ตอนที่ 22.1
วันที่ 25 ธันวาคม 2556
ปณิตาตื่นนอนแต่เช้าตรู่ รีบอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนมีระบายตรงสาบเสื้อกับกระโปรงยาวพอดีเข่าสีเทา เตรียมตัวไปทำงานตามปกติ แต่ก่อนจะออกจากบ้าน หญิงสาวหอบกระเป๋าและเสื้อสูทเดินตรงไปยังโต๊ะกลมสีขาวบริเวณสวนหน้าบ้าน เพราะบิดามารดาของเธอกำลังนั่งจิบกาแฟกันอยู่ที่นั่น ปณิตาหัวเราะคิกคักเบา ๆ เมื่อสายตาเธอเห็นเจ้าชิคกี้เดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ปลายเท้าของคุณพ่อ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อคุณแม่”
คุณนายรวิวรรณยิ้มหวาน ส่งคำทักทายยามเช้าแบบเดียวกันให้ลูกสาว ส่วนคุณปณิธีหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... พอได้ยินเสียง เห็นว่าแม่มา ชิคกี้มันทิ้งคุกกี้ รีบวิ่งแจ้นไปหาเลยแฮะ”
ปณิตายิ้มขำ วางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ พาดเสื้อสูทไว้บนพนัก เธอโน้มตัวก้มลง ใช้มือที่ว่างจับอุ้มลูกชายคนโปรด... เอ้ย... ตัวโปรดขึ้นมาแล้วพูดโอ้อวดเสียงใส
“หลานชายพ่อน่ารักใช่ไหมล่า~ ไก่แจ้ขาวหางดำซะด้วย”
“หาหลานชายให้พ่อได้แล้ว... แล้วเมื่อไหร่จะหาลูกเขยให้?”
คำแซวของคุณพ่อเปลี่ยนยิ้มกว้างของปณิตาให้เป็นยิ้มแหยยิ้มเจื่อนได้โดยใช้เวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาที คนเป็นลูกสาวหัวเราะแหะ ๆ ในใจพูดเสียงอุบอิบว่า...
ปริมไม่ได้หาลูกเขยให้
มีแต่ว่าที่ลูกสะใภ้วัยละอ่อน ยังเรียนอยู่ชั้น ม.4
ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้า จะว่าอะไรไหมอ่า >_<
พอเห็นลูกสาวเกิดอาการยืนนิ่งเป็นรูปปั้นคนอุ้มไก่ แสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณปณิธีจึงชิงตัวหลานชายไก่แจ้มาอุ้มและเลิกคิ้วถาม
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ? ไม่ต้องคิดมากลูก พ่อก็ถามแซวไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้เร่งรัดรีบร้อนให้ปริมหาคู่หาแฟน”
“.........”
“รึที่นิ่งไปนี่เพราะมีแฟนแล้ว แต่ไม่ยอมบอกพ่อกับแม่?”
“.........”
ปณิตายืนยิ้มแหย เริ่มมีเหงื่อซึมบริเวณหน้าผาก กำลังคิดชั่งใจ จะบอกเรื่องแฟนของตนให้คุณพ่อคุณแม่ทราบตอนนี้เลยดีไหมน้า ไหน ๆ คุณพ่อก็เปิดประเด็น ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ปณิตาคิดพร้อมกับสูบลมเข้าปอด รวบรวมความกล้า ริมฝีปากอิ่มสั่นนิด ๆ เริ่มขยับอ้าออกจากกัน...
“คุณพ่อคุณแม่คะ... ปริม...”
บุพการีทั้งสองท่านจ้องมองเธอตาเขม็ง ปณิตาจึงหยุดคำพูดเอาไว้แค่นั้น ลอบกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ความกล้าที่รวบรวมจากอากาศมาเมื่อครู่สลายตัวหายลงคอไปหลายร้อยล้านโมเลกุล
“คือว่า... คือว่าปริม...”
“........” คุณพ่อจ้องตาไม่กะพริบ คุณแม่นั่งลุ้นจนลืมหายใจ เจ้าไก่ชิคกี้อ้าปากน้อย ๆ เอียงคอมองเธอ
“คือว่า... คือว่า... ป... ปริมไปทำงานก่อนนะคะ เดี๋ยวนี้กรุงเทพฯ รถติดมากกว่าเดิม ปริมกลัวไปทำงานสาย ไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
ปณิตาพูดเสียงระรัวจนลิ้นพันกัน หลังพนมมือไหว้ลาบิดามารดา เธอก็หิ้วกระเป๋าคว้าเสื้อสูท เดินฉิวตัวปลิวไปยังรถยุโรปสีดำคันโต ท่าทางรีบร้อนลุกลี้ลุกลน ทำตัวเหมือนแมวโดนหมาวิ่งไล่
แง้ว~... ตอนนี้แมวใหญ่ยังไม่กล้าบอกคุณพ่อคุณแม่อ่า
อยู่ ๆ คุณพ่อก็ถาม
แมวใหญ่ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ
แมวใหญ่ยังไม่พร้อม
แมวใหญ่กลัว (>ω<“)
พอมุดตัวเข้าไปนั่งบนเบาะหลังของรถได้ ปณิตาก็บอกกับนพเก้าด้วยเสียงสั่น ๆ ว่าให้รีบไป คนขับรถได้ยินเจ้านายสาวถอนหายใจดังเฮือกจึงเหลือบตาไปจ้องกระจกมองหลัง ภาพสะท้อนบนนั้นคือปณิตาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋า จับมันซับแตะตามไรผม ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง
“พวกคุณท่านว่ายังไงบ้างครับ?”
“ไม่ได้ว่ายังไง เพราะปริมยังไม่ได้บอกเลยค่ะพี่เก้า... เฮ้อ...”
“แล้วคิดจะบอกให้พวกคุณท่านรู้เมื่อไหร่ล่ะ?”
“ภายในปีนี้แหละ”
นพเก้าหัวเราะขำ “พูดเหมือนนานเลยนะครับ... ปีนี้ที่ปริมว่า มันเหลือเวลาอีกแค่เจ็ดวันเองนา”
“เฮ้อ...”
“ทำใจดี ๆ ไว้ครับ อย่าลืมสิว่าอย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่ถือหางข้างปริมอยู่แล้วตั้งสองคน ทั้งคุณปู่ แล้วก็นมแจ่ม”
“คุณปู่กับนมแจ่มจะช่วยปริมได้แค่ไหน? พ่อกับแม่จะคิดยังไง? จะยอมรับความรักของปริมกับน้องรึเปล่า? ถ้าพวกท่านไม่ยอมรับ ปริมจะทำยังไงดี?...”
“ใจเย็นครับ ใจเย็น ๆ”
“เฮ้อ... มันเย็นไม่ไหวอ่ะพี่เก้า ปริมร้อนใจ กังวลใจไปล่วงหน้า เมื่อคืนก็นอนแทบไม่หลับ”
“เรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ปริมกังวลก็ได้”
“ปริมก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นค่ะ... เฮ้อ...”
ความวิตกขับไล่ลมออกจากปอดของแมวใหญ่อีกครั้งดังเฮือก ปณิตาบอกกับตัวเองให้พยายามคิดในแง่บวก ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าอะไรก็ดีไป หรือถ้าท่านจะว่าอะไร จะขัดใจ ไม่สนับสนุน ไม่ยอมรับความรักของเธอกับน้องอิน เธอก็พร้อมที่จะปักหลักสู้ไม่ถอย เธอพร้อมที่จะสู้เพื่อความรักก็จริง แต่ปณิตาคิดว่าคงจะดีกว่า ถ้าเรื่องจบลงแค่การเจรจา ไม่มีการสู้รบเกิดขึ้น และจะดีที่สุด ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยอมเข้าใจธรรมชาติของความรัก
ธรรมชาติของความรัก... ที่บริสุทธิ์ เกิดขึ้นได้ในใจของทุกชีวิต
ธรรมชาติของความรัก... ที่ไม่เคยคิดแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ไม่เคยกะเกณฑ์ห้ามปราม ออกกฎหมายห้ามว่าใครกับใครรักกันไม่ได้
ธรรมชาติของความรัก... ที่ทำให้คนมีรักรู้สึกหวงแหนผูกพันกับมัน ผู้ใดที่มีสิ่งก่อสร้างแห่งรักปลูกอยู่ในใจ มันยากนักที่จะห้ามมิให้ทำการต่อเติม สร้างเสริมสิ่งปลูกสร้างนี้ให้มั่นคง
และผู้ที่มีรัก ย่อมไม่มีทางยอมให้ใครมารื้อถอนทุบทำลายรักลง ทลายสิ่งปลูกสร้างซึ่งตนกับใครบางคนร่วมกันก่อจากก้อนรักทีละก้อนนี้ได้โดยง่าย
ปณิตาไม่อยากทำให้คฤหาสน์ความรักของบุพการีในใจเธอมีรอยร้าว ไม่อยากให้บ้านแห่งความรักหลังโตของเธอกับเด็กน้อยที่เพิ่งจะปลูกสร้างเสร็จใหม่ ๆ โดนคำสั่งเวรคืนไล่ที่ อยากให้ผู้คนและความรักทั้งสองบ้านอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัย...
ปณิตาคิดในใจดังนั้นแล้วพนมมือ ก้มศีรษะลงจนกระทั่งนิ้วโป้งทั้งสองจรดตรงหว่างคิ้ว สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คงมีแค่การอธิษฐาน ขอให้กุศลผลบุญที่เธอได้ทำมา ทั้งในชาติที่แล้ว ๆ มาและในชาตินี้ ช่วยส่งเสริมหนุนนำ ทำให้ความรักของเธอที่มีต่อทั้งสองฝ่าย ทั้งความรักที่มีต่อบุพการี และความรักที่มีต่อคุณแฟนเด็กน้อย ขอให้ความรักทั้งสองสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันในใจเธอได้อย่างสงบสุขด้วยเถิด สาธุ
.
.
เย็นวันเดียวกัน
หลังรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายของวันเสร็จ ปณิตาก็เดินตามบิดามารดาไปนั่งลงบนเบาะหนังหุ้มนวมนุ่มของโซฟารับแขก ผู้เป็นพ่อเสียบเครื่องเก็บข้อมูลขนาดจิ๋วเข้ากับโทรทัศน์จอแบนเครื่องใหญ่ จากนั้นก็กลับมานั่งเอนหลัง พูดบรรยายสไลด์รูปภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ อวดให้ลูกสาวดูว่าพ่อกับแม่ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ปณิตาอมยิ้ม ดูรูปคุณพ่อคุณแม่ยืนโอบไหล่กัน แต่ภาพฉากเบื้องหลังนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ตั้งแต่หอนาฬิกาบิ๊กเบน หอไอเฟล กำแพงเบอร์ลิน กำแพงเมืองจีน ฯลฯ จนกระทั่งถึงประเทศสุดท้ายที่ไปมา ภาพท้ายสุดคือคุณพ่อคุณแม่กับลูกแกะนิวซีแลนด์ขนปุยหยิกหยอง ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องส่วนตัว ปณิตาเกิดอาการสะดุ้งเฮือกตกใจ นั่งตัวแข็งหลังตรง เพราะอยู่ ๆ คุณพ่อก็ถาม
“วันนี้วันเกิดน้องอินใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“พ่อกับแม่ฝากบอกแฮปปี้เบิร์ธเดย์น้องด้วยละกัน”
ปณิตารีบรับปากรับคำว่าจะทำตาม เธอลุกขึ้นยืน เตรียมจะเดินขึ้นห้อง
หญิงสาวลอบผ่อนลมออกจากปอด ฉีกยิ้มหวานอย่างโล่งใจ นึกขำตัวเองอยู่หน่อย ๆ แค่คุณพ่อเอ่ยชื่อน้องอินแค่นี้ ทำเป็นหายใจหายคอไม่ทั่วท้องไปได้
“เดี๋ยวก่อนลูก”
เสียงของคุณแม่ดังมาจากด้านหลัง ลูกสาวจึงหันทั้งตัวกลับไปมอง รอให้คุณแม่เดินมาหา จากนั้นปณิตาก็เกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องอีกหน เพราะคุณแม่บอกกับเธอว่า
“ว่าง ๆ ก็พาน้องอินกับคุณอรมาทานข้าวที่บ้านเราหน่อยซิ”
“ค่ะ”
ปณิตาพูดแค่นั้นแล้วยืนนิ่ง ไม่ยอมกะพริบตา ไม่ยอมขยับตัวเดินไปไหน คุณแม่ที่เดินผ่านตัวเธอไปแล้วจึงหันหน้ากลับมาถาม
“เป็นอะไรไปล่ะลูก?”
“ปละ... เปล่าค่ะแม่ ม... ไม่มีอะไร ปริมไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
ปณิตาเอ่ยคำพูดปฏิเสธแล้วรีบวิ่งแซงคุณแม่ขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง แต่ก็ยังไม่วาย มีเสียงตะโกนตามหลัง
“อย่าลืมที่แม่บอกนะ ไปชวนน้องอินกับคุณอรมาทานข้าวที่บ้านเราด้วย”
“ค่ะ ๆ ไม่ลืมค่ะ ปริมจะโทรไปชวนเดี๋ยวนี้เลย”
ปณิตาเปิดประตูห้องนอน เดินไปทิ้งตัวหงายผึ่งกลางเตียงแล้วเอาสองมือปิดหน้า นึกสงสัยและกังวลใจ ทำไมคุณแม่ถึงย้ำนักย้ำหนา พูดกำชับกำชาถึงสองหน มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง บอกให้เธอชวนน้องอินกับคุณอรมาทานข้าวด้วยกันให้ได้ อยู่ดี ๆ คุณพ่อคุณแม่คงไม่นึกอยากจะชวนใครมาทานข้าวที่บ้านอย่างแน่นอน นี่คุณพ่อคุณแม่รู้ระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับน้องแล้วรึยังไง? แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากเธอขอร้องทุกคนที่รู้เรื่องราวความรักของเธอให้ปิดปากเงียบ เธอต้องการบอกกล่าวเรื่องสำคัญนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ทราบด้วยตัวเอง...
คิดจะบอกให้รู้อยู่แล้ว แต่ใจเธอตอนนี้รู้สึกทั้งกลัว ทั้งเกร็ง ทั้งเกรง
แค่คุณพ่อคุณแม่เอ่ยชื่อน้องอิน เธอก็เกิดอาการยืนนิ่ง ตัวแข็ง ปากสั่น
พอถึงเวลาต้องพูดต้องสารภาพจริง ๆ เธอจะกล้าพูดไหม
“โอ๊ย... ไม่บอกให้รู้วันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ต้องบอกอยู่ดี”
ปณิตาตะโกนเสียงอู้อี้เพราะยังมีมือปิดหน้าปิดปาก จากนั้นก็สปริงตัวลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปยังโต๊ะเครื่องแป้งข้างหัวเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก พอปลายสายกดรับ เธอก็รีบพูดธุระทันทีโดยไม่เอ่ยคำทักทาย
“น้องอินคะ วันศุกร์นี้พี่จะไปรับน้องอินกับคุณแม่มาทานข้าวที่บ้าน น้องอินกับคุณแม่สะดวกไหม?”
และแล้ว... วันเวลาก็เคลื่อนคล้อยผันผ่าน เข็มนาฬิกาหมุนวนไปทางขวาอีกเกือบสี่รอบ เมื่อถึงวันเวลานัดหมาย วันที่ 27 ธันวาคม หลังเลิกทำงานในวันศุกร์สุดท้ายของปี 2556 ปณิตาเข้าไปนั่งบนเบาะหลังของรถยุโรปสีดำคันใหญ่ สั่งให้นพเก้าขับรถพาเธอเดินทางไปรับคุณแฟนเด็กน้อยที่โรงเรียน ต่อด้วยการไปรับคุณแม่ของเด็กน้อยที่บ้านพัก
ขณะนั่งอยู่ในรถด้วยกัน อรินทิพย์ส่งสายตาลอบมองคุณแฟนหลายครั้ง ตั้งแต่เธอก้าวขึ้นรถมา พี่ปริมกุมมือเธอเอาไว้ตลอดเวลา วันนี้พี่แมวใหญ่นั่งนิ่งเงียบขรึม พูดน้อยผิดปกติ รังสีความตึงเครียดแผ่กระจายออกมาจากร่าง เมื่อจังหวะพอเหมาะ คนที่เธอแอบมองหันหน้ามาจ้องเธอเช่นกัน เธอเห็นพี่ปริมรีบลบแววกังวลออกจากสายตา ส่งมือมาลูบศีรษะเธอ ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้มเบาบาง ก่อนจะถูกใช้เป็นทางผ่านของน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน พี่ปริมบอกกับเธอว่า...
“น้องอินไม่ต้องกลัวนะคะ พี่รักน้องอินนะ”
อรินทิพย์จึงส่งยิ้มให้ เธอรู้ดีว่าพี่ปริมเองก็กำลังนึกหวั่นและกังวลใจอยู่เช่นกัน แต่ผู้ใหญ่ก็ยังอุตส่าห์พูดปลอบใจเธอ เด็กสาวบีบกระชับมือนุ่มนิ่มของคุณแฟนให้แน่นขึ้นอีกหน่อย และขอเอนตัว เอียงหัวไปซบไหล่ ในเวลานี้ เธอเองก็คิดไม่ออกว่าจะพูดให้กำลังใจพี่ปริมอย่างไรดี ประโยคเดียวที่เธอคิดได้คงหนีไม่พ้น...
“อินก็รักพี่ปริมค่ะ”
“อื้อ... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะยังรักกันเหมือนเดิมนะคะ”
“ค่ะ”
อรินทิพย์ดึงเปลือกตาลงมา ริมฝีปากมีรอยยิ้มติดอยู่ ความกลัวและความกังวลของเธอโดนคำรักของพี่ปริมเข้ามาเบียดแย่งพื้นที่คืน ความรู้สึกหวั่นวิตกที่เกาะกุมใจเธอโดนผลักจนลื่นล้มหล่นหาย ลูกแมวน้อยบอกกับตัวเองว่าตนไม่ได้หวังอะไรมาก แค่ได้ยินคำยืนยันจากพี่แมวใหญ่ว่าจะรักกันต่อไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อรถยุโรปสีดำคันใหญ่จอดเทียบบันไดหน้ามุข สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้านก็รีบเดินมาต้อนรับแขก คุณปณิธีและภรรยาส่งยิ้มทักทาย พนมมือรับไหว้ ผายมือเชื้อเชิญ เดินนำทุกคนไปยังห้องอาหาร ระหว่างรับประทานมื้อเย็น คุณปณิธีและคุณนายรวิวรรณช่วยกันลอบสังเกตอาการท่าทางของลูกสาว ปณิตาคอยตักกับข้าวบริการน้องตลอด ซักถามว่าอร่อยไหม พูดจาเสียงใสเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พ่อกับแม่ฟัง ซึ่งทุกเรื่องที่พูดก็หนีไม่พ้นเรื่องของคนที่นั่งข้าง ๆ บอกว่าน้องอินดีอย่างนั้น น้องอินน่ารักอย่างนี้ สายตาที่มองน้องนี่ก็ไม่คิดที่จะปิดบังแววหวาน คนเป็นพ่อเป็นแม่สังเกตเห็นดังนั้นก็ลอบมองตากัน แอบส่งเสียงทอดถอนใจ ไม่ต้องพูดจากันแบบออกเสียง ทั้งสองสามีภรรยาแค่มองสบตากัน ต่างคนต่างก็อ่านใจ อ่านความคิดกันออก
สิ่งที่เราสองคนนึกห่วงคิดกังวล
กลัวว่าลูกสาวของเราจะรักใคร่ชอบพอสาวน้อยชื่ออิน
แค่ดูสีหน้าแววตาของลูกที่มองเด็กคนนั้น คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราก็รู้
สิ่งที่เรานึกคิดกังวลกันอยู่ มันเป็นอย่างที่เราคาดเดาเอาไว้จริง ๆ
เมื่อเจ้าบ้านเห็นว่าทุกคนวางรวบช้อนส้อมไว้กลางจาน ยกแก้วดื่มน้ำไล่อาหารลงกระเพาะกันแล้วครู่หนึ่ง คุณปณิธีก็หันไปพูดกับลูกสาว
“ปริมเอารูปที่พ่อกับแม่ถ่ายตอนไปเที่ยวกันมาให้น้องดูซิ นั่งดูกับทีวีในห้องนั่งเล่นนั่นล่ะ เดี๋ยวให้นมแจ่มยกผลไม้ตามไปเสิร์ฟ”
“เอ่อ... คุณพ่อคะ... ปริมมีเรื่อง...”
“มีอะไรเดี๋ยวค่อยพูดกันนะลูกนะ พ่อกับแม่ขอคุยอะไรกับคุณอรก่อนแป๊บนึง เดี๋ยวตามไป”
“ค่ะ”
ปณิตาจำใจต้องพยักหน้า กลั้นเรื่องกลืนคำที่ตนอยากจะเอ่ยปากบอกลงคอไปก่อน เธอทำตามที่คุณพ่อสั่ง จูงมือเด็กน้อยไปยังห้องนั่งเล่น เปิดไฟล์รูปภาพรูปถ่ายให้น้องดู ปล่อยให้พ่อแม่ผู้ปกครองพูดคุยกันตามลำพัง สองตาของหญิงสาวมองดูรูปที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์ แต่ปณิตาไม่มีกะจิตกะใจจะส่งเสียงบรรยายภาพ หรือถึงแม้เธอมีอารมณ์จะพูด ปณิตาคิดว่าน้องคงไม่มีสมาธิมาตั้งอกตั้งใจฟังเธอแน่ ๆ ระหว่างที่นั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟายาว ทั้งสองสาวได้แต่กุมมือเย็นชืดชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่นานนักคุณนมแจ่มก็ตามมา คุณแม่นมมองสบตาคุณหนูและแฟนเด็กของคุณหนู วางจานแบนใส่ผลไม้ลงบนโต๊ะเตี้ยพร้อมกับส่งยิ้มให้ คุณนมแจ่มพูดกระซิบปลอบ บอกกับทั้งสองคนว่าไม่เป็นไร คุณแม่นมเกือบจะได้รับยิ้มตอบกลับ แต่ก็เพียงแค่เกือบ เพราะยิ้มของคุณหนูโดนเสียงโหด ๆ ของคุณปณิธีตะครุบจับไว้
“ปริม!”
“ค... คะ?”
ปณิตาสะดุ้งสุดตัว นั่งหลังตรงแหน่ว ใครมาเห็นคงอยากแซว นึกว่าเธอโดนพนักโซฟากลั่นแกล้ง พ่นเข็มแหลมเฟี้ยวจิ้มปักเอาตรงแก้มก้น หญิงสาวค่อย ๆ เอี้ยวคอเอี้ยวตัว หันกลับไปมองคุณพ่อ พอเห็นใบหน้าบึ้งตึงแดงก่ำของบิดา สีหน้าปณิตาเปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามกับคุณพ่อทันที หญิงสาวเกิดอาการหน้าซีดปากสั่น กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ คุณพ่อทำท่าหงายมือ ขยับนิ้วสี่นิ้วงอเข้าหาตัว กวักเรียกเธอให้ไปหา พูดเสียงเข้มว่ามานี่ซิ ปณิตาจึงต้องลุกขึ้นยืน หญิงสาวหันไปมองสบตาคุณแฟนเด็กน้อย ปณิตารับกำลังใจในรูปแบบของรอยยิ้มและแรงบีบตรงมือมาถือเอาไว้ ก่อนจะเดินตามคุณพ่อไปยังห้องอาหาร เมื่อเท้าก้าวถึงประตู ปณิตาชะงักหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่สองสามอึดใจ เพราะสายตาส่งแฟ้มภาพใบหน้าและตาแดง ๆ ของคุณแม่ให้เธอดู แถมหูยังเดินมาบอกว่าได้ยินเสียงคุณแม่สะอื้นไห้อีกด้วย ปณิตาเริ่มขยับตัวได้อีกหนเพราะโดนคุณพ่อเรียกและร้องเร่ง บอกให้รีบมานั่งประจำที่ คนเป็นลูกสะดุ้งเฮือก เดินตัวลีบเข้าห้องอาหาร ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ในคอกจำเลย เอ้ย เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ทางตำแหน่งขวามือของคุณพ่อที่นั่งคุมหัวโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามกับคุณแม่ และฝั่งตรงข้าม เยื้องกับคุณอรทัย
“รู้ไหมว่าที่โดนเรียกตัวมาคุยนี่... เพราะเรื่องอะไร?”
เสียงถามเนิบ ๆ ของหัวหน้าคณะลูกขุนอย่างคุณปณิธีดังก้องไปทั้งห้องอาหาร หลังจากปล่อยให้ลูกสาวนั่งนิ่ง ก้มหน้าก้มตาฟังเสียงสะอื้นของคุณแม่อยู่นานสองนาทีกับอีกสิบสี่วินาที จำเลยออกอาการสะดุ้งเล็กน้อย ตอบเสียงตะกุกตะกักทั้งที่ยังก้มหน้า ปณิตาพูดเสียงเบาหวิวขาดห้วง
“คิดว่า... ทราบ... นะคะ”
หัวหน้าลูกขุนถามเสียงเข้ม “ทำไมถึงทำแบบนี้?”
ปณิตากลอกนัยน์ตาไปมาซ้ายขวา ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี คุณพ่อถามว่าทำไมทำแบบนี้ เธอทำอะไรลงไปล่ะ? ก็แค่หลงรักเด็กสาวคนหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่สิ เหตุผลน่ะ มันก็มีอยู่ เพราะน้องอินน่ารักไง แต่จะให้ตอบคุณพ่อไปแบบนั้น เธอคงได้โดนคณะลูกขุนออกคำสั่งประหารก่อนจะได้พูดชี้แจงอะไรต่อไป เอ... แล้วเธอมีอะไรจะพูดชี้แจงให้ศาลบุพการีที่เคารพฟังกันล่ะ? ระหว่างที่ปณิตาคิดถามตัวเองอยู่นั้น หัวหน้าคณะลูกขุนก็ถามอีกครั้ง
“มีอะไรจะพูดไหม?”
จำเลยลอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ เพื่อเคลียร์ลำคอให้โล่ง ถึงแม้ลำคอจะปลอดโปร่งแล้ว แต่เสียงที่ออกมาก็ยังเบากว่าเสียงพูดปกติ ปณิตามีแค่ประโยคเดียวที่อยากจะสารภาพให้คณะลูกขุนได้ฟัง ประโยคที่ว่านั้นก็คือ...
“ปริม... ปริมรักน้องอินค่ะ”
แล้วห้องทั้งห้องก็เงียบกริบไปสิบสองวินาที ก่อนที่หนึ่งในคณะลูกขุนอย่างคุณรวิวรรณจะเอ่ยปากซักถามจำเลยบ้าง
“มีอะไรรึว่าคบกับใครอยู่นี่ไม่คิดจะมาปรึกษาหารือ ไม่คิดจะบอกพ่อกับแม่เลยใช่ไหม? แต่ปริมกลับบอกให้คุณอรรู้ มันหมายความว่ายังไง?”
จำเลยยอมเงยหน้าขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพราะคุณแม่ถามเสียงสั่น ออกแนวต่อว่า บ่งบอกถึงความรู้สึกน้อยใจ ปณิตาพูดแก้ข้อกล่าวหาด้วยเสียงสั่น ๆ ไม่แพ้คนถาม
“ก็... ก็... ก็ปริมกลัว... กลัวว่าพ่อกับแม่จะโกรธ จะรับไม่ได้นี่นา”
พอปณิตาพูดจบ คุณพ่อก็ส่งเสียงดุ ๆ
“พูดแบบนี้ฟังแล้วยิ่งน่าโกรธนะ ปริมดูถูกความรักของพ่อกับแม่เหรอลูก?”
“เอ่อ... คือ... ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”
ปณิตาปฏิเสธเสียงหลง แต่ก็โดนลูกขุนรองโจมตีซ้ำ คุณรวิวรรณถามด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
“ลูกคิดว่าแม่กับพ่อเป็นคนใจแคบใช่ไหม?”
“เปล่า... เปล่าค่ะ”
“ถ้าเปล่า แล้วทำไมไม่ยอมบอกให้พ่อกับแม่รู้ล่ะ?... มีอะไร คบกับใคร ก็ไม่เคยมาบอกกล่าวปรึกษาพ่อแม่เลย คนอื่นเขารู้เรื่องรู้ราวกันหมดแล้วยกเว้นพ่อกับแม่ใช่ไหม... คุณอรก็รู้ ปู่รินทร์ก็รู้ นมแจ่มก็รู้ นายเก้าก็รู้... นี่ถ้าพ่อกับแม่ไม่เชิญให้คุณอรกับหนูอินมาที่บ้าน ชาตินี้พ่อกับแม่จะได้รู้ไหมนี่ว่าทำไมลูกสาวถึงไม่ยอมชายตาเหลียวแลมองหนุ่มคนไหนเสียที... ฮือ... คุณคะ ลูกคิดว่าเราสองคนใจแคบจริง ๆ ด้วย”
คุณปณิธีก็ว่า “แทนที่จะบอกกล่าวให้รู้บ้างว่าคบกับหนูอินอยู่ แม่ของน้องรู้แล้วและไม่ได้ว่าอะไร ปริมไม่บอกไม่พูดอะไรเลย ปล่อยให้พ่อกับแม่คิดมาก เป็นห่วงจนนอนไม่หลับ กลัวว่าทางคุณอรจะไม่ยอมให้คบกับลูกสาวเขา”
คุณแม่บ่นถามตัดพ้อเสียยืดยาวแล้วปล่อยโฮ คุณพ่อก็ต่อว่าเสียยาวยืดที่ทำตัวให้เป็นห่วง ส่วนคุณลูกสาวตอนนี้เกิดอาการตกตะลึงนั่งอึ้งอ้าปากหวอ ปณิตายังปรับจูนคลื่นสมองไม่ทัน
ทำไมเรื่องมันกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ?
เหตุไฉนเรื่องราวพลิกกลับตาลปัตร
ผิดไปจากที่คาดคิดกังวลไปล่วงหน้าแบบหันหัวกลับ 180 ํ อย่างนี้ไปได้ล่ะเนี่ย?
เอ... เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้
งั้นก็แสดงว่า...
“คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ... ที่ปริมกับน้องรักกัน?”
ปณิตาต้องรอจนกระทั่งคุณพ่อเดินไปหาคุณแม่ โอบกอดปลอบคุณภรรยาผู้มีอารมณ์อ่อนไหวมากมายให้หยุดร้องไห้เสียก่อน จึงจะได้รับคำตอบ คุณพ่อบอกกับเธอยิ้ม ๆ ว่า
“ถ้าพ่อกับแม่จะว่าจะห้ามปริมนะ พ่อกับแม่คงพูดไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว... มานี่เลย มากราบขอโทษคุณแม่ซะ”
ปณิตายิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายไหววิบด้วยความยินดีปนตื้นตัน ผู้เป็นลูกสาวรีบลุกไปหามารดา นั่งคุกเข่าลงกับพื้นข้างเก้าอี้ของคุณแม่ พนมมือแล้วก้มกราบลงบนตัก ปณิตาเงยหน้าขึ้นมา เธอกุมมือของมารดาเอาไว้แล้วเอ่ยคำขอโทษ ต่อด้วยคำชี้แจง
“ปริมขอโทษนะคะแม่... ปริมแค่เป็นห่วงความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นเอง ไม่เคยคิดดูถูกความรักของคุณพ่อคุณแม่หรอกนะคะ ในทางกลับกัน ที่ปริมไม่กล้าบอกเรื่องที่ปริมคบกับน้องอิน เป็นเพราะปริมคิดว่าคุณพ่อคุณแม่รักปริมมาก อาจจะรับไม่ได้และรู้สึกผิดหวัง เสียใจที่ลูกสาวคนเดียวรักผู้หญิงด้วยกันแบบนี้... ปริมไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้ไปตลอดหรอกนะคะ เมื่อกี้ตอนกินข้าวเสร็จ ปริมจะพูดบอกคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว แต่โดนคุณพ่อไล่ออกนอกห้องไปก่อน”
คุณนายรวิวรรณได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้นก็เริ่มยิ้มออก แต่หันไปส่งตาค้อนให้คุณสามี คุณปณิธีอุทานว่าอ้าว ถามคุณภรรยาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“สรุปว่าผมผิดใช่ไหมเนี่ย?”
“ใช่/ใช่ค่ะ”
คุณภรรยากับคุณลูกตอบพร้อมกัน จากนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะยิ้มขำดังลั่นห้อง
ทางฝ่ายของเด็กน้อยที่นั่งรอคอยผู้ใหญ่อยู่ในห้องนั่งเล่น อรินทิพย์นั่งนิ่ง มือที่ประสานกันอยู่บนตักบีบเข้าหากันจนข้อนิ้วเป็นสีขาว เด็กสาวรู้สึกตื่นเต้นและกังวลใจจนเหงื่อตก ภาพหน้านิ่วคิ้วขมวดของคุณลุงธี คุณพ่อของพี่ปริมตอนออกมาตามตัวลูกสาวให้กลับเข้าไปคุยด้วยยังติดตาเธออยู่เลย ลูกแมวน้อยจึงเป็นห่วงพี่แมวใหญ่เป็นนักหนา พี่ปริมจะโดนตำหนิต่อว่าอะไรบ้าง จะโดนสั่งห้ามไม่ให้คบหากับเธออีกต่อไปรึเปล่าก็ไม่รู้
มี้~ ลูกแมวน้อยกังวลใจ ลูกแมวน้อยกลัว (>人<“)
ไม่อยากให้เรื่องเป็นอย่างที่คิดเลย
“ลูกแมวน้อยจ๋า~”
เสียงหวานใสเจื้อยแจ้วของพี่แมวใหญ่ดังคับห้องโถง ลูกแมวน้อยสะดุ้งโหยง หลุดออกจากภวังค์ความคิด อรินทิพย์ยิ้มออกทันที พี่แมวใหญ่ร้องเรียกเธอด้วยน้ำเสียงเริงร่าขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องราวจบลงด้วยดี ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอกับพี่ปริมนึกกังวลไปล่วงหน้าใช่ไหม?
ต้องใช่แน่ ๆ
เพราะว่าพี่ปริมคลี่ยิ้มหวานมาแต่ไกล ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วคว้าตัวเธอไปกอดเสียแน่น ไม่ใช่แค่กอดอย่างเดียวเสียด้วยสิ มีเสียงฟอดฟอด จุ๊บจุ๊บ ดังตรงแก้มขวาของเธออีกต่างหาก อรินทิพย์จึงเกิดอาการหน้าแดงแจ๋ เนื่องจากตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ของพี่ปริมและคุณแม่ของเธอพากันมานั่ง รวมตัวกันอยู่บนโซฟารับแขก เด็กน้อยรู้สึกเขินอายจนอยากจะหนีหายแทรกตัวเข้าไปในเบาะของโซฟา
พี่แมวใหญ่อ่า... กล้ากอดจูบหอมแก้มหนูต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่เลยเหรอคะ
หนูอายจะตายอยู่แล้วน้า~
แล้วลูกแมวน้อยก็ต้องเพิ่มระดับความเขินอายขึ้นอีกสี่ร้อยยี่สิบสามจุดสามเก้าเท่า เมื่อได้ยินพี่แมวใหญ่พูดเสียงดังลั่นห้องนั่งเล่น
“น้องอินจ๋า...”
“>///////<”
“พี่ไม่อยากรอแล้วอ่า”
“ร... รออะไรคะ?”
“รอวันที่จะได้อยู่ด้วยกันไง...”
“!?”
“น้องอินคะ”
“คะ?”
“เรา... แต่งงานกันเถอะ”
“!!!”
O_O!!!
เมื่อกี้... อินไม่ได้หูฝาดใช่ไหมคะ?
พี่ปริม... ขออินแต่งงานเหรอ!!?
แต่งงาน...
ขอแต่งงาน...
พี่แมวใหญ่ขอหนูแต่งงานล่ะ...
อ๊ายยย~ ลูกแมวน้อยเขินนน~ >//////<