กนต์รพีหายใจเข้าออกอย่างเกร็งๆยิ่งคิดถึงคนที่อยู่ในห้องเธอก็ยิ่งหวั่นใจมากขึ้น
ท่าทางจะมีเธอฝ่ายเดียวที่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับธัญวรัตน์เพราะวันที่จะแนะนำตัวก็ดันเกิดเรื่องซะก่อนจนคุณปรมินบอกให้เธอมาแนะนำตัวเองเพราะไม่อยากจะต้องทะเลาะกับบุตรสาวอีกหน่ำซ้ำยังกำชับมาอีกว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรให้เธออดทนและเขาจะอยู่ข้างเธอเสมอ
ฟังแล้วอุ่นใจดีจัง…
และจากประโยคที่ได้ฟังบวกกับพอจะรู้จักนิสัยของเจ้านายคนใหม่อยู่บ้างก็ยิ่งทำให้เธอหนักใจมากขึ้นไปอีกจนกังวลไปหมด
เสียงเคาะประตูทำให้ธัญวรัตน์รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเธอรู้ดีว่าบุคคลที่มาเยือนคือใคร
เลขาคนใหม่ที่เป็นคนของพ่อเธอโดยตรงเธอเกลียดคำนี้และต้องหาทางกำจัดออกไปให้เร็วที่สุด
“เชิญ”
ธัญวรัตน์เอ่ยอนุญาตแต่สายตายังคงจดจ่อที่แฟ้มงานตรงหน้าไม่ขยับไปไหน
“พร้อมจะเริ่มงานเลยใช่มั้ย”
“ค่ะ”
คำตอบรับแผ่วเบาทำให้คนฟังถึงกับกระแทกแฟ้มลงกับโต๊ะเสียงดังก่อนจะเงยหน้าไปมองพนักงานคนใหม่ด้วยสีหน้าไม่พอใจแต่แล้วธัญวรัตน์ก็ต้องอึ้งไปพักใหญ่เมื่อรู้ว่าบุคคลที่ทำให้อารมณ์เสียเป็นใคร
“นี่เธอ! กล้าดียังไงเข้ามาห้องฉัน”
“คือ…เอ่อ เอ่อพีมารายงานตัวทำงานค่ะ”
“เธอจะหน้าด้านไปถึงไหนรู้อยู่ไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่มีวันรับเธอเข้าทำงาน”
“รู้ค่ะ”
“รู้ก็ออกไปเลยฉันจะทำงาน”
“พีคงทำตามที่คุณบอกไม่ได้เพราะ…เอ่อเพราะเจ้านายของพีคือคุณปรมินและคนที่จะไล่พีออกได้มีแต่คุณท่านเท่านั้นที่มานี่ก็เพื่อมาแนะนำตัว…ยินดีที่ได้ร่วมงานนะคะ”
พูดจบกนต์รพีก็หมุนตัวเดินออกไปทางประตูทันทีแต่ก้าวเท้าได้เพียงไม่กี่ก้าวเธอก็ต้องหยุดเดินเพราะมีวัตถุประหลาดกระทบเข้าที่หลังของเธอและพอเจ้าสิ่งนั้นตกลงพื้นเธอถึงได้รู้ว่ามันคือแฟ้มที่มีแหล่งที่มามาจากมือของคนที่นั่งอยู่
กนต์รพีก้มลงเก็บแฟ้มจากนั้นก็เดินเอาไปวางไว้ให้กับเจ้าของที่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณไม่ควรทำอะไรเป็นเด็กๆแบบนี้อีกอย่างงานในแฟ้มก็สำคัญหากฉีกขาดไปจะแย่”
“เธอกล้าสั่งสอนฉันเหรออยากเจอดีอีกใช่มั้ย”
“ไม่อยากเจอค่ะงั้นขอตัวก่อนนะคะ”
ยังไม่ทันที่กนต์รพีจะได้ก้าวไปไหนคนขี้โมโหก็ตามมายืนขวางทางเข้าให้อีก
“ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ชอบให้ใครหันหลังให้” “ค่ะ”
“แต่เธอก็ยังกล้าทำอยากมีเรื่องกับฉันมากใช่มั้ย”
“ไม่อยากค่ะงั้นพีขอตัวก่อนดีกว่านะคะจะได้ไม่มีเรื่อง” กนต์รพีค่อยๆเดินถอยหลังออกมาก่อนจะรีบหันหน้าไปทางเจ้าของห้องที่มองมาด้วยสายตาอาฆาต
“อยากมีเรื่องกับฉันจริงๆใช่มั้ย!”
ธัญวรัตน์ตะคอกออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นท่าทางการเดินที่ดูกวนประสาทของอีกคน
การเดินของกนต์รพีมันเหมือนกับการประกาศศึกกับเธอชัดๆเพราะจะมีคนบ้าที่ไหนถอยหลังเดินออกไปแบบนั้นคอยดูนะเธอจะเล่นงานให้ไปไม่เป็นเลย!
คนทั้งโต๊ะต่างลุกขึ้นยืนอย่างตกใจเมื่อจู่ๆก็มีกระเป๋าลอยตกลงมากลางวง
“ทำบ้าอะไรของแกตกใจหมดเลย”
“เบื่อ เบื่อได้ยินมั้ยว่าเบื่อ!”
พิชญาฟังคำพูดประกอบหน้าตาของคนพูดก็พอจะเดาออกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรคงหนีไม่พ้นเรื่องที่เคยเอามาปรึกษาเธอเป็นแน่
“เลขาใหม่ไม่โอเคเหรอ”
“ไม่!”
“วันแรกก็ทำเพื่อนฉันอารมณ์เสียได้ขนาดนี้ท่าทางจะไม่ธรรมดาแฮะ”
“พูดอะไรอย่างยัยนั่นจะทำอะไรได้นอกจากยั่วโมโหยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งเกลียดเข้ากระดูกดำ”
ธัญวรัตน์เอ่ยออกมาอย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงท่าทางกวนๆของใครบางคนเธอว่าสมัยเด็กยัยนั่นยังดูน่าเข้าใกล้กว่าอีก
“นี่อย่าบอกนะว่าแกรู้จักแม่เลขาคนใหม่เป็นการส่วนตัว”
“ไม่ใช่แค่ฉัน แกก็รู้จัก”
“ใคร”
พิชญาเอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะไม่เชื่อว่าโลกจะกลมมากมายขนาดนี้แต่พอได้ยินชื่อของเลขาคนใหม่หญิงสาวก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาจนโดนเพื่อนรักหันมามองตาขวาง
“ไม่ใช่เรื่องตลก”
“คงงั้นแหละเพราะฉันว่ามันเป็นเรื่องของบุพเพมากกว่า”
“นี่ยิ่งไม่ตลก”
“โอเค โอเค”
เมื่อเห็นธัญวรัตน์อยู่ในอาการเครียดจริงๆพิชญาก็เลิกพูดเล่นทันทีก่อนจะหันไปดูนาฬิกาที่บ่งบอกว่าถึงเวลาทำงานแล้ว
“แกจะกลับไปทำงานหรือว่าไปกับพวกฉัน”
“ฉันไม่อยากแม้แต่จะใช้อากาศร่วมกับยัยนั่น”
“งั้นก็ตามนี้แต่แกคงต้องไปกับนายศรณ์ก่อนนะเพราะฉันมีประชุมช่วงบ่ายถ้าเสร็จแล้วจะตามไป”
“ก็ได้”
“ฝากด้วยนะศรณ์”
“ได้สิ”
ดิศรณ์เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าดีใจอย่างออกนอกหน้าจนพิชญานึกหมั่นไส้แต่ช่วงเวลานี้คงไว้ใจใครไม่ได้นอกจากเพื่อนชายคนนี้
เพราะอะไรน่ะเหรอ…ก็เพราะเธอรู้ว่าดิศรณ์รักธัญวรัตน์จะว่าไปใครๆก็ดูออกแต่จะมีก็แต่เพื่อนเธอนี่แหละที่ไม่รู้
ดิศรณ์เดินนำเพื่อนสาวมาที่รถด้วยใบหน้านิ่งๆเพราะเจ้าตัวกำลังพยายามเก็บอาการดีใจเอาไว้เพราะไม่อยากให้ธัญวรัตน์ผิดสังเกตแต่ท่าทางจะนิ่งมากไปหน่อยจนคนที่เดินตามต้องเอ่ยถามออกมาแบบสงสัย
“ฉันทำให้นายหนักใจหรือเปล่า”
“เปล่า เปล่า”
“ก็เห็นทำหน้าเครียดๆนึกว่านายลำบากใจ”
“ไม่ เราเต็มใจ”
“เอาจริงๆนะถ้านายมีงานต้องไปทำก็ไปเถอะฉันไปเองได้”
“ไม่มีจริงๆเราเต็มใจธัญอย่าคิดมาก”
ธัญวรัตน์มองหน้าคนพูดที่ส่งยิ้มมาทางเธอแต่เพียงครู่เดียวก็หันหน้าไปทางอื่นอย่างงงๆแต่เธอก็ไม่คิดจะเอาท่าทางแปลกๆนั้นมาใส่ใจเพราะลำพังแค่เรื่องของตัวเองก็จะแย่อยู่แล้ว
แต่พอมาถึงรถธัญวรัตน์ก็ถึงกับลมออกหูเมื่อเห็นคนที่ไม่อยากเจอยืนทำหน้าตายอยู่ข้างๆรถแถมยังขวางทางเธอไม่ให้ขึ้นรถอีก
“ต้องการอะไร”
“ไม่มีอะไรมากค่ะแค่จะพาคุณกลับไปทำงาน”
“เธอไม่มีสิทธิ์!”
น้ำเสียงดุดันบวกกับใบหน้าไม่พอใจของธัญวรัตน์ที่แสดงออกมาหากเป็นเมื่อก่อนคงทำให้กนต์รพีหงอได้ไม่ยากแต่เวลานี้เธอได้คนหนุนหลังที่ถือได้ว่าใหญ่มากพอตัวสิ่งที่น่าขยาดในวันวานจึงเป็นได้เพียงภาพตลกที่ทำให้เธอต้องพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้เท่านั้น
“ถอยออกไป! อย่ามาเข้าใกล้ธัญนะ”
เป็นน้ำเสียงที่กนต์รพีรู้ว่าคนพูดรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่เธอทำแต่วันนี้มันแตกต่างจากวันวานอย่างที่เธอบอกตั้งแต่ต้น
และตอนนี้ภาพของชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่ทำท่าราวกับพระเอกจะเข้ามาช่วยนางเอกได้ถูกคนที่มากับเธอหิ้วปีกเอาไว้แล้ว
“พวกแกเป็นใครปล่อยฉันนะ”
ดิศรณ์ตะโกนใส่หน้าคนที่หิ้วปีกตัวเองแต่คนทั้งคนหาได้หวั่นเกรงแต่อย่างใดนั่นจึงทำให้เขาถูกหนึ่งในคนหิ้วปีกใช้มือปิดปากเอาไว้เพื่อให้อยู่ในความสงบ
“เสร็จไปหนึ่ง”
กนต์รพีเอ่ยออกมาด้วนรอยยิ้มก่อนจะหันไปหาใครอีกคนที่ต้องจัดการเป็นลำดับต่อไป
“ไปทำงานกันเถอะค่ะ”
“ไม่!”
“คุณธัญควรจะกลับไปกับพีดีๆนะคะจะได้ไม่ต้องลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย”
“เธอคิดจะทำอะไรเป็นแค่ลูกจ้างอย่ามาริอาจทำตัวเหนือนาย”
ธัญวรัตน์พยายามแสดงท่าทางไม่หวั่นเกรงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอรู้ว่าคนที่จับตัวเพื่อนของเธอก็คือคนของพ่อตัวเองท่าทางพ่อของเธอจะให้ท้ายกนต์รพีมากพอสมควรไม่อย่างนั้นคงไม่วางใจถึงขนาดให้คนมาด้วยแต่เพียงแค่นี้อย่าคิดว่าจะทำให้เธอกลัวได้
“ไปบอกพ่อว่าฉันไม่เข้าออฟฟิต”
“ไม่รับฝากค่ะ”
“นี่เธอ!”
“คะ”
“เธอมันบ้า!”
พูดจบธัญวรัตน์ก็เดินหนีไปทางอื่นทันทีแต่กลับถูกคนที่ตัวเองว่าให้ดึงเอาไว้พร้อมกับการดึงแขนเธอให้เดินตามไปยังรถ
“ปล่อยนะยัยบ้าเธอจะมาบังคับฉันแบบนี้ไม่ได้”
ธัญวรัตน์พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากการจับกุมของคนตรงหน้าแต่เธอก็ไม่สามารถทำได้เพราะขนาดตัวที่เล็กกว่าแล้วเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาจะไปสู้แรงช้างแรงหมูได้อย่างไร
“จะดิ้นทำไมคะ”
“แล้วเธอจะมาจับทำไมปล่อยสิ”
“หยุดดิ้นเดียวนี้นะ”
“ไม่! ถ้าฉันหลุดไปได้เธอตายแน่”
“โห…น่ากลัวจังแบบนี้ก็ยิ่งต้องจับให้แน่น”
“ทำบ้าอะไรของแกปล่อยฉันนะ!”
สรรพนามที่เอ่ยออกมาทำให้คนฟังรู้ได้เลยว่าคนพูดกำลังหมดความอดทนแล้วรู้แบบนี้มีหรือที่กนต์รพีจะหยุดตามที่อีกคนสั่ง
“ก็เล่นเกมกันต่อไงคะคืนก่อนเรายังเล่นไม่จบเลยนะ”
“เกมบ้าเกมบออะไรของแกปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ก็เกมทายรสลูกอมไงคะว่าแต่เริ่มจะจำรสชาติไม่ได้แล้วล่ะสิสงสัยต้องทบทวนความจำอีกครั้ง”
ธัญวรัตน์ถึงกับสะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะออกแรงดิ้นมากกว่าเดิมเมื่อเห็นคนพูดใช้ลิ้นเกลี่ยริมฝีปากแล้วไหนจะสายตาที่จ้องริมฝีปากของเธอนั่นอีกเห็นแค่นี้เธอก็พอจะนึกเรื่องบ้าๆออกแล้ว
“คุณธัญไม่ไปทำงานพีก็อุตส่าห์หาเกมสนุกมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาให้ไงคะเป็นลูกน้องที่น่ารักมากใช่มั้ยคะ”
กนต์รพีพูดพร้อมกับการคลายมือที่กอดให้หลวมๆจากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้คนในอ้อมกอดช้าๆเพื่อหมายจะทำอย่างที่ตัวเองพูด
ธัญวรัตน์รีบยกมือขึ้นมาปิดปากก่อนจะรีบดันตัวออกและเมื่อรู้สึกว่าอิสรภาพอยู่ไม่ไกลหญิงสาวก็รีบคว้าเอาไว้พร้อมกับการเดินถอยหลังออกให้ห่างคนโรคจิตให้มากที่สุด
"ไปไหนล่ะคะยังไม่ได้เริ่มเลย”
คนพูดยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะค่อยๆก้าวเข้าไปหาคนที่ยืนสั่นเป็นลูกนกอยู่ตรงหน้า
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!”
“ทำไมล่ะคะฆ่าเวลาไง”
“ไม่ต้องฉันไปทำงานก็ได้!”
พูดจบธัญวรัตน์ก็รีบเดินขึ้นรถไปอย่างเร็วจนกนต์รพีอดที่จะหัวเราะให้กับภาพหายากไม่ได้แต่แล้วรอยยิ้มและเสียงหัวเราะก็ค่อยๆจางหายไปเมื่อคิดได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เห็น
กนต์รพีหันไปมองคนที่ถูกคนของตัวเองจับตัวเอาไว้ด้วยใบหน้านิ่งๆก่อนจะสั่งให้ปล่อยตัว
นี่ก็เป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าธัญวรัตน์ร้ายกาจมากแค่ไหนขนาดเวลาทำงานยังเอามาพลอดรักกับผู้ชายได้
นี่กระมังเหตุผลหลักๆที่ทำให้ผู้มีพระคุณของเธอรู้สึกหนักใจในตัวลูกสาวคนนี้…
ร้ายไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ