ตอนที่ 3
“ห้องของหนูอยู่ทางนี้จ้ะ”
เสียงคุณแม่นมสูงวัยบอกกับเธอ อรินทิพย์เดินตามผู้สูงวัยก้าวเข้าไปในห้องนอนขนาดใหญ่ เด็กสาวมองซ้ายมองขวา เงยหน้าและก้มมองดูเท้า สำรวจห้องนอนที่กว้างขวางเหมือนเอาห้องของทาวน์เฮ้าส์สองชั้นซึ่งเป็นบ้านของเธอสองห้องมาเรียงต่อกัน ความหรูหราของเฟอร์นิเจอร์นี่อย่าให้เธอได้พูดเปรียบเทียบ คงเปลืองหน้ากระดาษเปล่า ๆ น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่ามันคนละระดับชั้น ของเธอน่ะมันระดับรากหญ้า ของคุณปริมน่ะระดับยอดต้นไผ่ เพราะต้นไผ่เป็นหญ้าที่สูงที่สุดในโลกไงล่ะ
“เห็นคุณหนูบอกว่าเดี๋ยวจะเอาชุดนอนมาให้หนูเอง ป้าไปก่อนนะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
คุณแม่นมขอตัวออกไปจากห้องแล้ว เด็กสาวจึงเดินไปยังโต๊ะกระจกใกล้หัวเตียง ปลดกระเป๋าสะพายวางไว้บนนั้นแล้วค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งบนฟูกนุ่ม และจากนั่งก็เปลี่ยนเป็นเอนหลังโดยที่ขาสองข้างยังห้อยอยู่ข้างเตียงอยู่เลย ความเหนื่อยล้าทางจิตใจทำให้อรินทิพย์เริ่มเกิดอาการเคลิ้ม
ก๊อก ก๊อก
เสียงบานประตูไม้ถูกเคาะทำให้เธอสะดุ้งตื่นเต็มตา ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับตะโกนเสียงเครือ ๆ เหมือนคนเพิ่งตื่น
“เชิญค่ะ”
สิ้นเสียงของเธอ คนอยู่หลังบานประตูก็บิดลูกบิด ผลักประตูออกและพาตัวเองเข้ามา คุณปริมที่อยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีน้ำเงินเข้ม ทับด้วยเสื้อคลุมผูกเอวอีกชั้นเดินตรงมาหาเธอ
“ฉันเอาผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนมาให้”
เจ้าของบ้านเดินมาใกล้ ยื่นเสื้อผ้าให้เธอรับ อรินทิพย์ส่งยิ้มและเอ่ยคำขอบคุณ เมื่อเห็นว่าคุณปริมหย่อนก้นลงบนเตียง เด็กสาวก็พยายามหาเรื่องพูดคุยโดยคลี่เสื้อผ้าชุดนอนในมือของเธอออกดู
“ชุดนอนลายคิตตี้ น่ารักเชียว คุณปริมยังใส่ชุดนอนแบบนี้อยู่เหรอคะ?”
“ฉันใส่... เมื่อสิบปีที่แล้ว... เธอนี่ พอสบายใจแล้วก็หาเรื่องจิกกัดแซวชาวบ้านเค้าไปทั่วเลยนะ”
คุณปริมพูดพลางส่งมือมาแปะบนศีรษะเธอ ขยับโยกไปมาจนเธอหัวสั่นหัวคลอน ก้อนสมองกลิ้งไปซ้ายขวาจนรู้สึกมึน ๆ ขนาดคุณปริมเอามือออกไปแล้ว หัวเธอยังโอนเอนไปมาได้ด้วยแรงเฉื่อยที่ยังหลงเหลือ
อรินทิพย์กะพริบตาไล่ความมึนเพื่อให้มองใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อย ๆ ของคุณปริมได้ถนัด เมื่อเห็นว่าคุณปริมยังนั่งอยู่ เธอจึงเอ่ยถาม
“คุณปริมมีอะไรจะคุยกับอินเหรอคะ?”
“อืม... มี... แต่ฉันคิดว่าเอาไว้คุยกันพรุ่งนี้ก็ได้ เห็นเธอบ่นว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้วนี่ คืนนี้ก็นอนหลับให้สบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณแม่หรอกนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
คุณปริมคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้เธอ มือเรียวส่งมาแปะบนหัวเธออีกครั้ง
“ฝันดีนะเด็กน้อย”
“อินไม่อยากฝันค่ะ”
“!?”
“อินอยากนอนหลับสนิทมากกว่า”
อรินทิพย์พูดยิ้ม ๆ
ซึ่งนั่นก็ทำให้มือที่แปะอยู่ตรงหัวเธอเฉย ๆ เริ่มไม่อยู่เฉย เจ้าของมือออกแรงกดมันหนัก ๆ สองสามครั้งพลางกัดฟันพูด
“กวนจริง ๆ เลย เดี๋ยวส่งไปให้พี่เก้าปล้ำจริง ๆ ซะดีมั้ง”
“ไม่ดีค่ะ”
คุณปริมหัวเราะขำเมื่อเห็นเธอรีบส่ายหน้าดิกจนผมหางม้าส่ายไปมา
อรินทิพย์เห็นคุณพี่คนสวยลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ ไม่อยากฝันดีใช่ไหม... งั้นก็... ราตรีสวัสดิ์นะ ขอให้นอนหลับสนิทตลอดคืนละกันค่ะ”
“ราตรีสวัสดิ์เช่นกันค่ะ ขอให้ฝันดีนะคะคุณปริม”
“ฉันไม่อยากฝันดี แล้วก็ไม่อยากหลับสนิทด้วย”
นั่น... ยอมแพ้กันเสียที่ไหน
อรินทิพย์พูดกลั้วหัวเราะ “งั้นคืนนี้คุณปริมอยากทำอะไรก็ขอให้ได้ทำค่ะ”
“หื้ม?... ถ้าฉันเกิดบอกว่าอยากจะปล้ำเธอขึ้นมาล่ะ?”
โดนย้อนมาแบบนี้ เล่นเอาอรินทิพย์ไม่กล้ามองใบหน้าดูดีที่มีรอยยิ้มติดอยู่ตรงมุมปากของคุณปริมเลย เด็กสาวก้มหน้าก้มตา กลอกตาไปมาเพื่อคิดหาทางพูดแก้ลำ
“เอ่อ... ถ้า... ถ้าคุณปริมทำอย่างนั้น คำอวยพรของคุณปริมก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์น่ะสิคะ ไหนอวยพรกันว่าขอให้อินหลับสนิทตลอดคืนไง”
“ก็... ปล้ำก่อน ออกกำลังกายก่อนนอน จะได้เหนื่อย แล้วก็นอนหลับสนิทดีไง หึหึ”
พูดไม่พูดเปล่า พาตัวมาใกล้ ส่งมือมาจับเชยปลายคางของเธอให้เงยขึ้นมามองสบตาที่เป็นประกายไม่น่าไว้วางใจอีกต่างหาก อรินทิพย์ประสานสายตากับคุณปริมที่ก้มตัวยื่นหน้าสวย ๆ เข้ามาใกล้แล้วก็ต้องรีบกลอกลูกนัยน์ตาดำไปด้านข้าง อยู่ดี ๆ เด็กสาวก็เริ่มเกิดอาการตัวสั่น ใจเต้นตึกตักจนหน้าอกสะเทือน
“ต... ตกลงว่า... ค... คุณปริมมีรสนิยมแบบนี้จริง ๆ เหรอ?”
“บ้า! ฉันล้อเล่น”
คุณปริมบอกอย่างนั้นแล้วยืนตัวตรง ส่งเสียงขำคิกคักชอบใจยกใหญ่
พอหัวเราะจนหนำใจ คุณปริมก็โบกมือบ๊ายบายแล้วเดินอมยิ้มออกจากห้องไป
เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดดังแกร็กเบา ๆ อรินทิพย์ก็ส่งเสียงถอนหายใจพร้อมกับเอามือขวาทาบตรงอกซ้าย เธอเพิ่งรู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองแอบหยุดหายใจไปชั่วขณะ ดีนะที่คุณปริมไม่แกล้งเธอนานกว่านี้ มิฉะนั้นเธออาจจะกลั้นใจตายโดยไม่รู้ตัว คราวนี้คุณปริมคงโดนตำรวจมาตามจับถึงบ้านอีกรอบ ข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา เอ... รึต้องบอกว่าเจตนาล่ะ ก็ในเมื่อคุณปริมตั้งใจจะแกล้งเธอนี่
เด็กสาวคิดไปยิ้มไป
เมื่อความรู้สึกหนักอกหนักใจเรื่องค่ารักษาพยาบาลของคุณแม่ถูกแบ่งเบาไปโดยพี่สาวคนสวยแล้ว อรินทิพย์ก็เริ่มกลับมาเป็นเด็กน้อยอารมณ์ดีขี้เล่นคนเดิม และสามารถทำให้คำอวยพรขอให้นอนหลับสนิทตลอดคืนของคุณปริมเป็นคำพูดศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นจริงตามคำขอได้
.
.
เช้าวันต่อมา...
อรินทิพย์ตื่นนอนตั้งแต่ตอนฟ้าเริ่มสว่าง เธอรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดนอนลายแมวการ์ตูนสีชมพูมาอยู่ในชุดนักเรียนตัวเดิม เด็กสาวพับชุดนอนให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วยัดมันลงไปในกระเป๋าเป้เพื่อนำมันกลับไปซักก่อนจะคืนให้เจ้าของ
คิดถึงเจ้าของชุดนอน เจ้าของชุดนอนก็มา
ก๊อก ก๊อก
“ค่า~”
สิ้นเสียงขานเจื้อยแจ้วของเธอ ประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกเปิดอ้า เป็นคุณปริมเจ้าเก่าที่เดินเข้ามาในห้อง คุณพี่คนสวยของอรินทิพย์วันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดคอวีสีส้มสด ช่วยขับผิวนวลสีขาวอมเหลืองให้ดูกระจ่างตา ส่วนท่อนขาเรียวราวกับนางแบบถูกปกปิดด้วยกางเกงยีนส์ขาเดฟสีน้ำเงินซีด ๆ ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเหลือบแดงที่เมื่อวานโดนรวบเกล้าเก็บเป็นมวย วันนี้เจ้าของปล่อยให้มันเป็นอิสระ ทิ้งตัวลงมาเคลียไหล่ตามธรรมชาติ
เด็กสาวมองสำรวจคุณพี่คนสวยแล้วก็อดวิจารณ์ไม่ได้
“พอใส่ชุดไปรเวทแล้ว คุณปริมดูเด็กขึ้นเป็นกองเลยค่ะ”
คนโดนชมว่าดูเด็กขึ้นเป็นกองฉีกยิ้มกว้างให้เธอนานสองวินาที พอคิดอะไรได้ คุณปริมก็หุบยิ้มฉับ
“พูดแบบนี้แสดงว่าฉันใส่ชุดทำงานแล้วดูแก่ใช่ไหม?”
“อ... เอ้อ... เอิ่ม... คือ... คุณปริมในชุดทำงานก็ไม่ได้ดูแก่หรอกนะคะ อินคิดว่าดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ มีมาดดีค่ะ แหะ ๆ”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของคุณปริมกลับมาเปื้อนยิ้มหวานได้อีกครั้ง อรินทิพย์ก็เอามือปิดปากหัวเราะขำคิกคัก คุณปริมจึงถามว่าเธอหัวเราะอะไร
เด็กสาวแกล้งพูดเปรย ๆ
“เรารึก็พูดชมแท้ ๆ ยังอุตส่าห์คิดในแง่ลบได้อีก แบบนี้เขาเรียกว่าร้อนตัวใช่ไหมน้า~”
“ฮึ่ย... เธอนี่นะ พูดจากวนประสาทวอนโดนตีแต่เช้าเลย... นี่แน่ะ!”
เพียะ!
โอ๊ย!
อรินทิพย์สะดุ้งโหยง ส่งมือข้างหนึ่งไปลูบก้นบริเวณที่โดนฝ่ามือของคุณปริมแล่นมาลงจอด เด็กสาวพูดเสียงงุบงิบ
“ทำไมต้องเลือกตีที่ก้นด้วย? ที่อื่นก็มีให้ตีตั้งเยอะแยะ
คุณปริมทะลึ่ง”
คนโดนเด็กด่ากลับยิ้มกริ่ม พูดอธิบายตอบคำถามว่าทำไมถึงเลือกตีที่ก้น
“ก็เพราะว่าตรงก้นมันมีแต่เนื้อกับไขมันเป็นส่วนใหญ่ มันก็เลยนุ่มกว่าตรงอื่น ฉันก็เลยเลือกตีตรงนี้ ถ้าตีที่อื่นอย่างตีแขนตีไหล่ รึเขกหัว ตีไปแล้วมันโดนกระดูกด้วย ฉันก็เจ็บมือน่ะสิ”
เพียะ!
โอ๊ย!
อธิบายเสร็จยังมีการตีเพิ่ม แถมบรรยายสรรพคุณให้ฟัง
“ก้นเธอทั้งนุ่มทั้งงอนน่าตีจริง ๆ”
เด็กสาวแก้มแดงระเรื่อ พูดบ่นเสียงเบา “คุณปริมอ่ะ... หาเรื่องแต๊ะอั๋งหลอกจับก้นเด็ก”
“อะไร?... จับกับตีมันไม่เหมือนกันนะ เดี๋ยวจะสาธิตให้ดู...”
“ไม่ต้องเลยค่ะ!”
อรินทิพย์พูดพลางเอาสองมือปิดแก้มก้นนุ่มและงอนของตัวเอง รีบก้าวถอยหลังหนีให้พ้นจากระยะโจมตี เด็กสาวกัดริมฝีปากล่างด้านใน ตากลมโตส่งมอบค้อนให้ผู้ใหญ่ขี้แกล้งจนตาคว่ำ อรินทิพย์เห็นคุณปริมเอาหลังมือปิดปาก หัวเราะขำดังคิก ๆ จนพอใจ จากนั้นก็พูดชักชวนเธอลงไปทานอาหารเช้าด้วยกัน
บนโต๊ะอาหารตัวเดิมที่นั่งทานอาหารเย็นพร้อมกันเมื่อวาน วันนี้อรินทิพย์นั่งตรงตำแหน่งติดกับหัวโต๊ะทางขวามือของคุณปริมเช่นเดิม เด็กสาวก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มหมูสับร้อน ๆ เป่าลมให้มันอุ่นพอดีแล้วเอาเข้าปาก สลับกับส่งเสียงตอบคำถามของคุณปริม
“คุณแม่เธอทำงานอะไร?”
“ขายข้าวแกงค่ะ เป็นร้านรถเข็น”
“แล้วคุณพ่อล่ะ?”
“คุณพ่อเป็นทหารค่ะ ท่านเสียไปตั้งแต่อินยังเด็กแล้ว เพราะอุบัติเหตุชนแล้วหนีค่ะ”
“ฉันเสียใจด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันผ่านมานานแล้วล่ะ ตอนนั้นอินเพิ่งจะสองขวบเอง”
“อินมีพี่น้องไหม?”
“ไม่มีค่ะ”
“เอิ่ม... โอเค... เอาล่ะ... เรากลับมาพูดถึงเรื่องของแม่เธอกันดีกว่า”
“ค่ะ”
“ฉันจะรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดของแม่เธอเอง แล้วก็... ฉันคิดว่าคุณหมอคงรักษาด้วยการให้ยาคีโม ระหว่างที่ต้องพักฟื้น คนไข้ต้องได้รับการดูแล ฉันจะจ้างพยาบาลมาคอยดูแลแม่เธอให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ อินดูแลคุณแม่เองได้”
“แต่ก็ได้ไม่ตลอดหรอก ตอนกลางวันเธอต้องไปเรียนนี่”
อรินทิพย์นิ่งไป เพราะมันเป็นอย่างที่คุณปริมพูด
คนอายุมากกว่ายังตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า
“แม่ป่วยแบบนี้ก็ไม่มีใครหาเงินเข้าบ้านน่ะสิ”
“ค่ะ”
“ยังพอมีเงินเก็บเหลือไหม?”
เด็กสาวส่ายหน้า “เงินเก็บกำลังจะหมดแล้วค่ะ เราต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านด้วย ปกติแต่ละเดือนก็แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว”
อรินทิพย์เห็นคุณปริมแอบผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ ให้กับเรื่องราวชีวิตรันทดของเธอ เด็กสาวเองก็ทำอย่างเดียวกัน
“เฮ้อ... แต่ในความโชคร้ายของอิน อย่างน้อยก็ยังมีคุณปริมเป็นนางฟ้าลงมาโปรดนะคะ อินดีใจมากเลยที่ได้เจอคุณ อินขอบคุณคุณปริมมากค่ะ ขอบคุณที่ช่วยอิน”
ปณิตาส่งยิ้มเจือจางบางเบาให้เด็กสาว เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเมื่อวานเธอไม่นึกอยากรู้อยากเห็น เข้าไปประมูลแข่งซื้อพรหมจรรย์เพราะแค่อยากรู้เหตุผลว่าเด็กสาวทำไมถึงตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ อะไรมันจะเกิดขึ้น หญิงสาวกางยิ้มให้กว้างขวางขึ้นอีกนิด บอกกับเด็กสาวที่มองมายังเธอด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาวอย่างซาบซึ้งในบุญคุณไปว่า
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจฉันมากมายหลายครั้งนักหรอก ฉันเสียอีกที่ต้องขอบใจเธอ ขอบใจนะที่มาให้ฉันได้เจอ ฉันก็เลยได้ทำบุญช่วยเหลือเธอโดยไม่ต้องเดินทางไปวัดให้เหนื่อย”
“ไม่ต้องเดินทางไปวัดให้เหนื่อย แต่เกือบจะเข้าคุกแทนเนี่ยนะคะ ยังจะมาขอบใจกันอีก”
ปณิตาหัวเราะขำให้กับอารมณ์ขันของสาวน้อย อรินทิพย์เองก็หัวเราะเสียงใส หญิงสาวมองไปก็อมยิ้มไป เด็กน้อยวัยใสแบบนี้เหมาะกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สุด ปณิตารู้สึกยินดีปลาบปลื้มอยู่ในใจ รู้สึกดีเมื่อคิดว่าตนเองเป็นผู้นำรอยยิ้มหวานกลับมาคืนให้เด็กสาวคนนี้ได้
หญิงสาวคิดพลางยกแก้วกาแฟขึ้นมาจรดริมฝีปาก หยิบส้อมขนาดเล็กเสียบเข้าไปในขนมไทยก้อนเล็กรูปทรงสี่เหลี่ยม สีเหลืองอมเขียวอ่อน ๆ มีมะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้นฝอย ๆ ประดับอยู่ทั่ว เธอเห็นเด็กสาวมองของกินของเธอด้วยความสนใจ ปณิตาจึงเลิกคิ้วถาม
“รู้จักขนมนี่ไหม?”
“ไม่รู้จักค่ะ”
“มันคือ 'ขนมมัน' น่ะ... เป็นขนมไทย ทำมาจากมันสำปะหลัง ลองชิมดูสิ อร่อยนะ”
เธอยื่นส้อมที่ตรงปลายมีขนมติดอยู่ไปให้ เด็กสาวยกมือไหว้ขอบคุณแล้วรับมันไป แหม... มีสัมมาคารวะดีนะเด็กคนนี้ ดูซิ กินขนมแล้วคงชอบใจล่ะสิท่า ยิ้มจนตาปิดเชียว ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวคงชอบทานขนมมัน ปณิตาจึงเลื่อนจานไปใกล้อรินทิพย์
“ถ้าชอบก็กินอีกสิ”
“ไม่ดีมั้งคะ คุณปริมกินแต่ขนมกับกาแฟ ไม่กินข้าว แถมยังจะมาโดนเด็กแย่งกินขนมอีก เดี๋ยวคุณปริมก็กินไม่อิ่มน่ะสิ”
“งั้นแลกกัน... ฉันจะแย่งกินข้าวต้มของเธอบ้าง”
ปณิตาพูดยิ้ม ๆ จบแล้วก็เอาส้อมจิ้มขนมไปจ่อตรงริมฝีปากเด็กน้อย เธอเห็นอรินทิพย์อมยิ้มจนแก้มป่อง แถมแก้มที่ป่องนั่นแทนที่จะเป็นสีขาวก็กลับเป็นสีแดงอีกต่างหาก เธอรู้ว่าเด็กน้อยเขินจึงอยากแกล้ง ดึงดันว่าจะป้อนขนมให้ถึงปาก เด็กน้อยรับขนมที่เธอป้อนไปแล้วก็ก้มหน้าก้มตายิ้มเอียงอาย ให้ตายสิ ทำท่าทางน่ารักน่าแกล้งแบบนี้ได้ยังไง อย่างนี้ต้องโดนแกล้งเป็นสองเท่า
“นี่... ฉันป้อนขนมเธอไปแล้วนา... ช่วยป้อนข้าวต้มคืนให้ด้วย แลกกัน”
เด็กน้อยแอบกัดริมฝีปากล่างด้านใน ใช้ช้อนตักข้าวต้มมาส่งคืนให้เธอโดยไม่ยอมมองหน้ากัน ปณิตาแอบยิ้มขำ อ้าปากรับข้าวต้มไป แต่แกล้งกัดช้อนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย อรินทิพย์ขยับช้อนไปมาเบา ๆ พลางพูดกลั้วหัวเราะ
“คุณปริมอ่ะ... เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
“อ่าว... ก็อยู่กับเด็กอ่ะ ก็ต้องเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ซิ... รึว่าเธออยากจะเล่นกับฉันแบบผู้ใหญ่? แบบว่า... เม้าธ์ทูเม้าธ์ เอาปากป้อนขนมกัน อะไรแบบนี้”
คำพูดแซวแหย่เล่นของเธอ เล่นเอาเด็กน้อยเกิดอาการหน้าแดงหูแดง ปณิตาหัวเราะก๊ากชอบใจอยู่เป็นนาน ก็เลยโดนเด็กว่าเอา
“คุณปริมทะลึ่ง...”
“ฮ่า ๆ... ก็... นิดนึงน่า ขำ ๆ”
“อินว่าอินจะกลายเป็นเด็กใจแตกอย่างที่คุณปริมกลัวก็เพราะตัวคุณปริมเองนี่แหละ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
อรินทิพย์บ่นเธอเสียงงุบงิบอุบอิบ แต่ปณิตาก็ยังได้ยินชัดเจน เธอจึงหัวเราะขำชอบใจต่อไปได้อีกยกใหญ่ พอหยุดหัวเราะได้ หญิงสาวก็พูดแกล้งแหย่เล่นสนุก ๆ ไปว่า
“ถ้าเธอใจแตกเพราะฉันขึ้นมาจริง ๆ เดี๋ยวฉันจะรับผิดชอบเอง”
.
.
หลังจากผ่านช่วงเวลาทานอาหารเช้าบวกกับเวลาแกล้งเด็กอันสุดแสนจะรื่นเริงบันเทิงใจไปได้ ปณิตาก็พาเด็กสาวกลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อนจะเดินทางไปยังโรงพยาบาลพร้อมกัน อรินทิพย์แนะนำเธอให้ได้รู้จักกับคุณแม่และบอกเล่ารายละเอียดให้ฟังคร่าว ๆ ว่าเธอเป็นผู้ใจบุญที่จะอาสายื่นมือเข้าช่วยเหลือ มารดาของเด็กสาวชื่ออรทัย ชื่อเล่นว่าอร เพิ่งจะอายุ 38 ปี แก่กว่าเธอพอแค่ให้เรียกกันว่าพี่ ปณิตาจึงใช้สรรพนามนี้ในการเรียกขานคุณแม่ของเด็กน้อย
“พี่อรไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องหาเงินมาใช้คืนนะคะ ปริมให้ผ่อนยาวตลอดชีพแบบไม่มีกำหนดเลย... อันที่จริงจะให้เปล่าก็ยังได้...”
“ไม่ได้หรอกค่ะคุณปริม ดิฉันเกรงใจ แค่คุณยอมช่วยเหลือเราในยามลำบากแบบนี้ เราก็ซาบซึ้งจนไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดีแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ”
คนป่วยพูดพลางพนมมือไหว้ ปณิตากุมมือของอรทัยไว้
“ถ้าอยากจะขอบคุณกัน พี่ต้องรักษาตัวให้หายไว ๆ มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเจ็บไข้ได้ป่วย อย่าท้อนะคะ ลูกสาวคนดีของพี่ต้องการพี่นะ ขอให้หายป่วยเร็ว ๆ นะคะ”
คนป่วยยิ้มทั้งน้ำตาและพยักหน้าให้เธอ ส่วนลูกสาวของคนป่วยก็เกิดอาการบ่อน้ำตาแตก ยืนเอาหลังมือปาดน้ำตาส่งเสียงสะอื้นดังฮึกฮึกอยู่ข้างเตียง ปณิตาหันไปหาเด็กน้อย ส่งมือไปประคองแก้ม ใช้นิ้วโป้งช่วยเกลี่ยซับน้ำตาให้
“เธอก็ต้องเข้มแข็งเหมือนกัน ดูแลคุณแม่ให้ดี ตั้งใจเรียนหนังสือล่ะ ถ้ามีอะไรก็ขอให้นึกถึงฉันเป็นคนแรก ฉันยินดีจะช่วยเธอทุกเรื่อง เข้าใจไหม?”
“ข... เข้าใจค่ะ... ฟื้ด... ฮึก...”
“ร้องไห้ขี้มูกไหลย้อยอีกแล้ว”
ปณิตาเห็นเด็กสาวสูดน้ำมูกดังฟึดฟัดก็อมยิ้ม เธอล้วงมือไปในกระเป๋าสะพาย หยิบห่อกระดาษทิชชูเช็ดหน้าออกมา กระดาษบางเบาสีขาวถูกดึงออกมาจากห่อหนึ่งแผ่น ปณิตาใช้มันเช็ดคราบน้ำตาตามแก้มให้ สุดท้ายก็ไปแปะปิดจมูกเด็กสาวเอาไว้อย่างที่เคยทำเมื่อวาน
“เอ้า... สั่งขี้มูกสิ”
“ฟื้ด...”
อรินทิพย์ไม่ได้ยกมือขึ้นมาจับกระดาษทิชชูเอาไว้เองเหมือนเมื่อวาน แต่ปณิตาก็ไม่ได้ว่าอะไร เธออมยิ้มน้อย ๆ ขยับนิ้วมือบีบขยุ้มเช็ดจมูกให้เด็กสาวด้วยความเอ็นดูอย่างไม่ถือสา ซึ่งคนที่โดนเธอเช็ดจมูกก็มองเธอตาลอย ขยับปากพูดพึมพำเบา ๆ ว่า
“คุณปริมใจดีจัง”
แค่คำชมง่าย ๆ จากเด็กน้อย ปณิตากลับเกิดอาการเขินจนแก้มขาวนวลเปลี่ยนสีเป็นแดงระเรื่อ ยิ่งพอได้สบตากลมโตใสแจ๋วที่มองเธอด้วยแววตาชื่นชมปนเคลิ้ม ๆ ปณิตาถึงกับเขินจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กลอกตาไปมา พูดเอ่อ ๆ เอิ่ม ๆ ลืมไปเลยว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไป อ้อ... นึกได้แล้ว
“นี่นามบัตรของฉัน... ถ้ามีอะไรก็โทรเข้าเบอร์มือถือฉันได้เลย บอกเบอร์โทรของเธอมาซิ เดี๋ยวฉันโทรเข้าตอนนี้เลยก็แล้วกัน ฉันจะได้เมมฯ เบอร์ของเธอเอาไว้”
เด็กสาวทำตามที่เธอบอก พอแลกเบอร์กันเสร็จ ปณิตาก็ขอตัวกลับโดยมีเด็กสาวเดินไปส่งเธอถึงรถ
“ขอบคุณมากนะคะคุณปริม”
“จ้า”
ปณิตาเปิดประตูรถแล้วหันมาส่งยิ้มให้อรินทิพย์ พอเห็นเด็กสาวส่งยิ้มหวานให้ เธอก็ยิ้มตามโดยไร้สาเหตุ
“ทีหลังเรียกฉันว่าพี่ปริมก็ได้นะ”
“ค่ะพี่ปริม... ฟังแล้วดูอายุใกล้เคียงกันมากขึ้นเนอะ”
เด็กสาวพูดกลั้วหัวเราะแล้วก้าวถอยหลังหลบฉากหนีพ้นรัศมีการโจมตีด้วยฝ่ามือของเธอไปได้อย่างหวุดหวิด ปณิตาได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถ้าอยู่ที่บ้านจะไล่ตามไปตีให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่นี่อยู่กลางลานจอดรถของโรงพยาบาล จะลดอายุเป็นเด็กไปวิ่งไล่ตีก็อายชาวบ้านชาวเมืองเขา หญิงสาวจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากชี้นิ้วคาดโทษ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“จะโกรธอินทำไมเนี่ย? อินยังไม่ได้พูดสักคำเลยนะว่าพี่ปริมแก่กว่าอิน
มากรึว่าอะไร...”
“เมื่อกี้ก็พูดออกมาแล้วไงล่ะ! หนอย... ทนไม่ไหวแล้ว...”
ปณิตาปิดประตูรถ หันไปวิ่งตามไล่ตีเด็กน้อย
ใครจะมองว่าเธอเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ก็ช่างเถอะ
ยอม...
...........