web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 138
Total: 138

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 18  (อ่าน 1524 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 18
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 16:19:05 »
ตอนที่ 18
เช้าตรู่ของวันอาทิตย์...
“เฮ้อ...”
“........”
“เฮ้อ...”
“........”
“เฮ้อ...”
“พี่ปริม... เลิกถอนหายใจซะทีเถอะค่ะ ตักข้าวเข้าปากบ้างสิคะ ข้าวต้มจะเย็นหมดแล้ว”
ถึงแม้จะโดนเด็กน้อยเตือน แต่ปณิตาก็ยังคงถือช้อนพิงชามข้าว ไม่ยอมตักอาหารเช้าเข้าปาก สายตาเศร้าสร้อยของแมวใหญ่จับจ้องมองไปยังใบหน้าสวยใสของลูกแมวน้อย แมวโตเต็มวัยมองแมวเด็กด้วยสายตาละห้อย พ่นลมออกทางปากดังเฮ้อเฮ้อ ร้องเหมียวเหมียวเสียงห่อเหี่ยว รำพึงรำพันในใจซ้ำไปซ้ำมาว่า วันนี้ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วหรือ ลูกแมวน้อยของพี่จะกลับไปอยู่บ้านกับแม่แมวแล้วหรือ ข้าวต้มกุ้งพยายามจะเรียกร้องความสนใจ ถีบตัวเองส่งกลิ่นหอมระเหยไปกระโดดเตะจมูกแมวใหญ่อยู่หลายที จนข้าวต้มจวนจะหายร้อน หมดแรงจะระเหย คนโดนเตะจมูกยังคงไม่ให้ความสนใจ ไม่ยอมก้มหน้าปรายตามองกันเลยสักนิด ข้าวต้มกุ้งจึงหันไปถอนหายใจดังเฮ้อใส่ช้อนเซรามิคสีขาว ฝากไอน้ำเฮือกสุดท้ายไว้เป็นรูปร่างกลมเล็ก เกาะติดพร่างพราวอยู่บนผิวอุปกรณ์ตักอาหาร 

ทางด้านลูกแมวน้อย อรินทิพย์เห็นพี่สาวคนสวยทำหน้าเศร้าหน้าจ๋อย แสดงอาการท่าทางหดหู่ห่อเหี่ยวเสียมากมาย เธอก็ชักจะเริ่มรู้สึกใจหายมากขึ้นเช่นเดียวกัน ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่แล้ว เธอได้มาอาศัยอยู่ร่วมบ้านกับพี่แมวใหญ่ใจดี ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็เห็นหน้าพี่ปริมเป็นคนแรก จากนั้นก็ทานข้าวด้วยกัน ออกจากบ้านพร้อมกัน ตกเย็นถ้ากลับบ้านเร็ว เธอก็จะมาเข้าครัว ช่วยคุณนมแจ่มทำกับข้าวไว้รอท่า ตอนกลางคืนพี่แมวจะแอบย่องลงมาหา นอนกกกอดให้ความอบอุ่นเธออยู่ทุกคืน แถมเมื่อวานคุณพี่ยังควงเธอไปเดทอีกด้วย ช่างเป็นช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่มีความสุขมากมายจนบรรยายไม่ถูก ถึงจะมีความสุขขนาดไหน ลูกแมวก็ยังคงไม่ลืมคุณแม่ วันนี้ถึงเวลาที่เธอต้องร่ำลาพี่สาวคนสวย กลับบ้านไปนอนคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง อรินทิพย์รู้สึกใจหาย แต่ก็รู้สึกยินดีเมื่อคิดว่าจะได้กลับไปอยู่กับแม่ ตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยห่างจากอ้อมอกของมารดานานเกินสามวัน ถึงจะรู้สึกเศร้าที่ต้องบอกลาพี่แมวใหญ่ แต่ลูกแมวดีใจที่จะได้กลับไปอยู่กับคุณแม่ อรินทิพย์จึงกลายเป็นฝ่ายพูดจาเสียงนุ่มเสียงหวาน ส่งมือไปลูบไหล่ เอ่ยคำพูดปลอบใจคุณแฟน
“โอ๋ ๆ... พี่ปริมขา อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้สิคะ อินแค่กลับไปอยู่บ้าน ถ้าพี่คิดถึง พี่ก็ขับรถไปหาอินได้นี่คะ อินไม่ได้จากพี่ไปไหนไกลเสียหน่อย”
“แต่ก็ไกลกว่าตอนอยู่บ้านเดียวกันกับพี่นี่นา”
แมวใหญ่เศร้า แมวใหญ่งอแง ส่วนแมวตัวเล็กอมยิ้ม นึกขันพี่แมวที่ทำตัวเหมือนเด็ก อรินทิพย์พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“พี่ปริมก็... ก่อนหน้านี้อินก็อยู่ที่บ้านของอินนะ”
“ก่อนหน้านี้ เวลาน้องอินอยู่ที่บ้าน พี่ก็คิดถึงจนแทบขาดใจ ทำหน้าเศร้า กินข้าวกินปลาไม่ลงแบบนี้เหมือนกันค่ะ ถ้าไม่เชื่อ ไปถามนมแจ่มดูก็ได้”
“.........”
เจอพี่แมวใหญ่พูดอย่างนี้ ลูกแมวได้แต่ร้องโถ ๆ โธ่ ๆ พี่ปริมขา อยู่ในใจ แต่ริมฝีปากจิ้มลิ้มกลับคลี่ยิ้มหวาน พี่แมวตัวโตเห็นแมวตัวเล็กยังยิ้มได้ ก็เลยขมวดคิ้วทำหน้าง้ำ
“พี่เศร้าจริงจังนะคะ ไม่ได้แกล้งทำ”
“เพราะพี่เศร้าจริงจังไงคะ อินก็เลยยิ้มได้ พี่ปริม... รักอินมากขนาดนี้เชียว อินดีใจจัง ดีใจจนลืมเศร้าเลยค่ะ”
อรินทิพย์ก้มหน้าก้มตา ชี้แจงที่มาของรอยยิ้ม ช่วงท้ายประโยคพูดเสียงเบาลงอย่างเขิน ๆ พอเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นว่าพี่สาวคนสวยเริ่มยิ้มออก เด็กน้อยก็ส่งยิ้มให้อีกครั้ง อรินทิพย์ขยับเลื่อนเก้าอี้ให้เข้าไปใกล้ที่นั่งของผู้ใหญ่อีกนิด ยื่นมือไปฉกชิงช้อนเซรามิคสีขาวและชามใส่ข้าวต้มกุ้งของพี่ปริมมา
“อ่า... พี่แมวใหญ่จ๋า กินข้าวต้มนะคะ อินป้อนให้นะ อ่า... อ้าม”
พี่แมวใหญ่จ๋ายิ้มจนตาโค้ง รับข้าวต้มไปเคี้ยวได้สี่คำ ก่อนที่จะอ้าปากรับข้าวคำที่ห้า พี่แมวใหญ่ก็กลับมาทำหูเหี่ยวหน้าจ๋อยอีกครั้ง พี่ปริมพูดเสียงอ่อยบอกกับเธอ
“ยิ่งมาทำดีกับพี่แบบนี้ พี่ก็ยิ่งคิดถึงน้องอินแย่เลยสิคะ ถ้าน้องอินไม่อยู่กับพี่ แล้วใครจะป้อนข้าวให้พี่ล่ะ?”
อรินทิพย์ยิ้มขำ ชี้นิ้วไปทางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องครัว เธอไม่ต้องตอบคำถาม เพราะมีคนส่งเสียงตอบแทน

“เดี๋ยวนมแจ่มป้อนให้ก็ได้ค่ะ คุณหนู”

ไม่ใช่แค่พูดตอบแทน คุณแม่นมก้าวเดินฉับ ๆ มายืนข้างโต๊ะ แย่งช้อนจากเด็กน้อย ตักข้าวต้มเต็มช้อนจนเกือบล้น ส่งอาหารไปจ่อปากคุณหนู จะป้อนข้าวแทนให้ด้วย อรินทิพย์เอามือปิดปากหัวเราะกิ๊ก ส่วนคุณหนูทำปากเป็นรูปตัวโอ ส่งเสียงโห่แล้วอมยิ้ม แกล้งบอกคุณแม่นมไปว่า...
“ถ้าจะให้นมแจ่มมาตีหน้ายักษ์ป้อนข้าวต้ม ปริมขอยกชามซดน้ำข้าวโดยไม่ใช้ช้อนดีกว่า”
“หนอย!... ที่เติบโตตัวสูงหุ่นนางแบบจนเจ้าบิงโกเลียตูดไม่ถึงนี่ ไม่ใช่เพราะนมแจ่มป้อนข้าวป้อนนมให้หรอกรึ... มันน่านัก”
คุณแม่นมเบะปากด้วยความหมั่นไส้ วางช้อนลงในชามเหมือนเดิมเพื่อทำให้มือว่าง พูดบ่นต่อว่าไม่ทันจบประโยคดี ทั้งสองมือของนมแจ่มก็แล่นใบไปหาใบหน้าทะเล้นของคุณหนู คุณแม่นมจับจีบนิ้วคีบ หนีบแก้มคุณหนูจอมแสบของตนอย่างมันมือ พอนมแจ่มปลดอาวุธนิ้วคีบออก คุณหนูยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักต่อ คุณแม่นมจึงตีไหล่แถมให้อีกสองที จากนั้นผู้สูงวัยก็พูดเร่ง
“อย่ามัวแต่พิรี้พิไรอ้อนแฟนเด็ก รีบกินรีบอิ่มได้แล้ว จะได้ไปรับคุณอร พี่เก้าเอารถออกมารอหน้าบ้านแล้วมั้งน่ะ”
“ค่า”
.
.
บ่ายสามโมงเย็นของวันเดียวกัน
ปณิตาช่วยหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของคุณอรทัย นำเข้าไปส่งถึงห้องนอน หลังจากคนได้รับความช่วยเหลือกล่าวขอบอกขอบใจ หญิงสาวก็หันไปมองเด็กน้อย ส่งยิ้มจืดเจื่อนทำหน้าสลด เวลาแห่งการจากลามาถึงแล้วสินะ แม่แมวกลับมาแล้ว ลูกแมวก็ต้องอยู่กับแม่

เฮ้อ... เมื่อไหร่ลูกแมวจะหย่านมซะทีน้า พี่ปริมจะได้เอาไปเลี้ยงต่อ
เอ๊ะ... เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าลูกแมวยังไม่อดนม แต่เราอยากจะเลี้ยงลูกแมว
เราก็...
ปิ๊ง!
เสียงหลอดเกลียวประหยัดไฟในหัวแมวใหญ่ติดไฟส่องสว่าง
ปณิตาคิดอะไรดี ๆ ออก เธอรีบละสายตาจากเด็กน้อย หันขวับไปพูดกับคุณอรทัย
“พี่อรคะ”
“คะ?”
“ปริมขอเสนอค่ะว่า...”
“ว่า?”
“พี่อรกับน้องอิน... น่าจะย้ายมาอยู่บ้านปริมนะคะ”
“!?”

ตอนแรกที่ได้ยินข้อเสนอของหญิงสาวผู้มากน้ำใจ คุณอรทัยขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย แต่พอมองจ้องสบตา เห็นประกายระยิบระยับปิ๊งปิ๊งในดวงตาของผู้เสนอโครงการ คนอายุมากกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อนก็ผุดยิ้มตรงมุมปาก...

รู้นะ... คิดอะไรอยู่
จะไม่พรากลูกพรากแม่ แต่จะพาไปอยู่ด้วยทั้งสองคน
เพราะว่าอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับน้องอินละซิ

คุณอรทัยคิดในใจ ยิ้มที่ผุดขยายขนาดใหญ่ขึ้น
“พี่คงรับความหวังดีของปริมไม่ได้หรอก”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ? เกรงใจปริมอีกแล้วใช่ไหม? ไม่เห็นต้องเกรงใจกันเลยค่ะ เพราะการช่วยเหลือพี่กับน้องอินไม่ได้ทำให้ปริมเดือดร้อนอะไร...”
“ปริมจะให้พี่กับลูกไปอยู่บ้านของปริมในฐานะอะไรคะ?”
“ก็... ก็... ในฐานะญาติคนหนึ่งไงคะ ญาติที่จะเกี่ยวดองกันในอนาคตไง”
“คุณพ่อคุณแม่ของปริมท่านยอมให้ดองด้วยแล้วเหรอ?”
“อ่า...”
“อ่านี่แปลว่ายังใช่ไหม?”
“ง่า...”
“ง่านี่คงแปลว่า ใช่...”
คุณอรทัยอมยิ้ม ยกนิ้วชี้ขึ้นมาโบกไปมา “ถ้ายังไม่ได้ทำอะไรให้แน่นอนชัดเจนว่าจะได้เกี่ยวได้ดองกัน พี่กับน้องอินคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับปริมหรอกค่ะ”
“เอ่อ... เฮ้อ... ค่ะ” แมวใหญ่คอตก ผงกหัวขึ้นลง
 
ปณิตายกมือไหว้ กล่าวคำสวัสดีอำลาคุณอรทัยด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว เอี้ยวตัวหันไปส่งสายตาอาลัยอาวรณ์อย่างสุดซึ้งให้เด็กน้อย อรินทิพย์ได้แต่ส่งยิ้มเจือจางให้ เข้าไปจับมือ เดินควงแขนผู้ใหญ่ พาไปส่งที่รถ ระหว่างเดินไปด้วยกัน ลูกแมวน้อยก็หาทางพูดปลอบใจพี่แมวใหญ่เศร้า
“พี่ปริมขา... ไม่ใช่ว่าอินไม่อยากจะอยู่ใกล้ ๆ พี่นะคะ แต่ถ้าพี่พาอินกับแม่ไปอยู่ด้วย โดยที่ตอบคนอื่นไม่ได้ว่าอยู่ในบ้านในฐานะอะไร อินกับแม่คงอึดอัดลำบากใจแย่”
“ค่ะ พี่รู้ พี่เข้าใจ... พี่ถึงไม่พูดคะยั้นคะยอเอาแต่ใจ พาอินกับคุณแม่ไปอยู่กับพี่ไง”
“เอ่อ... แล้ว... เรื่องคุณพ่อกับคุณแม่ของพี่...”
“พี่จะบอกพวกท่านให้ทราบเร็ว ๆ นี้ค่ะ... เรื่องจะออกหัวออกก้อยยังไง พี่เองก็เดาไม่ถูก...”
ปณิตาหยุดพูดและหยุดก้าวขา หันไปหาเด็กสาว หยิบมือบอบบางทั้งสองข้างของอรินทิพย์มากุมเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลของผู้ใหญ่จับจ้องไปที่นัยน์ตาสีดำสนิทใสแจ๋วของเด็กน้อย ปณิตาพูดเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น บอกกับเจ้าของมือที่เธอกุมอยู่
“ถ้าผลออกมาว่าพ่อกับแม่ของพี่ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับความรักของเรา พี่จะไม่ถอดใจ จะไม่เลิกรักน้องอินหรอกนะคะ พี่จะทำให้ท่านยอมรับความรักของเราให้ได้”
เด็กน้อยยิ้มกว้าง บอกกับผู้ใหญ่ว่า “ไม่ใช่แค่พี่คนเดียวนะคะ ต้องพูดว่า... เรา... จะทำให้ท่านยอมรับความรักของเราให้ได้”   
ผู้ใหญ่ได้ยินเด็กน้อยพูดอย่างนี้แล้วก็คลี่ยิ้มหวาน แยกมุมของริมฝีปากให้ออกห่างจากกันมากกว่าเดิม ปณิตาขยับตัวเดินเข้าไปสวมกอดแฟนเด็ก เอียงหน้ากดครึ่งปากครึ่งจมูกฝังลงตรงขมับของเด็กน้อย ก่อนจะเดินพ้นจากประตูไม้หน้าบ้าน ผู้ใหญ่หันไปหาคนเดินเคียงข้าง ส่งยิ้มทำตาปรอยและพูดอ้อนเสียงอ่อน
“น้องอินจ๋า... จุ๊บลาพี่ปริมหน่อยสิคะ”
เด็กน้อยก้มหน้า ยิ้มเอียงอาย พูดเสียงอุบอิบ “พี่ปริมหลับตาก่อนสิคะ”
ผู้ใหญ่รีบดึงเปลือกตาลงดังพรึ่บ หลังจากนั้นไม่นาน ปณิตาก็ได้รับสัมผัสนุ่มนิ่มตรงริมฝีปากที่มาพร้อมกับเสียงดัง จุ๊บ เบา ๆ ผู้ใหญ่อมยิ้มกรุ้มกริ่มแก้มพอง หญิงสาวรั้งเปลือกตาขึ้น ขอเป็นฝ่ายยื่นหน้าไปจูจุ๊บลาคุณแฟนเด็กน้อยบ้าง

ปณิตาออกจากบ้านของอรินทิพย์ เข้าไปนั่งยังเบาะแถวหน้าของรถตู้ เดินทางกลับบ้านหลังใหญ่ของตน หญิงสาวนั่งกอดอก ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปตลอดครึ่งทาง คนขับรถสังเกตเห็นเข้าก็อดถามไม่ได้
“คิ้วผูกกันเป็นปมเชียว กลุ้มใจคิดมากเรื่องอะไรอยู่ครับปริม?”
“เรื่องความรักของปริมน่ะสิคะ”
“ทำไมล่ะ? ทะเลาะกันเหรอ?”
“เปล่าค่ะ... ปริมกำลังกลุ้ม จะบอกให้คุณพ่อคุณแม่รู้ดีไหม มันได้เวลาสมควรที่จะบอกหรือยัง... ถ้าพี่เป็นปริม พี่จะทำยังไงคะ?”
“อืม... ถ้าพี่เป็นปริมเหรอ... ถ้าเป็นพี่ พี่จะยังไม่บอกพวกคุณท่านตอนนี้หรอกครับ พี่คิดว่ามันเร็วเกินไป ปริมเพิ่งรู้จัก เพิ่งคบกับน้องได้ไม่นานเองนี่นา ถ้าพวกคุณท่านไม่เห็นด้วยล่ะก็ ท่านคงคิดว่าปริมแค่หลงปลื้ม เห่อเด็กน่ารักชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนสาว ๆ เห่อกระเป๋าเห่อรองเท้าใหม่ หิ้วไปใส่ไปไม่นานก็เบื่อ”
ปณิตายิ้มขำ “แหม... พี่เก้าเข้าใจพูดเปรียบเทียบนะ”
“พี่ว่า... ปริมน่าจะลองคบกับน้องให้นานกว่านี้สักหน่อย แล้วค่อยบอกให้พวกคุณท่านรู้”
“สักหน่อยที่พี่ว่าน่ะ นานแค่ไหนคะ?”
“อย่างน้อย ๆ ก็สัก... ปีนึง”
“ปีนึง!!! อย่างนี้ไม่เรียกว่าหน่อยแล้วค่ะ ต้องเรียกว่านาน... นานมากกก~”
“ก็ต้องคบให้นานพอ... พอที่จะทำให้พวกคุณท่านเห็นว่าปริมจริงจัง รักน้องอินจริง ๆ ล่ะ”   
“เหตุผลของพี่เก้าก็น่าคิด แต่ปริมกลัวว่าถ้ารอนานขนาดนั้น ไม่ยอมบอกกล่าวให้คุณพ่อคุณแม่รู้เสียที พี่อรเขาจะคิดยังไง คิดว่าปริมไม่จริงใจรึเปล่า เมื่อกี้พี่อรยังถามปริมเลยว่า เรื่องที่คบกับน้องอินนี่บอกให้คุณพ่อคุณแม่รู้รึยัง”
“อืม... ก็ต้องคิดถึงจิตใจคนทางนู้นด้วยเนอะ เฮ้อ... คุณอรเขาก็อยากจะได้ความมั่นใจ การบอกให้คุณพ่อคุณแม่รู้ มันเป็นการแสดงความจริงใจอย่างหนึ่ง... แล้วอีกอย่าง ในกรณีของปริมกับน้อง คุณอรเขาคงอยากจะแน่ใจว่าทางบ้านของปริมยอมรับความรักแบบนี้ได้”
ปณิตาฟังไปพยักหน้าไป สิ้นสุดคำพูดแสดงความคิดเห็นของคนที่เปรียบดั่งพี่ชาย หญิงสาวก็นั่งเงียบจนกระทั่งเท้าก้าวลงจากรถ เหยียบลงบนพื้นปูนหน้าบ้าน ก่อนจะปิดประตู ปณิตาชะโงกหน้า ส่งเสียงตะโกนเข้าไปในรถ
“ปริมตัดสินใจได้แล้ว”
นพเก้าเอี้ยวตัว หันคอมาถาม “ตัดสินใจว่า?”
“ช่วงปีใหม่ คุณพ่อคุณแม่กลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ ปริมค่อยบอกเรื่องของปริมกับน้องอินให้พวกท่านรู้”
“จะบอกข่าวดีรับปีใหม่ แนะนำว่าที่ลูกสะใภ้พร้อมกับบอกแฮปปี้นิวเยียร์เหรอครับ ฮ่า ๆ... ก็ดีนะ อย่างน้อย ๆ ปริมก็บอกพวกคุณท่านได้ว่าคบกับน้องมาสามสี่เดือนแล้ว... พี่ขอเอาใจช่วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ... พี่เก้าเองก็เหมือนกัน เดี๋ยวปริมจะขึ้นเงินเดือนให้ พี่เก้าจะได้เก็บตังค์ไปสู่ขอสาวได้เร็ว ๆ”
“ขอบคุณคร้าบ~ ขอกุศลผลบุญที่ปริมช่วยความรักของพี่ ขอให้ความรักของปริมไม่มีอุปสรรคนะครับ”
ปณิตารีบพนมมือ ยกขึ้นมาจรดตรงหว่างคิ้ว ส่งเสียงสาธุให้คำอวยพรแล้วยิ้มแป้น พอคิดตก ตัดสินใจได้ หญิงสาวก็แกะปมคิ้วออก เลื่อนพวกมันกลับไปวางเหนือดวงตาที่เดิม เดินเข้าบ้านพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ปณิตาคิดว่าจะกลุ้มใจล่วงหน้าทำไมเล่า เรื่องราวมันอาจจะออกมาในทางดีก็ได้ คุณพ่อคุณแม่รักและตามใจลูกสาวคนเดียวอย่างเธอจะตายไป ถ้าเธอบอกว่ารักใคร ถ้าคนคนนั้นเป็นคนดี พวกท่านต้องเข้าใจ ยอมกดปุ่มยกไม้กั้นปิดด่าน เปิดทางให้รถพ่วงสิบแปดล้อบรรทุกความรักของเธอวิ่งผ่านอย่างแน่นอน
.
.
วันเวลาหมุนผ่านไปเกือบสามวัน
สี่ทุ่มกว่าของคืนวันพุธ   
แมวใหญ่นอนหงายอยู่กลางเตียงกว้าง มือขวาถือโทรศัพท์แนบหู ปณิตาลองถามปลายสายดู
“น้องอินจ๋า... วันเสาร์นี้พี่ไปหาที่บ้านได้ไหมคะ?”
(ไม่ได้ค่ะ)
“ทำไมล่า?” แมวใหญ่ร้องเหมียว ทำหูลู่ ถามแมวน้อยด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว
(อินจะไปต่างจังหวัดกับทางชมรมจิตอาสาค่ะ)
“ไปที่ไหน? ไปทำอะไรคะ?”
เด็กน้อยชี้แจงแถลงไข บอกว่าทางชมรมจิตอาสาของโรงเรียนจะเดินทางไปยังโรงเรียนวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ โรงเรียนนี้เพิ่งประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ โดนน้ำท่วมสูงตั้งสองเมตร พอน้ำลด ทางครูและพระต้องทำความสะอาดและทาสีห้องเรียนใหม่ เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมจิตอาสาเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนวัดแห่งนี้...
(... อาจารย์ท่านก็เลยมาขอความร่วมมือจากเด็ก ๆ ในชมรมค่ะ บอกว่าใครว่างก็ไปช่วยกันหน่อย) 
พอเด็กน้อยเล่าจบปุ๊บ ผู้ใหญ่ที่นอนอยู่ก็เผลอยกมือซ้ายขึ้น
“ว่างค่ะ พี่ว่าง ขอไปช่วยด้วยคนได้ไหมคะ?”
(ไปค้างคืน กลับวันอาทิตย์นะคะพี่ปริม)
“พี่ไปค้างคืนได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”
(แล้ว... จะให้อินบอกกับอาจารย์ว่ายังไงดีล่ะ?)
“ก็บอกว่าพี่เป็นญาติ เป็นคนรู้จัก เป็นอะไรก็บอกไปเถอะค่ะ หรือจะบอกความจริงไปว่าพี่ปริมเป็นแฟนน้องอินก็ได้”
(อิน... อินจะบอกอาจารย์ว่าพี่ปริมเป็นพี่สาว เป็นคนที่รู้จักเฉย ๆ ละกันค่ะ)
“จ้า... เป็นคนรู้จักเฉย ๆ”
(น้อยใจอินอยู่รึเปล่าคะเนี่ย?)
“เปล่าจ้า~”
(อย่าทำเสียงยานคางแบบนี้สิคะ ไม่ได้น้อยใจอินแน่นะ?)
“แน่ค่ะ... พี่จะน้อยใจทำไมล่ะ เพราะพี่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเราไม่ใช่แค่คนรู้จักเฉย ๆ นี่นา ใช่ไหม? ไหนบอกมาซิว่าเราเป็นอะไรกัน”
(...........)
ปลายสายเงียบไปเลย ปณิตารู้ว่าเด็กน้อยคงกำลังนอนเอาหน้าซุกหมอน เขินเธอจนหน้าแดงแก้มร้อนอยู่แน่ ๆ ผู้ใหญ่ขี้แกล้งเอามือปิดไมโครโฟนโทรศัพท์เพื่อไม่ให้เด็กได้ยินเสียงหัวเราะ ปณิตาพูดแกล้งเด็กขี้เขินต่อ
“น้องอินไม่ยอมตอบอ่า... ตกลงว่าเราเป็นแค่คนรู้จักกันเฉย ๆ เหรอคะ?”
(พี่ปริมอ่า... ถามอินแบบนี้แสดงว่าพี่ลืมไปแล้วเหรอว่าเราเป็นอะไรกัน อินเสียใจนะคะ)
“อ่า... เอิ่ม... อ่า... ง่า...พี่ไม่ได้ลืมนะ... แต่... แต่ว่า... อ่า... ” วุ้ย! จะพูดแก้ว่ายังไงดีล่ะ?
(คิดคำพูดแก้ไม่ออกล่ะซี้ คิคิ... พี่ปริมจ๋า พูดขอยอมแพ้อินเถอะ ยอมยกธงขาวซะดี ๆ)
“เอ่อ... อ่า... โอเค... พี่ขอยอมแพ้ค่ะ”
(คิคิ เย้... ในที่สุดพี่ปริมก็แพ้ เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย คิคิ)
ปณิตานอนยิ้ม ฟังเสียงปลายสายที่หัวเราะคิกคักสลับกับร้องเย้ ๆ ไม่ยอมหยุด ท่าทางเด็กน้อยจะดีใจมากเลยนะนั่น สงสัยว่าจะเก็บกดมานาน
เอาเถอะ... นาน ๆ ที ขอยอมแพ้น็อคให้เด็กได้ดีใจบ้าง
ถึงจะเจ็บใจนิดหน่อยที่หาคำมาพูดแก้ เถียงเด็กน้อยไม่ได้
ถึงจะแพ้ แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา

.
.
เช้าตรู่ 7 โมงเช้าของวันเสาร์
นพเก้าขับรถพาเจ้านายสาวไปส่งที่หน้าโรงเรียน ปณิตาก้าวขาลงจากรถ ส่งยิ้มกว้างให้แฟนเด็กที่มายืนรอรับเธอ หญิงสาวเดินตามเด็กน้อยเข้าไปภายในโรงเรียน อรินทิพย์พาเธอไปแนะนำให้รู้จักกับอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรม
“พี่ปริมคะ นี่อาจารย์สิทธิชัยค่ะ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมจิตอาสา”
ปณิตาพนมมือไหว้อาจารย์หนุ่มใหญ่แล้วพูดแนะนำตัว “สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉันปณิตาค่ะ เป็นพี่... เป็นคนรู้จักของน้องอินค่ะ”
“อ่อ... อ... เอ้อ... ส... สวัสดีครับ คุณ... ปณิตา”
อาจารย์สิทธิชัยประกบมือตรงหว่างอกรับไหว้ พูดจาเสียงตะกุกตะกักขาดห้วง จากนั้นก็ยืนยิ้มตาลอยนานสิบวินาที ฟังปณิตาพูดฝากเนื้อฝากตัวว่าขอไปช่วยทำความสะอาดโรงเรียนวัดด้วยคน อาจารย์หนุ่มใหญ่วัย 36 ปี ยิ้มกว้างยิ้มหวานจนแก้มเป็นร่อง เอ่ยชมความมีน้ำใจของสาวสวยเสียยืดยาว
อรินทิพย์ซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ แอบลดหรี่ดึงเปลือกตาลงนิดหนึ่ง ตัวอักษรไทยสามตัวจูงมือกันเดินมา พากันมาถามหาเด็กน้อย

อักษร ห หีบ พยัญชนะต้น เดินลิ่วนำหน้า
อักษร ว แหวน ชูป้ายบอกว่าฉันเป็นสระอัวลดรูป เดินตามมา
อักษร ง งู เดินช้า ร้องบอกตัวอักษรที่เดินอยู่ข้างหน้าว่า รอตัวสะกดด้วย

สรุปว่า... หวง มาถามหา
เด็กน้อยยกมือขวา บอกว่าคนกำลังรู้สึก หวง ยืนอยู่ตรงนี้
คุณ ห หีบ... ว แหวน... ง งู... ช่วยอินสังเกตดูที
อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเขาแอบหลีแฟนของอินรึเปล่าคะ?

ตัวอักษรสามตัวชะเง้อคอส่ายหัวไปมา
ห หีบ บอกว่า อาจารย์ยิ้มหวานตาเยิ้มแบบนี้ใช่ชัวร์
ว แหวน ผงกหัว บอกว่าเห็นด้วย
ง งู ใช้เครื่องมือตรวจจับความร้อน ตรวจเสร็จก็รายงานเด็กน้อยว่าใบหน้าของอาจารย์มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ 
เมื่อได้รับฟังความคิดเห็นที่เป็นไปในทางเดียวกันของ ห ว ง
เด็กน้อยก็ทำหน้านิ่ว แอบส่งเสียงโวยวายอยู่ในใจ...

อ๊าย... อาจารย์ชัย อย่ามาส่งยิ้มหวานทำตาเจ้าชู้ใส่พี่ปริมของหนูน้า~ o(>_<)o

ห หีบ หันหน้าไปหา ว แหวน พยัญชนะต้นพูดกับสระอัวลดรูปว่าสงสัยสระที่ใช้คงต้องเปลี่ยน
ว แหวน พยักหน้าแล้วเอามือป้องปาก หันหน้าไปทางห้องน้ำ ร้องเรียกสระอึ บอกว่ามาเปลี่ยนตัวกันเร็ว
สระอึตะโกนรับคำว่า จ้า รีบเปิดประตูห้องน้ำ เปิดก๊อก ถูสบู่ ล้างมือให้สะอาดแล้ววิ่งแจ้นมาหา ว แหวน แปะมือกับสระอัวลดรูป

จาก... ห อัว ง หวง กลายเป็น ห _ึ ง หึง
ขอเปลี่ยนสระหนึ่งตัว เพื่อให้ตรงกับความรู้สึกของเด็กน้อยมากขึ้น

อรินทิพย์ขมวดคิ้ว หันซ้ายหันขวา คิดหาวิธี ลากสายตาหวานวิบของอาจารย์ให้ไปสนใจอย่างอื่น
เอ๊ะ! นั่น... “พี่บอล” ประธานชมรมยืนถือสมุดเช็คชื่ออยู่
เด็กน้อยอมยิ้ม ยกมือขอจังหวะพูด
“อาจารย์คะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว อาจารย์เรียกรวมพล เช็คชื่อนับจำนวนคนกันเลยดีไหมคะ?”
“เอ้อ... จริงด้วย... ขอบใจที่เตือนครูนะ ขอตัวก่อนนะครับคุณปณิตา”
 
ในที่สุด อาจารย์สิทธิชัยก็เดินจากไป หยิบโทรโข่งมาประกาศเรียกรวมพล อรินทิพย์ส่งยิ้มให้อาจารย์ จากนั้นก็ลากตัวพี่สาวคนสวย พาออกไปยืนแถวหลัง ใช้ร่างของเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ให้ช่วยบดบัง ป้องกันพี่ปริมจากสายตาเจ้าชู้ของอาจารย์หนุ่มใหญ่

20 นาทีต่อมา
ปณิตาเดินขึ้นไปบนรถบัสปรับอากาศสองชั้นที่ทางโรงเรียนติดต่อขอเช่ามาใช้ในการเดินทาง เธอบอกกับอาจารย์สิทธิชัยว่าขอนั่งชั้นล่าง เพราะถ้านั่งบนชั้นสอง เธอจะเกิดอาการเมารถ อาจารย์หนุ่มใหญ่ยิ้มหวาน บอกว่าเชิญเลยครับ หญิงสาวจึงยิ้มตอบและเอ่ยคำขอบคุณ ขึ้นไปนั่งจับจองเบาะนั่งสองในแปดที่ เพราะที่นั่งอีกที่หนึ่ง เธอจองไว้ให้แฟนเด็ก ไม่นานนัก ล้อของรถบัสก็เริ่มหมุน ปณิตาปรับเบาะให้เอนไปด้านหลังอีกเล็กน้อย ขยับตัวนั่งพิงเบาะให้สบาย มือซ้ายยื่นไปจับมือขวาของแฟนมากุมเอาไว้ ที่นั่งชั้นล่างนี่ไม่มีใครนอกจากเธอกับเด็กน้อย ผู้โดยสารแถวถัดไปเป็นปี๊บและถุงบรรจุขนมขบเคี้ยว อีกแถวหนึ่งมีกล่องอุปกรณ์ปฐมพยาบาลนั่งเหม่ออยู่กล่องเดียว แถวสุดท้ายเป็นที่นั่งของลังใส่น้ำอัดลมขวดใหญ่ รถคันมหึมาเคลื่อนตัวไปได้ไม่ทันไร ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ชั้นล่างก็ทำตัวเอียง เอนศีรษะไปพิงผู้โดยสารอีกคน อรินทิพย์รีบถามพี่สาวคนสวยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นห่วงเป็นใย
“พี่ปริมเมารถเหรอคะ?”
“อืม... พี่รู้สึกมึน ๆ”
“อินมียาแก้เมารถนะคะ เดี๋ยวอินหยิบให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เพราะพี่ไม่ได้เมารถ แต่... เมารัก... คิคิ... น้องอินเอียงแก้มมาให้พี่กินเป็นยาได้ไหมคะ อาการเมาของพี่จะได้ทุเลาลง”
เด็กน้อยอมยิ้ม แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดง ก้มหน้าก้มตาพูดเสียงงุบงิบ
“พี่กินแก้มเค้าแล้วจะยิ่งเมาล่ะสิไม่ว่า... พี่ปริมอ่ะ มุกที่ใช้ชักจะเสี่ยวมากขึ้นทุกวันละ”
ผู้ใหญ่คนยิงมุกเสี่ยวหัวเราะกิ๊ก ชะโงกหัวไปสังเกตคนก้มหน้า ปณิตายิ้มขำ ใช้นิ้วชี้เขี่ยแก้มเด็กเล่น
“น้องอินแก้มแดงแจ๋เลย เมามุกเสี่ยวของพี่เหรอค้า~ ให้พี่ปฐมพยาบาลให้ดีกว่า เดี๋ยวพี่จุ๊บแก้มดูดสีแดงออกให้ แก้มจะได้หายแดงไง คิคิ”
“>///////<”
เด็กน้อยกัดริมฝีปากล่างด้านใน ยิ้มเอียงอายพลางใช้มือปัดป่ายนิ้วชี้ของผู้ใหญ่ขี้แกล้งออกจากใบหน้า ขืนให้ผู้ใหญ่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยการจุ๊บดูดสีแดงตรงแก้ม แทนที่แก้มเธอจะหายแดง ผลลัพธ์ที่ได้น่าจะตรงข้ามกันมากกว่า พอโดนแกล้งทำให้เขินหนักเข้า เด็กน้อยก็ใช้ไม้ตาย หันไปพูดขู่ผู้ใหญ่ บอกว่าถ้าพี่ยังไม่เลิกแกล้ง หนูจะหนีขึ้นไปนั่งข้างบนกับเพื่อนแล้วนะ คำขู่นี้ได้ผลดี ผู้ใหญ่ขี้แกล้งหดมือกลับไป ทำท่านั่งนิ่งเรียบร้อย แต่ไม่นานนัก มือข้างที่เพิ่งหดกลับไปก็ยื่นกลับมาหาเธออีกครั้ง พี่ปริมส่งมือซ้ายมา จับกุมประสานนิ้วกับมือขวาของเธอ อรินทิพย์จึงอมยิ้ม นั่งเอนหลังไปกับเบาะ เอียงศีรษะไปซบแปะกับศีรษะของผู้ใหญ่
ทั้งปณิตาและอรินทิพย์ของีบหลับเก็บแรงเอาไว้ ตื่นขึ้นมาจะได้มีแรงไปช่วยทำความสะอาดโรงเรียนวัดที่ถูกน้ำท่วม
.............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 20:41:44 Admin »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.