บทที่ 12
“แกอยากจะไปไหนก็ไป” เสียงพูดที่มาพร้อมกับอาการหอบในที่สุด
เธอเก็บเสื้อผ้าสี่ห้าชุดลงในย่ามสีขาวขะมุกขะมอมใบเดิมซึ่งเคยใช้เมื่อหลายเดือนที่แล้ว หล่อนโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกตีเปล่าๆ
“อ้อย” แฟนสาวหันมายิ้มสวยให้เมื่อเห็นแต่สีหน้าและน้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนเพราะความผิดปกติที่เห็นได้ชัดจากใบหน้าที่มีรอยนิ้วมือแดงชัด ปากที่มีเลือดซึม และท่าทางการเดินเหมือนลากขามากกว่าก้าวแบบปกติ
ขาเด็กสาวสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่ กางเกงยีนช่วยลดความเจ็บลงได้อยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็มั่นใจว่าต้องมีเลือดไหลซิบๆ ตามรอยแนวตีอย่างแน่นอน
“ค่อยๆ เดินนะ” มือขาวสวยประคองบริเวณต้นแขน คิ้วเรียวขมวดโดยอัตโนมัติ
ทิฆัมพรไม่เอ่ยคำพูดใด แต่ยิ้มออกไปเล็กน้อย เป็นการบอกว่าเธอไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ซึ่งดูเหมือนสิ่งที่ส่งไปจะไม่ได้ช่วยให้คนสูงน้อยกว่ารู้สึกดีขึ้น
“อ้อยนอนเลย เดี๋ยวข้าวถอดกางเกงให้” เสียงหวานเครียดกว่าปกติ เธอรู้สึกเขินแต่ก็ทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หญิงสาวค่อยๆ นอนลงอย่างช้าๆ ไม่ให้กางเกงเสียดสีบริเวณที่โดนตีมากนัก ที่นอนนิ่มและมีกลิ่นของข้าวหอมกระจายไปทั่ว หล่อนรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจเมื่อได้สูดกลิ่นเหล่านี้
“อ้อยไม่เป็นไร” เสียงหวานพูดยืนยันอีกครั้ง รับรู้ถึงมือนุ่มกำลังพยายามถอดกางเกงอย่างเบามือ หล่อนยิ้มทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่เห็น
“อ้อย” ข้าวหอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจหลังจากกางเกงได้หลุดออกจากตัวไปแล้ว เหลือเพียงผ้ารูปสามเหลี่ยมชิ้นน้อยปกปิดส่วนล่างอยู่
“หือ” เธอขานรับ
“ทำไมถึงทำกันขนาดนี้” น้ำเสียงของคนที่อยู่ข้างหลังช่างเจ็บปวด ผิดกับคนที่โดนซึ่งชินชาจนไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
“ช่างมันเถอะ” หล่อนตอบอย่างง่าย
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวแผลก็หาย” เด็กสาวมองใบหน้าสวยที่แสดงความขมขื่น เธอไม่ต้องการให้คนสวยทำหน้าแบบนั้นเลย ไม่ต้องการเห็นคนที่รักเป็นแบบนี้
“แต่อ้อยเจ็บ” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงจากดวงตาคู่งามสู่แก้มกลม
“นิดเดียว” หล่อนยิ้มอีกครั้ง คนผมประบ่าพูดโดยแทบไม่ขยับปากเพราะเจ็บตรงที่เลือดออกจากแรงตบของแม่
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนบ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดหล่อนในครั้งนี้แม้แต่นิดเดียว คนหน้านิ่งไม่แปลกใจเพราะข้าวหอมเป็นคนฉลาด อีกทั้งใบหน้า ปาก และขาก็เป็นหลักฐานยืนยันชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าที่พูดไปนั้นไม่มีวันเป็นจริงได้ ที่ขาอ่อนด้านหลังหญิงสาวรับรู้ได้จากความเจ็บแสบว่าน่าจะเป็นแผลทางยาวตามไม้เรียวหลายแผล และไม่ว่าใครได้เห็นก็คงไม่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ หรือเจ็บนิดเดียวตามที่ว่า เพียงแต่เธอจะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้ ทำได้เพียงโกหกเพื่อให้แฟนสาวสบายใจขึ้นก็เท่านั้น
“นอนเฉยๆ ก่อนนะ เดี๋ยวข้าวไปเอากล่องพยาบาลมาทำแผลให้” เสียงหวานสั่นคล้ายพยายามจะสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้
สาวร่างบางเจ็บที่อกข้างซ้าย มันไม่เคยเจ็บแบบนี้เลยเวลาที่ถูกพ่อเมิน แม่ตี เพื่อนแกล้ง แต่เพียงแค่เห็นคนที่รักเศร้าเพียงแค่นั้นใจหล่อนก็แทบจะขาดรอนๆ แทนเสียให้ได้
วรดาพยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกไปให้อีกคนเห็นแต่ยากเย็นเหลือเกิน เป็นใครจะทานทนได้ที่เห็นคนที่ตัวเองมอบหัวใจให้เป็นแบบนั้น ทำไมแม่ของอ้อยถึงได้ใจร้ายใจดำขนาดนี้ หล่อนไม่เคยรู้จักแม่ของตัวเองก็จริงแต่พ่อพูดเสมอว่าแม่นั้นใจดีและอ่อนหวานเป็นที่สุด ทำให้คนห่ามๆ อย่างพ่อเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้
เธอหยิบกล่องพยาบาลสีเหลืองในตู้กระจกในห้องรับแขกออกมา หล่อนหลับตาสูดลมหายใจลึกก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน
“เจ็บนิดหนึ่งนะ” น้ำตาร้อนๆ รื้นขึ้นมา หญิงสาวไม่สบหน้าคนที่รักตรงๆ เธอเจ็บเกินไปที่จะทำแบบนั้นได้โดยที่ไม่แสดงความอ่อนไหวออกไป
“ทามาเถอะ” เสียงนุ่มนั้นอ่อนโยน ไม่น่าเชื่อว่าคนที่โดนทำแบบนี้มาตลอดชีวิตจะยังคงด้านดีของตัวเองไว้ได้โดยที่ไม่มีความโกรธแค้นเลย
“ทำไมอ้อยถึงยอมให้ตี ทำไมไม่สู้ ทำไมไม่โกรธ” เป็นประโยคที่มีแต่คำถาม เรื่องเหล่านี้คนหน้าหวานไม่สามารถเดาเองได้จริงๆ เธอไม่อาจเข้าใจความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ได้เพราะไม่เคยประสบพบเจอด้วยตัวเอง
“อ้อยไม่ใช่คนดีหรอก” เป็นคำพูดที่ช่างถ่อมตัวเหลือเกิน หรือถ้าคนตรงหน้าคิดว่าเป็นความจริง อ้อยก็คงประเมินตัวเองต่ำเกินไป
“ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนจะเป็นพ่อแม่ที่ดี แต่อ้อยเลือกได้ว่าจะเป็นลูกที่ดีรึเปล่า อ้อยสามารถเป็นคนดีกว่าที่พ่อแม่อ้อยเป็นได้” อีกฝ่ายพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยราวกับมีคำตอบเรื่องนี้ในใจมานานแล้ว และเป็นประโยคที่ยาวมากทีเดียวสำหรับก้อนหินของเธอ
“พ่อแม่ตีลูกได้ แต่ลูกตีพ่อแม่ไม่ได้นะข้าว เขาว่ามันบาป” หล่อนแตะมือที่ใบหน้าซูบผอมนั้น มองเข้าไปในดวงตาสีเข้มจนเกือบดำ
“ข้าวรักอ้อย” หญิงสาวไม่อาจห้ามหยาดน้ำใสได้อีกต่อไป
“อ้อยเป็นคนที่ดีที่สุดที่ข้าวรู้จัก และข้าวไม่ผิดหวังเลยที่ฝากหัวใจ ฝากชีวิตไว้กับคนๆ นี้” สาวสวยสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
“ข้าวมัวแต่ขี้แยเลยไม่ได้ทำแผลให้สักที” เธอปาดน้ำตาทิ้ง ยิ้มออกมาเล็กน้อย
คนตรงหน้าไม่ว่าอะไรสักคำเดียว มีเพียงยิ้มที่แสนอบอุ่น เป็นยิ้มที่บอกว่าเข้าใจ และไม่เห็นจะผิดอะไรเลยที่ข้าวร้องไห้แบบนี้
คนผมยาวหยิบสำลีมาใส่ยาในขวดสีชาจากนั้นก็แตะบริเวณปากที่แตกเบาๆ เธอกลัวคนตรงหน้าจะเจ็บ รอยมือแดงเป็นปื้นที่แก้มด้านซ้ายคงไม่มีอะไรที่จะสามารถลบออกไปได้นอกจากเวลา
“กินยาแก้ปวดแล้วก็ยาอะไรสักอย่างนี่แหละ แก้แผลอักเสบ” เธอพูดไม่ค่อยถูกนักเพราะไม่เคยกินเองเสียที ที่จะใช้บ้างก็แก้ปวดท้องปวดหัวเท่านั้นเอง
“อือ” มือบางผอมยื่นมารับยาและโยนเข้าปากง่ายๆ ก่อนจะดื่มน้ำอึกใหญ่ตามไป
“พ่อมาพอดีเลย อ้อยนอนนี่แหละเดี๋ยวข้าวบอกพ่อเรื่องที่อ้อยจะมานอนค้างบ้านแล้วจะมาเช็ดตัวให้นะ อย่าขยับมากล่ะเดี๋ยวแผลจะแย่ไปใหญ่” วรดาพูดยาวเหยียดเพราะเป็นห่วงว่าคนตรงหน้าจะดื้อรั้นไม่ยอมนอนนิ่งๆ อย่างที่ควรเป็น
คนหุ่นดีคุยกับพ่อแค่เพียงไม่นานและไม่ลืมที่จะบอกชายวัยกลางคนว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่ในห้อง พ่อของเธอมีใบหน้าขรึมกว่าเคยทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวเลวร้าย
“ดีแล้วที่ลูกชวนเด็กคนนั้นมาอยู่บ้านเรา ถ้าเราช่วยเขาได้เราก็ควรจะช่วย แต่พ่อคงจะไปยุ่งย่ามกับเรื่องในครอบครัวของเขาไม่ได้” เสียใหญ่พูดอย่างคนใจดีและเข้าใจสถานการณ์
“ถ้าข้าวเรียนจบมัธยมแล้วอ้อยจะไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วยจะได้ไหมคะพ่อ” เธอลอบถาม
“ที่บ้านเขาจะให้เหรอ ฟังจากที่ข้าวเล่าพ่อคิดว่าทางนั้นคงไม่ยอม” เสียงทุ้มมีแววครุ่นคิด
“อ้อยเขาจะไม่ทนแล้วค่ะถ้าถึงเวลานั้น อ้อยเขาจะมีชีวิตอิสระที่เป็นของตัวเอง” หล่อนพูดแทนซึ่งเป็นความจริงส่วนหนึ่ง และอีกส่วนที่ไม่สามารถบอกแก่คนตรงหน้าได้
“อืม ถ้าเขาตัดสินใจแล้วพ่อก็คงไม่ว่าอะไรหรอก และพ่อก็คงไม่เกลี้ยกล่อมไม่ให้เด็กคนนั้นเลิกคิดแบบนี้ได้แน่ เขาคงเจ็บมามากแล้ว บางทีสักวันหนึ่งถ้าเพื่อนของลูกโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้และแข็งแกร่งกว่านี้เขาอาจจะพร้อมที่จะกลับบ้าน” มือใหญ่กร้านลูบผมสลวยของหญิงสาวเบาๆ
“ขอบคุณค่ะพ่อ” วรดายิ้มดีใจที่พ่ออนุญาตแล้ว เธอกอดร่างแกร่งสูงนั้นอย่างเอาใจ
“ข้าวจะเป็นตากุ้งยิงแล้ว” หล่อนรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนขึ้นเมื่อต้องเช็ดตัวให้สาวร่างบางซึ่งเหลือเพียงชั้นในเพียงสองชิ้นเท่านั้น
คนตัวสูงยิ้มและส่ายหัวกับคำพูดนั้น เธอก๋ากั่นขึ้นทุกวัน กล้าพูดกับทิฆัมพรโดยไม่มีความอายเอาเสียเลย ถ้าพ่อรู้เข้าคงโดนตีโดนว่าแน่นอน
ผิวเกือบขาวมีรอยบาดแผลเต็มไปหมดทั้งเล็กและใหญ่ โดยเฉพาะที่ขาอ่อนซึ่งมีแต่แผลเป็นเส้นๆ เต็มไปหมดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เห็นเลยว่าผิวจริงๆ บริเวณนั้นเป็นเช่นไร แผลเก่าแผลใหม่เบียดเสียดกันจนไม่มีที่ เธอถอนหายใจและภาวนาว่าเวลาอีกสองปีครึ่งที่เหลืออ้อยจะไม่โดนเช่นนี้อีก หล่อนได้แค่ภาวนาเท่านั้นเอง
“นอนได้ไหม” หญิงสาวถามเมื่อปิดไฟเรียบร้อยแล้วแต่ยังมีแสงไฟจากข้างนอกลอดตามช่องว่างของหน้าต่างไม้เข้ามา
“ได้” เป็นคำตอบของคนที่ไม่เคยเรื่องมาก
“ไม่ลำบากแน่นะ ข้าวคงทำไม่ได้นอนคว่ำทีไรหายใจไม่ออกทุกทีเลย” เธอบ่นอย่างไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่
“อ้อยชินแล้ว” ประโยคสั้นๆ แต่บอกอะไรได้หลายอย่าง
สาวสวยจับมือบอบบางที่แสนอุ่นนั้นไว้แน่น ตามองตา และในเวลานั้นก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกมีเพียงเราสองคน มีเพียงคนที่รักและเธอเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครอื่น
หล่อนค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้และแตะริมฝีปากแผ่วเบากับปากบางคู่นั้น หัวใจเธอเต้นรัว คนตรงหน้ายิ้มและพูดว่า
“อีกทีได้ไหม”