คนในร้านพูดคุยเสียงดังแต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนที่กำลังใช้ความคิดเลยสักนิดยิ่งพอนึกถึงเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันงานเลี้ยงก็ยิ่งทำให้เจ้าของความคิดอารมณ์เสียงมากขึ้นจนเผลอใช้มือขยี้ที่ปากเพื่อหวังให้ความสกปรกที่ได้รับหลุดออก
“หยุดๆเป็นอะไรของแก”
คนมาใหม่รีบเอ่ยห้ามพร้อมกับการถลาตัวเข้าไปจับมือธัญวรัตน์เอาไว้เพื่อให้หยุดการกระทำรุนแรงที่ริมฝีปาก
“ทำบ้าอะไรเดี๋ยวปากก็ฉีกหรอก”
“ฉันแค่อยากเช็ดสิ่งสกปรกออก”
“เบาๆก็ได้มั้งคะคุณเพื่อน”
“ไม่ได้!”
ธัญวรัตน์เอ่ยเสียงแข็งก่อนจะดึงทิชชูที่วางบนโต๊ะมาเช็ดที่ปากซ้ำอีกครั้งจนคนห้ามถึงกับอ่อนใจเพราะรู้ว่าหากเพื่อนคนนี้ดื้อขึ้นมาใครก็ห้ามไม่ได้ดังนั้นการปล่อยให้ทำตามใจชอบจนกว่าจะพอใจจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“แล้วมีอะไรด่วนหรือเปล่าถึงได้โทรจิก จิก จิกฉันให้ออกมาแบบนี้”
พิชญาถามขึ้นทันทีเมื่อนึกออกถึงเหตุผลที่ทำให้ต้องมานั่งในร้านกาแฟแห่งนี้ทั้งๆที่อยู่ในเวลางาน
“เบื่อ”
คำตอบสั้นๆทำเอาคนฟังถึงกับสะอึกเมื่อคิดว่าตัวเองต้องยกเลิกการประชุมที่สำคัญเพื่อมาหาสิ่งที่คิดว่าด่วนและสำคัญกว่าแต่เหตุผลที่ได้รับมันใช่เหรอ
“ขอยาวกว่านี้ได้มั้ย”
“เบื่อมาก”
“โอเค…งั้นฉันกลับ”
คนพูดคว้ากระเป๋าเตรียมลุกกลับแต่ก็ถูกธัญวรัตน์จับแขนเอาไว้พร้อมกับส่งสายตาเย็นๆมาให้
“ฉันพอจะรู้นะว่าแกอยากให้ฉันอยู่ต่อแต่ช่วยทำสายตาอ้อนวอนแทนข่มขู่ได้มั้ย”
“เกินไปฉันไปข่มขู่แกตั้งแต่ตอนไหน”
“ก็ทุกครั้งที่มองมานั่นแหละอยากรู้จริงๆว่าบนโลกนี้จะมีใครได้เห็นแววตาหวานๆของธัญวรัตน์ พิเสกไพศาลบ้าง”
ธัญวรัตน์มองคนพูดด้วยหางตาก่อนจะวางกาแฟในมือลงช้าๆ
“ไม่มี”
“ชัดเจน”
“แน่นอน”
“แต่มานึกๆดูก็มีอยู่บ้างนะตอนสมัยเรียนไงเยอะด้วย”
พิชญาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องสนุกที่ทำกันในกลุ่มแต่พอนึกถึงเหยื่อรายเด็ดที่เจอเมื่อคืนก็ทำให้เธอต้องหันมาทำสายตาเจ้าเลห์ใส่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“เด็กอ้วนของเธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”
ธัญวรัตน์ถึงกับสำลักน้ำแต่ยังดีที่หยิบทิชชูปิดปากได้ทัน
“ถึงขนาดสำลักเลยเหรอเมื่อคืนฉันเห็นนะ”
“เห็นอะไรมิทราบอีกอย่างอย่าพูดถึงยัยนั่นฉันขยะแขยง”
“แน่ใจเหรอฉันเห็นเธอมองตาเป็นประกายเชียว”
“พิชญา! ถ้ายังไม่หยุดพูดเรื่องบ้าๆนี้อีกละก็เธอได้เจอดีแน่”
คนถูกขู่แกล้งยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ
“ไม่พูดแล้วๆแต่ฉันเพิ่งรู้นะว่าพอรีดไขมันหมูออกหมดสภาพจะออกมาดีเวอร์ขนาดนี้”
“พิชญา!!”
“โอเคๆเปลี่ยนเรื่องก็ได้ล้อเล่นนิดเดียวก็ไม่ได้”
“ไม่ได้! ฉันไม่ชอบไม่อยากได้ยินเรื่องของยัยนั่นแม้แต่น้อย อย่างคิดที่จะพูดถึงอีก”
พิชญามองคนพูดที่มีสีหน้าจริงจังอย่างสงสัยปกติเพื่อนเธอคนนี้ก็ไม่ค่อยจะชอบใครอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดแต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ดูเหมือนว่าธัญวรัตน์จะออกแนวเกลียดรุ่นน้องคนนี้เป็นพิเศษหรืออาจเป็นเพราะการถูกหาเรื่องเมื่อคืนวันงานเลี้ยง
นั่นสินะคืนวันนั้นเธอรู้ดีว่าธัญวรัตน์ปริ๊ดแตกจนถึงกับลากเธอออกจากงานแบบไม่ได้บอกกล่าวกับใครเลย
“งั้นมาเข้าเรื่องที่เธอเรียกฉันออกมาร้านกาแฟดีกว่าตกลงจะบอกได้หรือยังว่าเป็นอะไร”
ธัญวรัตน์มองหน้าคนถามอย่างชั่งใจก่อนจะถอดหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเป็นที่สุด
“ทะเลาะกับคุณลุงมาอีกแล้วเหรอ”
“เรื่องนั้นฉันชินมาตั้งนานแล้วล่ะ”
คนพูดเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าปลงๆและการกระทำแบบนั้นก็ยิ่งทำให้พิชญาอยากรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เพื่อนสาวตกอยู่ในอาการแย่ๆแบบนี้
“แล้วเป็นอะไรล่ะนอกจากเรื่องนี้ฉันก็ไม่เห็นว่าเธอจะคิดมากกับเรื่องอะไร”
“นี่ไม่ได้หลอกว่าฉันใช่มั้ย”
“เปล๊า…แค่นึกไม่ออกจริงๆ”
“พ่อจะหาเลขาใหม่ให้ฉัน”
“ทำไมล่ะคนเก่าลาออกไปไหน”
“ไม่ได้ลาออกแต่ฉันเพิ่งไล่ออกไปเมื่อวันก่อน”
“อะไรนะ!”
“ได้ยินไมผิดหรอกก็จะให้ฉันทนได้ยังไงทำงานก็ชักช้าไม่ได้ดั่งใจแถมยังทึมๆโง่ๆพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องอีก”
“แต่ฉันได้ข่าวว่าคนนี้จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเลยนะแถมยังมีประสบการณ์การทำงานกับต่างประเทศมาตั้งสามปี”
พิชญาดึงเรื่องที่พอจะรู้ออกมาพูดพร้อมกับการจ้องหน้าเพื่อนสาวเพื่อหาคำตอบ
“เอาจริงๆ”
“ฉันไม่ชอบ”
“แค่นี้นี่นะ”
“ใช่ เธอก็รู้นิว่าการฝืนใจทำงานกับคนที่เราไม่ชอบมันให้ความรู้สึกแย่ขนาดไหนและคนอย่างฉันก็จะไม่ทน”
“แล้วเป็นไงล่ะไม่ทนสุดท้ายโดนดีจนได้”
พิชญามองเพื่อนสาวที่นั่งหน้าตึงเข้าไปใหญ่ที่จริงเรื่องการเปลี่ยนเลขาไม่ใช่เรื่องใหม่ของธัญวรัตน์เลยสักนิดเพราะเจ้าตัวมักจะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของเลขาหน้าใหม่อยู่เสมอ
“ฉันควรจะทำยังไงดีคราวนี้คุณพ่อไม่ยอมถอยให้รู้มั้ยประโยคสุดท้ายท่านว่ายังไง”
ธัญวรัตน์เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่พิชญามองออกได้ทันทีว่าคนพูดรู้สึกอย่างไร
ครอบครัวของเพื่อนเธอถือได้ว่ามีฐานะร่ำรวยอันดับต้นๆของจังหวัดแถมธัญวรัตน์ยังเพียบพร้อมไปทั้งรูปสมบัติทำให้ได้รับความสนใจจากใครหลายๆคนแต่คนเพียงคนเดียวที่เพื่อนสาวของเธออยากให้สนใจมากที่สุดกลับเย็นชาและห่างเหิน
คนนั้นจะเป็นใครไปได้ล่ะนอกจากคุณปรมิน พิเสกไพศาล พ่อแท้ๆของธัญวรัตน์ พิเสกไพศาลนั่นเอง
“พ่อบอกว่าถ้าไม่เอาคนของพ่อก็ให้ฉันเลิกทำงานที่นี่แล้วไปหาทำที่อื่นนี่น่ะเหรอคำพูดของคนเป็นพ่อ”
“ใจเย็นๆนะคราวนี้ฉันว่าเธอน่าจะยอมไปก่อน”
“ฉันมีทางเลือกอื่นอีกงั้นเหรอ”
“เลขาคนใหม่ของเธอคงไม่เลวร้ายอะไรหรอก…มั้ง”
“เธอก็รู้นิคำว่าคนของคนอื่นโดยเฉพาะพ่อของฉันมันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”
ธัญวรัตน์นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่พ่อของเธอส่งคนมาสอดส่องเรื่องของเธอโดยการใช้คำว่าคนดูแลแล้วจากนั้นเป็นยังไงล่ะเรื่องของเธอถูกรายงานถึงหูของพ่อเธอทุกเรื่องแล้วบทสรุปสุดท้ายก็คือการมาโต้เถียงกันในเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่ทะเลาะกันจนเธอเตลิดออกจากบ้านไปแต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อก็ไม่แม้แต่จะตามหาจนเธอต้องซมซ่ามกลับบ้านเองและสิ่งที่ได้รับหลังจากก้าวเท้าเข้าบ้านก็คือสายตาดูแคลนแต่เธอก็ไม่คิดจะใส่ใจเพราะบ้านหลังนี้เป็นของแม่เธอสิ่งนี้ละมั้งที่ทำให้เธอกับพ่อยังอยู่ด้วยกัน
สิ่งเดียวที่พ่อกับเธอมีเหมือนกันก็คือหัวใจรักผู้หญิงคนเดียวกันแม้ท่านจะจากไปแล้วแต่ท่านก็ยังอุตส่าห์ทิ้งสายใยบางๆที่คอยเชื่อมระหว่างเธอกับพ่อบังเกิดเกล้าไว้
“ธัญ ธัญ”
เสียงเรียกทำให้ธัญวรัตน์ตื่นจากความคิดก่อนจะรีบสลัดความกังวลใจออกไป
“อย่าคิดมากเลยนะเดี๋ยวมันก็ดีเอง”
“ถ้าไม่เห็นแก่แม่ฉันคงไปแล้ว”
“พูดอะไรแบบนั้น”
“บ้านแม่ หุ้นแม่ทุกอย่างแม่ตั้งใจให้ฉันฉันถึงทิ้งมันไม่ได้”
“งั้นเธอก็ต้องสู้ไม่ต้องกังวลฉันว่าคนที่ต้องคิดหนักน่าจะเป็นคนของคุณลุงมากกว่านะไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนโชคร้ายคนนั้น”
“นี่เธอกำลังเข้าข้างฉันอยู่ใช่มั้ย”
“แน่นอนเราเพื่อนกันนิแต่อย่าให้ถึงกับวิ่งร้องไห้ออกจากห้องเลยนะฉันขอร้อง”
“พิชญา!”
“ก็ได้ๆจัดหนักๆมีอะไรให้ช่วยก็บอก”
“แบบนี้ค่อยฟังรื่นหูหน่อย”
ธัญวรัตน์ยกยิ้มที่มุมปากนึกเป็นต่อเมื่อได้กำลังเสริมมาอยู่ในมืออย่างน้อยสองหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว
และแล้วก็ถึงวันที่กนต์รพีจะต้องเริ่มงานใหม่ที่เธอรู้สึกไม่ถนัดเอาซะเลยถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับสายงานที่เธอเรียนมาแต่มันก็ออกจะผิดด้านไปบ้างก็ตรงที่ต้องไปอยู่ในออฟฟิตแทนที่จะได้ออกไปลุยงานข้างนอก
กนต์รพีนั่งรออยู่ข้างนอกครู่หนึ่งก่อนจะถูกเรียกตัวให้เข้าไปข้างในห้องผู้บริหาร
“สวัสดีค่ะ”
“นั่งสิ”
ชายสูงวัยแต่งตัวภูมิฐานที่นั่งอยู่ในห้องเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อเห็นหน้าพนักงานคนใหม่
“กิตติคงบอกเกี่ยวกับงานให้หนูฟังบ้างแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะท่าน”
“กิตติเป็นคนเก่งและฉันเชื่อว่าหนูทำได้เชื้อย่อมไม่ทิ้งแถว”
“พีจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
“ได้ยินแบบนี้ฉันก็หายห่วงหากมีเรื่องอะไรให้มาบอกฉันได้และที่สำคัญขอให้หนูอดทนถือว่าฉันขอร้อง”
“คุณท่านมีบุญคุณกับพวกเรามากหากมีอะไรที่เราสองพ่อลูกจะทำให้ได้พีก็เต็มใจค่ะ”
กนต์รพีเอ่ยออกมาจากใจจริงเธอรู้ว่าชายสูงวัยที่นั่งอยู่เบื้องหน้าคือผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือครอบครัวจนพ่อของเธอสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองได้แม้จะเป็นเพียงแค่กิจการเล็กๆแต่ก็ถือว่าเป็นบุญคุณที่มากมายเหลือเกินสำหรับครอบครัวของเธอและพอรู้ว่าผู้มีพระคุณต้องการให้มาช่วยงานมีหรือที่เธอจะปฏิเสธ
เสียงเปิดประตูทำให้คนที่อยู่ในห้องต้องหันไปมองเป็นตาเดียวกันแต่เมื่อสายตาโฟกัสที่ผู้มาเยือนได้แล้วกนต์รพีถึงกับเกิดอาการหายใจติดขัดและลมแทบจับเมื่อคนเข้ามาเอ่ยเรียกผู้มีพระคุณของเธอว่าพ่อ!
“กว่าจะมาได้นะ”
“ธัญก็มาแล้วนิคะคุณพ่อจะเอาอะไรอีก”
“แกจะพูดอะไรหัดไว้หน้าฉันบ้างเปิดตาดูบ้างว่าฉันมีแขกอยู่ในห้อง”
ธัญวรัตน์ถอนหายใจเสียงดังก่อนจะสะบัดหน้าไม่พอใจไปยังแขกที่ถูกกล่าวถึงและพอเห็นว่าบุคคลที่สามเป็นใครเธอก็แทบจะเดินเข้าไปคว้าคอ
“จะทำอะไร!”
เสียงดุๆของบิดาทำให้ธัญวรัตน์ได้สติขึ้นมาก่อนจะเดินกลับไปยืนที่จุดเดิมพร้อมกับการระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้
“ฉันต้องขอโทษแทนลูกสาวด้วยที่ทำกริยาแบบนั้น”
“พ่อคะ! จะขอโทษคนแบบนั้นทำไม”
“หยุดพูดได้แล้ว”
“ทำไมคะขนาดคนต่ำๆแบบนี้พ่อยังเห็นมันน่ายกย่องกว่าลูกสาวตัวเองอีกเหรอเป็นคนดีจังเลยนะคะ”
“ยัยธัญ!”
“ค่ะ ธัญลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อไงคะยังดีนะที่จำได้”
“ถ้าแกจงใจจะหาเรื่องก็ออกไปก่อนฉันไม่มีเวลาให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้”
“ก็ดีค่ะงั้นธัญขอตัวก่อนนะคะในห้องนี้ไม่น่าอยู่เลยสักนิด”
พูดจบธัญวรัตน์ก็เดินออกไปจากห้องทันทีทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะมาคุยดีๆแต่จนแล้วจนรอดก็ทะเลาะกันอีกจนได้
หญิงสาวหยุดเดินก่อนจะหันไปมองที่หน้าห้องของบิดาที่ตอนนี้มีใครอีกคนนั่งอยู่ในนั้นด้วย
กนต์รพีมาทำอะไรที่นี่นั่นคือคำถามแต่เธอก็ไม่คิดจะหาคำตอบเพราะถ้าเธอเจอยัยนั่นเดินเฉิดฉายในตึกนี้แม้แต่เสี้ยวเงาเธอจะสั่งให้รปภจับโยนออกนอกตึกทันที!
ทางด้านกนต์รพีที่เพิ่งผ่านสงครามภายในก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาแค่นั่งเฉยๆเธอก็สามารถทำให้ธัญวรัตน์ปริ๊ดแตกได้เท่านี้ไม่อยากจะคิดถึงวันเริ่มงานเลยหากอีกฝ่ายรู้ว่าเลขาคนใหม่เป็นใครคงอาละวาดน่าดู
ใจหนึ่งนึกท้ออยากถอนตัวแต่พอมองหน้าเศร้าๆของผู้มีพระคุณแล้วก็ไม่สามารถเอ่ยปากอะไรได้เธอคงต้องอดทนให้มากที่สุดอย่างที่คุณปรมินบอกจริงๆ
การมาเจอธัญวรัตน์ในวันนี้ทำให้กนต์รพีค้นพบข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับคำว่าบุพเพ่ที่อีกฝ่ายบอกเมื่อตอนเรียนมันคือความเท็จเพราะการเจอกันติดๆสามครั้งแบบนี้เขาเรียกว่าผีผลัก!...ต่างหาก…