ตอนที่ 9
เวลาผ่านไปอีกสองวัน...
เย็นวันจันทร์หลังเลิกเรียน อรินทิพย์ยืนรอรถของพี่สาวใจดีที่บอกว่าจะมารับเธอไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาลด้วยกัน เด็กน้อยยืนใจลอยอยู่ไม่นาน กล้ามเนื้อขาไม่ทันจะล้าก็มีรถสีดำสนิทคันคุ้นตามาจอดเทียบทางเท้าตรงหน้าเธอ รถคันใหญ่เคลื่อนตัวตามก้นรถคันอื่นไปอย่างเชื่องช้า การจราจรติดขัดหนาแน่นช่วงเลิกเรียนเลิกงานทำให้ผู้โดยสารต้องนั่งนิ่งอยู่ในรถนานเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาล ถึงแม้บ้านของผู้ใหญ่ใจดีจะอยู่คนละทิศ แต่ปณิตาก็ขยันนั่งรถขับรถไปเยี่ยมอาการป่วยของคุณอรทัยทุกวัน พอเดินทางถึงจุดหมาย เด็กน้อยก็เปิดประตูให้คุณพี่คนสวยเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ อรินทิพย์ยืนมองพี่ปริมสอบถามพูดคุย มอบรอยยิ้มและกำลังใจให้คุณแม่ของเธอ ความรู้สึกด้านดีหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในใจส่งผลให้ริมฝีปากจิ้มลิ้มของเด็กสาวยกมุมขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กน้อยกลับจืดจางลงเรื่อย ๆ แปรผันตรงกับระยะทางที่เดินไป
อรินทิพย์เดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย เท้าสองข้างสลับกันยกย่างไปข้างหน้าในขณะที่สองตาก็สอดส่ายมองซ้ายมองขวา สำรวจความเป็นไปของผู้คน พี่ปริมชักชวนเธอไปนั่งทานอาหารเย็นด้วยกัน มื้อนี้ผู้ใหญ่พาเธอเดินข้ามสะพานลอยไปลองชิมฝีมือของร้านอาหารตามสั่งฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลดู หลังจากเรียกเด็กเสิร์ฟของร้านให้มารับกระดาษจดรายการอาหารไปส่งให้แม่ครัว อรินทิพย์ที่กำลังนั่งก้มหน้าคิดอะไรเพลินอยู่ก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมาเพราะคนนั่งโต๊ะเดียวกันส่งเสียงถาม
“น้องอินไม่สบายรึเปล่า?”
“เปล่าค่ะ อินสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไรจริงเหรอ? พี่ว่า... น้องอินดูเงียบ ๆ ผิดปกตินะ”
คำพูดของพี่ปริมทำให้ริมฝีปากของเด็กน้อยมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาจาง ๆ อรินทิพย์รู้สึกดีที่พี่สาวคนสวยคอยดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี แค่เธอมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเพียงนิด แค่เธอเหม่อลอยพูดน้อยลงแค่นี้ พี่ปริมยังสังเกตเห็น และเพราะเธอมัวแต่คิดชื่นชมผู้ใหญ่อ่อนไหว ไวต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนรอบข้าง อรินทิพย์จึงนั่งเงียบนั่งนิ่ง ลืมตอบคำถามของผู้ใหญ่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นหัวคิ้วของพี่ปริมเริ่มขยับเข้าหากัน ฝ่ายผู้ใหญ่เห็นเธอแสดงอาการแบบนี้ก็เลยยิ่งคิดเป็นห่วงเป็นกังวลแน่ ๆ เลย คงต้องรีบพูดอธิบาย ในขณะที่เธอกำลังพยายามเรียบเรียงความคิดความรู้สึกให้เป็นถ้อยคำ คนอายุมากกว่าก็สั่งการให้ริมฝีปากบนและล่างขยับออกห่างจากกันบ้าง เข้าใกล้กันบ้าง พี่ปริมส่งเสียงพูดถามเดาสาเหตุที่ทำให้เธอเกิดอาการนิ่งเงียบผิดปกติ
“ทำหน้าเศร้าแบบนี้แสดงว่าน้องอินต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่ ๆ เลยใช่ไหม? คิดมากกลุ้มใจเรื่องอาการป่วยของคุณแม่เหรอคะ? ไม่ต้องกังวลไปหรอก คุณหมอบอกว่าอาการแพ้คีโมของคุณแม่ไม่หนักมาก ไขกระดูกเริ่มสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มได้แล้วด้วย...”
“เอ่อ... พี่ปริมคะ อินไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็ไม่ได้กลุ้มใจเรื่องคุณแม่หรอกค่ะ อินก็แค่... รู้สึกไม่ค่อยดี... อินไม่ชอบบรรยากาศของโรงพยาบาลเลยค่ะ”
“รู้สึกไม่ดี!? ไม่ชอบบรรยากาศ?”
“ค่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เฮ้อ...”
อรินทิพย์ทำหน้าสลด ถอนหายใจดังเฮือก บอกกล่าวเล่าสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ชอบโรงพยาบาลให้ผู้ใหญ่ฟังว่า...
“ก็ในโรงพยาบาลมันมีแต่ภาพที่ไม่น่ามองนี่คะ... มองไปทางไหนก็มีแต่คนป่วย คนไม่สบาย บางทีก็ได้ยินเสียงคนเจ็บร้องโอดโอยครวญคราง เมื่อกี้ตอนเราเดินออกมา พี่ปริมก็น่าจะเห็น... มีคุณป้าคนนึงร้องห่มร้องไห้จนเป็นลมล้มทั้งยืนเพราะลูกชายเสีย... มาโรงพยาบาลทีไร อินรู้สึกหดหู่จิตตกทุกทีเลย เฮ้อ...”
เด็กน้อยพ่นลมหายใจระบายความห่อเหี่ยวปิดท้ายอีกหนึ่งครั้ง แต่ผู้ใหญ่ฟังแล้วกลับยังยิ้มได้ อรินทิพย์จึงเอียงคอเล็กน้อย เด็กสาวมีเครื่องหมายคำถามสะท้อนอยู่ในนัยน์ตา ซึ่งคนอายุมากกว่าคงรู้ดีว่าเธอกำลังงุนงงสงสัยเรื่องอะไร เพราะไม่กี่วินาทีต่อมา พี่ปริมก็พูดกึ่งถามกึ่งเดา
“กำลังสงสัยอยู่ใช่ไหมว่าทำไมพี่ฟังความคิดเห็นชวนหดหู่ของน้องอินแล้วยังยิ้มได้?”
หงึก หงัก เด็กสาวพยักหน้าสองครั้ง
“เดี๋ยวระหว่างเดินกลับโรงพยาบาลพี่จะพูดให้ฟัง”
“พูดตอนนี้เลยไม่ได้เหรอคะ?”
“ก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่พี่อยากได้ภาพประกอบการบรรยายด้วย”
“???”
“ลูกแมวน้อยเอียงคอทำหน้างง กะพริบตาปริบ ๆ สองทีด้วย... น่ารักจังเลยยย~”
อยู่ดี ๆ แมวใหญ่ก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างฉับพลันกะทันหัน มาพูดชมกันว่าน่ารักได้หน้าตาเฉย ไม่สิ ต้องบอกว่าชมกันด้วยหน้าตายิ้มแฉ่งจนเห็นรอยบุ๋มของลักยิ้มตรงแก้ม ลูกแมวน้อยจึงต้องเปลี่ยนสีหน้าให้เข้ากับบทสนทนาอย่างทันทีทันใดเช่นกัน จากเมื่อครู่ทำหน้างง ตอนนี้ลูกแมวน้อยเปลี่ยนมาก้มหน้าก้มตาและแอบยิ้มแบบเขิน ๆ พี่ปริมทำให้เธอลืมภาพชวนเศร้า ทิ้งความคิดชวนหดหู่ของตนเองไปได้ชั่วขณะ แต่พอทานอาหารเย็นอิ่มแล้ว ถึงเวลาต้องเดินกลับเข้าไปในสถานที่ที่ตนเองบอกว่ามีแต่ภาพไม่น่ามอง มีแต่เสียงที่ไม่น่าฟัง ความรู้สึกเศร้าสร้อยห่อเหี่ยวก็เดินกลับมาเกาะกุมหัวใจของอรินทิพย์เหมือนเดิม คราวนี้เด็กน้อยจึงเดินก้มหน้ามองทางมองปลายเท้าตัวเอง ไม่อยากให้ประสาทสัมผัสทางตาได้เห็นภาพอะไรชวนให้รู้สึกเศร้า
“น้องอินคะ เราเดินไปทางนี้กันดีกว่า”
คนเดินขนาบข้างพูดชักชวนให้เปลี่ยนเส้นทาง พี่ปริมจับจูงมือเธอเดินเข้าไปในตึกผู้ป่วยนอกแทนที่จะเดินข้างนอกตึกเหมือนเช่นทุกครั้ง อรินทิพย์ยอมก้าวขาเดินตามไป แต่เด็กน้อยขี้สงสัยก็อดที่จะเอ่ยปากถามผู้ใหญ่ไม่ได้
“จะเดินไปไหนคะ?”
“ไปดูภาพประกอบการบรรยาย”
“???”
“ที่เราพูดกันในร้านอาหารเมื่อกี้ไงคะ”
“........”
“ในสายตาของพี่... บรรยากาศในโรงพยาบาลมันไม่ได้แย่ มีแต่ภาพไม่น่ามองอย่างที่น้องอินคิดหรอก”
“???”
พี่ปริมพูดยิ้ม ๆ แล้วก้าวขาให้ยาวขึ้น ลากตัวเธอเดินเข้าตึกไปหยุดยืนนิ่งในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจากเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ผู้ป่วยและญาตินั่งรอคุณหมอเรียกเข้าห้องตรวจ คนอายุมากกว่าหันมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้แล้วชี้นิ้วนำสายตาเธอไปยังกลุ่มคนที่นั่งเรียงรายอยู่หน้าห้องตรวจ
“น้องอินดูให้ดี ๆ สิคะ บรรยากาศในโรงพยาบาลนี่มองแล้วรู้สึกดี มีความสุขดีออก”
เด็กน้อยมองตามสายตาและนิ้วชี้ของผู้ใหญ่ สิ่งที่เธอเห็นมีแต่คนป่วยหน้าตาซีดเซียว คนที่มาด้วยก็มีแต่คนทำหน้าเศร้าหน้าทุกข์ เด็กสาวจึงหันไปถามผู้ใหญ่อีกครั้ง
“มองแล้วมีความสุขตรงไหน? ยังไงคะ? อินไม่เข้าใจ”
“ในสายตาของพี่แล้ว โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย มองไปทางไหนก็เจอแต่คนที่รักกัน...”
พี่ปริมหันมาพูดกับเธอเพียงเท่านี้แล้วเบนสายตาไปมองผู้คนที่นั่งอยู่บริเวณเก้าอี้รอตรวจอีกครั้ง ใบหน้าของผู้ใหญ่มีรอยยิ้มประดับอยู่อย่างบางเบาในขณะที่พูดอธิบายให้เด็กน้อยฟัง
“... คนที่มาโรงพยาบาลด้วยกันได้เนี่ย เป็นเพราะเขารักและเป็นห่วงกันมาก เขาถึงมาโรงพยาบาลด้วยกัน... ยอมเสียสละแรงกายช่วยหามช่วยหิ้วปีกคนป่วยมา ยอมเสียเวลา ยินดีที่จะนั่งคอยหมอเป็นเพื่อน คอยลูบหลังลูบไหล่ พูดจาปลอบใจให้กำลังใจคนป่วยว่าเจอหมอแล้วเดี๋ยวก็หาย ยอมทนนั่งมองผู้คนหน้าตาเศร้าหมองอมโรคชวนหดหู่เป็นเพื่อนกัน... น้องอินเห็นไหมคะ? บรรยากาศในโรงพยาบาลนี่มีแต่ความรักความห่วงใยเต็มไปหมดเลย มองแล้วรู้สึกดีออก”
หลังจากฟังผู้ใหญ่พูดจบ เด็กน้อยยืนนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ภาพของผู้คน บรรยากาศรอบกายถูกมองผ่านเลนส์ความคิดที่ผู้ใหญ่เอามาสวมให้ สิ่งที่เธอเคยคิดว่าไม่น่ามอง บรรยากาศที่เธอเคยบอกว่ามันน่าหดหู่ ตอนนี้อรินทิพย์มองแล้วกลับยิ้มได้ และรอยยิ้มก็ขยับขยายกว้างขึ้นได้อีกเมื่อเธอหันมาเงยหน้ามองคุณพี่คนสวย เด็กน้อยคลี่ยิ้มหวานให้คนที่มอบเลนส์มองโลกอันใหม่ให้
“ขอบคุณค่ะพี่ปริม”
ผู้ใหญ่ส่งยิ้มกว้างขวางขนาดเท่ากันให้เธอแล้วจับจูงพาเธอเดินต่อไป การทัวร์พร้อมไกด์บรรยายบรรยากาศดี ๆ ในโรงพยาบาลยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ พี่ปริมพาเธอแวะไปท่องเที่ยวแถว ๆ ระเบียงทางเดินหน้าห้องคลอด ขณะที่เธอกำลังเดินผ่านกลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวห้าหกคนที่นั่ง ๆ ยืน ๆ อยู่บริเวณแถวของเก้าอี้สีสดใสหน้าห้องคลอด เสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวจนเธอสะดุ้งตกใจ ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นพูดตะโกนซ้ำ ๆ ว่า...
“กูได้ลูกชาย... กูได้ลูกชายเว้ย! หน้าตาหล่อเหมือนพ่อเลย ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ชายหนุ่มที่เพิ่งจะได้เป็นพ่อคนอย่างเต็มตัวส่งเสียงหัวเราะเริงร่าจนตาตี่ ๆ กลายเป็นเส้นตรง เหล่าเพื่อนฝูงต่างกรูกันเข้าไปห้อมล้อมโอบกอดตบไหล่แสดงความยินดีกับชายผู้นั้น อรินทิพย์เห็นแล้วก็แอบยิ้ม พลอยรู้สึกยินดีตามไปด้วย หลังก้าวขาเดินห่างจากคุณพ่อมือใหม่และกลุ่มเพื่อนไปได้ไม่นาน พี่ปริมก็หันมาพูดกับเธอ
“นอกจากเสียงร้องไห้จากการสูญเสีย ที่โรงพยาบาลนี่ก็มีเสียงหัวเราะกับเสียงแสดงความยินดีเหมือนกันนะ”
“^___^”
อรินทิพย์ยิ้มกว้าง พยักหน้าหงึกหงักแสดงความเห็นด้วย และแล้วโลกทั้งใบของเด็กน้อยก็เอียงไปทางพี่ปริม อรินทิพย์เอนตัว เอียงศีรษะไปพิงผู้ใหญ่ มือข้างที่จูงกันมาถูกเปลี่ยนท่าจับเป็นประสานเกี่ยวคล้องนิ้วทุกนิ้วเข้าด้วยกัน เด็กน้อยพูดพึมพำบอกกับผู้ใหญ่ว่า
“บรรยากาศในโรงพยาบาลนี่มีแต่ความรักเต็มไปหมดอย่างที่พี่ปริมบอกจริง ๆ ด้วย”
“ไม่ใช่แค่ในโรงพยาบาลนะ... ถ้าลูกแมวน้อยอยู่ใกล้ ๆ พี่แมวใหญ่ละก็น้า~ บรรยากาศที่ไหน ๆ ก็เต็มไปด้วยความรักนะ รู้สึกได้รึเปล่า?”
“...>/////<...”
แมวน้อยไม่ตอบ แต่เอาขมับถูหัวไหล่แมวใหญ่ไปมาสองที อรินทิพย์แอบตะโกนเสียงดังอยู่ในใจ...
ถ้าอยู่กันแค่สองคน เมื่อกี้คงกระโดดเข้าไปกอดคอแล้ว~>//////<
พี่แมวใหญ่ของอินน่ารักที่สุดอ่ะ ^_____^
พอเสียงตะโกนในใจเริ่มเบาลง แมวน้อยก็หันไปตอบคำถามที่ยังติดค้างแมวใหญ่
“อินรู้สึกได้ค่ะ... รู้สึกว่ามันมากยิ่งกว่ารักอีก”
แมวน้อยหัวเราะเบา ๆ เมื่อสังเกตเห็นว่าแมวใหญ่พยายามจะอมยิ้ม แต่อมไม่หมด ยิ้มส่วนเกินดันริมฝีปากบนหยักสวยกับริมฝีปากล่างอวบอิ่มให้ขยับออกห่างจากกันจนเห็นไรฟันจนได้ อรินทิพย์จึงแอบขำ เด็กน้อยช่วยพวกยิ้มง้างริมฝีปากของพี่ปริมโดยพูดต่อไปว่า
“พี่ปริมให้อินมากยิ่งกว่ารักจริง ๆ นะคะ... พี่ปริมทำให้อินมีความสุข แถมยังสอนให้อินรู้จักสร้างความสุขให้ตัวเองด้วย นอกจากจะรู้สึกถึงความรักของพี่แมวใหญ่ได้แล้ว อินรู้สึกอบอุ่น รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้พี่”
“ถ้าน้องอินชอบอยู่ใกล้ ๆ พี่ งั้นพี่ก็จะมาอยู่ใกล้ ๆ น้องอินบ่อย ๆ นะ”
“อินไม่ได้ชอบอยู่ใกล้ ๆ พี่เสียหน่อย”
“อ่าว!”
“อิน... รัก... ที่จะอยู่ใกล้ ๆ พี่ต่างหาก”
ลูกแมวน้อยพูดจบก็เอียงตัวเอาขมับไปซบหัวไหล่ของพี่แมวใหญ่อีกรอบ ไม่ใช่อะไรหรอก ลูกแมวน้อยเกิดอาการพูดเองเขินเองอีกแล้ว ส่วนแมวใหญ่น่ะเหรอ ตอนนี้ยิ้มกว้างหน้าบานกว่าจานรับสัญญาณคลื่นไมโครเวฟจากนอกโลกเสียอีกมั้ง จานรับสัญญาณยี่ห้อพี่ปริมนี่สีสันสดสวยใช่เล่น เพราะมันเป็นสีชมพูด้วยล่ะ (o^____^o)
ลูกแมวน้อยเขินกับแมวตัวใหญ่เขินหันไปส่งยิ้มให้กันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็เดินคลอเคลียตัวชิดติดกันจนกระทั่งถึงห้องพักผู้ป่วยพิเศษที่เป็นจุดหมายปลายทาง
.
.
เวลาผ่านไปอีกห้าวัน
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ปณิตาตื่นนอนแต่เช้าเหมือนเช่นทุกวัน แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม ไม่ค่อยจะเป็นปกติเท่าไหร่ หญิงสาวหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งตรงหัวโต๊ะอย่างเชื่องช้า ค่อย ๆ ใช้มือขวายกช้อนขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อย โจ๊กทะเลใส่ไข่โดนปณิตาเป่าให้หายร้อนดังเฮ้อแทนที่จะดังแค่ฟู่ ๆ กล่องใส่ทิชชูบนโต๊ะเห็นเจ้านายมีอาการซึม ๆ จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่าสองสามวันนี้เป็นอะไรไปคะ ท่าทางเจ้านายดูหงอยเหงาไม่สดใสเลย เจ้านายสาวเขี่ยปลาหมึกในชามเล่น ถอนหายใจเสียงดัง เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดตอบคำถามให้กล่องใส่ทิชชูฟังว่า
“คิดถึงลูกแมวน้อยจังเลย”
แมวใหญ่บ่นงึมงำทำหน้าเศร้า ปณิตาเจอหน้าลูกแมวน้อยของเธอครั้งล่าสุดเมื่อตอนเย็นวันอังคาร ส่วนวันพุธถึงศุกร์ หญิงสาวโดนหน้าที่การงานรังแกให้เลิกงานช้า ไม่ว่างไปรับเด็กกลับบ้าน เมื่อวานวันเสาร์ก็ไม่ได้ไปหาลูกแมวน้อย อรินทิพย์บอกว่าไม่สะดวกจะให้เธอไปหาเพราะมีแขกมาเยือนหลายคน แขกที่ว่าก็คือบรรดาเพื่อน ๆ ที่นัดกันมาติวหนังสือและระดมสมองช่วยกันค้นคว้าทำรายงาน ผู้ใหญ่เลยต้องหลีกทางให้
ปณิตาใช้เวลาพักผ่อนวันเสาร์ทั้งวันไปกับการดูภาพยนต์ เดินเที่ยวห้างและทานข้าวกับเพื่อนสาวสองคนบวกชายหนุ่มที่เพื่อนหนีบมาอีกสาม แน่นอนว่าหนุ่มคนที่สามนั้นมีเธอเป็นเป้าหมาย ถึงจะรู้สึกอึดอัดขัดใจ ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะไปด้วยสักเท่าไหร่ แต่หญิงสาวไม่มีทางเลือก เพื่อนสนิทสองคนลงทุนมาตามจิกกันถึงบ้าน มีการยืนบังหน้าจอโทรทัศน์เอามือเท้าสะเอวพูดบ่นจนเธอหูชา กล่าวหาว่าเธอทิ้งเพื่อนทิ้งฝูง ปณิตาจะบอกจะอ้างว่าไม่ว่างหรือมีธุระก็ไม่ได้ เพราะเพื่อน ๆ เห็นอยู่เต็มตาว่าเธอนั่งจุมปุ๊กทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หน้าจอทีวี ส่วนวันนี้ ลูกแมวน้อยบอกว่าต้องทำงานบ้านทั้งวัน ไม่ว่างออกไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ที่ไหน แมวใหญ่จึงได้แต่นั่งหง่าวทำหน้าหงอย
แง้ว~ พี่แมวใหญ่คิดถึงลูกแมวน้อยใจจะขาด
ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งสี่วันแล้วน้า~ (T___T)
“ถ้าความคิดถึงมันฆ่าคนได้จริงจริง
ให้ทายว่าในวันนี้ฉันจะต้องตาย
กี่ครั้งแล้วรู้ไหมที่เธอไม่อยู่
ความคิดถึงมันทำงานทั้งวัน...”
ขณะที่ปณิตาพ่นลมคิดถึงเป่าโจ๊กทะเลใส่ไข่ให้หายร้อน เสียงทุ้มห้าวเป็นเนื้อเพลงฮิตที่ขับร้องโดยหมอโอ๊ค สมิทธิ์ ก็แว่วมาเข้าหู หญิงสาวหันขวับไปมองต้นกำเนิดเสียงอย่างรวดเร็วจนคอแทบหัก ปณิตาเหวี่ยงค้อนให้คนร้องเพลงแซวเธอทันที
“พี่เก้า... ไปร้องเพลงไกล ๆ เลย”
“ฮ่า ๆ ๆ... ทำไมล่ะ? พี่ร้องเพลงเพราะไม่แพ้ต้นฉบับเลยนะเนี่ย ฝึกร้องมาหลายวัน รับรองว่าไม่ผิดคีย์ แถมหน้าตาก็หล่อใกล้เคียงกับหมอโอ๊คเลย”
ปณิตาเบะปาก พูดอธิบายบอกปลาหมึกที่โดนตัดเป็นวงนอนฟังอยู่บนช้อนว่า “หมอโอ๊คในที่นี้พี่เก้าคงหมายถึงสีผิวเหมือนเปลือกต้นโอ๊ค”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... พี่ไปก่อนนะ วันนี้แฟนพี่นัดให้ไปหา จะมีการเปิดตัวว่าที่ลูกเขยให้ว่าที่พ่อตาได้ดูหน้า...
หนึ่งวันมีหนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบนาที
ฉันคิดถึงเธอทุกทุกวินาที เธอคิดดูก็แล้วกัน~
กว่าจะพ้นหนึ่งวัน รู้ไหมว่ามันเหนื่อยยากแค่ไหน
เมื่อไม่มีเธอ~”
นักร้องสีผิวเปลือกต้นโอ๊คหัวเราะขำเสียงดังแล้วเดินจากไปพร้อมร้องเพลงแถมให้อีกท่อนหนึ่ง
แมวใหญ่ที่โดนแซวโดนเยาะเย้ยจึงทนไม่ไหว วิ่งตะกายบันไดปีนไปเอาโทรศัพท์มือถือบนชั้นสอง ปณิตาโทรไปหาลูกแมวน้อยทั้ง ๆ ที่ยังรับประทานอาหารเช้าไม่เสร็จ พอเสียงรอสายหายไป ปลายสายยังไม่ทันส่งเสียงฮัลโหล ปณิตาก็ขยับปากส่งเสียงเข้าไมโครโฟนเสียแล้ว
“เดี๋ยวพี่จะไปหานะคะ อยากจะพาน้องอินออกไปเที่ยว”
(แต่ว่าอินต้องทำงานบ้าน ซักผ้ารีดผ้า...)
“พี่จะไปช่วยตากชุดชั้นใน”
(พี่ปริมนิ่!)
ปณิตาขำเสียงดังแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “คราวนี้จะไปช่วยตากชุดชั้นนอกด้วย ระหว่างที่รอให้ผ้าแห้ง เราก็ออกไปเที่ยวกันไง”
(ไม่ได้ค่ะ อินต้องกวาดบ้านถูบ้านด้วย)
“พี่ช่วยทำก็ได้”
(พี่ปริม...)
“อย่าห้ามกันเลยนะ พี่แค่อยากไปหา... คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึงยกกำลังร้อยยี่สิบห้า อยากเจอ อยากเห็นหน้า เข้าใจไหม?”
เด็กน้อยหัวเราะขำ (เข้าใจค่ะ... แต่...)
“บอกว่าเข้าใจ แล้วทำไมยังมีแต่อีกล่ะคะ?”
(คือ... พี่ปริมจะมาหาอินก็ได้ แต่ว่า... อินมีงานต้องทำจริง ๆ นะคะ นอกจากงานบ้านแล้ว อินยังทำการบ้านไม่เสร็จเลย เราคงไม่ได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน เรื่องเที่ยวเอาไว้วันหลังนะคะ)
“อื้อ พี่เข้าใจ แค่ให้พี่ไปหาไปเจอหน้าได้ก็พอแล้ว... งั้นพี่จะรีบไปกินข้าวต่อละ จะได้รีบไปหาน้องอินเร็ว ๆ แล้วเจอกันค่ะ”
หลังวางสาย ปณิตารีบวิ่งลงบันไดไปยังห้องอาหารเพื่อจัดการโจ๊กทะเลที่ยังรอเธออยู่ คุณแม่นมจอมเฮี้ยบเห็นเข้าก็ส่งเสียงดุลั่นห้องโถงแถมเดินตามไปตีแขนถึงโต๊ะอีกต่างหาก หญิงสาวที่ทำตัวเหมือนเด็กเอามือลูบแขนร้องอู้ย บอกกับคุณแม่นมว่า
“กลางวันกับเย็นนี้ไม่ต้องหุงข้าวทำกับข้าวเผื่อปริมนะคะ”
ผู้สูงวัยหรี่เปลือกตาลงครึ่งหนึ่ง “จะไปกินกับเด็กอีกแล้วล่ะสิท่า”
“อิอิ ถูกต้องค่า~”
“กินกับเด็กนี่ยังดี... อย่าลบคำว่า กับ ทิ้งก็แล้วกัน เดี๋ยวโดนตำรวจมาตามจับถึงบ้านอีก”
เจอคุณแม่นมพูดแซวเอาแบบนี้ คนกินกับเด็กก็เลยเกิดอาการขำจนสำลักโจ๊ก ปณิตาเอามือปิดปากส่งเสียงไอค่อกแค่กผสมเสียงหัวเราะ
“นมแจ่มอย่ามาพูดแซวชี้นำทำให้ปริมคิดจะกินเด็กสิคะ”
“พูดชี้นำ?... คุณหนูเลือกใช้คำผิดละ ต้องใช้คำว่า พูดดักคอ ต่างหาก”
“มิน่าล่ะ ปริมถึงกลืนโจ๊กไม่ลงคอ เมื่อกี้โดนนมแจ่มพูดดักคอเอานี่เอง อิอิ”
คุณแม่นมกัดฟัน ส่งมือไปหยิกแก้มของคุณหนูพลางพูดแซว
“พอจะไปหาเด็กได้ล่ะอารมณ์ดีหัวเราะร่าเชียวนะ ก่อนหน้านี้ยังทำหน้าจ๋อยกินข้าวกินปลาไม่ลงอยู่เลย”
“นมแจ่มปล่อยมือได้แล้ว ปริมจะรีบกินข้าว จะรีบไปหาเด็ก”
“ฮู้ยยย~... ฟังแล้วมันยิ่งหมั่นไส้ นมแจ่มจะหนีบแก้มเอาไว้แบบนี้แหละ จะหนีบไว้อย่างนี้จนไปหาเด็กไม่ได้เลย”
“ถ้านมแจ่มไม่ปล่อย ปริมก็จะไปหาน้องอินทั้งที่มีนมแจ่มหยิกแก้มแบบนี้ล่ะ”
“มันจะมากเกินไปแล้ววว~ จะรักจะหลงอะไรมากมายขนาดนั้น!”
“นั่นน่ะสิคะ ปริมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่ารักแล้วหลงแล้วมีความสุข นมแจ่มปล่อยปริมให้หลงรักเด็กไปเถอะ”
คุณแม่นมอมยิ้ม ยอมปล่อยมือออกจากแก้มของคุณหนู นอกจากจะปล่อยมือ นมแจ่มยังปล่อยอีกอย่าง “นมแจ่มน่ะปล่อยให้คุณหนูรักเด็กหลงเด็กได้อยู่แล้ว แต่พวกคุณท่านจะปล่อยรึเปล่า นมแจ่มไม่รู้”
คำพูดของผู้สูงวัยทำให้ปณิตาดึงหัวคิ้วเข้าชนประสานงากัน
“ปริมลืมคิดถึงข้อนี้ไปเลยค่ะ... ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมล่ะ ปริมจะทำยังไงดี?”
“เรื่องนี้นมแจ่มว่าเดี๋ยวค่อยคิดก็ได้มั้งคะ ไว้คุณหนูแน่ใจก่อนเถอะว่ารักเด็ก และเด็กรักจริง ๆ แล้วค่อยมาคิดกันทีหลังว่าจะทำยังไง”
“ถ้าวันนั้นมาถึง นมแจ่มต้องเข้าข้างปริมนะคะ ต้องช่วยปริมคิดนะ”
“จ้า ๆ... คุณหนูรีบกินโจ๊กให้หมดเถอะ ไหนบอกว่าจะรีบไปหาเด็กไง”
.
.
กิ๊งก่อง~
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้คนที่เงี่ยหูรอฟังรีบทิ้งแปรงซักผ้าในมือ อรินทิพย์วิ่งจากหลังบ้านไปยังหน้าบ้านโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที ทำลายสถิติโลกวิ่งทะลุบ้าน พอเข้าถึงเส้นชัย นักวิ่งระยะสั้นเห็นคนจับเวลาทำท่าเกาะรั้วยืนคอยส่งตาปรอยมาให้ อรินทิพย์จึงยิ้มขำ ไขกุญแจรั้วไปหัวเราะไป
“สวัสดีค่ะพี่ปริม”
“...........”
ผู้มาเยือนพนมมือรับไหว้แล้วเดินผ่านประตูรั้วเข้ามาอย่างเงียบเชียบ สีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปมีเพียงอย่างเดียวคือประกายวิบวับเต็มไปด้วยความยินดีที่เปล่งออกมาจากดวงตาคู่สวย นอกจากความยินดีแล้ว อรินทิพย์คิดว่านัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของพี่ปริมนั้นพูดได้ เพราะในตอนนี้เธอได้ยินเสียงคำพูดคำหนึ่งดังก้องอยู่ในหัวอย่างชัดเจน มันคือคำว่า...
คิดถึง
เด็กน้อยแน่ใจว่าคำพูดที่กำลังดังอยู่ในหัวของเธอ พี่ปริมก็น่าจะกำลังได้ยินมันเช่นเดียวกัน เพราะนัยน์ตาเป็นประกายของเธอส่งข้อความตอบกลับไปว่า
อินก็คิดถึงพี่ปริมนะ คิดถึงมาก... ได้ยินไหมคะพี่ปริม?
พี่แมวใหญ่บอกว่าคิดถึงเธอยกกำลังหนึ่งร้อยยี่สิบห้า แต่ลูกแมวน้อยอยากจะบอกว่าเธอคิดถึงพี่ปริมยกกำลังสองร้อยห้าสิบ ก่อนหน้านี้อรินทิพย์เคยข้องใจสงสัยนักหนา เวลาเธออ่านนิยายรัก มีบทมีตอนที่นักเขียนเขาใช้คำพร่ำพรรณนาว่าคิดถึงทุกวินาที คิดถึงแทบขาดใจ คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก เธอเคยยิ้มขำ ตั้งคำถามอยู่ในใจว่าคนเราจะรู้สึก จะคิดถึงใครมากมายบ่อยถี่ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ เด็กน้อยเพิ่งจะมารู้ซึ้งเอาตอนนี้ว่ามันไม่ใช่การเขียนบรรยายหวานซึ้งโอเวอร์เกินความจริง พี่ปริมทำให้เธอรู้ว่าใครคนหนึ่งสามารถคิดถึงใครอีกคนได้ถี่ยิบทุกวินาที ทุกลมหายใจ ทุกจังหวะการบีบคลายตัวของหัวใจ และคิดถึงใครคนหนึ่งมาก ๆ จนแทบขาดใจได้จริง ๆ
เพราะรู้สึกเหมือนจะขาดใจ เด็กน้อยจึงอ้าแขนออกและเดินเข้าไปหาผู้ใหญ่ ขอยารักษาอาการคิดถึงใจจะขาดจากคุณหมอ คุณหมอพี่ปริมจึงจ่ายยาให้เธอเสียหลายขนาน ประกอบด้วยยาน้ำเชื่อมยิ้มหวานหนึ่งช้อนโต๊ะ อ้อมกอดแน่น ๆ หนึ่งเม็ดใหญ่ ไออุ่นจากร่างกายหนึ่งแคปซูล และน้ำมันหอมระเหยที่ปรุงพิเศษอีกหนึ่งขวด กรุ่นกลิ่นกายหอมฟุ้งที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของพี่ปริมเป็นยารักษาแบบอโรมาเธอราพี ทำให้เธอหายใจได้คล่องขึ้น ช่วยบรรเทาอาการคิดถึงแทบขาดใจให้ทุเลาลงได้ เด็กน้อยเอียงใบหน้าซบลงตรงไหล่บางของคุณหมอรักษาโรคเฉพาะทางพลางคิดในใจ...
พี่ปริมรักษาอาการทางใจเก่งแบบนี้ สงสัยว่าจะต้องจ้างให้เป็นหมอประจำใจซะแล้ว
..............