พรายในสายลม : บทนำกานต์ชนิตคิดมาเสมอว่าความดีสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ แม้จะเจอเหตุการณ์เลวร้ายแค่ไหน แค่เพียงเลือกอยู่ข้างความดี หนทางข้างหน้าย่อมคลี่คลายไปในทางที่ดีในสักวัน แต่เธอไม่เคยคิด ว่าความดีที่เธอตั้งมั่นในใจตลอดมา จะให้ผลตอบแทนด้วยการพรากชีวิตของเธอไปจากโลกนี้ตลอดกาล...
หากวันนั้นรถยนต์ของเธอไม่บังเอิญดับสนิท เธอก็คงขับรถข้ามบึงใหญ่หน้าหมู่บ้าน ไปยิ้มทักท้ายให้กับพ่อ แม่ พี่สาวและน้องสาวที่แสนดีของเธอแล้ว...
ถนนคอนกรีตเล็กๆ ที่เพียงข้ามผ่านก็จะเข้าไปสู่หมู่บ้านจัดสรรอันเป็นที่ตั้งของบ้านอันแสนอบอุ่นของเธอ
แค่เพียงข้ามบึงนี้ไปเท่านั้น...
อาจจะเป็นเพราะวันนี้เธอมีธุระจำเป็นต้องเดินทางออกไปทำกะทันหัน หรือไม่ก็ด้วยอายุการใช้งานของเจ้ารถยุโรปคันเก่าของพ่อ ที่ทำให้เธอไม่สามารถขับรถข้ามผ่านบึงนี้ไปได้ ถ้อยคำของคนแก่คนเฒ่าที่เคยสั่งสอนมา ว่าเวลาโพล้เพล้ใกล้พลบค่ำเป็นเวลาที่ทุกคนควรกลับเข้าบ้าน พระอาทิตย์ตกดินแล้วไม่ควรออกไปที่ไหน ก็สมัยนี้แล้วนี่นาเพราะสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนไป เราจึงไม่เชื่อคำกล่าวเหล่านั้นอีก
กานต์ชนิตได้ยินเสียงน้ำที่แตกกระเด็นเซ็นซ่านโครมใหญ่จนดึงความสนใจของเธอจากห้องเครื่องยนต์ใต้กระโปรงรถ เพ่งสายตามองกลุ่มเด็กประถมสี่ถึงห้าคนบริเวณริมบึงต่างทำสีหน้าตกอกตกใจและร้องโหวกเหวก ตรงจุดหนึ่งห่างจากฝั่งไปไกลพอสมควร แผ่นน้ำถูกตีให้แตกขาวกระจายกระเพื่อมไหวๆ เพราะร่างเล็กของใครคนหนึ่งกำลังตะกุยตะกาย และดูเหมือนว่ากำลังอ่อนแรงลงเรื่อยๆ อย่างน่าหวาดหวั่นว่าเด็กน้อยคนนั้นจะหมดแรงแล้วจมหายไปต่อหน้าต่อตา
“ช่วยด้วยครับ เพื่อนผมจมน้ำ!” เด็กชายคนหนึ่งตัวเปียกลู่หน้าตาซีดเซียวร้องบอกคนรอบกายอยู่เช่นนั้น แต่ทว่าระยะนั้นมันไกลเกินกว่าใครหลายคนจะกล้าว่ายไปช่วยเหลือได้ อีกทั้งความมืดที่เริ่มปกคลุมยิ่งส่งเสริมให้บึงแห่งนั้นดูลึกลับน่ากลัวยิ่งไปใหญ่
กานต์ชนิตเองก็ร้อนรนไม่อยากเห็นความตายของใคร แน่ใจแล้วว่าคนตกปลาคงจะนิ่งเฉยและคนพเนจรหน้าตื่นหวั่นกลัวคงจะไม่ช่วยเหลือแน่ ก็ตัดสินใจถอดรองเท้าส้นเตี้ยที่ตนเองสวมใส่อยู่ออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับดึงเข็มขัดหนังและเสื้อตัวนอกซึ่งคงเป็นอุปสรรคต่อการว่ายน้ำออกให้พ้นตัว จากนั้นก็พุ่งตัวลงไปในสายน้ำเย็นเยียบ
เธอมิใช่นักว่ายน้ำที่เก่งกาจมาจากที่ไหน ไม่ใช่คนสุขภาพแข็งแรงที่ออกกำลังกายอย่าง ออกจะค่อนไปทางหนอนหนังสือเสียด้วยซ้ำ เรียกว่าไม่เจียมตัวก็ว่าได้ที่ผลีผลามกระโดดลงไปช่วยผู้อื่นเช่นนี้ จะมีก็แต่สิ่งที่ตั้งมั่นอยู่ในใจเพียงเท่านั้น ที่บันดาลใจให้เธอไม่อาจเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ได้
ร่างของเด็กหญิงผลุบหัวลงไปใต้ผิวน้ำบ่อยครั้ง เธอยังว่ายไปได้ครึ่งทางอยู่เลย ร่างนั้นก็ผลุบหายไปจากสายตา ทำให้ต้องรีบเร่งความเร็วเพื่อช่วยเหลือให้ทัน และสูดหายใจสุดปอด พลันดำดิ่งตามลงไปค้นหา
ยิ่งลึกก็ยิ่งมืด เธอเปิดดวงตากว้างต่อสู้กับน้ำเย็น ไม่นานก็พบร่างเล็กของเด็กหญิงวัยไม่เกินสิบขวบ ลอยเคว้งคว้างต่ำลงสู่ความมืดมิดที่ก้นบึง โชคยังดีที่เจอสักที กานต์ชนิตอยากจะยิ้มแต่ยิ้มในน้ำคงบูดๆ เบี้ยวๆ ไม่สวยเหมือนยิ้มบนบก เมื่อใกล้เด็กหญิงมากพอจึงตะครุบคว้าแขนและคอเล็กไว้และฉุดดึงขึ้น ความพยายามช้อนและดันขึ้นไปเหนือผิวน้ำกินแรงอย่างไม่น่าเชื่อ จนเรี่ยวแรงของตัวเองเริ่มหดหาย อย่างไรก็แล้วแต่ยังออกแรงดันร่างเล็กให้ลอยขึ้นจนได้ พลางรู้สึกโล่งใจที่เห็นลำตัวและขาของใครอีกคนที่ว่ายเข้ามาช่วย
สองมือของเธอพยายามตะกายผืนน้ำสู่แสงสว่างเบื้องบนบ้าง ทว่ายิ่งคว้าเท่าไหร่ ยิ่งห่างไกลออกไปทุกที ร่างกายอ่อนล้าหนักอึ้ง และอากาศที่เก็บในปอดก็ค่อยๆ หมดไปจนเผลอสูดหายใจเอาน้ำเข้ามาแทนที่ อาการแสบแปลบในโพรงจมูกและช่องอกกระตุ้นให้เธอสำลักน้ำออก แต่จะให้เธอทำอย่างไรในเมื่อรอบกายในขณะนี้เต็มไปด้วยน้ำ ได้แต่ดิ้นรนอย่างทุรนทุรายจนกล้ามเนื้อแขนขาออกอาการชาไร้การตอบสนองแม้สมองจะสั่งการให้ดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่เป็นผล ยิ่งลึกยิ่งถูกบีบรัด อึดอัดเหลือเกิน แต่ก็เกินกำลังที่จะกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้
ดวงตากลมโตปรือหรี่ลง ก่อนจะปล่อยอากาศเฮือกสุดท้าย กลายเป็นฟองอากาศขึ้นสู่ผิวน้ำแทนร่างกายตัวเองที่จมดิ่งลึกลงไป..ลงไป ...เรื่อย..เรื่อย... ปิดกั้นสติสัมปชัญญะของเธอไปตลอดกาล
....
...จบบทนำ