web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 148
Total: 148

ผู้เขียน หัวข้อ: นกของทิฆัมพร บทที่ 8  (อ่าน 1255 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74
นกของทิฆัมพร บทที่ 8
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 00:01:28 »
บทที่ 8

ทิฆัมพรตื่นเช้าเช่นเคย วันนี้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ อาจจะเพราะในตอนเย็นมีแผนที่จะซื้อตุ๊กตาส่งไปให้คนที่อยู่ไกลก็เป็นได้

เด็กสาวเพิ่งใส่ชั้นในเสร็จขณะที่แม่เพิ่งตื่นนอน เป็นเรื่องแปลกเพราะปกติแล้วแม่จะตื่นหลังจากที่เธอออกจากบ้านไปทำงาน

"นึกว่าจะไม่กลับมาแล้ว" นั่นเป็นคำพูดยามเช้าประโยคแรกที่คนผมเกือบยาวได้ยินในรอบหลายวัน

"มานี่เลย" เสียงอีกฝ่ายเอาเรื่อง หล่อนยังคงเงียบเฉย เพราะลึกๆ รู้อยู่แก่ใจว่าที่คนตรงหน้าโกรธแบบนี้เนื่องจากเรื่องอะไร

"ปีกกล้าขาแข็งใช่ไหม แกคิดว่าอยู่บ้านฉันแล้วแกจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ" ตาสีเดียวกับเธอแทบจะถลนออกมานอกเบ้า มืออวบอูมนั้นหยิบไม้ไผ่ซึ่งถูกเหลาออกมาจากผนังบ้าน เธอไม่เคยเห็นไม้นี้มาก่อนเพราะแม่ใช้ก้านมะยมซึ่งปลูกอยู่หลังบ้านมาตลอด ไม่ใช่เพราะกลัวหล่อนเจ็บแต่เพราะมันง่ายต่อการเก็บมาใช้ต่างหาก

"หันหลังไปนู่น" อ้อยทำตามคำพูดนั้นโดยดีเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา

'เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ' เสียงไม้ไผ่กระทบกับเนื้อดังก้อง ความแสบทำให้เธอกัดฟันแน่น มันเจ็บกว่าทุกครั้งที่โดนตี ปกติแล้วความเจ็บแบบนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อแม่ใกล้เลิกตีเท่านั้น แต่นี่เพียงสองสามครั้งแรกขาเธอก็แทบจะยืนไม่ไหวอีกต่อไป ขาหล่อนสั่นด้วยความปวดร้าว น้ำตาที่แทบไม่เคยไหลออกมาซึมอยู่รอบดวงตา เธอเดาว่าตอนนี้เลือดคงออกแล้วบริเวณขาอ่อนที่โดนตีไม่หยุด

ผ่านไปเกือบสิบนาทีแม่น้อยจึงค่อยๆ ผ่อนแรงลง คงเพราะกำลังถดถอยไปตามวัย หล่อนทำได้ดีเหมือนเคย ไม่มีเสียงร้องหรืออ้อนวอนใดๆ

แม่เดินจากไปโดยทิ้งไม้เรียวในบนเตียง เธอหันไปมองมันเต็มไปด้วยน้ำสีแดง ขาหล่อนทั้งชาทั้งเจ็บจนแทบก้าวไม่ไหว แต่เด็กสาวจำเป็นที่จะต้องไปทำงาน ทิฆัมพรฝืนเดิน ซึ่งทำได้เพียงช้าๆ เท่านั้น ผ้าถุงที่ยังคงชื้นน้ำถูกนำมาเช็ดเลือดอย่างทุลักทุเลเพราะแผลอยู่ข้างหลังจึงทำได้ไม่สะดวกนัก หล่อนฉีกเสื้อผ้าเก่าๆ ที่มีแต่รอยขาดออกมาเป็นเส้นยาวแล้วนำมาพันรอบขาตรงที่เลือดออกทั้งสองข้าง หญิงสาวไม่อยากให้เลือดซึมเปื้อนกางเกงยีน นอกจากจะเปื้อนแล้วยังทำให้คนที่ทำงานร่วมกันสงสัยอีกด้วย

ทุกย่างก้าวเหมือนมีใครสักคนเอามีดมาปาดเนื้อของเธอ ครั้งนี้เป็นการโดนตีที่รุนแรงที่สุดในชีวิต หล่อนไม่คิดในแง่ดีอยู่แล้ว ต่อจากนี้แม่คงไม่มีวันกลับไปใช้ก้านมะยมอย่างเดิมแน่นอน เด็กสาวลากขาไปถึงต้นมะขาม หล่อนดึงเอาสมุดบัญชีออกมา ส่วนจดหมายที่ซ่อนไว้ด้วยกันนั้นเธอลูบมันอย่างเบามือ หวังว่าตัวเองจะอดทนและสู้มากพอที่จะสามารถไปจากที่นี่แล้วอยู่กับแฟนได้ในอนาคต จากนั้นเธอจึงเก็บจดหมายซึ่งห่อด้วยถุงพลาสติกกลับไปที่เดิมแล้วกลบด้วยใบไม้

มือที่คุ้นเคยกวักเรียก ทิฆัมพรยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติเพราะรู้ว่าจดหมายของข้าวหอมคงมาถึงอีกฉบับแล้ว ซองจดหมายสีชมพูหวาน กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมา หล่อนเก็บทั้งสองสิ่งลงกระเป๋ากางเกงรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนว่าได้อยู่ข้างๆ คนที่รักเช่นวันวาน



เธอโดนหักค่าแรงไป 20 บาทเนื่องจากมาสายเกือบหนึ่งชั่วโมง และมีคำต่อว่าอีกชุดใหญ่จากหัวหน้างานรวมถึงพี่หน่องด้วย หล่อนไม่ปริปากเพราะรู้ว่าเป็นความผิดของตัวเอง แม้ว่ามันจะมาจากแม่ก็ตาม

"มาสายบ่อยๆ เขาก็ไล่ออกนะ คนอยากทำงานที่นี่เยอะแยะ" เด็กสาวรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นห่วงในแบบของตัวเอง แม้คำพูดจะไม่ค่อยเข้าหูนักก็ตาม แต่สิ่งที่พูดมานั้นเป็นจริง เจ้าของไร่เข้มงวดมากทั้งเรื่องเวลา งาน และเงินเดือน

"เดินเร็วๆ หน่อย เดี๋ยวก็เก็บผลไม้ไปใส่ลังไม่ทันพ่อค้ามารับหรอก" สาวแกร่งรุ่นพี่หมายถึงพ่อค้าคนกลางที่มักจะมารับของถึงไร่ ยิ่งไร่ใหญ่ขนาดนี้และปลูกผลไม้หลากหลายชนิดจึงมีพ่อค้าแวะเวียนมาไม่ซ้ำหน้ากันในแต่ละวัน

"ค่ะ" หล่อนฝืนใจเดินเร็วขึ้นอีกหน่อย รู้สึกคล้ายกับว่าขาจะหลุดเป็นชิ้นๆ และพนันได้เลยว่าเลือดคงเริ่มซึมจากผ้าที่พันไว้แล้ว

"เดินแปลกๆ นะ" ตาคมดุหันมามองอย่างพิจารณา

"สบายดีค่ะ" เธอโกหกด้วยสีหน้าที่พยายามปั้นให้เรียบเฉย ซึ่งยากเหลือเกินเมื่อเจ็บแผลมากขนาดนี้

"ไม่สบายก็ไปลางานซะ โทรมาบอกหัวหน้าเขาก็ได้" พี่หน่องคงเดาออกว่าเหตุใดวันนี้เธอจึงมาช้าผิดปกติ

"ไม่เป็นไรค่ะ" น้ำเสียงเรียบตอบกลับไป ทำให้สาวแกร่งส่ายหน้าในความดื้อรั้น ทำไมทิฆัมพรจะไม่อยากหยุด แต่ขืนกลับไปบ้านเธอก็คงโดนตีซ้ำที่เดิมฐานขาดงานทำให้เงินที่จะได้ลดลง อีกอย่างต่อให้เป็นเงิน 1 บาท หล่อนก็อยากจะเก็บไว้เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า วันที่จะออกไปจากที่นี่

"ถ้าไม่ไหวก็ไปขอยาจากพี่ต้นละกัน เขามียาไว้ให้คนงานอยู่" เด็กสาวพยักหน้ารับรู้ กะว่ากลางวันจะไปขอยาแก้ปวด เธอไม่แน่ใจว่าควรจะกินยาอะไรบ้างเมื่อเป็นแบบนี้ เพราะปกติหล่อนจะรอให้หายไปเองซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เกินสองวัน แต่นั่นคือความเจ็บจากก้านมะยมไม่ใช่ไม้เรียวจากไม้ไผ่



หญิงสาวถอนเงินมาสองร้อย หล่อนมาพร้อมกับเพื่อนใหม่และคืนที่ติดค้างเมื่อรับเงินมาแทบจะทันที

"ไม่ต้องคิดมากหรอก แค่นี้เอง" พรรณรายพูด แต่อ้อยไม่ฟัง เธอไม่ต้องการเป็นหนี้ใครแม้แต่บาทเดียว

"กลับบ้านเลยรึเปล่า" อีกฝ่ายถามราวกับจะชวนไปไหนต่อ

"เปล่า ไปตลาด" หล่อนบอกสั้นๆ ไม่อธิบายว่าตั้งใจจะซื้อตุ๊กตาในตลาดแทนที่จะไปวัด แม้ว่าไปที่นั่นแล้วอาจได้ตุ๊กตาในราคาเพียง 10 บาทก็ตาม หล่อนเสี่ยงโดนตีอีกไม่ไหวแล้วในวันนี้

"อือ งั้นไปด้วยกัน อยากซื้อเสื้อใหม่พอดี" เสียงห้าวพูดพร้อมกับจูงมือหล่อนให้กลับไปยังรถที่จอดไว้ก่อนที่สาวผิวคมเข้มจะขี่จักรยานพาไปยังสถานที่ที่ต้องการ

เธอเดินเป็นเพื่อนในขณะที่สาวผมยาวเลือกเสื้อสีแสบตาอยู่หลายตัว และให้ความเห็นบ้างเมื่อเพื่อนสาวถาม พอเดินผ่านร้านขายตุ๊กตาหล่อนจึงบอกว่าต้องการแวะเข้าไป หนูตามเข้ามาในทันที สีหน้าอยากรู้อยากเห็น

"ตัวนี้เท่าไหร่คะ" คนร่างบางหยิบตุ๊กตากระต่ายสีชมพูขนนุ่มแล้วถาม

"150จ้า" แม่ค้าบอกยิ้มอย่างดีใจที่มีลูกค้า

คนผมประบ่าเลือกแบบเดียวกันอยู่หลายตัว เพราะตุ๊กตาพวกนี้ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก บางตัวตะเข็บลุ่ย บางตัวเย็บไม่สวย และบางตัวหน้าตาก็เบี้ยวแปลกๆ ในที่สุดก็พบตัวหนึ่งซึ่งดีกว่าตัวอื่นๆ จึงเลือกและจ่ายเงินเกือบทั้งหมดที่มี

"ซื้อให้ใครเหรอ" คนที่เงียบมาสักพักถามขึ้น

"แฟน" หล่อนอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงคนสวย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะดีใจแค่ไหนถ้าได้รับของชิ้นนี้

เพื่อนผิวคล้ำไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเดินนำหน้าไปที่ไปรษณีย์ ที่นี่ปิดช้ากว่าในเมืองมาก ปกติในเมืองปิดตั้งแต่บ่ายสามบ่ายสี่ จริงๆ ไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการสักเท่าไหร่ แต่ลุงเจ้าหน้าที่เป็นคนใจดี เขาเปิดและรับของทุกชิ้นไม่ว่าเย็นแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าวันรุ่งขึ้นถึงจะได้รับการบันทึกข้อมูลเข้าระบบ

หญิงสาวซื้อกล่อง เด็กสาววางจดหมายซึ่งเขียนในตอนกลางวันจากเศษกระดาษลงก่อน จากนั้นตามด้วยตุ๊กตาแสนน่ารักเหมาะกับคนที่อยู่ไกลลงไปตาม ค่าส่งพอดิบพอดีกับเงินไม่กี่สิบบาทที่เหลือ อ้อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก

"รักแฟนมากเลยเหรอ" จู่ๆ หนูก็ถามขึ้นมาหลังจากที่ขี่จักรยานออกจากตลาดได้สักพักหนึ่ง

"อือ" หล่อนตอบด้วยรอยยิ้มซึ่งคนข้างหน้ามองไม่เห็น

"เขาอยู่ที่ไหนล่ะ" เสียงห้าวถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกอะไร

"กรุงเทพฯ" เธอเอ่ยออกไปพร้อมกับถอนหายใจเมื่อตระหนักได้ว่าระยะทางช่างไกลกันเหลือเกิน

"ทำไมไม่ไปทำงานที่นั่นล่ะ" คำตอบไม่ยากเลยอย่างแรกแม่เธอคงไม่ยอม เพราะถ้าหากไปไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหล่อนจะส่งเงินคืนมาให้ อย่างที่สองเพราะหญิงสาวไม่อยากจะไปเป็นภาระให้กับข้าวหอม ถ้าเธอไปทั้งที่ไม่มีอะไรก็ไม่ต่างจากไปเกาะอีกฝ่าย อย่างน้อยๆ ถ้ามีทุนรอนบ้างก็สามารถช่วยค่าใช้จ่ายต่างๆ เวลาที่อยู่ด้วยกันได้ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรบอกให้คนอื่นรู้ คนผมสั้นจึงเงียบไป

"หนูก็อยากไปทำงานที่กรุงเทพฯ เหมือนกันนะ ถ้าไปเมื่อไหร่ก็บอกกันบ้าง จะได้ไปด้วยกัน" ทิฆัมพรคงบอกแบบกระทันหัน เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายไปด้วย เธอต้องการเวลาส่วนตัวกับคนที่รัก ถ้าบอกออกไปพรรณรายก็คงรู้สึกไม่ดี เมื่อถึงเวลานั้นอีกฝ่ายก็คงรู้เอง



"จันทร์ เราจะทำไงดี" เสียงหวานร้อนรนกระวนกระวาย

"เรื่องอะไรล่ะ" คนนิ่งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว

"เรื่องข้าวไง เราชอบข้าว ไม่รู้ทำไม เราไม่เคยชอบใครเลยนะจันทร์ก็รู้" คนผมเปียอดถอนหายใจไม่ได้ รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนสนิทต้องพูดเรื่องนี้ออกมา อีกฝ่ายไม่ใช่คนเก็บอะไรเอาไว้ได้นาน

"เป็นเพื่อนกันน่ะ ไปบอกว่าชอบ เกิดข้าวไม่คิดเหมือนกัน จะมองหน้ากันลำบากนะ" หล่อนพูดเรียบๆ ตามความเป็นจริง

"นั่นแหละ ถึงได้ถามจันทร์ไงว่าเราจะทำยังไงดี" ใบหน้าใสติดหวานดูกลุ้มอกกลุ้มใจยิ่งกว่าตอนจะสอบไล่เสียอีก

"ไม่ต้องทำไง เป็นเพื่อนไปก่อน ถ้าข้าวมีใจให้ก็ค่อยคิดอีกที แต่คงยาก เพราะข้าวมีแฟนอยู่แล้วนี่" เธอพูดย้ำ เพราะเหมือนอีกฝ่ายจะลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสียแล้ว

"นั่นสิ เราลืมไปเลย" รักษณาลีซึมไปถนัดตาหลังจากนึกได้ถึงคำพูดของคนสวยในเย็นก่อนดูหนังวันนั้น

"เอาน่า ได้เจอหน้ากันทุกวันก็ดีแล้ว บางทีถ้าคุ้นเคยกันมากๆ จะเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นแฟนมันก็เป็นไปได้ อีกอย่างแฟนข้าวก็น่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย" ตอนแรกคนผมยาวจะพูดให้คนตรงหน้าตัดใจ แต่เมื่อเห็นใบหน้าหมองๆ นั้นเธอก็ทำไม่ลง

"อือ เราหวังว่าข้าวจะชอบเราสักวันหนึ่ง เราไม่มีปัญญาไปแย่งแฟนใครอยู่แล้ว" คนน่าพูดอย่างรู้ตัวเองดีว่าเป็นคนไม่สู้คนสักเท่าไหร่ ปพิชญาลอบยิ้มอย่างเห็นด้วย



วรดาได้รับกล่องพัสดุจากผู้ดูแลหอเมื่อกลับมาจากโรงเรียนในตอนเย็น เธอจำลายมือที่เขียนชื่อที่อยู่ได้ดี หล่อนค่อนข้างแปลกใจพอสมควรที่คนที่รักส่งของมาให้แทนที่จะเป็นจดหมายเช่นคราวที่แล้ว

เมื่อเปิดกล่องสีน้ำตาลออกก็พบว่ามีตุ๊กตากระต่ายสีชมพูสุดแสนน่ารักวางอยู่ หญิงสาวหยิบมากอดอย่างดีใจ เธอรู้สึกชอบมากมันนุ่มนิ่มไปทั้งตัว ใต้ของยังมีกระดาษสีซีดขนาดเท่าโปสการ์ดวางอยู่อีกด้วย

'ข้าวชอบไหม อ้อยไปงานวัดกับเพื่อนใหม่ที่ทำงานในไร่ด้วยกัน ตอนแรกเขาอยากเป็นแฟน แต่อ้อยบอกไปแล้วว่ามีแฟนแล้ว เขาจึงขอเป็นเพื่อนแทน ในงานวัดมีตุ๊กตาตั้งหลายตัว เลยคิดว่าจะซื้อให้ข้าวสักตัวหนึ่ง เป็นตัวแทนอ้อยไง ให้ข้าวได้กอดทุกคืน สักวันเราจะได้อยู่ด้วยกันนะ
คิดถึง
อ้อย'

หล่อนรู้สึกหึงหวงคนรักขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่ขอเป็นแฟนอยู่ๆ มาบอกเป็นเพื่อนก็ได้นั้นต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน อ้อยไม่ได้บอกว่าคนที่มาชอบนั้นเป็นเพศไหน แต่ไม่ว่าจะหญิงหรือชายเธอก็ไม่มีวันยอมให้คนที่รักเป็นของคนอื่นอย่างแน่นอน หวังว่าทิฆัมพรจะมั่นคงต่อเธอไปจนกว่าจะได้อยู่ด้วยกัน แต่หญิงสาวก็แอบกลัวว่ารักแท้จะแพ้ใกล้ชิด



อภิชัจนั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านชั้น 2 เขาเหม่อมองออกไปที่ฟ้าข้างนอก หลายวันมานี้เขาทำแบบนี้ตลอด ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่อกข้างซ้ายตั้งแต่วันที่รู้ว่าข้าวมีแฟนแล้ว

เขารู้สึกเป็นไอ้โง่เหมือนที่เพื่อนผู้ชายในห้องพูดไว้จริงๆ ตอนแรกที่ตัดสินใจเข้ากลุ่มที่มีแต่สาวๆ ก็เพียงเพราะเหตุผลเดียวคืออยากอยู่ใกล้กับคนที่ชอบ เผื่อจะมีโอกาสให้ข้าวหอมเห็นความดีและความจริงใจ แต่สุดท้ายยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรสักอย่างมันก็จบลงอย่างไม่คาดคิด

เพื่อนๆ เขาต่างพากันมาถามในช่วงแรกๆ ว่าเขาเป็นเกย์รึเปล่าถึงได้ไปอยู่กลุ่มสาวๆ แบบนี้ บางคนก็ว่าเขาโง่ที่ไม่ยอมเข้ากลุ่มผู้ชายด้วยกัน เขายอมทนทุกอย่างเพราะผู้หญิงที่สวยเหมือนนางฟ้าคนนั้นคนเดียว

เก่งไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงต่อไป ทุกๆ ครั้งที่เห็นหน้าวรดา เขาเหมือนโดนมีดปักแล้วทั้งตัวก็มีแต่ความชา ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่ความเข้าใจกับความรู้สึกมันเป็นคนละเรื่องกัน ข้าวหอมเห็นเขาเป็นแค่เพื่อน ชายหนุ่มก็คิดว่าเขาควรจะพยายามเป็นอย่างที่คนสวยต้องการ ไม่ว่าใจเขาจะเจ็บสักแค่ไหน เขาก็คงต้องทน อภิชัจไม่อาจเรียกหัวใจที่ให้ไปคืนได้



ทิฆัมพรนั่งมองมุ้งขาดๆ เก่าๆ คืนแล้วคืนเล่า เธอนึกถึงกระท่อมนั้น ผิวหอมๆ นั้นจับใจ หล่อนภาวนาให้ข้าวหอมกลับมาตอนปิดเทอมไวๆ คล้ายกับความรู้สึกตอนที่ยังเรียนอยู่เพียงแต่ความครั้งนี้ความต้องการรุนแรงกว่ามากอย่างเทียบไม่ได้

หญิงสาวหวังว่าอีกฝ่ายจะชอบของขวัญที่ส่งไป เดาว่าป่านนี้คนสวยคงได้รับแล้ว จริงๆ ก็น่าอิจฉาเจ้ากระต่ายตัวนั้นไม่น้อย เพราะมันได้อยู่กับคนที่เธอรักตลอดเวลา ตลอดทั้งคืน ได้สัมผัสไออุ่น ได้สูดดมกลิ่นหอมหวาน หล่อนกำลังพร่ำเพ้อ อิจฉาได้แม้กระทั่งตุ๊กตาตัวหนึ่ง

พักหลังพรรณรายอาสามาส่งทุกวัน สาวผิวคล้ำบอกว่าถือว่าออกกำลังกาย อีกอย่างกว่าอ้อยจะเดินกลับมาถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว มันอันตราย หล่อนพยายามจะปฏิเสธ แต่เมื่อมองดวงตาที่แสนจะจริงจังและเคร่งเครียดแล้วก็พูดไม่ค่อยออกเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนเวลาที่เด็กสาวบ่ายเบี่ยงคนรัก อันนั้นมันเหมือนกับว่าเธอยอมทุกๆ อย่างให้อีกฝ่ายได้ กับเพื่อนสาวมันเป็นแค่ความเห็นใจในความมุ่งมั่นและหวังดีเสียมากกว่า

คนผมยาวประบ่าลองคำนวณเงินที่คาดว่าจะเก็บได้ตลอด 3 ปีดู เธอจะคิดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่ข้าวหอมเรียนระดับมัธยมเสร็จ หล่อนต้องคิดดูอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตอนนี้ถ้าไม่ถอนเงินออกมาเลยก็น่าจะได้ 71,800 บาท แต่จริงๆ คงต้องมีถอนออกมาบ้าง ค่าแสตมป์ ค่านู่นค่านี้อาจจะเหลือแค่ 6 หมื่นก็ได้คนผอมบางประมาณการ ก็ถือว่ามากพอที่จะไปอยู่กับแฟนสาวได้โดยไม่อาย เธอต้องพยายามให้มากขึ้น หล่อนคิดอะไรอีกเล็กน้อยก่อนจะหลับไปท่ามกลางเสียงแมลงร้องระงม




email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.