web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 136
Total: 136

ผู้เขียน หัวข้อ: Love me..Love my dog บทที่ 4 (Rewrite)  (อ่าน 1530 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ธันย์ธิวา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
Love me..Love my dog บทที่ 4 (Rewrite)
« เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2014 เวลา 23:19:03 »
Love me..Love my dog
บทที่ 4

   พิชามญชุ์สะดุ้งตื่นเพราะเสียงแตรรถที่อยู่ด้านนอกของถนน บนตัวเธอมีเสื้อแจกเกตตัวใหญ่คลุมไว้

   “ขอโทษนะคะคุณหมอ ฉันหลับไปนานมั้ย” พิชามญชุ์ถามคนขับรถจำเป็นของเธอ
พลางยกนาฬิกาเรือนบางที่ผูกไว้ที่ข้อมือขึ้นดู จะตีหนึ่งแล้วหรือเนี่ย

   “ไม่นานเท่าไหร่ค่ะ คุณคงเหนื่อยมากเลยเผลอหลับไป คุณทำให้ฉันรู้ว่าฉันคิดถูกที่ไม่ปล่อยให้คุณกลับแท็กซี่”
หมอปั้นส่งยิ้มอบอุ่นให้พิชามญชุ์อีกหน แม้จะไม่มีคำตำหนิจากอีกฝ่าย แต่พิชามญชุ์ก็รู้สึกอายไม่น้อยที่มาเผลอหลับอยู่ในรถของคนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน
พฤติกรรมแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอเลย เธอคงเพลียมากจากเหตุการณ์วันนี้อย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้จริงๆ

   “ขอบคุณคุณหมอนะคะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้” พิชามญชุ์สลัดความอายออก เพื่อเริ่มบทสนทนาอีกหนกับคนข้างๆ
“ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี ฉันขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อก็แล้วกันนะคะ”

   “ฉันยินดีช่วยด้วยความเต็มใจค่ะ ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนหรอก แต่คุณเอาของกินมาล่อฉันอย่างนี้ ตบะจะแตกเลยรู้มั้ยคะเนี่ย” หมอปั้นแย้มยิ้มตอบไป
นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมวันนี้ถึงได้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทั้งๆที่แสนจะเหนื่อย เหนื่อยกว่าทุกวันเสียด้วยซ้ำไป

   “แหม คุณหมอนี่นะ คุณจะทานวันนี้เลยไหมละคะ” พิชามญชุ์ทั้งขำทั้งหมั่นไส้คำตอบสาวแว่นเสียจริง

   “เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าค่ะ วันนี้ก็ดึกแล้ว คุณควรจะพักผ่อน” หมอปั้นปฏิเสธ ใจจริงน่ะอยากให้เป็นวันนี้
เพราะตอนนี้กระเพาะของเธอที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เที่ยง เริ่มประท้วงด้วยการออกอาการปวดเสียดๆเป็นระยะ
แต่เธอก็รู้ดีว่ามันควรจะเป็นเวลาพักผ่อนส่วนตัวของสาวผมสั้น หมอปั้นคาดว่าคู่สนทนาของเธอคงจะเหนื่อยและอยากพักเต็มที

   “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราแยกย้ายกันก่อนก็แล้วกันนะคะ เอาไว้คราวหน้าฉันค่อยเลี้ยงข้าวขอบคุณคุณ” พิชามญชุ์ไม่ดื้อดึง พลางเปิดประตูรถเตรียมจะลงไป
แต่หมอปั้นร้องบอกให้รอ ก่อนจะลงมาเปิดประตูให้แล้วประคองหญิงสาวลงมาจากรถ
พิชามญชุ์เพิ่งรู้ว่าตัวของเธอสูงเลยไหล่ของอีกฝ่ายมานิดเดียวเอง

   “ฉันขอขึ้นไปส่งคุณแล้วกันนะคะ กลัวคุณเดินไม่ไหว” หมอปั้นบอกเหตุผลที่ให้อีกฝ่ายรอ

   พิชามญชุ์พยักหน้าให้สัตวแพทย์สาว ก่อนส่งกระเป๋าไปให้อีกฝ่ายรับไปสะพายให้ แล้วปล่อยให้หมอปั้นเดินเคียงข้างเธอขึ้นไปบนห้องพัก
ตามปกติแล้วพิชามญชุ์ค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง แม้กระทั่งเพื่อนชายของเธอก็ขึ้นไปได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
ด้วยเหตุผลที่เธอบอกว่ามันดูไม่เหมาะสม ทั้งที่ความจริงเธอแค่ไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่มย่ามกับพื้นที่ส่วนตัวของเธอเท่านั้นเอง
ทว่าคราวนี้ เธอรู้สึกวางใจในผู้หญิงตัวสูงใส่แว่นข้างๆนี้ และรู้สึกดีมากพอที่จะชวนขึ้นไปห้องพักของเธอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน
คงเป็นเพราะความช่วยเหลือที่เธอได้รับจากสาวแว่นคนนี้กระมัง

++++++++++++++++++++++++++++++

ห้องของพิชามญชุ์อยู่ชั้นบนสุดของคอนโด พื้นที่กว้างขวางกว่าที่หมอปั้นเคยเห็นจากคอนโดอื่นๆ
เฟอร์นิเจอร์ รูปภาพบนผนังและของตกแต่งบนชั้นวาง บ่งบอกรสนิยมของเจ้าของห้องเป็นอย่างดีว่าเป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และช่างสร้างสรรค์ ใส่ใจในทุกรายละเอียด

“คุณหมอนั่งรอที่โซฟาก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันขอทำอาหารให้คุณแป๊บเดียว” พิชามญชุ์บอก พลางชี้ไปที่โซฟาตัวหนานุ่มที่ตั้งอยู่มุมนึงของห้อง
“รีโมททีวีอยู่ตรงโต๊ะเล็กข้างโคมไฟ ตามสบายนะคะ”

แต่หมอปั้นไม่ยอมไปนั่งที่โซฟา กลับเดินเข้ามาใกล้พิชามญชุ์ “ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว คุณพักผ่อนเถอะค่ะ”

   สาวหน้าหวานรู้สึกเหมือนพวงแก้มมีอาการร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แววตาที่อ่อนโยนแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินขึ้นมา
ไม่เหลือคราบสาวมั่นเหมือนยามทำงานแม้แต่นิด แต่เรื่องที่อีกฝ่ายจะกลับก่อนนั้น เธอไม่ยอมหรอกนะ

“ฉันอยากจะชวนคุณอยู่ทานอะไรสักหน่อย คุณคงยังไม่ได้ทานข้าว ใช่ไหมคะ” พิชามญชุ์เอ่ยถาม

“เอ่อ คือฉันไม่หิวน่ะค่ะ แต่ถ้าคุณอยากทานข้าว ฉันทานเป็นเพื่อนก็ได้” หมอปั้นตอบไปเพราะเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ

“คนเป็นโรคกระเพาะเนี่ย ถึงไม่หิว ก็ควรทานข้าวไม่ใช่เหรอคะ” สาวหน้าหวานอมยิ้ม จ้องหน้าอีกฝ่ายราวกับรู้ว่าสาวแว่นจะมาไม้ไหน

“เอ่อ..คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นโรคกระเพาะ” หมอปั้นงงเป็นไก่ตาแตก

“ก็เห็นคุณกินยาในรถน่ะสิคะ” สาวหน้าหวานเฉลย หลังหัวเราะกับท่าทางเหรอหราของสัตวแพทย์สาวจนพอใจ ตอนที่เธอตื่นน่ะ
เธอเห็นอีกฝ่ายถือขวดยาเคลือบกระเพาะอยู่ในมือ

หมอปั้นยิ้มเขินๆ นี่ก็เกินสิบสองชั่วโมงแล้วที่เธอไม่มีอะไรตกถึงท้อง แล้วกระเพาะเจ้ากรรมก็ปวดเสียดเป็นระยะๆจนต้องกินยาประทังไว้
แต่วันนี้หมอปั้นกลับรู้สึกขอบคุณโรคประจำตัวที่ช่วยยืดเวลาให้เธอได้อยู่ใกล้ๆผู้หญิงคนนี้อีกหน่อย
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณด้วยนะคะ แต่...คุณจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้นะ เปียกทั้งฝนทั้งเลือดหมา เหนียวตัวแย่”

พิชามญชุ์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เธออยากจะเปลี่ยนเสื้อตัวนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ
“งั้น คุณรอฉันแป๊บนึงนะคะ” พิชามญชุ์เดินลับเข้าห้องไป

“หึหึ” หมอปั้นหัวเราะเบาๆ เพียงไม่นานที่เธออยู่กับผู้หญิงคนนี้ มันทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“ขอสำรวจครัวหน่อยนะคุณ” ว่าแล้วหมอปั้นก็เปิดตู้เย็น สอดส่ายสายตาสำรวจสิ่งที่มีอยู่ในตู้ “เป็นแม่บ้านแม่เรือนเหมือนกันนะเนี่ย”
หมอปั้นหยิบกล่องข้าวสวย ไข่ เนื้อหมู แล้วก็ผักสดออกมาจากตู้เย็น เครื่องปรุงและอุปกรณ์ต่างๆถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
หมอปั้นหยิบกระทะวางบนเตาไฟฟ้าแล้วก็เริ่มลงมือ

พิชามญชุ์เช็ดเครื่องสำอางแล้วล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่น เฝือกอ่อนที่ใส่อยู่ทำให้เธอล้างหน้าไม่ถนัดเท่าไร
วันนี้เป็นวันที่หนักหนาสาหัสของเธอไม่น้อย ใจจริงเธออยากจะอาบน้ำสระผมแล้วนอนเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นห่วงคนที่อยู่ข้างนอก
โรคกระเพาะที่เป็นอยู่คงอาการหนักพอสมควร เธอไม่ได้บอกอีกฝ่ายหรอกว่าเธอเห็นฝ่ายนั้นเอามือกดๆท้องพลางทำหน้าเหยเกตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
“น่าสงสารจริงๆ”
พิชามญชุ์คิดพลางเร่งมือเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่อยากให้อีกฝ่ายรอนาน

แต่พอก้าวออกจากห้อง เธอก็เห็นแขกกำลังสาละวนอยู่หน้าเตาไฟฟ้า กลิ่นหอมๆเริ่มลอยมาแตะจมูก
เธอเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหลังร่างสูงๆ “ต้มมาม่าเหรอคุณ” เจ้าของบ้านส่งเสียงแซว

สาวแว่นหันกลับมามองแว่บนึง “พูดเหมือนคุณมีมาม่าให้ต้มงั้นแหละ”

   พิชามญชุ์หัวเราะคิกคัก ก็เธอไม่ชอบทานบะหมี่สำเร็จรูป แต่ต้องกินบ่อยมากสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ
พอกลับมาเมืองไทยก็เลยไม่เคยซื้อมาติดบ้านไว้สักครั้ง

   “ขอโทษที่ค้นของในตู้เย็นคุณนะคะ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณเสียเวลามาทำอาหารน่ะ อยากให้คุณออกมาแล้วได้ทานเลยมากกว่า” หมอปั้นกำลังตักข้าวผัดใส่จาน 
จึงไม่ได้หันหน้ามา เธอเลยไม่มีโอกาสได้เห็นประกายตาสดใสของผู้หญิงอีกคนที่ยืนข้างหลังเธอ

   “แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันวุ่นวายของฉัน แต่ฉันก็โชคดีนะเนี่ย” เจ้าบ้านอมยิ้ม แขกพิเศษเงยหน้าสบตา และคราวนี้คนที่เขินกลับเป็นหมอปั้นเสียเอง

   “คุณทนทานข้าวผัดฝีมือฉันหน่อยแล้วกัน ปกติฉันไม่ค่อยได้ทำกับข้าวหรอก แต่ดูคุณจะชอบทำกับข้าวนะ วัตถุดิบครบครัน อุปกรณ์ครบเครื่องมาก”
หมอปั้นเปลี่ยนเรื่องพูดกลบความเขิน ซึ่งก็ได้ผล เพราะสาวหน้าหวานก็พูดคุยต่อเกี่ยวกับเรื่องทำอาหารอย่างอารมณ์ดี
สองสาวสนทนาอย่างออกรส เรื่องราวที่เธอผลัดกันเล่าให้อีกฝ่ายฟังนั้น ล้วนทำให้บรรยากาศรื่นรมย์ และทำให้เธอทั้งสองคนรู้สึกเหมือนคุ้นเคยสนิทสนมกันมานานปี

   “ข้าวผัดอร่อยมากนะคะคุณหมอ วันหลังต้องมาทำให้ทานอีกนะ” คนถูกชวนถึงกับหัวเราะ

“คุณเอาใจฉันไปหรือเปล่า แค่ข้าวผัดธรรมดาๆ ไม่ได้อร่อยเลิศสักหน่อย” แต่คนทำก็อดดีใจไม่ได้ที่อีกคนบอกว่าชอบข้าวผัดฝีมือเธอ

   “ฉันไม่ได้พูดเอาใจคุณนะ รสชาติแบบนี้ฉันชอบจริงๆ ที่สำคัญคือทำได้เร็ว แล้วก็ได้สารอาหารครบ” คนเอ่ยชวนสาธยาย
“ฉันจะบอกความจริงอะไรให้ ปกติแล้วฉันทานมื้อเย็นไม่เยอะหรอกค่ะ แต่วันนี้มันอร่อยจริงๆ ถ้ามีอีกฉันว่าฉันก็ทานหมดนะ”

   หมอปั้นมองหน้าคู่สนทนา เห็นแต่แววตาและสีหน้าจริงใจก็ยิ้มออกมา “ขอบคุณนะคะ”

   “ฉันสิต้องเป็นคนขอบคุณ” พิชามญชุ์รวบช้อน มองหน้าสัตวแพทย์สาว เธอเพิ่งจะมีโอกาสได้สังเกตผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามเธอชัดๆก็ตอนนี้
หน้ายาวเรียว ผิวเนียน จมูกโด่งพอประมาณรับกับโครงหน้าและแว่นตากรอบหนาที่ใส่อยู่ คิ้วเข้มแต่เรียวได้รูปโดยไม่ต้องกัน
ขนตาดำขลับเรียงแน่นเป็นแพอยู่เหนือนัยน์ตาเรียวยาวแบบสาวเชื้อจีน ผมหยักศกนิดๆถูกรวบเป็นหางม้าง่ายๆไว้ด้านหลัง
มีปอยผมตกลงมาปรกหน้านิดๆ ดูน่ารักมากทีเดียวในสายตาของเธอ

   หมอปั้นรู้สึกเหมือนเธอถูกจ้องมองอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบสายตาของอีกคนพอดี
สายตาสำรวจตรวจตราแบบนี้ทำให้สัตวแพทย์สาวคนเก่งถึงกับวางมือไม้ไม่ถูก เธอเลยรวบช้อน เสยกน้ำขึ้นจิบ

   “เดี๋ยวฉันไปล้างให้” หมอปั้นลุกขึ้น เอื้อมมือไปยกจานจากด้านหน้าของอีกคนมาวางซ้อนกับจานตัวเอง

   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันล้างเอง” พิชามญชุ์รีบเอื้อมมือไปกดมือของหมอปั้นไม่ให้ยกจานออกจากโต๊ะ
สัมผัสเล็กๆนั่นเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจนเธอต้องรีบดึงมือกลับ
“คือคุณเป็นคนลงมือทำแล้วไง ฉันก็ต้องเป็นคนล้างถึงจะยุติธรรม ถูกมั้ย”

   หมอปั้นมองหน้าพิชามญชุ์ยิ้มๆ “ก็จริง ถ้ามือคุณไม่เจ็บ”
สายตาหมอปั้นมองต่ำไปที่มือบางของหญิงสาวข้างหน้า เฝือกอ่อนที่สวมอยู่ดูน่าจะหนักกว่ามือบางนั้นหลายเท่า
พิชามญชุ์มองตามสายตาของหมอปั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่วนหมอปั้นก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างคนมีชัยเหนือกว่า
พิชามญชุ์ยืนหน้าคว่ำใส่ คนชนะก็เลยยักคิ้วทะเล้นๆให้อีกหนึ่งที
เจ้าของบ้านเลยทนไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา แล้วปล่อยให้แม่ครัวจำเป็นเดินยกจานข้าวเข้าไปล้างในครัว
พิชามญชุ์เดินตามไปคุยเป็นเพื่อนอีกเล็กน้อยระหว่างที่อีกฝ่ายยืนล้างจาน จนเมื่อจานใบสุดท้ายคว่ำลงในตะแกรงแล้วนั่นแหละ
พิชามญชุ์จึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“ฉันขอนามบัตรคุณหน่อยได้ไหมคะ เผื่อจะติดต่อตอนไปที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ”

“อยากจะให้นะคะ แต่เผอิญไม่มีนี่จะทำยังไงล่ะคะ” หมอปั้นหันมาทำหน้าเศร้าใส่

“เบอร์โทรศัพท์อย่างเดียวก็ได้ค่ะ” น้ำเสียงสาวเจ้าชักจะออกอาการหมั่นไส้น้อยๆ เพราะเมื่อเริ่มคุ้นเคยกัน
พิชามญชุ์ก็เริ่มเห็นมุมทะเล้นๆของอีกฝ่ายให้อยากเดินไปหยิก

คุณหมอหน้าใสหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ขึ้นมากดเบอร์ตามคำบอกของคู่สนทนาแล้วโทรออก

   “คุณหมอชื่ออะไรคะ ฉันยังไม่ทราบชื่อเลย” พิชามญชุ์เอ่ยถามขณะกำลังดำเนินการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ลงเครื่อง

   “ปั้นค่ะ ปัณฑิกา” หมอปั้นบอกกับสาวหน้าหวานแล้วถามกลับ “คุณพิชามญชุ์ล่ะคะ ชื่อเล่นมีมั้ยเอ่ย”

   “แพรวค่ะ” สาวหน้าหวานตอบเจือเสียงหัวเราะ เธออารมณ์ดีมากมายเชียวตอนนี้

   “ค่ะ คุณแพรว ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ วันนี้ฉันขอตัวกลับก่อน ขอให้คุณพักผ่อนมากๆ หายเร็วๆ แล้วถ้าคืนนี้รู้สึกแน่นหน้าอกหรือไม่สบายล่ะก็ โทรหาฉันได้ตลอดนะคะ” สัตวแพทย์สาวกล่าวลา ขณะที่พิชามญชุ์เดินไปส่งที่หน้าประตู

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ หมอปั้น” เจ้าของบ้านขอบคุณอีกครั้ง เธอรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่เธอได้รับในวันนี้ เธอโชคดีจริงๆที่พบคนใจดีตรงหน้าเธอ

   “ด้วยความยินดีค่ะ” หมอปั้นตอบก่อนที่จะกลับบ้านไปด้วยความอิ่มใจเป็นพิเศษ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 พฤษภาคม 2014 เวลา 23:58:36 ธันย์ธิวา »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.