บทที่ 13
ถ้าเป็นเวลาอื่นทิฆัมพรคงไม่พูดเช่นนี้ออกไป แต่ตอนนี้เธอแทบขยับตัวไม่ได้จึงสามารถเรียกร้องสิ่งที่เวลาอื่นต้องปฏิเสธออกไปอย่างง่ายดายไม่เหมือนทุกครั้งที่ต้องหักห้ามใจ
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีความแปลกใจปรากฏขึ้นทันทีที่ได้ยิน ราวกับจะถามว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงได้เอ่ยแบบนั้นออกมา หล่อนยิ้มเล็กน้อย
“ได้ไหม” คนร่างบางถามซ้ำ
“อือ” สาวสวยพยักหน้า แก้มนวลขึ้นสีเรื่ออย่างเขินอาย
หลังจากพยายามเก็บอาการขัดเขินอยู่สักพัก ใบหน้ารูปไข่จึงโน้มเข้ามาใกล้อีกครั้งหนึ่ง มันเชื่องช้าจนคนเฝ้ารอทรมาน หัวใจไม่รักดีเต้นแรงขึ้น
ปากอิ่มประกบที่ปากบาง แต่ด้วยความที่ไม่ชินกับการเป็นฝ่ายเริ่มจูบจึงเก้ๆ กังๆ เด็กสาวจึงเป็นคนนำทางอีกครั้งเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา หล่อนชินกับการควบคุมและชักนำแฟนสาวให้ลอยละล่องเพลิดเพลินไปกับความหวานหอมนุ่มนวลจากปากนิ่มและลิ้นอุ่นๆ
“อืม” เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาด้วยความพึงพอใจ คนสวยกำลังบอกทางอ้อมว่าต้องการมากกว่านี้
แขนเรียวโอบรอบคอผอมบางของเธอมันแน่นและบีบบังคับให้ปรนเปรอมากยิ่งขึ้น หล่อนยังคงเก็บไม้เก็บมือตัวเองไว้ข้างลำตัวเช่นเดิมไม่ได้โอบเอวบาง ที่ผ่านมาหล่อนก็พยายามแบบนี้มาตลอด ไม่แตะต้องตัวมากเกินไป เด็กสาวไม่อยากล่วงเกินไปมากกว่านี้ แม้จะรู้ว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเป็นสิ่งที่หล่อนและข้าวหอมต้องการก็ตาม เธอทั้งสองคนยังเด็กนักคนสวยก็เพิ่งจะขึ้นมัธยมปลาย ทิฆัมพรตั้งใจว่าจะเริ่มสิ่งเหล่านั้นก็ต่อเมื่อเธอคิดว่าตัวเองใกล้พร้อมที่จะดูแลคนตรงหน้าได้แล้ว
“นอนเถอะ” เสียงแหบพร่าของตัวหล่อนเองดังขึ้นแทบจะกระซิบ สมองเบลอจนแทบไม่รับรู้สิ่งรอบตัว
“อือ” เสียงหวานตอบหลังจากนิ่งอยู่สักพักเพื่อเรียกสติคืน เสียงนั้นไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เธอเดาว่าเพราะทุกครั้งที่สัมผัสกันหล่อนต้องหยุดแบบนี้ประจำ ไม่มีครั้งไหนที่ปล่อยให้ล่วงเลยกว่าที่ควรเป็น อีกฝ่ายจึงเริ่มชินก็เป็นได้
“ฝันดีนะ” คนผมประบ่าแนบแก้มกับหมอนมองดวงตาที่สะท้อนแสง
“ฝันดีค่ะ” ปากสวยยิ้มอ่อนโยน เธอยิ้มตอบกลับไป
“วันนี้หยุดงานเถอะ เจ็บขนาดนี้จะไปทำงานได้ยังไง” คนผมยาวพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ใบหน้าบึ้งตึงและเคร่งเครียด
“เอาผ้าพันแผลก็ไปได้ อ้อยทำประจำ” เธออธิบายยิ้มๆ บอกให้รู้ว่าไม่เป็นไรจริงๆ และทำมาหลายครั้งแล้ว
“ทำไมต้องฝืน” คนสวยพูดอย่างหนักอกหนักใจ
“เพื่ออนาคตไงข้าว” หล่อนบอกนิ่งๆ มันเป็นความจริง
“วันเดียวนะ” เสียงหวานใสอ้อนวอน ร่างสวยได้สัดส่วนลุกจากเก้าอี้มากอดเธอ กลิ่นแชมพูและสบู่หอมกรุ่น
“อืม” สุดท้ายคนตาสีเข้มจมูกรั้นก็ยอมเช่นเคย
“ขอยืมโทรศัพท์แปบนะ” เด็กสาวต้องการโทรไปบอกพี่ต้นหัวหน้าคนงานว่าวันนี้จะลา
“อ่ะ” อีกฝ่ายผละไปที่โต๊ะบนหัวเตียงและหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กมายื่นให้ หล่อนรับมาและกดเบอร์ที่ท่องจำจนขึ้นใจ
“เจ็บอย่างนี้จะนั่งไหวเหรอ” สาวปากอิ่มถามเมื่อทั้งสองเดินไปที่ห้องครัว
“ไหว นั่งหมิ่นๆ ได้” อีกฝ่ายตอบ พักนี้ปากบางยิ้มบ่อยเสียเหลือเกิน พยายามทำเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งที่เป็นก็คล้ายเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล หญิงสาวถอนหายใจหลายครั้ง
“นั่งนี่แหละเดี๋ยวข้าวบริการเองวันนี้” หล่อนอาสา แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรมากเพราะกับข้าวก็ถูกวางอยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว เหลือเพียงแค่น้ำกับข้าวสวยที่อยู่ในหม้อเท่านั้นเองที่ต้องคดและนำมาวางบนโต๊ะไม้มันปลาบ
“อ้อยชอบทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าจะได้บอกป้าแช่มให้ทำให้” วรดาถาม จริงๆ ก็พอรู้อยู่บ้างจากนิสัยการตักกับข้าวของคนตรงหน้าว่าชอบทานพวกเนื้อต่างๆ มากกว่าผัก เธอเดาว่าอาจจะเพราะคนที่รักทานผักจนเบื่อหน่ายแล้วก็ได้ จึงได้ผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้
“หมูกระเทียม อืม...ไข่เจียว” เสียงนุ่มเอ่ย หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างพยายามจะนึกว่าตัวเองชอบอะไร ซึ่งเมนูที่บอกมานั้นช่างแสนธรรมดาเสียเหลือเกิน
“ทำไมถึงชอบล่ะ” เธอถามเหตุผลเพราะต้องการรู้
“ก็นานๆ ทีจะได้กิน ที่โรงเรียนทำผัดผักบ่อยมาก” สิ่งที่คาดการณ์นั้นไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงเลยแม้แต่นิด
“อืม งั้นเดี๋ยวข้าวบอกป้าแช่มให้ทำนะ อืออ้อยเคยทานกุ้งผัดซอสไหม ป้าแช่มทำอร่อยมากเลย ข้าวเคยดูวิธีทำด้วยแหละง่ายมากๆ” เธอนึกถึงอาหารที่ตัวเองชอบ และอยากให้คนตรงหน้าได้ลอง
“ไม่เคย ไม่เคยกินกุ้ง” ใบหน้าเรียบเฉยตอบหน้าตายราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
หล่อนเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยทานกุ้งจริงๆ แถวนี้ก็ไม่ได้หาซื้อยากอะไรเพราะป้าแช่มทำเมนูนี้บ่อยมาก ถ้ากุ้งหายากจริงคงไม่สามารถทำได้ถี่ขนาดนี้
“งั้นพรุ่งนี้จะได้ลองนะ” เธอพูดด้วยความตั้งใจโดยไม่ถามว่าเพราะเหตุใด รู้อยู่เต็มอกว่าที่บ้านของทิฆัมพรคงไม่มีโอกาสได้ทานแน่ๆ ส่วนโรงเรียนก็คงไม่มีงบมากพอจะซื้อกุ้งให้เด็กทาน ต้องเลี้ยงอาหารเด็กตั้งเยอะแยะคงต้องใช้เงินมาก ถึงได้มีเมนูผัดผักบ่อย เพราะผักถูกกว่าเนื้อสัตว์ หล่อนไม่เคยไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาดด้วยตัวเอง แต่ก็ฟังป้าแช่มบ่นบ่อยๆ ถึงราคาข้าวของต่างๆ
“ค่ะ” คนน่ารักยิ้มรับเช่นเคย
“ไม่หยุดอีกวันเหรอ” แฟนสาวถามขณะเธอกำลังเดินออกจากห้อง
“หยุดบ่อยเดี๋ยวเขาไล่ออก” หล่อนตอบยิ้มๆ เพราะที่ไร่ไม่ง้อคน ใครๆ ก็อยากได้งานกันทั้งนั้น มีแต่คนว่างงานเต็มไปหมด
“แผลเพิ่งปิดเอง ยังเห็นเนื้อแดงๆ อยู่เลยนะ” อีกฝ่ายทักท้วงสีหน้าเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยนแม้สักนิด
“ไม่เป็นไรแล้ว ได้พยาบาลดี” หล่อนหลิ่วตาเล็กน้อยอย่างล้อเล่น
“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวข้าวขี่จักรยานไปส่งนะ พ่อออกไปทำงานแต่ฟ้ายังไม่สางเลย ไม่อย่างนั้นจะให้พ่อไปส่งอ้อยแทน” คนสวยลุกขึ้นเตรียมไปกับเธอ
“ไม่ต้องก็ได้ ใกล้แค่นี้เองอ้อยเดินได้” เด็กสาวบอกเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าลำบากแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ตัวหล่อนชินแล้วกับเรื่องเหล่านี้
“ถ้าไม่ให้ข้าวไปส่ง ข้าวไม่ให้ไป” คนสวยพูดเสร็จก็ยืนขวางประตูเอามือกอดอกทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไม่พอใจทันที
“มีใครบอกข้าวไหม...ว่าดื้อ” สาวผมสั้นพูดขำๆ ส่ายหน้าให้กับการกระทำของคนตรงหน้า
“มี คนที่ข้าวรักกำลังบอกอยู่” นัยน์ตาคู่นั้นที่มองมามันให้ความรู้สึกอุ่นวาบเกิดขึ้นในใจ หล่อนเห็นทุกอย่างเปิดเปลือยในสีน้ำตาลสวยนั้น
“ไปกันเถอะ” คนร่างบางพูดก่อนจะหอมแก้มนุ่มของอีกฝ่าย บอกให้รู้ว่ายอมแล้ว
คนตัวเล็กเดินนำไปอย่างอารมณ์ดี ฮัมเพลงที่กำลังดังด้วยจังหวะสนุกสนาน แขนเรียวแกว่งไปมา เธออดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้
ในตอนเย็นกลายเป็นว่าพรรณรายและข้าวหอมยืนรอหล่อนตรงประตู ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันเหมือนไม่ค่อยชอบใจนัก หญิงสาวคิดว่าตัวเองผิดที่ลืมบอกหนูตอนกลางวันว่าไม่ต้องรอ เพราะเธอจะกลับกับวรดา
“อ้อย” สองสาวเรียกได้พร้อมเพรียงกันเหมือนนัดไว้
“กลับกันเถอะ” เสียงหวานชิงเอ่ยขึ้นก่อน
“ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก” หล่อนบอกขณะที่มือนุ่มของคนรักจับมือของเธอไว้
“ไม่เป็นไร” คนตรงหน้าทำหน้าหมอง
“วันอื่นไม่ต้องรออ้อยแล้วนะ” คนผมสั้นบอกเพราะคิดว่าถ้าเอาจักรยานของแฟนสาวมาใช้คงไม่ต้องลำบากให้เพื่อนคนนี้มาส่งอีก อีกฝ่ายจะได้ไม่เสียเวลากลับบ้าน
“อือ” น้ำเสียงแหบนั้นดูไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก ทิฆัมพรยังไม่ทันได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ข้าวหอมก็ดึงมือให้เดินตามไปแล้ว
“รีบจังยังคุยไม่เสร็จเลย” คนตัวสูงเอ่ยหลังจากที่อยู่กันเพียงลำพังสองคน
“อ้อยไม่รู้เหรอว่าคนนั้นเขาคิดไง” หน้าสวยมองไปยังสาวแกร่งซึ่งยืนมองอยู่ที่หน้าประตูไร่
“คิดว่ารู้” เธอตอบตามตรงไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่นัก
“รู้แล้วทำไมยอม” น้ำเสียงหวานถามคล้ายเอาเรื่อง
“เพราะตบมือข้างเดียวไม่ดัง กับอ้อยเขาคือเพื่อน และอ้อยไม่ได้ทำอะไรเกินกว่านั้นเลย” สาวจมูกรั้นพูดนิ่งๆ มองอากัปกิริยาคนตรงหน้าไม่วางตา
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ” ปากสวยบ่นงุบงิบเสียงเบา
“หึง...เหรอออ” คนร่างบางเน้นเสียงโดยการลากยาว
“เปล่าสักหน่อย” ถึงคนตรงหน้าจะปฏิเสธแต่อาการก็บอกอย่างโจ่งแจ้งว่าใช่แน่นอน
“อ้อยรักข้าวคนเดียว” หล่อนมองตาแฟนสาว บอกให้รู้ว่ามั่นคงแค่ไหน
“อือ” ตาสีอ่อนมองแวบหนึ่งก่อนจะเสไปมองพื้นดิน ปากอิ่มยิ้ม
“กลับบ้านกันเถอะ” เด็กสาวบอกเพราะเห็นว่าเย็นแล้ว
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอลูก” เสียงทุ้มห้าวของชายวัยกลางคนดังขึ้นเมื่อทั้งสองขึ้นบันไดไปบนบ้าน
“ค่ะ” วรดาตอบ
หล่อนยกมือไหว้โดยอัตโนมัติ รู้สึกเกรงใจคนตรงหน้าขึ้นมาทันที เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับผู้ใหญ่คนไหน อาจจะเพราะคนๆ นี้เป็นพ่อของคนที่หล่อนรักก็เป็นได้
มือหนาใหญ่ของว่าที่พ่อตายกขึ้นที่อกรับไหว้อย่างช้าๆ เป็นท่วงท่าที่ดูสุขุม น่าเกรงขามไม่น้อย คนผอมไม่ค่อยได้เจอชายสูงวัยมากนัก ปกติหล่อนจะกลับก่อน
“ไปทำงานไหวแล้วเหรอเราน่ะ” เสี่ยใหญ่ถาม
“ค่ะ” เธอตอบแบบประหยัดถ้อยคำ
“อืมๆ วันนี้ฉันว่างจะไปดูหนังทานข้าวในเมืองด้วยกันไหมล่ะ” เด็กสาวมองหน้าวรดา อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ
“ค่ะ” ทิฆัมพรจึงตอบไปเช่นนั้น
“พูดน้อยจริง ฟังแต่ข้าวพูดล่ะสิ” จักรภพยิ้ม
“พ่อว่าหนู” ข้าวหอมแกล้งทำหน้าเสียใจ
“ใครจะกล้าว่าลูกสาวที่รักล่ะ” คนตัวสูงใหญ่ลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วยกมือใหญ่ขึ้นมาลูบผมดำเงางามของบุตรสาว
เด็กสาวมองความรักความห่วงใยในดวงตาของทั้งคู่แล้วรู้สึกว่าข้าวหอมนั้นโชคดีที่มีพ่อแบบนี้ แตกต่างจากพ่อของหล่อนอย่างเห็นได้ชัด
“ไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนไป” ชายวัยกลางคนพูดด้วยความเอ็นดู