บทที่ 18
วันสุดท้ายทิฆัมพรแอบมองอยู่นานคอยให้แม่ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าไปซื้อของสดที่ตลาด จากนั้นจึงแอบเข้าไปในบ้าน เธอวางเงินจำนวนที่บอกข้าวหอมไว้บนเตียงของแม่ซึ่งบัดนี้ไม่มีร่างของพ่อเหมือนเคย และวางข้อความที่เขียนใส่กระดาษไว้ข้างๆ
‘แม่
หนูจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว เงินนี้เป็นก้อนสุดท้ายที่หนูจะให้ หวังว่าแม่คงพอใจ
อ้อย’
เธอไม่รู้จะเขียนอะไรมากกว่านั้นจริงๆ เพราะความรู้สึกแย่ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมามันเกินที่จะพูดออกไปได้ และก็ทำให้ไม่สามารถพูดอะไรที่หวังดีหรือเป็นห่วงเป็นใย สำหรับคนผมสั้นแล้ว ความเจ็บปวดกับความรักโดยธรรมชาติมันเท่าเทียมกัน หล่อนจึงเหลือแต่ความเฉยชา
พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หล่อนก็เห็นข้าวหอมยืนข้างรถกระบะของพ่อ ใบหน้าสวยนั้นยิ้ม ดวงตาบอกว่าเข้าใจ เหมือนกับจะบอกว่าถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
จักรภพคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ลูกสาวของเขาจะมีเพื่อนผู้หญิงไปอยู่ด้วย เท่าที่ผ่านมาเด็กคนนี้ก็ดูโอเคในสายตาของเขา และชีวิตก็น่าเห็นใจ
เสี่ยใหญ่คิดไว้ในใจว่าเมื่อวรดาเรียนจบก็อยากให้กลับมาทำงานที่บ้าน ไม่อยากให้อยู่ที่กรุงเทพฯ ต่อ เขาเป็นห่วงและคิดถึง ส่วนอ้อยนั้นจะอยู่ต่อเขาคงไม่ว่าอะไร เด็กสาวควรเลือกชีวิตของตัวเอง
การจราจรยังคงวุ่นวายเช่นเดิมแต่หล่อนไม่เดือดเนื้อร้อนใจ มีแต่ความสุขเมื่อได้มองกระจกแล้วเห็นใบหน้าของคนที่รักยิ้มกลับมาให้
พ่อของเธอช่วยขนของเข้าไปไว้ในห้อง หอพักที่นี่ราคาเช่าต่อเดือนค่อนข้างแพง แต่พ่อไม่ยอมให้ไปอยู่ที่แย่กว่านี้ แถมยังบอกเสมอว่าแค่นี้พ่อจ่ายได้ ที่ผ่านมาเพราะความกว้างใหญ่จึงทำให้รู้สึกเหงามาตลอด ถ้ามีทิฆัมพรมาอยู่ด้วยอย่างนี้
“เอาล่ะสาวๆ พ่อต้องกลับแล้วนะ เดี๋ยวไปถึงบ้านจะค่ำ” พ่อเธอยิ้มอย่างใจดี
“ค่ะพ่อ” เธอตอบ
“ค่ะคุณลุง”
“ขับรถระวังนะคะ หนูเป็นห่วง” เธอไม่วายเตือน กลัวว่าพ่อจะรีบจนขับเร็วแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น หล่อนมีแค่พ่อเพียงคนเดียว ไม่เหลือญาติที่ไหนอีกแล้ว หากเสียพ่อไปอีกคงไม่รู้จะทำอย่างไร
“อืม” ชายวัยกลางคนพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป
“เดี๋ยวอ้อยจัดของไปก่อนนะ ข้าวขอเช็กผลสอบแปบหนึ่ง” วรดาเปิดคอมพิวเตอร์ ใจร้อนอยากรู้คะแนนที่ออกมาเพื่อที่จะรู้ว่ามากพอที่จะเลือกคณะที่ตั้งใจไว้ได้หรือไม่
“อือ” อ้อยตอบรับง่ายๆ และเรื่องรื้อของออกจากกระเป๋าตัวเอง ซึ่งไม่ได้มีเยอะเลยมีแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับพวกเอกสารเท่านั้น
“อ้อย” เธอเรียกด้วยความดีใจ
“อะไรเหรอ” คนร่างบางเงยหน้าขึ้นมามอง
“ข้าวได้คะแนนดีด้วยแหละ ได้คณะบริหารแน่ๆ” คนร่างเล็กมั่นใจ เพราะคะแนนเธอเยอะ เกือบจะสูงที่สุดของสถิติปีที่แล้วเลยทีเดียว
“อ้อยดีใจด้วย” อีกฝ่ายยิ้มละไม น้ำเสียงจริงใจ
หญิงสาวอดที่จะเข้าไปกอดไม่ได้ คนตัวสูงไม่เคยเลยที่จะอิจฉา ดีใจกับเธอเสมอแม้ในครั้งแรกที่ต้องจากกัน คนรักก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้ง มีแต่ความเข้าอกเข้าใจให้
“อือ อ้อยไปดูใบประกาศที่หน้าเซเว่นกันไหม เดี๋ยวค่อยมาจัดของก็ได้ หางานก่อน” คนผมยาวนึกขึ้นได้จึงบอกไป
“ก็ดีเหมือนกัน” ดูเหมือนอ้อยจะร้อนใจเรื่องนี้อยู่เช่นกันเพียงแต่หน้านิ่งเหลือเกิน
คนผมประบ่าทำงานควบสองกะ ข้าวหอมบ่นว่าเหงาและเบื่อเพราะต้องอยู่คนเดียวในห้องตั้งแต่เช้าจนค่ำมืด เธอบอกว่ามันจำเป็นซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะถ้าทำกะเดียวเงินเดือนก็แสนจะน้อยนิด สาวตาสีเข้มตั้งใจจะช่วยวรดาจ่ายค่าเช่าหอและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียม ไม่อยากเอาเปรียบ
งานที่ร้านสะดวกซื้อนี้หนักหนาค่อนข้างมาก เธอต้องจัดของ ยกของ เช็กสินค้า และยังไม่ได้รับความไว้ใจให้ไปดูแลเครื่องคิดเงิน คนที่ทำงานก่อนเด็กสาวบอกว่าถ้าได้อยู่หน้าเคาน์เตอร์จะได้เงินเพิ่ม
พนักงานที่นี่ค่อนข้างใจดี ไม่ดุด่าหรือว่าแรงๆ หล่อนไม่ค่อยชินกับงานเช่นนี้สักเท่าไหร่ ยังดีที่นิดคอยช่วยบอกอีกแรง อัมพรเป็นคนอารมณ์ดีเป็นกันเอง แตกต่างจากพรรณรายพอสมควร เพื่อนใหม่ให้ความรู้สึกสดใสสดชื่น และไม่รู้สึกว่าถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว
“คุณครับ” ทิฆัมพรได้ยินเสียงเรียกของผู้ชายในขณะที่เดินกลับหอพัก สาวปากบางไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคนๆ นั้นคงร้องเรียกใครบางคนอยู่
“เดี๋ยวก่อนครับ” เด็กสาวรับรู้ถึงน้ำหนักที่บ่า จึงหันกลับไปมอง
ชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างสูงฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรมาให้ หล่อนย่นคิ้วงงกับพฤติกรรมของเขาว่ามาเรียกเธอทำไมทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
“มีอะไรรึเปล่าคะ” คนตัวสูงน้อยกว่าถามอย่างสุภาพ
“คือว่า...เอ่อ...ผม” เขาพูดติดๆ ขัดๆ เหมือนลังเลใจ
“ถ้าไม่มีอะไรขอตัวนะคะ” เธอตัดบทอยากรีบกลับไปหาคนรัก
“เดี๋ยวครับๆ” เขารีบพูด
หล่อนถอนหายใจ มองหน้าเหมือนจะถามว่ามีอะไร เขาสูดลมหายใจคล้ายพยายามตั้งสติ คิ้วเด็กสาวขมวดขึ้นกว่าเดิม
“ผมชอบคุณ ขอเบอร์ได้ไหมครับ” คนผมสั้นนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“อ้อย...เอ่อฉันมีแฟนแล้วค่ะ” เธอลืมตัวใช้ชื่อเล่น เพราะความเคยชิน
“งั้นเหรอครับ” สีหน้าชายหนุ่มค่อนข้างผิดหวัง เธอไม่ได้พูดอะไรอีกคิดว่าคำอธิบายนั้นชัดเจนมากพอแล้วจึงหันหลังกลับและเดินต่อ
วรดาคงไม่เหงาอีกต่อไปแล้วเพราะมหาวิทยาลัยเปิดเทอม ทิฆัมพรดีใจที่เป็นอย่างนั้น ข้าวหอมเหมาะกับชุดนักศึกษาเป็นที่สุด กระโปรงสีดำช่วยขับผิวที่ขาวให้เด่นชัดขึ้น ผมยาวยิ่งทำให้โครงหน้าอ่อนหวาน เธอเปลี่ยนเวรกับนิดเพื่อจะไปส่งแฟนในวันแรก
คนเดินกันให้วุ่นวาย มีหลายคนมองมาที่คนรักของเธอ ที่ผ่านมาอาจเพราะหล่อนไม่เคยเห็นกับตาจึงไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อได้มาเห็นด้วยตัวเองแล้วก็อดที่จะหึงหวงไม่ได้ สาวตาเข้มจนเกือบดำไม่ชอบใจสายตาที่คนเหล่านั้นมองมา หล่อนไว้ใจคนรักเพราะเชื่อในคำพูดและการกระทำที่ผ่านมา แต่ไม่ไว้ใจคนพวกนั้นเลย อ้อยถอนหายใจพยายามสงบนิ่ง
“ไปทำงานเถอะ” ข้าวหอมพูดเมื่อหล่อนเดินมาส่งถึงหน้าคณะ
“ตอนเย็นอ้อยมารับดีไหม” คนร่างบางเอ่ยเป็นเชิงถาม
“ไม่เป็นไรหรอก นั่งรถไฟฟ้าแปบเดียวก็ถึงหอแล้ว” หล่อนพยักหน้ารับรู้
ตอนไกลกันถึงแม้จะรู้สึกเป็นห่วงแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ พอได้อยู่ใกล้มันก็ยากที่จะแสดงอาการแบบนี้ออกไป คนตรงหน้าทำให้ตัวเธอเองเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน จากที่เคยเฉยๆ กับทุกคน กลับรู้สึกรัก หึง เป็นห่วง อยากดูแล อยากอยู่ด้วย จากที่เคยหน้าเรียบๆ ก็มีรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนชีวิตมีสีสันขึ้น เหมือนเป็นชีวิตที่เต็ม ไม่ขาดๆ อย่างแต่ก่อน มันไม่ได้ทำให้คนตัวสูงรู้สึกอึดอัดเลย เพียงแต่กลัวว่าอารมณ์ที่มีมากขึ้นนั้นจะทำให้แฟนสาวรู้สึกว่ามากเกินไปเท่านั้นเอง
วรดายิ้มตลอดทางที่เดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะเริ่มเรียนวิชาแรก อ้อยดูเป็นกังวล คิ้วหน้านั้นย่น ดวงตาห่วงใย ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอะไรให้น่าเป็นห่วงเลย เป็นมุมน่ารักของแฟนสาว
พอเข้าไปในห้องนักศึกษาคนอื่นก็กำลังทำความรู้จักกัน เสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์ หญิงสาวเลือกนั่งตรงกลางแถวแรกซึ่งไม่มีใครนั่งอยู่เลย ทุกคนล้วนแต่พร้อมใจกันนั่งตั้งแต่แถวที่สองไปจนถึงแถวท้ายๆ เป็นเรื่องปกติเหมือนสมัยมัธยมปลายที่มีแต่เด็กเรียนเท่านั้นที่จับจองที่ตรงนี้ก่อน
เธอไม่ใช่เด็กแก่เรียนอะไรนัก เพียงแต่คิดว่าการเข้าไปนั่งข้างๆ คนที่เขาคุยกันอยู่แล้วคงให้ความรู้สึกแปลกแยกกว่า อย่างน้อยเธอก็ไม่อึดอัดใจสักเท่าไหร่ แค่คิดว่ามันโดดเดี่ยวและเด่นเท่านั้นเอง
“นั่งด้วยนะ” สองเสียงทั้งทุ้มและหวานพูดพร้อมกัน
หญิงสาวหันไปมองปรากฏว่าคนที่พูดทั้งสองคนนั้นหน้าตาละม้ายคล้ายกัน แต่ต่างเพศและความสูง ผู้ชายผิวขาวดูสะอาด วรดาได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายโชยมาในอากาศ ส่วนผู้หญิงใบหน้าอ่อนหวานน่ารักและกำลังยิ้มมาให้
“ได้สิคะ” หล่อนยิ้มตอบและรู้สึกยินดี
“เธอชื่อไรเหรอ” คำถามแรกหลังจากที่ทั้งสองคนนั่งเสร็จ
“อ้อ ข้าวน่ะ” คนผมยาวบอก
“แล้วเธอสองคนล่ะ” สาวหน้ารูปไข่ถามกลับ พลางมองหน้าทั้งสองคน
“ผมเอ็ม นี่อร” มือใหญ่แต่สวยชี้ไปทางสาวน้อยข้างๆ
“ยินดีที่รู้จักนะ” คนตาสีน้ำตาลอ่อนพูดอย่างผูกมิตร
“เช่นกัน” คนน่ารักเป็นฝ่ายตอบ
“พี่เอ็ม พี่ว่าข้าวเป็นไงบ้าง” คำถามดังขึ้นเมื่อหมดคาบเรียนแรกและข้าวหอมแยกไปเรียนอีกวิชาหนึ่ง ที่ทั้งสองคนไม่ได้ลงในเทอมนี้เพราะอยากเก็บไว้ลงในปีหน้า
“ก็สวยน่ะสิน้องรัก หุ่นก็ดี พี่ชักชอบแล้วสิ” ชายหนุ่มพูด
“อย่าแย่งกันสิพี่ อรก็ชอบนา สเปคเลยอ่ะ” เธอบอกความรู้สึกตัวเองบ้าง
“เรานี่น้า ดันมาชอบผู้หญิงเหมือนพี่ แต่...ของอย่างนี้ใครดีใครได้นะน้องรัก แต่พี่ว่าพี่มีโอกาสกว่าเยอะ ข้าวคงไม่ได้ชอบผู้หญิงรอก” กนกคาดเดา เธอไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ดูจากสายตาของเพื่อนใหม่แล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกว่าวรดาน่าจะมีแนวโน้มชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะดวงตาสีสวยนั้นมองเธอนานกว่าพี่เอ็มเยอะ แถมมองละเอียดเสียด้วย แม้ว่าจะเป็นการมองแบบสำรวจมากกว่าเสน่หาก็เถอะ
“พี่อย่าเดาเลย ผิดแล้วจะหน้าแตก” หล่อนเตือนยิ้มๆ
“ผู้หญิงส่วนมากเขาก็ชอบผู้ชายกันทั้งนั้นแหละ ที่ชอบผู้หญิงด้วยกันน้อยจะตาย ยังไงพี่ก็ยังยืนยันคำเดิม” คิ้วหนาเข้มยักอย่างคนที่รู้สึกเป็นต่อ
“ไม่พูดกับพี่แล้ว แล้วพี่เอ็มจะรู้ ว่าของแบบนี้ผีเขาเห็นผี” กุสุมาหยิบคำพูดที่เพศที่สามมักใช้กันมากล่าว
บทที่เหลือสามารถอ่านได้ในหนังสือค่ะ