"รอนานไหม" ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นเสียงหวานใสก็ดังขึ้น เธอยิ้มออกไปอย่างดีใจ
"ไม่เลย" หล่อนตอบ มองรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า ผมที่เคยยาวบัดนี้ตัดสั้นเสมอติ่งหูเท่ากันแล้ว คนหน้ารูปไข่ยังคงดูน่ารักไม่เปลี่ยนแปลง
"เอาขนมมาฝากด้วยแหละ ที่หน้าโรงเรียนขายเยอะแยะเลย" ขนมหลายถุงถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้สีน้ำเงิน
สาวน้อยมองดูสิ่งเหล่านั้น เธอเคยเห็นแต่ไม่เคยซื้อเพราะไม่มีเงิน ที่บ้านหล่อนไม่เคยให้เงินไปโรงเรียนเหมือนครอบครัวอื่น ขนาดเด็กที่จนที่สุดในห้องยังได้ไปโรงเรียน 2-3 บาททุกวัน
"ไม่ต้องซื้อมาให้ก็ได้ เปลือง" ถึงอีกฝ่ายจะมีเงินเยอะ แต่ทิฆัมพรก็ไม่ต้องการให้ข้าวหอมต้องเสียเงินเพราะเธอแม้แต่บาทเดียว
"ข้าวซื้อทานเองต่างหาก แต่ซื้อมาเยอะไปหน่อยเลยอยากให้อ้อยช่วย" ปากอิ่มสวยนั้นพูดด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคย
เด็กสาวในชุดนักเรียนใหม่มองดูคนร่างบางยิ้มตอบอย่างรู้ทัน เธอชอบคนตรงหน้า เธอรู้แล้วหลังจากได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เท่าที่ดูคนตาสีเข้มก็ไม่ได้มีท่าทีในแบบนั้น ยกเว้นแต่ที่น้ำตกซึ่งอีกฝ่ายดูแปลกๆ หล่อนไม่อยากตัดสินเข้าข้างตัวเอง ว่าเราสองคนมีความรู้สึกแบบเดียวกัน
"ที่โรงเรียนเป็นไงบ้าง" คนนัยน์ตาสวยถามอย่างอยากรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่หล่อนไม่อาจคาดเดาได้เลย
"ก็...เหมือนเดิมค่ะ" น้ำเสียงนั้นฟังดูเบื่อหน่าย ดวงตาและใบหน้าเรียบสนิทเมื่อพูด
"ทำไมเสื้อของอ้อยไม่ใหม่ล่ะ" ชุดที่อีกฝ่ายใส่ไม่มีเอี้ยมแล้ว มีโบว์รูปหูกระต่ายสีน้ำเงินซีดห้อยอยู่แทน ปกติแล้วเวลาต้องใส่เครื่องแบบที่แตกต่างจากเดิม ทุกคนก็ต้องซื้อใหม่ หล่อนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสื้อผ้าของคนตรงหน้าถึงเก่าได้ แถมขนาดยังใหญ่กว่าคนใส่ถึงสองเท่า
"ชุดของลูกสาวร้านค้าหน้าซอยน่ะ" เสียงนุ่มบอกอย่างไม่ใส่ใจ
วรดารู้สึกแย่กับสิ่งรอบตัวของทิฆัมพร หล่อนอยากให้อีกฝ่ายได้รับอะไรดีๆ บ้าง อยากให้มีข้าวทานจนอิ่มทุกมื้อ อยากให้มีเพื่อนเยอะๆ อยากให้ได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ อีกฝ่ายสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ บางทีเธออาจจะลองพูดกับพ่อดู
"เราพูดกับพ่อเราให้เอาไหม" เด็กสาวเอ่ยปากถาม มองคนที่ตัวเองชอบ
"อย่าเลย" สาวผมสั้นตอบ ตามองไปยังพื้นดินไกลๆ
หล่อนมองเสี้ยวหน้าด้านข้างด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงปฎิเสธ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะบังคับคนตรงหน้ากลายๆ ด้วยคำพูดแบบนั้นได้ มันละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกและศักดิ์ศรี
สาวน้อยถอนหายใจกับชะตากรรมที่ช่างแตกต่างกันเหลือเกินของเราทั้งสองคน ถ้าทิฆัมพรได้ครอบครัวที่ใส่ใจสักครึ่งหนึ่งของที่เธอมี คนตรงหน้าคงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้มาก หล่อนไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยนอกจากขนมเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอได้อย่างมากมายทุกวัน พ่อของข้าวหอมค่อนข้างจะตามใจไม่ว่าหล่อนอยากได้อะไร พ่อซื้อให้ในทันที แน่นอนว่าเวลาที่พ่อดุ หล่อนก็กลัวเหมือนกัน ไม่กล้าที่จะดื้อรั้นเอาแต่ใจ ยังดีที่ว่ามีไม่กี่ครั้งที่พ่อจะเป็นแบบนั้น ไม่เหมือนคนตรงหน้าที่คงต้องเจอแทบทุกวันก็เป็นได้
เด็กสาวยังจำได้ติดตาถึงการกระชากที่รุนแรงในเย็นวันแรกที่เจอกัน ทำไมแม่ของอ้อยถึงได้โหดร้ายอย่างนั้นนะ
"เป็นอะไรรึเปล่า" มีความใส่ใจและห่วงใยในน้ำเสียงนุ่มนั้น
"เปล่าหรอก" หล่อนตอบ
"เราเจอกันทุกวันรึเปล่า" คนหน้าเกือบหวานถาม ตาสีน้ำตาลเข้มดูจริงจังและคาดหวัง มีแววเว้าวอนเล็กน้อยจนถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่เห็นแทรกอยู่
"ข้าวอยากมาทุกวันนะ แต่รับปากไม่ได้" เธอตอบตามจริง เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีกิจกรรมหรืออะไรด่วนที่ต้องทำไหม
"อือ อ้อยจะรอไม่มาไม่เป็นไร" สาวนิ่งบอกเรียบๆ แต่เด็กสาวจับได้ว่ามันแฝงไปด้วยความผิดหวัง คนตรงหน้าเริ่มชอบที่จะมีเธอเข้าไปแทรกในชีวิตแล้ว หล่อนอดยิ้มไม่ได้
"ข้าวจะพยายามนะ" วรดาจับมือแล้วมองตาส่งความรู้สึกออกไป
คนหน้านิ่งอดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เธอรอคนข้างๆ ได้ทุกวัน หล่อนหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่โรงเรียนทุกประเภทเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ข้าวหอมไม่เหมือนกัน สาวน้อยคงต้องไปทำนู่นทำนี่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียนใหม่ สาวร่างบางเข้าใจ
มืออุ่นจับมือบางของหล่อนไว้ เธอมองใบหน้าสวยนั้น มีความรู้สึกหลายหลายปะปนกัน ความห่วงใย ความเชื่อใจ และ...เด็กสาวไม่แน่ใจในความรู้สึกสุดท้ายที่เธออ่านออก มันไม่น่าจะเป็นไปได้ หล่อนอาจจะแปลผิด
ความรัก เป็นสิ่งสุดท้ายที่อ้อยคิดว่าจะมีใครสักคนรู้สึกกับเธอแบบนั้น หล่อนเองก็ยังเด็ก คนผมสั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ตอนเห็นเพื่อนร่วมชั้นเป็นแฟนกันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย และไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ
ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างหล่อนและข้าวหอม มันเหมือนการรอคอยบางอย่างซึ่งไม่ชัดเจน ทิฆัมพรเริ่มแน่ใจในสิ่งที่ตัวเองรู้ เธอถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับคนตรงหน้ากันแน่
วันแรกที่เจอกันมีเพียงความรำคาญและแปลกใจเล็กน้อย วันถัดมาเริ่มคุ้นเคย และต่อมาก็สนิทใกล้ชิด ห่วงใย อยากปกป้อง อยากให้อีกฝ่ายมีแต่ความสุข มีรอยยิ้มสวยๆ ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้สามารถเรียกว่าความรักได้ไหม เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้นอกจากตัวเอง
"อ้อย...คิดว่าชอบข้าว" หล่อนพูดทื่อๆ เลี่ยงใช้คำ เพราะสิ่งที่พูดออกไปดูน่าจะเป็นไปได้มากกว่าอีกอย่างที่ยังสับสนและน่าสงสัย
ใบหน้าน่ารักนั้นมีรอยยิ้ม เป็นยิ้มที่ลามไปถึงดวงตาคู่สวย ข้าวหอมดีใจที่ได้ยินคำนี้ทิฆัมพรบอกได้ทันที
"ข้าวก็...เหมือนกัน" ความเขินอายเล็กน้อยแสดงออกมา หน้าใสหลบตาเล็กน้อย หล่อนกระชับมือก่อนจะสอดแทรกนิ้วกับมือของอีกฝ่าย
"งั้นเราเป็นแฟนกันไหม" เด็กสาวรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบ้าบอสิ้นดีที่เธอพูดคำนี้ออกไป มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ผ่านความคิดอะไรเลย มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น
"ตกลง" เสียงใสตอบแบบที่ทำให้หัวใจเต้นในจังหวะปกติเปลี่ยนแปลงได้เหมือนวันที่อยู่ด้วยกัน ณ น้ำตกนั้น
"เป็นแฟนกันต้องทำยังไงบ้าง" หล่อนถามด้วยความขัดเขินเล็กน้อย
"อืม ก็ต้องใส่ใจกัน ไปเที่ยวกัน อยู่ด้วยกัน" คนหน้าหวานนึก
"อ้อยจะพยายามทำให้ดีที่สุด" เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองพูดประโยคยาวๆ ถี่ขึ้น
"ข้าวก็เหมือนกัน" เสียงหวานบอก
"วันเสาร์นี้ข้าวว่างไหม" เธอถามเพื่อที่จะได้วานแผนการเที่ยว
"ว่างสิ" อีกฝ่ายตอบทั้งที่ยังยิ้มกว้างอยู่
"งั้นไปเที่ยวกัน" หล่อนบอกพลางคิดว่ามีสถานที่ไหนบ้างที่จะสามารถไปได้โดยไม่ต้องใช้เงิน เพราะเธอไม่มีมัน
"ตกลง" เสียงหวานระรื่นรับปาก
"ข้าวกลับบ้านเถอะ เย็นแล้ว" เธอตัดบทกลบความผิดปกติของร่างกายตัวเอง ที่ตอนนี้เสียง 'ตุบๆ' ดังก้องอยู่ในหูชัดเจน
"อือ ไปนะ" นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นดูอาลัยเล็กน้อย คล้ายกับอยากยื้อเวลาที่จะอยู่ด้วยกันอีกสักหน่อยก็ยังดี
หล่อนมองคนหุ่นดีเดินเข้าบ้านไป ความรู้สึกอิ่มเอมใจและมีความสุขท้วมท้นเหมือนเขื่อนทลายทะลัก
วรดาเดินขึ้นบ้านอย่างอารมณ์ดี หล่อนไม่คาดฝันว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วแบบนี้ เธอนึกว่าต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่
เธอชอบทิฆัมพร ชอบความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ใต้เรือนร่างบอบบาง ชอบความใจดีที่ถูกบดบังด้วยความนิ่งเฉย และชอบอะไรอีกมากมายซึ่งไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้