ตอนที่ 19.1
ขณะที่ดวงตะวันเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า เดินทางข้ามท้องฟ้ามาได้ครึ่งหนึ่ง รถบัสสองชั้นคันใหญ่ที่ปณิตาและเด็กน้อยนั่งมาก็เคลื่อนตัวไปถึงจุดหมายปลายทาง รถโค้ชค่อย ๆ คลานเข้าไปจอดหลังอาคารเรียนของโรงเรียนวัด พอล้อรถหยุดหมุน ทุกคนที่อยู่บนรถก็ทยอยเดินตามกันลงมา คนอาสาสมัครมาร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ประกอบด้วยนักเรียนสมาชิกชมรมจิตอาสา นักเรียนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมแต่มีน้ำใจ บวกกับผู้ใหญ่มีน้ำใจที่ตามแฟนเด็กมา สิ่งแรกที่ทุกคนต้องทำคือเติมพลัง ทานข้าวทานน้ำ รับประทานข้าวกล่องอาหารเที่ยง จากนั้นก็เดินไปรับอุปกรณ์จำพวกแปรงขัด ผงซักฟอก และกระป๋องน้ำจากคุณครูของโรงเรียนวัด วันนี้ต้องช่วยกันขัดถูคราบโคลนบนพื้นผิวให้สะอาดเอี่ยม พรุ่งนี้จะได้ทาสีใหม่ เด็กมัธยมปลายตัวโตกว่าสี่สิบชีวิต ช่วยเด็กประถมตัวน้อยทำความสะอาดโรงเรียนที่เพิ่งประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวแรงดีขมีขมัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทำงานไปก็เล่นกันไป ส่งเสียงหัวเราะเฮฮากรี๊ดกร๊าดกันไม่หยุด ในขณะที่เพื่อนและรุ่นพี่ส่งเสียงหัวเราะร่าเริง แข่งกับเสียงแซ่กแซ่กของขนแปรงเสียดสีกับพื้นปูนซีเมนต์ เพื่อนสนิทของอรินทิพย์กลับเห็นว่าเพื่อนของตนแสดงสีหน้าอารมณ์ไม่เข้าพวก สาวน้อยตัวเล็กชื่อนิ้งมองเพื่อนที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าบึ้งตึง ออกแรงกดด้ามไม้ยาวติดแพขนแปรงขัดพื้นแรง ๆ พอความสงสัยและเป็นห่วงสะสม เพิ่มปริมาณมากเข้า นิ้งก็เอ่ยปากถามเพื่อน
“อินเป็นไรอ่ะ? หน้ามุ่ยเชียว”
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
อรินทิพย์ตอบเพื่อนด้วยเสียงเรียบ ๆ แอบปรายตาไปมองพี่สาวคนสวยที่ยืนขัดผนังห้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล สาวน้อยตัวเล็กชื่อนิ้งซึ่งมีนิสัยช่างสังเกตจึงลอบกลอกนัยน์ตาตาม เหล่มองไปยังพี่สาวชื่อเล่นว่าปริม คนที่ตามเพื่อนของเธอมาด้วย เมื่อเห็นข้างกายของพี่สาวคนสวยมีร่างของรุ่นพี่ประธานชมรมชื่อบอลตามติดเป็นเงาตามตัว นิ้งก็ถึงบางอ้อ สาวน้อยตัวเล็กสไลด์ตัวไปกระแซะ ยืนชิดเบียดไหล่ ใช้มือขวาป้องปาก แกล้งกระซิบถามเพื่อนเบา ๆ
“อินหึงพี่บอลเหรอ?”
“บ้าสิ! ไม่ใช่ซะหน่อย”
“แน่ะ ๆ อย่ามาปากแข็ง”
“จะหึงทำไม แฟนเค้าไม่ใช่พี่บอลนิ่”
อรินทิพย์พูดโดยไม่ยอมมองหน้าเพื่อนสนิท แต่เพื่อนตัวเล็กก็ช่างแสนรู้ นิ้งเอามือปิดปากหัวเราะกิ๊กก่อนจะกระซิบถามเพื่อนใหม่อีกรอบ
“ใช่พี่ปริมคนนี้รึเปล่า... ที่สั่งซื้อเสื้อคู่รักลายแมว เอาไปใส่กับอินอ่ะ?”
“... >//////<...”
“อ๊ายยย~ อินกับพี่ปริมเป็นฟะ... อุ๊บ!”
อรินทิพย์รีบส่งมือซ้ายไปปิดปากอุดเสียงกรี๊ดของเพื่อน คนอื่นที่ทำความสะอาดอยู่แถวนั้นหันมามองแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าเด็กสาวสองคนคงหยอกแหย่เล่นกันระหว่างทำงานเหมือนคนอื่น ๆ แน่นอนว่าปณิตาก็คิดอย่างเดียวกัน หญิงสาวละสายตาจากผนังห้อง หันไปส่งยิ้มให้คุณแฟนเด็กน้อยและส่งเสียงแซว
“เล่นอะไรกันคะ? นิ้งหายใจไม่ออกแล้วมั้งน่ะ”
อรินทิพย์เอามือที่ปิดครึ่งปากครึ่งจมูกออกจากใบหน้าของเพื่อน คนเพิ่งหายใจได้อย่างอิสระหอบหายใจดังฟื้ด ฟื้ด จากนั้นนิ้งก็วิ่งไปยืนหลบข้างหลังปณิตา สาวน้อยขยุ้มเสื้อยืดสีดำของพี่สาวคนสวย แกล้งส่งเสียงงอแงฟ้องร้อง
“พี่ปริมขา... อินรังแกนิ้งอ่า พี่ปริมจัดการเลย”
“เอ... พี่จะจัดการกับเด็กที่รังแกเพื่อนยังไงดีล่ะ?”
นิ้งรีบตอบ “ตีก้นเลยค่ะพี่ปริม ตีก้น อิอิ”
อรินทิพย์เห็นพี่ปริมเดินยิ้ม เงื้อมือเข้ามาหา ทำท่าว่าจะทำตามเสียงเรียกร้องของเพื่อนขี้ฟ้อง เด็กน้อยรีบยกไม้ขัดพื้นด้ามยาวขึ้นมาตั้งท่าตั้งรับ และพร้อมจะตอบโต้ ผู้ใหญ่ที่อยากจะหาเรื่องแต๊ะอั๋งสัมผัสก้นแฟนเด็กจึงต้องรีบถอยกรูดกลับฐานทัพ คนชงเรื่องให้ผู้ใหญ่แต๊ะอั๋งเพื่อนตัวเองเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะขำเสียงดัง พอกลั้นขำได้ นิ้งก็ยื่นหน้าเอียงตัวไปกระซิบถามข้างหูพี่สาวคนสวย
“พี่ปริมกลัวแฟนเหรอคะ?”
ปณิตาอมยิ้ม หันไปเอามือป้องปากกระซิบตอบ “ไม่ได้กลัวแฟน แต่กลัวไม้ขัดพื้นที่แฟนถือค่ะ”
นิ้งได้แต่ตะโกนเสียงดังในใจ...
สรุปว่าได้คำตอบแล้ว... ชัดเจน
พี่ปริมเป็นแฟนของยัยอินจริง ๆ ด้วยอ่า
โอ๊ย... อิจฉา อิจฉา อิจฉา
อยากมีแฟนเป็นผู้ใหญ่ใจดี แถมหน้าตาดีแบบนี้บ้าง
สาวน้อยตัวเล็กกลับไปยืนประจำที่ หยิบแปรงมาขัดผนังพลางยิ้มกริ่ม มองเพื่อนสนิทซึ่งกำลังขมวดคิ้ว มองตรงมาทางเธอ นิ้งหัวเราะขำเมื่อเห็นอรินทิพย์เดินเข้ามาใกล้ ถามเธอด้วยเสียงเขียวเสียงเข้ม
“เมื่อกี้คุยกระซิบกระซาบอะไรกับพี่ปริม?”
“โหย ๆ ๆ... ฉันเพิ่งรู้นะว่าแกมีนิสัยขี้หวงขี้หึงขนาดนี้... หึงผิดคนแล้วย่ะ ดูโน่น พี่บอลชวนพี่ปริมคุยอะไรกะหนุงกะหนิงอีกแล้ว... โอ๊ะ!... อาจารย์ชัยเอาน้ำมาให้พี่ปริมด้วย... พี่สาวแฟนแกเสน่ห์แรงเป็นบ้าเลย”
อรินทิพย์รีบหันขวับไปมองพี่สาวคนสวย ภาพที่สะท้อนอยู่บนนัยน์ตาของเธอเป็นอย่างที่เพื่อนสนิทรายงาน คุณแฟนเสน่ห์แรงของเธอโดนหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่กลุ้มรุมรายล้อม คอยเอาอกเอาใจ เด็กสาวเห็นดังนั้นก็กัดริมฝีปากล่างด้านใน หัวคิ้วขยับเข้าใกล้กัน จ้องมองพี่ปริมแบบตาไม่กะพริบ
พี่ปริมเสน่ห์แรงเป็นบ้า...
คนที่จะเป็นบ้าไม่ใช่พี่ปริม
แต่เป็นแฟนเด็กของพี่ปริม
“ยัยอิน”
“อะไร?”
เสียงนิ้งเรียกชื่อเล่นของเธอ อรินทิพย์จึงเริ่มกะพริบตาเป็น เด็กสาวส่งเสียงห้วนถามเพื่อน ทั้งที่สายตายังจับภาพพี่สาวคนสวยเหมือนเดิม
สาวน้อยตัวเล็กชื่อนิ้งยิ้มขำสีหน้าและอาการของเพื่อนสนิท หลังจากเอามือปิดปาก หัวเราะคิก ๆ อยู่สิบวินาที นิ้งก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูเพื่อน เอามือป้องปาก กรอกเสียงใส่เข้าไปในรู
“หึงจนหน้ามืดแล้วแก อิอิ”
“..........”
คนที่โดนเพื่อนแซวรีบละสายตาจากภาพที่ทำให้เกิดอาการหน้ามืด อรินทิพย์กลับมาก้มหน้าก้มตา ออกแรงกดด้ามไม้ทำความสะอาด ขัดพื้นให้แรง ๆ เพื่อระบายความรู้สึกอึดอัด สาวน้อยคิดในใจ ตั้งแต่เกิดมา ลืมตาดูโลกมาเกือบสิบหกปี เธอยังไม่เคยเกิดอารมณ์ขุ่นมัวเพราะหึงหรือหวงใคร แบบนี้ แต่ถ้าเลือกได้ เธอไม่ขอมีประสบการณ์หึงได้ไหม มัน... มันทั้งอึดอัด ไม่พอใจ ไม่สบายใจ เคืองใจ มีแต่อารมณ์ด้านลบมากมายที่มารวมตัวสุมหัวกันอยู่ในใจ เธอรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย
“น้องอิน... สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะคะ”
เสียงหวานนุ่มของพี่สาวคนสวยดังขึ้นด้านขวาใกล้ ๆ เธอนี่เอง อรินทิพย์จึงหันหน้าไปมอง ระหว่างที่เธอก้มหน้าขัดพื้น คิดอะไรฟุ้งซ่าน พี่ปริมมายืนข้าง ๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เด็กน้อยได้แต่ยืนนิ่งจ้องมองสบตาคุณแฟนผู้ใหญ่เสน่ห์แรง อรินทิพย์ปั้นปากให้ยื่นนิด ๆ ทำหน้าง้ำหน่อย ๆ ยิ่งพอเห็นว่ารุ่นพี่หนุ่มน้อยและอาจารย์หนุ่มใหญ่เดินตามพี่ปริมมา เด็กน้อยก็ยิ่งทำหน้างอ พ่นลมออกทางจมูกดังฟู่ จากนั้นก็หันกลับไปตั้งใจทำงานขัดพื้นอย่างเดิม
ฝ่ายผู้ใหญ่ที่โดนแฟนเด็กทำหน้างอใส่ ปณิตาลอบยิ้ม เหลียวหลังเอี้ยวคอไปบอกกับอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมจิตอาสา
“สงสัยน้องอินจะแพ้กลิ่นคลอรีน ปริมขอพาน้องไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกแป๊บนึงนะคะ”
อรินทิพย์ไม่ทันได้อ้าปากแย้งว่าไม่ได้แพ้กลิ่นน้ำยาทำความสะอาด เพื่อนสนิทดันส่งเสียงเจื้อยแจ้วว่าใช่ แถมไม้ขัดพื้นในมือก็โดนแย่งไปถือ นิ้งริบอุปกรณ์ทำความสะอาดจากเพื่อนมา ปากก็บอกกับแฟนของเพื่อน
“รีบพายัยอินออกไปเลยค่ะพี่ปริม ก่อนที่เพื่อนของนิ้งจะเป็นลมออกหู หน้ามืดตามัว คิคิ”
ปณิตาหัวเราะเบา ๆ รีบจูงมือแฟนเดินออกจากห้อง เพราะคำพูดของสาวน้อยตัวเล็กชื่อนิ้ง คนอายุมากกว่าพอจะรู้แล้วว่าอรินทิพย์ทำหน้าง้ำหน้างอ งอนเธอเพราะอะไร แถมเพื่อนสนิทของแฟนยังพูดกันท่า ยั้งขาอาจารย์สิทธิชัยไม่ให้ตามเธอมาด้วยแบบนี้
ลูกแมวน้อยกำลังหึง... ชัวร์
ปณิตาคิดแล้วก็ยกหลังมือขึ้นมา ปิดบังริมฝีปากซึ่งกำลังยกมุมขึ้นเล็กน้อย ยิ้มขำแฟนเด็กขี้หึง เพราะยกมือขึ้นมาบังแค่ด้านหน้า อรินทิพย์ที่เดินขนาบข้างจึงสังเกตเห็นรอยยิ้มได้อยู่ดี
“ยิ้มอะไรคะ?... มีอะไรน่ายิ้ม?... แล้วนี่หาเรื่องพาอินออกมาทำไมคะ?... จะพาอินไปไหนเนี่ย?... อินไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย... รีบกลับไปช่วยทุกคนทำความสะอาดดีกว่า... อาจารย์ชัยคงชะเง้อชะแง้คอจนคอยาว ถือแปรงรอพี่กลับไป... ไหนจะพี่บอลอีกล่ะ เห็นมีเรื่องคุยกันไม่หยุดเป็นชั่วโมง ๆ”
เด็กน้อยปล่อยรถไฟขบวนคำถามและคำพูดออกจากสถานีริมฝีปาก รถจักรขบวนนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานความหึง แต่ละตู้แต่ละโบกี้มีผู้โดยสารเป็นความแง่งอน ความขุ่นเคือง อารมณ์โกรธกรุ่น ๆ ผู้โดยสารทั้งยืนทั้งนั่ง เบียดเสียดกันมาอย่างอัดอั้น แต่ปณิตากลับยืนจังก้าคร่อมรางรถไฟ อ้าปากหัวเราะร่า รอให้รถด่วนสายหึงวิ่งมาชนอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” แมวใหญ่หัวเราะชอบใจเสียงใส
“หัวเราะอะไรเล่า? พี่ปริมนี่ท่าจะเพี้ยน” แมวน้อยทำหน้างอ พูดต่อว่าเข้าให้อีก
“น้องอินจ๊ะ น้องอินจ๋า~” แมวตัวโตอมยิ้ม เรียกน้องแมวเสียงหวานหยดย้อย
“ไม่ต้องมาจ๊ะจ๋ากับเค้าเลย” แมวตัวน้อยสะบัดหน้าหนี สะบัดอุ้งเท้าหน้าให้หลุดจากการเกาะกุมของพี่แมวใหญ่อย่างงอน ๆ
“หึงพี่เหรอคะคนดี?” แมวใหญ่ถามยิ้ม ๆ ใช้อุ้งเท้าหน้าสะกิดไหล่น้องแมว
“หึ... ไม่หึงเลยมั้งคะพี่ รู้ดีอยู่แล้วว่าอินหึง ยังจะมาถามอีกนะ” แมวน้อยพูดพลางเอียงไหล่หลบหลีก หนีอุ้งเท้าหน้าที่มาสะกิดของพี่แมว
“คิคิ... น้องอินหึงพี่จริง ๆ ด้วย ดีใจจัง... คนเรา ยิ่งรักมากก็ยิ่งหึงมาก พี่ปริมดีใจ๊ดีใจ” แมวตัวโตหัวเราะเสียงใส พูดจบแล้วก็ยิ้มกว้าง
“อ่อ... ที่ทำเป็นพูดคุยตีสนิทกับอาจารย์ชัย กับพี่บอล พี่แค่อยากจะแกล้งทำให้อินหึงเหรอคะ?”
แมวตัวเล็กหยุดเดิน หันไปทำหน้าโหด ร้องแง้วแง้ว พูดถามแมวใหญ่เสียงเขียว แมวใหญ่ยิ้มแหะทำหูเหี่ยว แมวน้อยจึงเดาคำตอบได้ว่าใช่อย่างที่ตนถามเดาแน่ ๆ เลย อรินทิพย์กัดริมฝีปากล่าง ส่งมือทั้งสองข้างโบยบินไปตบตีตามไหล่ตามแขนของคุณแฟนขี้แกล้งแบบไม่นับครั้ง
“เห็นอินไม่สบายใจแล้วพี่มีความสุขนักใช่ไหม... ใช่ไหม... ใช่ไหม... หึ... อินโป้งพี่ปริมแล้ว”
เด็กน้อยทั้งพูดทั้งตี จากนั้นก็ทำหน้าบึ้ง หมุนตัวกลับหลังหัน เดินลงส้นเท้าตึง ๆ กลับไปทางเดิม ผู้ใหญ่รีบพุ่งตัวตามหลังไปคว้าแขน แต่เด็กน้อยก็รีบแกะมือทิ้งอย่างไม่ไยดี ปณิตาเริ่มเหงื่อตก คุณแฟนเด็กโกรธเธอจริงจังเลยหรือนี่ หญิงสาวเดินดักหน้าดักหลังเด็กน้อย พร่ำพูดซ้ำ ๆ ว่าพี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่นะคะคนดี ผู้ใหญ่พูดง้อเสียงหวาน ส่งนิ้วก้อยไปเป็นทูตสันถวไมตรี แต่แล้วทูตง้อของปณิตาก็ต้องผิดหวัง นิ้วก้อยทำข้อนิ้วงอเดินคอตกกลับมา เพราะอีกฝ่ายส่งนิ้วโป้งที่แรงเยอะกว่ามากดปลายนิ้วสัญลักษณ์ของการคืนดี นิ้วก้อยทูตสันถวไมตรีโดนนิ้วสัญลักษณ์แทนความโกรธกระทำการกดหัวจนหักงอ หัวทิ่มพับลงไปบนนิ้วข้าง ๆ ส่งผลให้นิ้วนางพลอยซวย โดนลูกหลงถูกหางเลขไปด้วยเลย
อรินทิพย์เดินกลับเข้าไปในห้องเรียนห้องเดิม หยิบไม้ขัดพื้นอันเดิมมาทำงานต่อ ปณิตาพยายามพูดอ้อนง้อเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่เด็กน้อยก็ยังแสดงท่าทีเย็นชาห่างเหินหมางเมินใส่ ปณิตาถอนหายใจดังเฮ้อ ในสมองมีแต่เสียงตะโกนโวยวายโหวกเหวก
อ๊า... พี่แมวใหญ่จะทำยังไงดี? จะง้อยังไงดี?
แมวน้อยโกรธ แมวน้อยเคือง แมวน้อยงอน
แมวน้อยไม่มองตา แมวน้อยเมินหน้า แมวน้อยไม่พูดด้วย
แมวใหญ่เศร้า แมวใหญ่กลุ้ม แมวใหญ่กังวล แมวใหญ่ร้อนใจ
ปณิตาอยากจะเอาหน้าผากโขกกำแพงห้องเรียนที่เปื้อนโคลนแห้ง ใช้หัวไปกระแทกช่วยกระเทาะเศษดินให้ร่วงหล่นแทนการใช้แปรงขัด
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งบ่ายแก่ ๆ เหล่าวิหคนกน้อยส่งเสียงจ้อกแจ้กจุ๊บจิ๊บให้เซ็งแซ่ บอกพ่อแม่เพื่อนฝูงให้เร่งหาหนอนจิกแมลง เพราะแสงแดดชักเริ่มโรยแรงลงทุกที ทางด้านแมวใหญ่ปณิตาก็ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งเสียงร้องหง่าวแง้วแข่งกับนกจนเสียงแหบเสียงแห้ง
“น้องอินจ๋า... ยกโทษให้พี่ปริมเถอะนะคะ”
“..........”
“น้องอินจ๋า... พี่ปริมผิดไปแล้ว ให้อภัยพี่เถอะ”
“..........”
“น้องอิน... โอ่ย... เจ็บคอ... จะงอนนานเกินไปแล้ว พี่ปริมหมดมุกจะง้อแล้วนะคะ พูดอะไรกับพี่สักคำเถอะ”
“..........”
“จะตบจะตี จะทุบพี่จนตัวเขียวก็ได้ พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ เลิกงอนพี่เถอะนะคะ”
“...........”
“โธ่... น้องอิน...”
อันที่จริงปณิตาไม่ได้อยากจะร้องแข่งกับนกแต่อย่างใด มันจำเป็นค่ะ มันจำเป็น เพราะเด็กน้อยยังงอนไม่เลิก ตลอดช่วงเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมา ปณิตาพูดเสียงหวานทำตาสำนึกผิดใส่ วิธีง้อแบบธรรมดานี้ใช้ไม่ได้ผล เด็กน้อยยังคงตั้งหน้าตั้งตาขัดพื้น ผู้ใหญ่จึงเปลี่ยนมาร้องเพลงง้อ ยึดไม้ขัดพื้นของคนงอนมาทำเป็นไมโครโฟน
“ให้อภัยสักครั้งหนึ่ง~ เธอคงไม่ใจร้าย~ ถ้าไม่สายไป มาคืนดีกันได้ไหม~....”
“...........”
“น้องอินจ๋า... ตอนนี้ไม่สาย เพราะนาฬิกาบอกว่าบ่ายสี่โมงแล้ว และน้องอินของพี่ก็ไม่ได้ใจร้ายนี่นา ลูกแมวน้อยจ๋า ให้อภัยพี่แมวใหญ่เถอะน้า”
ผู้ใหญ่คนง้อใช้เพลงให้อภัยสักครั้งของวงซินเดอเรลล่าเป็นทัพหน้า ส่งยิ้มหวานไปเป็นกองหนุน แถมยังส่งประโยคเล่นคำไปตีขนาบซ้ายขวา แต่ทัพงอนของเด็กน้อยก็ไม่ยอมแตกพ่าย ผู้บัญชาการทัพงอนทำหน้าง้ำ ตีแขนผู้บัญชาการทัพง้อไปหนึ่งที จากนั้นก็ยึดไม้ขัดพื้นที่ถูกนำไปใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบการง้อคืนมา ปณิตารีบหันไปถามเสนาธิการนิ้ง ขอคำแนะนำด่วน เสนาธิการทหารสาวน้อยก็เลยจัดให้...
“พี่ปริมรู้จักเพลง Bo peep Bo peep ของวง T-Ara ไหม?”
ผู้บัญชาการปณิตาพยักหน้าหงึกหงัก “รู้จัก ๆ”
เสนาธิการนิ้งอมยิ้ม “มาเต้นเพลงนี้ง้อน้องแมวน้อยของพี่กัน ...อ่ะ... หนึ่งสอง สาม...
Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep ง้อ~...
Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep ง้อแล่ว~...
Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep ง้อ~
Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep Bo peep ง้อแล่ว~ แง่ว แง่ว~”
แมวใหญ่โดนเพื่อนของลูกแมวน้อยยุยง ปณิตาบ้าจี้เต้นท่าแมวกวักง้อแฟน เด็ก ๆ แถวนั้นต่างพากันขำกลิ้ง ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดแล้วช่วยร้องเพลงและปรบมือให้จังหวะ ผู้ใหญ่คนเต้นง้อนี่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอาย ปณิตาเขินสายตาเด็กเล็กเด็กโตจนหน้าแดงหูแดง ไหนจะอาจารย์สิทธิชัยที่ยืนมองอยู่ด้วย แมวใหญ่ยอมลงทุนเต้นง้อจนเหงื่อท่วมตัว หน้าแดงแจ๋ แต่ลูกแมวงอนชายหางตามามองเพียงแวบเดียว แล้วก็หันหลังให้ ทำเป็นตั้งอกตั้งใจขัดพื้นต่อ ปณิตาจึงหยุดเต้น เป่าปากถอนหายใจพ่นความหดหู่ คิดในใจว่าพี่อุตส่าห์ข่มความอาย เต้นง้อให้ดูต่อหน้าธารกำนัล แต่น้องหันหน้าเหล่ตามาแลมองกันแค่หนึ่งวินาที
แง้ว... พี่แมวใหญ่เหนื่อย พี่แมวใหญ่ท้อ พี่แมวใหญ่เริ่มถอดใจ
ปณิตาส่งเสียงถอนหายใจอีกครั้ง น้องแมวยังงอนไม่หาย พี่แมวใหญ่จึงขอกลับไปตั้งหลัก หยิบแปรงที่ลอยอยู่ในกระป๋องน้ำมาขัดผนัง คิดกลวิธีง้อแบบอื่นต่อไป
เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง นาฬิกาติดผนังที่อยู่เหนือกระดานดำเห็นคนหลายคนมองมา อยากรู้เวลาเหรอจ๊ะ ดูเข็มบนหน้าปัดนี่ ตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นแล้วจ้ะ
ห้องเรียนชั้นล่างสิบห้องที่เคยถูกน้ำท่วมโดนขัดถูจนสะอาดเรียบร้อย ทุกคนต่างพากันเดินออกจากห้อง ปฏิบัติกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เสร็จสิ้นแล้ว แต่ปฏิบัติการง้อลูกแมวน้อยของพี่แมวใหญ่ยังไม่มีความคืบหน้า ปณิตาหิ้วกระป๋องน้ำ ทำหน้าจ๋อยหางตก เดินตามคุณแฟนเด็กน้อยไปอย่างเงียบ ๆ
ฮือ... น้องอินโกรธพี่มากขนาดนี้เลยเหรอคะ
ปริมเอ๊ย... อยู่ดีไม่ว่าดี ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเล้ยยย~ (T=ω=T)
ปณิตาได้แต่พูดต่อว่าด่าตัวเองอยู่ในใจ