ตอนที่ 8
เช้าวันศุกร์
วันนี้เป็นวันที่คุณแม่ของอรินทิพย์ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีให้ยาคีโม เนื่องจากครั้งนี้เป็นการให้ยาเคมีบำบัดครั้งแรก เด็กสาวจึงขอลาหยุดเรียนหนึ่งวันเพื่อพาคุณแม่ไปโรงพยาบาล แม้ว่าคุณแม่จะไม่เห็นด้วยเพราะไม่อยากให้เธอขาดเรียน แต่อรินทิพย์ยืนยันว่าต้องการพามารดาไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง เธออยากจะคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ เป็นกำลังใจให้คุณแม่
นอกจากกำลังใจจากลูกสาวสุดที่รักแล้ว คุณอรทัยยังได้รับกำลังใจบวกกับน้ำใจของปณิตาด้วย เพราะหญิงสาวประธานบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไอทีชื่อดังเขาเซ็นใบลาให้ตัวเองหยุดงานครึ่งวันเช้า รับอาสาพาคุณแม่คุณลูกไปส่งที่โรงพยาบาล จัดการเรื่องห้องพักผู้ป่วย พอรู้ว่าคุณอรทัยต้องนอนโรงพยาบาลห้าวัน ปณิตาก็ติดต่อจ้างพยาบาลพิเศษล่วงหน้าเพื่อให้มาคอยดูแลคนป่วยในวันจันทร์และอังคาร หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หญิงสาวก็ขอตัวลากลับไปทำงานครึ่งวัน เด็กน้อยจึงเดินขนาบข้างตามไปส่งถึงรถ ระหว่างเดินไปด้วยกัน อรินทิพย์พูดกับคนอายุมากกว่าอย่างเกรงใจ
“อันที่จริงแล้ว... พี่ปริมไม่ต้องลางานมาก็ได้นะคะ แค่อินพาคุณแม่มาโรงพยาบาลเองก็พอ”
“อันที่จริงแล้ว... คุณแม่บอกว่าจะมาโรงพยาบาลเองคนเดียวก็ได้ แต่น้องอินยังลาเรียนเพื่อมาให้กำลังใจคุณแม่เลยนี่นา พี่ก็เลยอยากจะมาให้กำลังใจบ้างไง ไม่ใช่แค่คนป่วยที่ต้องการกำลังใจนะ พี่มาให้กำลังใจและทำให้น้องอินอุ่นใจต่างหาก”
ช่วงท้ายของคำสนทนา คนที่บอกว่าลางานมาเพื่อให้กำลังใจและทำให้เธออุ่นใจส่งมือมาจับกุมมือของเธอเอาไว้ อรินทิพย์จึงบีบกระชับมือนุ่มนิ่มนั้นและหันไปยิ้มหวานใส่เจ้าของมือ
“ขอบคุณค่ะพี่ปริม... อินรู้สึกอุ่นทั้งมือ อุ่นทั้งใจเลยล่ะค่ะ”
“ลูกแมวน้อยปากหวานนน~... พี่ปริมฟังแล้วหน้าร้อนเลยนะเนี่ย”
ลูกแมวน้อยปากหวานอมยิ้มจนแก้มปริ เอนหัวเอาขมับไปซบไหล่แมวใหญ่ อรินทิพย์แอบขำที่ตัวเธอเผลอพูดอะไรหวาน ๆ แล้วก็มาเกิดอาการหน้าแดงเพราะเขินคำพูดของตัวเอง ตอนก่อนจะพูดเธอไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้อยากจะหยอดคำหวานทำให้พี่ปริมเขิน ปากแค่ทำหน้าที่ของมัน ขยับอ้าส่งเสียงพูดเพื่อถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกในใจให้คนฟังได้รับรู้ก็เท่านั้น
ช่วงเย็นวันเดียวกัน
นิ้ง ปลา และนายปิ๊ก เพื่อนสนิทสามคนของอรินทิพย์มาเยี่ยมคุณแม่ของเพื่อนที่โรงพยาบาล หนุ่มน้อยเป็นตัวแทนของเพื่อนทั้งห้อง ยกกระเช้าสานบรรจุกล่องใส่น้ำผลไม้และของบำรุงสุขภาพเยี่ยมผู้ป่วยยื่นให้ พออรินทิพย์กล่าวขอบใจแล้วนำมันไปวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อย เพื่อนสาวตัวเล็กชื่อนิ้งก็ยื่นของให้เธอ
“อ่ะ... ของเยี่ยมสำหรับคนขาดเรียน... สมุดการบ้านวิชาคณิตฯ เอาของเราไปลอกแล้วส่งอาจารย์ไปก่อน ถ้าอินไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวเราอธิบายให้ฟังทีหลัง อาจารย์บอกว่าศุกร์หน้าจะสอบย่อย... ส่วนวิชาฟิสิกส์ อาจารย์สอนจบบทแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่า...”
“อาจารย์สั่งให้ทำแบบฝึกหัดท้ายบทส่งวันอังคารหน้า”
อรินทิพย์พูดเติมประโยคจนครบอย่างรู้งาน ต่อไปก็เป็นเพื่อนสาวตัวสูงชื่อปลาที่ยื่นกระดาษให้เธอ อรินทิพย์จึงทำตาโต
“ยังมีอีกเหรอ!?”
“อื้อ... วิชาศาสนศึกษา อาจารย์สั่งให้แบ่งกลุ่มทำรายงานแล้วออกไปพูดให้เพื่อนฟังหน้าชั้น ดีเดย์วันศุกร์หน้าจ้ะ รายละเอียดหัวข้อที่อินต้องหา พวกเราเลือกหัวข้อที่หาข้อมูลได้ง่ายที่สุดให้ อ้อ... อย่าลืมอ่านหนังสือวิชาเคมีนะจ๊ะ สอบย่อยวันพุธ”
“อื้อ... ไม่ลืมหรอก ขอบใจมากจ้ะ”
อรินทิพย์ยื่นมือไปรับสมุดจากเพื่อนมาถือ เด็กสาวมองของเยี่ยมในมือแล้วถึงกับต้องลอบถอนหายใจยาว ๆ
“เฮ้อ... ดีนะที่เมื่อเช้าขนสมุดกับหนังสือเรียนมาเตรียมเอาไว้แล้ว”
ทั้งการบ้าน รายงานหน้าชั้น ไหนจะมีสอบย่อยอีก
เฮ้อ... ชีวิตเด็กม.ปลาย ใครคิดว่าสบายไม่หนักหนา มีหน้าที่เรียนอย่างเดียว อรินทิพย์อยากจะยกมือสุดแขนแล้วยืนขึ้น พูดตะโกนเถียงด้วยเสียงอันดังว่า...
มันไม่จริงเลยค่า (T__T)
พวกเพื่อน ๆ อยู่พูดคุยด้วยไม่นานก็ขอตัวกลับเพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวน ทางด้านคุณแม่นั้น พอทานอาหารเย็นไปได้นิดหน่อยก็หลับสนิท อรินทิพย์จึงยืมโต๊ะที่ไขปรับระดับความสูงได้มาใช้เป็นโต๊ะเขียนหนังสือชั่วคราว เด็กน้อยหยิบสมุดหนังสือมากาง นั่งทำการบ้านอย่างใจจดใจจ่อมีสมาธิ จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือทำตัวสั่นส่งเสียงครืดคราดอยู่บนโต๊ะ แค่เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เด็กสาวก็ยิ้มออก อรินทิพย์รีบหยิบเครื่องมือสื่อสารออกไปยืนคุยตรงระเบียงหลังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ
“สวัสดีค่ะพี่ปริม”
(คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ?)
“ท่านบ่นว่าหนาว หนาวเข้าไปถึงกระดูก ทั้ง ๆ ที่อินก็ปรับแอร์เป็น 28 องศาแล้วนะคะ เมื่อกี้แม่กินข้าวไปได้หน่อยเดียวเอง แต่คุณหมอบอกว่าอาการทั่วไปปกติ ไม่น่าเป็นห่วงค่ะ”
(อืม... ถ้าคุณหมอว่าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก ว่าแต่... น้องอินกินข้าวเย็นรึยัง?)
“ยังเลยค่ะ”
(พี่เองก็ยังไม่ได้กินเลย จะให้พี่ซื้อข้าวเข้าไปให้ไหม? รึว่าจะออกไปกินข้างนอกแถว ๆ หน้าโรงพยาบาลกับพี่?)
“อินว่าเราออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีกว่าค่ะ เพราะคุณแม่หลับอยู่”
(โอเค งั้นถ้าพี่ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว พี่จะโทรหาอีกทีนะคะ)
“ค่า”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
อรินทิพย์เดินตามพี่สาวคนสวยเข้าไปนั่งในร้านขายข้าวหมูแดง-หมูกรอบที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาล ขณะนั่งรอแม่ครัวตักข้าวและหั่นเนื้อหมู เด็กสาวสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนตัวของคนที่นั่งโต๊ะเดียวกัน เธอจึงเอ่ยปากทัก
“ตอนเช้าพี่ปริมไม่ได้ใส่ชุดนี้นี่คะ”
“พี่กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วถึงมานี่ จะมาเยี่ยมคนป่วยที่ติดเชื้อง่ายก็ต้องทำตัวให้สะอาดเข้าไว้”
“พี่ปริมไม่เห็นจะต้องลำบากมาเยี่ยมตอนเย็นด้วยเลย แค่พี่ต้องลางานมาส่งอินกับแม่เมื่อเช้า แค่นี้อินกับแม่ก็ซาบซึ้งใจจะแย่แล้ว”
“ซึ้งใจ... มันไม่น่าจะแย่นะ”
พี่ปริมพูดยิ้ม ๆ อรินทิพย์จึงเปลี่ยนคำพูดเป็น...
“เกรงใจค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”
“ถ้าเกรงใจพี่ ก็อย่าแย่สิคะ ทำตัวทำหน้าทำตาให้มีความสุขหน่อย พี่เห็นแล้วจะได้ดีใจปลื้มใจ มีความสุขไปด้วยไง... ลูกแมวน้อย ยิ้มหวานให้พี่ดูหน่อยเร็ว... มามะ เล่นกัน ๆ เมี้ยว ๆ”
พูดอย่างเดียวไม่ว่า พี่ปริมหยิบต้นหอมที่ทางร้านใส่ไว้ในแก้วเพื่อเป็นผักแกล้มข้าวหน้าหมูแดงหมูกรอบมาโบก ๆ ตรงหน้าเธอราวกับกำลังหลอกล่อลูกแมวให้ตะปบเล่น อรินทิพย์จึงหัวเราะขำคิก ๆ จนหน้าแดง เด็กสาวแกล้งรับมุกโดยยื่นมือไปไล่ตะครุบต้นหอมสองสามทีให้คนแหย่หัวเราะชอบอกชอบใจจนตาปิด
หลังรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเสร็จ อรินทิพย์ก็เดินนำพี่ปริมกลับไปยังห้องพักผู้ป่วย คุณแม่ของเธอตื่นขึ้นมาเพราะว่าอยากจะเข้าห้องน้ำพอดี คนเป็นผู้ใหญ่ตัวสูงกว่าเธออาสาช่วยพยุงคุณแม่แล้วให้เธอช่วยลากเสาน้ำเกลือ เด็กน้อยฟังพี่สาวคนสวยพูดคุยซักถามเกี่ยวกับอาการป่วยและพูดให้กำลังใจคุณแม่ การกระทำของพี่ปริมทำให้ทั้งเธอและมารดาซาบซึ้งตื้นตันใจจนน้ำตาเอ่อเลยทีเดียว นอกจากจะเอาใจใส่คนป่วย พี่ปริมยังเอาใจใส่เธอด้วย เพราะพอเห็นสมุดและหนังสือเรียนที่เธอเปิดกางทิ้งไว้บนโต๊ะ พี่ปริมก็ถาม
“ทำการบ้านเหรอคะ?”
“ค่ะ เพื่อน ๆ เอาการบ้านมาเยี่ยมอินเมื่อตอนเย็น มีทั้งแบบฝึกหัดท้ายบท หาข้อมูลทำรายงานพร้อมกับพรีเซ้นต์หน้าชั้น แถมอาทิตย์หน้ามีสอบย่อยอีกสองวิชาด้วย”
“โอ้โห! อะไรจะเยอะขนาดนั้น!”
“สมัยที่พี่เรียนมันน้อยกว่านี้เหรอคะ?”
“อืม... ขอนึกก่อน...”
“นึกไม่ออกแน่เลย มันผ่านมานานมากแล้วนี่เนอะ อิอิ”
“เดี๊ยะโดน!... พี่จำได้นะ สมัยที่พี่เรียนอ่ะ คำว่า child center นี่ฮิตมาก นักเรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นศูนย์กลางจริง ๆ เพราะอาจารย์จะให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางในการสอนนักเรียนด้วยกัน มีการค้นคว้าทำรายงาน ออกมาพูดหน้าชั้นกันทุกอาทิตย์ เกือบจะทุกวิชา ห้าวันต่อสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ อาจารย์ทำแค่นั่งไขว่ห้างเอามือเท้าคางให้คะแนนพรีเซ้นต์ พูดเสริมส่วนขาดหายนิดหน่อย พอใกล้จะจบคาบก็ประกาศเหมือนเดิมทุกครั้งว่า นักเรียนคะ แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาจับฉลากเลือกหัวข้อพรีเซ้นต์ของสัปดาห์ถัดไปด้วยค่ะ”
“อ่อ... อืม ๆ... การเรียนการสอนยุคนี้กับยุคที่พี่เรียนมันก็ไม่ได้ต่างกันมากนะคะ”
“แหม... มันไม่ต่างกันหรอกน่า น้องอินเล่นพูดว่ายุคนั้นยุคนี้ ทำอย่างกับว่าพี่เรียนในยุคครีเทเชียสงั้นแหละ”
คำพูดเปรียบเปรยแบบแปลก ๆ ของผู้ใหญ่ทำให้เด็กน้อยขำท้องคัดท้องแข็ง
“ย้อนไปถึงยุคไดโนเสาร์เลยเหรอคะ งั้นพี่ก็เป็น living fossil สิเนี่ย”
“อื้อ พี่เป็นเพื่อนกับปลาซีลาแคนท์ด้วย เจ๋งมะล่า?”
พี่ปริมพูดพร้อมกับเอามือกอดอกและยืดตัวขึ้นนิดหนึ่ง ทำสีหน้าท่าทางเหมือนจะภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ตนเองมีเพื่อนเป็นปลาโบราณที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้เมื่อสี่ร้อยล้านปีก่อน แต่มุกนี้ได้ผล พี่ปริมทำให้เธอหัวเราะขำซะเสียงดัง อรินทิพย์คิดในใจว่าจะไม่ให้ขำได้ยังไง คนกลัวนักกลัวหนา กลัวเด็กกล่าวหาว่าแก่ แต่ดันหยิบยกเอาปลาสมัยไดโนเสาร์โบร่ำโบราณเก่าแก่สุด ๆ มาเล่นมุกบอกว่าเป็นเพื่อนกันแบบนี้ ไม่ใช่แค่เธอที่ขำ คุณแม่ที่นอนอยู่บนเตียงยังขำไปด้วยเลย
พอเสียงหัวเราะจากผู้รับฟังมุกยุคครีเทเชียสจางลง อรินทิพย์เห็นพี่ปริมหยิบกระดาษโน้ตจดหัวข้อทำรายงานวิชาศาสนศึกษาของเธอขึ้นมาอ่าน คนอายุมากกว่าไล่สายตาดูพลางถามเธอว่า
“ให้พี่ช่วยหาข้อมูลให้ไหม?”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวอินทำเองก็ได้”
“เห็นบ่นว่าการบ้านเยอะนี่นา ไหนจะต้องกลับไปทำงานบ้าน ซักผ้ารีดผ้า แถมต้องอ่านหนังสือสอบอีก น้องอินก็ทำการบ้านทำแบบฝึกหัดไป เสาร์อาทิตย์นี้พี่ว่าง เดี๋ยวพี่ช่วยหาข้อมูลทำรายงานให้ก็แล้วกัน โน้ตใบนี้พี่ขอยืมนะ”
“พี่ปริม! ไม่ต้องค่ะ! นี่เป็นงานของอิน เดี๋ยวอินทำเอง”
อรินทิพย์พูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาคุณพี่ผู้หวังดีเพื่อจะคว้าเอาโน้ตจดหัวข้อทำรายงานคืนมา แต่พี่ปริมยืดสุดแขนชูกระดาษขึ้นเหนือหัว เพียงเท่านี้เธอก็หมดโอกาสจะแย่งกระดาษไปจากมือ เพราะผู้ใหญ่หุ่นนางแบบตัวสูงกว่าเธอตั้งคืบกว่า ๆ เมื่อเห็นเธอล้มเลิกความพยายาม พี่ปริมก็เลยลดมือลงมา จัดการพับทบลดขนาดกระดาษให้เล็กลง อรินทิพย์จับจ้องรอคอยโอกาสนี้อยู่จึงไม่รอช้า ยื่นมือไปหมายจะแย่งกระดาษคืนมาแต่ก็ไม่ทัน พี่ปริมชูมันขึ้นเหนือหัวหลบมือเธออีกครั้ง แล้วพี่ปริมก็ทำให้เธอต้องล้มเลิกความตั้งใจ ตัดใจจากความคิดที่จะแย่งกระดาษโน้ตคืนมาอย่างสิ้นเชิง เพราะ... เพราะ... พี่ปริมเก็บมันเอาไว้ในที่ที่เธอไม่กล้าแย่ง
คือว่า... อินเห็นพี่ปริมเค้าแหวกสาบเสื้อแล้วสอดกระดาษเข้าไปเก็บตรงชั้นในอ่ะ หนูไม่กล้าแย่งคืนหรอกค่ะ เขิน >////////<
“ปริมกลับก่อนนะคะพี่อร... พี่ไปละน้า ลูกแมวน้อย... วันพรุ่งนี้พี่จะมารับน้องอินกลับไปทำงานบ้าน แล้วเจอกันค่ะ”
แว่วเสียงของผู้ใหญ่กล่าวอำลาคุณแม่และตัวเธอ สุดท้ายแล้วอรินทิพย์ก็ได้แต่ยืนนิ่งเม้มปากทำหน้าแดง ปล่อยให้ผู้ใหญ่เดินยิ้มออกจากห้องผู้ป่วยพิเศษไปพร้อมกับกระดาษโน้ตหัวข้อรายงานที่ถูกเก็บซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด
[น้องอินไม่กล้าเหรอคะ งั้นเดี๋ยวไรท์เตอร์ขออาสาไปชิงกระดาษโน้ตมาคืนให้นะ >>> เพียะ!>>> ไรท์เตอร์เอามือกุมแก้มด้านซ้ายเดินกลับมาหาน้องอิน... พี่ปริมของหนูนี่มือหนักชะมัดเลยอ่า ภารกิจไม่สำเร็จอ่ะ พี่ขอโทษ (T_TO)]
.
.
วันเสาร์ตอนสาย ๆ
อรินทิพย์ลงจากรถสีขาวคันเล็กของพี่สาวคนสวย ไขกุญแจรั้ว เปิดประตูบ้านแล้วเดินนำพาแขกเข้าไป วันนี้เธอต้องกลับมาที่บ้านเพื่อซักรีดเสื้อผ้า กวาดถูทำความสะอาดที่อยู่อาศัย แน่นอนว่าคุณพี่ดีเด่นไม่ยอมอยู่เฉย ระหว่างที่เธอกำลังตากผ้า พี่ปริมก็เดินเข้ามาหา
“ให้พี่ช่วยตากผ้าไหม?”
“ไม่ต้องค่ะ...”
“อุ๊ย! นี่มัน!... ชุดชั้นในของเด็กน้อย อืม... พี่คงต้องซื้อขนมนมเนยมาเลี้ยงน้องอินเยอะ ๆ ซะแล้ว จะได้โตเร็ว ๆ”
เผียะ!
“พี่ปริมทะลึ่ง! >//////<”
เสื้อผ้าชุดเครื่องแต่งกายชั้นนอกก็มีให้ช่วยหยิบเอาไปตากตั้งเยอะแยะ แต่ผู้ใหญ่ทะลึ่งดันโชคดี จับฉลากได้ชุดชั้นใน ไม่รู้ว่าตั้งใจรึเปล่า [พี่ปริมเค้าตั้งใจอยู่แล้วล่ะค่ะน้องอิน ไม่เห็นต้องสงสัยเลย ฮ่า ๆ] ผู้ใหญ่ทะลึ่งโดนเด็กตีแขนเอาดังเผียะเสียงดังชัดเจนได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน ต่อด้วยการผลักไหล่แก้เขินจนผู้ใหญ่ร่างบางเซถลาแซ่ด ๆ จนเกือบล้ม แต่ผู้ใหญ่ทะลึ่งก็ยังไม่วาย พูดเถียงข้าง ๆ คู ๆ ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ทะลึ่งตรงไหนเล่า!? โตเร็ว ๆ ที่พี่ว่าน่ะ พี่หมายถึงส่วนสูงกับน้ำหนักต่างหาก”
“โกหก! อินไม่เชื่อหรอกว่าพี่หมายความว่าอย่างนั้นน่ะ >/////<”
“ยอมรับก็ได้ว่าโกหก อิอิ”
“อย่ามาทำตาวาวมองอินแบบนี้นะ มองแล้วขนลุกอ่ะ >_<“ พี่ปริมออกไปไกล ๆ เลย ห้ามเข้าใกล้อินในระยะสองเมตร ตรงนี้เป็นเขตปลอดผู้ใหญ่ทะลึ่ง”
“ถ้าพี่ฝ่าฝืนข้ามเขตเข้าไปล่ะ จะได้รับโทษสถานใด?”
“บทลงโทษบัญญัติไว้ว่าจะโดนเด็กเอาไม้แขวนเสื้อฟาดเอา”
“อุ่ย! ใครออกกฎหมายเนี่ย ซาดิสต์อ่ะ... แต่ไม่เป็นไร ถ้าน้องอินเป็นพวกซาดิสต์ งั้นพี่ยอมเป็นพวกมาโซคิสต์ ชอบให้คนรักกระทำรุนแรงก็ได้... มามะ มาให้พี่กอดซะดี ๆ จะตีพี่ก็ได้ พี่ไม่ว่า แต่ขอกอดนาน ๆ หน่อยนะ จะได้คุ้มค่ากับที่พี่ต้องยอมเจ็บตัว”
“ผู้ใหญ่ทะลึ่ง โรคจิต!... อ๊าย! อย่าเข้ามาน้า~”
ผู้ใหญ่ทะลึ่งโรคจิตยิ้มกริ่มทำตาวับวาวแบบที่เธอมองแล้วขนลุก สองขาขยับก้าวเข้ามาใกล้ ข้ามเข้ามาในเขตปลอดผู้ใหญ่ทะลึ่งที่เธอเพิ่งขีดเส้นเอาไว้ แถมทำท่าทางกางแขนออกกว้าง อรินทิพย์จึงหยิบไม้แขวนเสื้อขึ้นมา แต่ก็ทำได้แค่เงื้อง่าขู่กันเพียงเท่านั้น เธอกล้าตีพี่ปริมเสียที่ไหนล่ะ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ...
หมับ!
ฟอด ฟอด ฟอด ฟอดดด.... กับอีกหนึ่ง... จุ๊บ
ผู้ใหญ่ทะลึ่งโรคจิตรวบเด็กที่แกล้งเอากฎหมายซาดิสต์มาขู่เข้าอ้อมกอด ปณิตากดจมูกโด่งจิ้มแก้มเนียนใสของเด็กน้อยพร้อมกับทำเสียงประกอบดังฟอดฟอดด้วยความหมั่นเขี้ยว ตบท้ายด้วยการประทับรอยริมฝีปากเป็นของแถมอีกหนึ่งที เด็กน้อยที่ถูกกักขังในอ้อมแขนของผู้ใหญ่ได้แต่ย่นคอยักไหล่เพราะจั๊กจี้ อรินทิพย์อมยิ้มอย่างเอียงอาย เขินสายตานกกระจอกสองตัวที่เกาะอยู่บนรั้ว พวกมันจับจ้องมองคนกอดกันหอมแก้มกันแบบตาไม่กะพริบเลยเชียว กว่าผู้ใหญ่จะยอมคลายอ้อมแขนปล่อยเด็กน้อยออกจากอ้อมกอด เด็กน้อยกับนกกระจอกต้องช่วยกันส่งเสียงร้องประท้วงอยู่นานพอสมควร
เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันเสาร์
เด็กน้อยทำภารกิจปฏิบัติการสะสางงานบ้านเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะว่าอรินทิพย์มีผู้ใหญ่นิสัยทะลึ่งนิด ๆ แต่ใจดีมากคอยให้ความช่วยเหลือ เด็กน้อยทำงานบ้านอย่างสุดท้าย เสื้อผ้าที่ผ่านกระบวนการทำให้รอยยับหายถูกเก็บเข้าตู้ จากนั้นเธอก็หันไปประกาศบอกพี่ปริมที่กำลังนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค
“อินรีดผ้าเสร็จแล้วค่ะ”
“พี่ก็ทำงานเสร็จแล้วเหมือนกัน น้องอินมาดูสิคะว่าใช้ได้ไหม”
“ทำไมต้องให้อินดูด้วยล่ะคะ?”
เด็กน้อยเอียงคอถามด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้พี่สาวคนสวยบอกว่าขอยืมโน้ตบุ้คของเธอไปอัพโหลดบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ลงเว็บไซต์ของบริษัทนี่นา ซึ่งผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมตอบคำถามของเธอหรอกว่าทำไมต้องให้เธออ่านดูด้วย อรินทิพย์เห็นพี่ปริมเอาแต่อมยิ้มและกวักมือหยอย ๆ เธอจึงก้าวเท้าเข้าไปยืนข้างเก้าอี้ที่พี่ปริมนั่งแล้วก้มตัวลงไปอ่านดูสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอ พอเห็นว่าโปรแกรมอะไรที่เปิดอยู่ ได้รู้ได้อ่านรายละเอียดของแต่ละประโยค เด็กน้อยก็เกิดอาการยืนอึ้ง ยิ่งพอผู้ใหญ่กดนิ้วชี้ไปบนเม้าส์ ทำให้สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอเปลี่ยนไป อรินทิพย์ก็ยิ่งตกใจจนทำตาโตอ้าปากค้าง
“พ... พี่ปริม... เตรียมสไลด์พรีเซ้นต์ให้อินด้วยเหรอ!?”
“ช่าย~ เป็นไง ใช้ได้ไหมคะ?... พี่ไม่ลืมใส่ที่มาของรูปภาพกับข้อมูลด้วยน้า ส่วนเนื้อหาโดยละเอียดสำหรับเอาไว้พูดพรีเซ้นต์ พี่ใส่เอาไว้ให้ตรงคำอธิบายสไลด์แล้ว อ่อ... ไฟล์ข้อมูลดิบกับไฟล์รายงานที่เป็นไมโครซอฟเวิร์ด พี่ทำให้ตั้งแต่เมื่อคืนละ แปะไว้บนเดสก์ท็อปนี่ น้องอินลองไปอ่านดูนะ”
“............”
“อ่าว... นิ่งไปเลย น้องอิน! ถึงกับช็อกไปเลยเหรอ...”
“พี่ปริมอ่ะ...”
“อะไรคะ?”
“พ... พี่ไม่เห็นต้องทำให้อินถึงขนาดนี้เลย”
เด็กน้อยมองผู้ใหญ่ใจดีด้วยสายตาวิบวับเป็นประกายไหวไหว น้ำตาแห่งความซาบซึ้งตื้นตันใจเอ่อคลอท่วมท้นจนเกือบล้นตลิ่งขอบตา พี่ปริมฟังที่เธอพูดแล้วก็ส่งยิ้มกว้างกลับมาให้
“พอดีว่าพี่ว่าง พี่มีเวลา พี่ก็เลยทำให้... ขอทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้างดีกว่ามานั่งแชทนั่งเล่นเกมส์ฆ่าเวลาให้ตายเปล่า... อุ๊ย!”
ผู้ใหญ่ร้องอุทานเพราะอยู่ดี ๆ เด็กน้อยก็โผเข้ามากอดคอโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อรินทิพย์กอดพี่สาวคนสวยเสียแน่นพร้อมกับส่งเสียงอู้อี้
“ผู้ใหญ่คนนี้นิ่ จะทำตัวน่ารักเกินไปแล้ววว~”
ผู้ใหญ่น่ารักเกินไปหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นมากอดตอบเด็กน้อยพร้อมกับกระซิบถาม
“น่ารักเกินไปเหรอ... แล้วกัน... แบบนี้น้องอินจะรักพี่ไหมเนี่ย?”
เด็กน้อยเอียงหน้าไปพูดเสียงอุบอิบกรอกหูผู้ใหญ่ว่า
“ถ้าไม่รัก... ก็ไม่กอดหรอกค่ะ >//////<”
“รักพี่มากกว่ากอดได้ไหม?”
อรินทิพย์ฟังคำถามจบแล้วก็ต้องคลายอ้อมกอดออกมามองหน้าคนถาม พอเห็นผู้ใหญ่ทำท่าทางเอานิ้วจิ้มแก้มตัวเองพร้อมกับทำปากจู๋ บอกให้รู้ว่ามากกว่ากอดในที่นี้คืออะไร เด็กน้อยกัดริมฝีปากล่างด้านในกลั้นความเขิน ใช้เวลารวบรวมความกล้าอยู่สักพัก ก่อนจะค่อย ๆ พาใบหน้าตัวเองเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ใบหน้าของพี่ปริมอย่างช้า ๆ แล้วก็... แล้วก็...
จุ๊บ
เด็กน้อยประทับรอยริมฝีปากลงบนแก้มขาวเนียนของผู้ใหญ่น่ารักเกินไปหนึ่งที
“เอ่อ... คือ... อิน... อิน... อินไปอาบน้ำก่อนนะ >///////<”
พอจุ๊บเสร็จเด็กน้อยก็รีบวิ่งหนีหายตัวเข้าไปในห้องน้ำ อรินทิพย์ปิดประตูห้องน้ำดังปังแล้วเอาหลังพิงบานประตูเอาไว้ เด็กน้อยยกมือสองข้างขึ้นมาปิดหน้าปิดตาที่แดงก่ำขึ้นสีและร้อนผ่าววูบวาบของตัวเองพร้อมกับร้องตะโกนในใจ...
อ๊า~ เขินจังเลยอ่า...
ตั้งแต่เกิดมาอินไม่เคยจูบแก้มใครมาก่อนเลยนะ >////////<
แล้วเด็กน้อยก็หน้าแดงต่อไปไม่หาย เพราะผู้ใหญ่ส่งเสียงถามดังแว่วทะลุผ่านบานประตูเข้ามา
“บอกว่าจะอาบน้ำแต่ทำไมไม่เอาผ้าเช็ดตัวเข้าไปด้วยล่ะคะ?”
แกร็ก
เด็กน้อยแง้มประตูโผล่หน้าแดง ๆ ออกมาจากห้องน้ำ กะจะไปหยิบผ้าเช็ดตัว แต่พบว่าผู้ใหญ่ใจดีกำลังเดินถือมันมา อรินทิพย์จึงยืนรออยู่ในห้องน้ำ เด็กน้อยเห็นคุณพี่คนสวยมีรอยยิ้มติดตรงมุมปากนิด ๆ มือของพี่ปริมเคลื่อนที่มาตรงหน้าเธอเพื่อส่งผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ ในขณะเดียวกัน ริมฝีปากอิ่มหยักสวยก็ขยับอ้า เอื้อนเอ่ยเสียงนุ่มติดเจ้าเล่ห์ถามเธอว่า
“ให้พี่ช่วยอาบให้ไหม?”
“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณ >/////<”
เด็กน้อยยื่นมือไปหาผ้าขนหนู แต่ผู้ใหญ่เบี่ยงแขนหลบแล้วตั้งคำถามใหม่
“งั้นช่วยอาบน้ำให้พี่ได้ไหม?”
“ได้ค่ะ พี่ปริมถอดเสื้อผ้าเลย เดี๋ยวอินอาบให้”
“กล้าอาบน้ำให้พี่จริงอ้ะ!?”
อรินทิพย์ยิ้มขำเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทำตาวับวาว ทำท่าระริกระรี้หลังได้ยินคำตอบของเธอ เด็กน้อยอาศัยช่วงจังหวะที่ผู้ใหญ่มัวแต่เผลอเรอ หลงเคลิ้มยืนตาลอยดีอกดีใจกับคำตอบที่ได้รับ จัดการฉกชิงยึดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาจนได้ พอได้สิ่งที่ต้องการ เด็กน้อยก็พลิกลิ้น
“อินล้อเล่นค่ะ”
ปึ่ง!
ลูกแมวน้อยแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นอย่างน่ารักแล้วปิดประตูดังปึง กันแมวใหญ่ทะลึ่งไม่ให้เข้ามา
................