Love me love my dog
บทที่ 2
ถนนสายนี้ดูโล่งผิดปกติ คงเป็นเพราะสายฝนที่พร่างพรมลงมาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงตอนนี้
ถนนสายบันเทิงที่เคยมีนักท่องราตรีพลุกพล่านจึงเงียบเหงา ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูแปลกไป
ภายในรถย BMW สีดำคันเล็ก ‘พิชามญชุ์’ สาวร่างบางในชุดเดรสสีขาวที่เลอะเทอะไปด้วยเลือดของเจ้าหมาน้อยกำลังนึกถึงช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
เมื่อเย็นวันนี้เธอมีประชุมสำคัญกับหุ้นส่วนบริษัทเกี่ยวกับปัญหาของวัตถุดิบที่จะใช้ในการดำเนินงานผลิตเครื่องประดับคอลเลกชั่นใหม่
ที่มีแผนจะเปิดตัวในอีกสามเดือนข้างหน้า กว่าการประชุมจะเสร็จสิ้นก็เกือบสองทุ่ม รีดพลังของแต่ละคนจนหมดเกลี้ยง
มื้อค่ำที่พิชามญชุ์นัดหมายไว้กับเพื่อนชายจึงต้องยกเลิกไป
และในขณะที่เธอกำลังจะขึ้นรถกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ลุง รปภ.ประจำออฟฟิศก็วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกว่า
เจ้า “ดำมี่” สุนัขจรจัดที่เธอคอยให้ข้าวให้น้ำเป็นประจำนั้น ถูกอันธพาลรุมทำร้ายอยู่ในซอย
ทันทีที่ได้ยิน พิชามญชุ์กับก็รีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ เมื่อไปถึงทุกอย่างในบริเวณนั้นเงียบสงบ
เหลือแต่เพียงร่างของหมาน้อยที่นอนจมกองเลือดบนถนน พิชามญชุ์ใจหายวาบ เธอคิดว่ามันตายเสียแล้ว...
เธอขยับเข้าไปหามันใกล้ๆ ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นท้องของมันยังคงขยับขึ้นลงเล็กน้อยตามลมหายใจที่แผ่วเบา
“มันยังไม่ตาย” พิชามญชุ์ร้องบอก รปภ.ที่นำเธอมา และดูเหมือนเจ้าหมาน้อยยังคงจำเสียงเธอได้
มันส่งเสียงครางหงิงๆออกมาเบาๆ หางกระดิกได้เพียงเล็กน้อย มันคงเจ็บเกินกว่าจะขยับตัว
“ลุงคะ เดี๋ยวแพรวจะพามันไปหาหมอ ลุงช่วยแพรวอุ้มมันหน่อยได้ไหม” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถาม รปภ.
“จะดีเหรอครับคุณแพรว มันโดนมีดปักขนาดนี้ คงไม่รอดแน่ๆ” รปภ.ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนัก
“พาไปอาจจะรอด แต่ไม่พาไปไม่รอดแน่ แพรวจะพาไปค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ช้อนมือเข้าไปอุ้มเจ้าดำมี่ขึ้นมาทันที
เธอกระชับมันกับอ้อมแขนบอบบาง ระมัดระวังไม่ให้มีดที่ปักคาอยู่กระทบกับสิ่งใด
และแม้ว่าเธอจะรู้สึกถึงของเหลวเหนียวข้นที่กำลังซึมผ่านเนื้อผ้าเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ
...เธอให้ข้าวมันตั้งแต่มันยังเป็นลูกหมา แม่ของมันก็อาศัยอยู่ซอยเล็กตรงนี้นี่ล่ะ
พิชามญชุ์ผูกมิตรกับมันครั้งแรกตอนที่แวะซื้ออาหารเช้าก่อนเข้าไปทำงาน ก็อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด
แต่พวกลูกน้องของเธอกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไร เธอจึงต้องคอยหาซื้อเสบียงต่างๆมาให้อยู่เสมอ
และเมื่อวางไว้ไม่เกินสิบห้านาที เสบียงต่างๆก็ถูกลูกน้องเธอช่วยกันจัดการจนเกลี้ยงทุกครั้งไป
วันหนึ่งขณะเธอแวะซื้ออาหารเช้าตามปกติ ก็มีลูกหมาสีดำตัวเล็ก พุงป่อง ขี้ตากรัง เข้ามาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้เธอ
ก่อนเขยิบเข้ามาเรื่อยๆ จนมานั่งอยู่ข้างจุดที่พิชามญชุ์ยืนอยู่ แล้วแหงนมองเธอด้วยสายตาอ้อนวอนที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสงสารขึ้นมาทันใด
“หิวล่ะสิ” พิชามญชุ์มองมันด้วยความเอ็นดู ก่อนจะแบ่งชิ้นหมูปิ้งในถุงให้ หมาน้อยก้มลงดมชิ้นหมู ก่อนแหงนหน้ามองเธอแล้วกระดิกหางน้อยๆของมัน
“กินสิ ไม่มียาพิษหรอกน่า กินแล้วจะติดใจนะ” พิชามญชุ์พยักเพยิดกับมัน
คราวนี้ลูกหมาตัวนั้นก้มลงดมแล้วเริ่มกิน เธอยิ้มให้มัน มันเงยหน้ามายิ้มกับเธอ (เธอคิดว่าใช่นะ)
หางมันกระดิกให้เธอมากขึ้น หลังจากนั้นมันก็ติดสอยห้อยตามเธออยู่ในบริเวณนั้นทุกวัน จนใครๆก็ยกให้หมาตัวนี้เป็นลูกสมุนของเธอโดยปริยาย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ครืดๆ...ครืดๆ สมาร์ทโฟนที่วางอยู่บริเวณหน้าคอนโซลสว่างวาบก่อนจะร่วงลงมาเพราะแรงสั่นจากเครื่อง
“อุ๊ย” พิชามญชุ์ตกใจ เพราะกำลังคิดถึงเรื่องเจ้าดำมี่อยู่เพลินๆ เธอพยายามจะคว้าโทรศัพท์ไว้แต่ไม่ทัน
ขณะที่เธอกำลังกังวลกับโทรศัพท์ที่หล่นลงไปบนพื้นรถ หางตาก็เหลือบไปเห็นรถกระบะอีกคันพุ่งเข้ามาอย่างเร็วจากเลนตรงข้าม
เท้าขวากระทืบเบรกสุดแรงไปตามสัญชาตญาณ
โครม!!!
พิชามญชุ์กรีดร้องเสียงดังหลังจากที่รถของเธอถูกรถอีกคันชนเต็มแรง โชคดีที่เข็มขัดนิรภัยรั้งตัวเธอไว้กับเบาะ รอดพ้นจากการกระแทกกับพวงมาลัย
“แม่ง ขับรถภาษาอะไรวะ” คนขับรถคันหน้าเดินหน้าตาถมึงทึงลงมาทุบกระจกรถของแพรวราวกับจะให้มันพังคามือ
ทั้งๆที่สภาพรถยนต์ของหญิงสาวนั้นเสียหายมากกว่าเขามากนัก
พิชามญชุ์รู้สึกจุกจนพูดอะไรไม่ออก แต่หญิงสาวพยายามรวบรวมสติก่อนปลดเข็มขัดนิรภัย เพื่อจะเปิดประตูรถลงไป
“ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันไม่เห็นสัญญาณไฟเลี้ยวของคุณ เลยเบรกไม่ทัน” พิชามญชุ์อธิบาย เธอรู้สึกแน่นหน้าอก และเจ็บแปลบที่บริเวณข้อมือขวา
“ผิดแล้วยังมาด่าคนอื่น แม่งเอ๊ย ผู้หญิงก็เงี๊ยะ ขับรถห่วย ปากก็เสีย จ่ายค่าเสียหายมาเลย”
พิชามญชุ์เริ่มกลัวคู่กรณีที่ยืนอยู่ข้างหน้า ผู้ชายหน้าตาถมึงทึงคนนั้นเหมือนเข้ามาประชิดตัวเธอมากขึ้นทุกที
“คุณๆ เป็นอะไรมากไหม” เสียงนุ่มๆดังขึ้น พิชามญชุ์เงยหน้าขึ้นดู ก็พบผู้หญิงใส่แว่น คนที่เธอเพิ่งได้พูดคุยมาเมื่อครู่นี้
พิชามญชุ์ส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าเธอไม่เป็นอะไร แต่เธอไม่รู้จะบอกอย่างไรมากกว่า
“จ่ายตังค์มาแล้วก็จบ จะได้ไปๆสักที” เสียงห้วนของคู่กรณีดังขึ้น
สาวแว่นสะบัดหน้าไปทางคู่กรณี ดวงตาวิบวับด้วยความไม่พอใจ เสียงนุ่มๆที่พิชามญชุ์ได้ยินทีแรกเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ราวสะกดอารมณ์โกรธ
“พี่จะมายืนตะคอกทำไม พี่ไม่โทรเรียกประกันพี่ล่ะ”
“เสียเวลากู รถพังอีก” ชายคู่กรณีท่าทางโมโหอย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่
สาวแว่นหันมาถามผู้หญิงร่างบางที่ยืนพิงรถ “คุณโทรเรียกประกันแล้วหรือยัง”
พิชามญชุ์ส่ายหน้า เธอลืมเรื่องนี้ไปเลย ทั้งๆที่ควรจะทำเป็นอย่างแรก
“งั้นคุณรีบโทรเรียกประกันก่อนเถอะ” เสียงนั้นเหมือนคำสั่งกลายๆ สาวหน้าหวานจึงกลับเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในรถ
มันช่างดูยากเย็นเมื่อโทรศัพท์ไหลไปอยู่ตรงไหนของพื้นรถก็ไม่รู้ ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะพบโทรศัพท์แล้วต่อสายหาประกันตามที่สาวแว่นคนนั้นบอก
“เรียกทำไม เสียเวลา เวลาเป็นเงินเป็นทอง จ่ายเงินมาก็ เอามาห้าพันก็พอ คนจะรีบไป”
“รถชน เรียกประกัน มันก็ถูกแล้วนี่ พี่รีบโทรหาประกันให้มาเคลียร์สิ” สาวแว่นสวนกลับทันควัน
“มึงจ่ายมาก็จบ” เสียงห้วน แหบห้าว ที่พิชามญชุ์ลงความเห็นว่าเป็นน้ำเสียงที่ทุเรศที่สุดที่เคยได้ยินดังลั่น หน้าตาถมึงทึงขึ้นทุกที
“มึงจะจ่ายหรือไม่จ่าย”
“ไม่จ่าย” สาวแว่นพูดเสียงดังฟังชัด พิชามญชุ์อยากจะร้องกรี๊ดถูกใจ แต่มันก็อยู่ได้แค่ในความคิด
ก่อนที่คู่กรณีของเธอจะทำอะไร มอเตอร์ไซค์ของประกันที่เธอเพิ่งโทรเรียกไปก็มาจอดอยู่ด้านข้าง
“รถคุณพิชามญชุ์ใช่ไหมครับ บาดเจ็บหรือเปล่าครับ” สายตาของเจ้าหน้าที่บริษัทประกันจับจ้องอยู่ที่ชุดเปื้อนเลือดของเธอ
“ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ เอ่อ...นี่ไม่ใช่เลือดฉัน”
“แล้วประกันของคู่กรณีมาหรือยังครับ” เจ้าหน้าที่ถามพิชามญชุ์แต่หันไปมองคู่กรณี
“กูไม่ผิด กูเปิดไฟเลี้ยวมาแล้ว มันขับมาชน มันก็ต้องซ่อมสิ”
“สรุปคือไม่มีประกันใช่มั้ย” สาวแว่นพูดขึ้นมาลอยๆ
“ยังไงกูก็ไม่ผิด มันชน มันต้องรับผิดชอบ” คู่กรณีเสียงเบาลงแต่ยังคงยืนยันคำเดิม
หมอปั้นสังเกตอาการแล้วเริ่มสังเกตเห็นใบหน้าที่แดงก่ำ ก็เริ่มรู้สึกว่าคู่กรณีของสาวหน้าหวานอาจจะเมา
“งั้นไปตกลงที่โรงพักดีกว่า” สัตวแพทย์สาวตัดสินใจพูดขึ้นมาก่อนหันไปถามพิชามญชุ์ “ไปโรงพักเลยมั้ยคุณ”
ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไร ประกันของเธอก็เดินมาบอกว่า
“รถต้องลากแล้วนะครับ” พิชามญชุ์ยืนงง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี่ บอกตรงๆเลยว่าทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
“อืม งั้นคุณไปรถฉันก็แล้วกัน เรื่องลากรถคุณจะยังไง” สาวแว่นถาม
“เอ่อ ฉันไม่รู้อ่ะ” หน้าตาเธอคงเหวอน่าดู เพราะสาวแว่นคนนั้นยืนหัวเราะเบาๆ แล้วถามต่อ “ในกรมธรรม์มีเรื่องลากรถมั้ยล่ะคุณ”
พิชามญชุ์ได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง
สาวแว่นเลยหันไปสรุปง่ายๆ “น้องๆ เรียกรถมาลากเลยก็ได้ ส่วนคู่กรณีสงสัยต้องไปเคลียร์ที่โรงพัก”