web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 11
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 2
Total: 2

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่สาม Till I See You Again  (อ่าน 1265 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สาม Till I See You Again
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:47:23 »
บทที่สาม Till I See You Again

ตราบจนยามสายของวันใหม่....

“พาย วรินธร ตื่นได้แล้ว” เสียงเรียกมาพร้อมกับอาการกระชากหมวกออกจากศีรษะ เจ้าของนามสะดุ้งพรวดหลุดออกจากห้วงฝันผุดลุกนั่งในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที เรียกเสียงหัวเราะทุ้มนุ่มจากบุคคลตรงหน้าทันใด

คนที่ชื่อพาย...วรินธรขมวดคิ้ว ลดมือที่ตั้งการ์ดลงและกัดฟันพูด “แกจะปลุกฉันดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม เจฟ”

กานต์ชนิตเห็นชายหนุ่มหน้าฝรั่งผมสีน้ำตาลทองผู้มาใหม่ก้าวไปยืนจังก้าค้ำหัวคนนอนพลางอมยิ้มอย่างขำขัน เอ่ยตอบด้วยภาษาไทยชัด “ฉันปลุกไม่ดีตรงไหน เรียกแล้วไม่ตื่นก็แค่ดึงหมวกออก”

เธอว่าเธอคุ้นเคยกับหน้าตาของเขาจัง...

พายวรินธรถอนหายใจ เหล่ตาขุ่นมองชายผู้นั้นและแยกเขี้ยวใส่ อีกฝ่ายยังคงยิ้มยียวน

“นี่ในเมือง แกไม่จำเป็นต้องระแวงให้มาก กินนอนตามสบายเถอะเพื่อน”

พายวรินธรเกาหัวหงุดหงิด “คนนะไม่ใช่หุ่น จะได้สั่งให้เปิดปิดได้ตามใจ” แต่ก็ลุกขึ้นบิดตัวขับไล่ความเมื่อยขบ

“แล้วมานอนอะไรอยู่นี่ นอนตั้งแต่กี่โมง ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน กินข้าวหรือยัง”

คำถามรัวเร็วจนพายวรินธรขมวดคิ้วอีกคราว กวาดตามองเครื่องแต่งกายแสนเนี้ยบของเขา “นี่สลัดคราบโจรป่าออกทิ้งแล้วเหรอ ไวนะแก”

“ใครไปหมักหมมอย่างแกล่ะ”

พายวรินธรอ้าปากหาวตอบคำถามเขา “ง่วงไม่หาย นอนตั้งแต่กลับมายังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วนี่กี่โมงแล้ว พูดเรื่องกินข้าวฉันก็ชักหิว”

“สิบโมงเช้าแล้ว” เขาส่ายหัว “แกนอนชดเชยห้าวันที่ไม่ได้นอนหรือไง ข้ามวันข้ามคืนได้ขนาดนี้”

พายวรินธรยิ้มตอบไร้เรี่ยวแรง “ยี่สิบชม.เอง จิ๊บๆ แต่ท้องฉันคงแย่แล้ว หิวชะมัด จะมาชวนไปกินข้าวเหรอ”

สายตาสีน้ำตาลทองส่องประกายกระตือรือร้น ชายหนุ่มเบ้หน้ามองสภาพคนตรงหน้าขึ้นลง “ฉันไปคนเดียวดีกว่า” ไม่พูดเปล่าหันหลังกลับพร้อมเดินออกประตูรั้วไปทันที ทำให้คนนั่งต้องรีบร้อง

“เฮ้ย รอกันด้วยสิ สิบนาทีให้ฉัน โอเค๊”

ขายาวในกางเกงเดฟชะงัก ก่อนเจ้าตัวจะหันมาพยักหน้าตอบอย่างเหนื่อยหน่ายกับการรอคอย “ฉันจะไปเดินเล่นให้เจ็ดนาที กินข้าวแล้วไปออฟฟิศด้วย สายพานเฝ้าออฟฟิศบอกว่ากลิ่นไม่ดี”

พายวรินธรได้ยินดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นกลับไปปลดสลักประตูลูกบิดได้ในทันทีผิดกับตอนแรกที่ไขด้วยความง่วงงุนและเหนื่อยอ่อน บ่งบอกถึงอาการสติพร้อม เหมือนประโยคสุดท้ายเป็นแรงกระตุ้นให้รีบร้อน

กานต์ชนิตลอยตัวสูงเหนือรั้วบ้าน มองดูชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดกางเกงยาวและรองเท้าหนังสีขาวเข้าชุดเก๋ไก๋อย่างสนใจ เขาเดินกำลังเดินเล่นอย่างที่เขาบอกเพื่อน แต่สายตาคู่สีน้ำตาลคมวาวกลับไม่เป็นอย่างนั้น เขาสอดส่องไปทั่วทุกมุมหมู่บ้านอย่างพิจารณา สักพักจึงดึงแว่นตากันแดดบริเวณคอเสื้อมาสวมทับบดบังแววตาซอกแซก แล้วหันแหวกยิ้มให้หญิงสาวในรถเก๋งซึ่งขับผ่าน ท่าทางของเขาและหล่อนเหมือนไม่ใช่คนรู้จักกัน แต่เขาก็ยิ้มเก๋ไก๋เหมือนเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เหมือนหนุ่มสังคมโปรยเสน่ห์ที่ขี้เล่นและรักสนุก

เขาดูเหมือนคนที่กำลังทำตัวธรรมดากลบความไม่ธรรมดาชอบกล กานต์ชนิตบอกตัวเองว่า เพื่อนบ้านที่ชื่อพาย วรินธรและชายหนุ่มที่ชื่อเจฟมีอะไรแปลกตาแปลกใจอยู่มาก ไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะเดินตามเขาราวกับสะกดรอย อย่างไรเขาก็ไม่มีทางมองเห็นเธอ เรื่องน่าแปลกอีกเรื่องก็คือยิ่งเธอตามเขาที่เดินห่างออกจากบ้านหลังนั้นเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกถึงสายลมเย็นยะเยือกจนต้องหยุดเดินอยู่กับที่ มองแผ่นหลังกว้างของเขาไกลออกไปเพียงลำพัง

กานต์ชนิตสูดหายใจเข้าทำสมาธิ แม้เธอจะไม่จำเป็นต้องมีอากาศแต่ก็เป็นวิธีการทำสมาธิที่เธอคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก สักครู่คลื่นลมเย็นจึงได้สงบลง ความอึดอัดทรมานเมื่อคราวโดนบีบกดในน้ำจางลง นัยน์ตากลมโตหม่นแสง เธอไม่อาจเข้าใจตรรกะของสิ่งที่เธอเป็นอยู่ได้เลยสักนิด ที่สำคัญคือเธอเลื่อนลอยและไม่มีความหวังกับวันข้างหน้า นี่อาจจะเป็นบทลงโทษของอะไรบางอย่างที่เธอมองไม่เห็นก็เป็นได้

กานต์ชนิตลอยตัวกลับไปบ้านหลังเดิมอีกครั้ง เพื่อนบ้านที่ชื่อพาย วรินธรในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์เดฟเช่นเดียวกับชายหนุ่มเมื่อครู่ ผิดกันแต่รูปร่างและสรีระของคนตรงหน้าบอกเธอว่าเป็นหญิงสาวมิใช่มาดเท่อย่างชายหนุ่ม หล่อนสวมนาฬิกาข้อมือสีขาวเข้ากับเสื้อและรองเท้าหนังฟอก ใบหน้าเรียวสดใสขาวสะอาดอมชมพูบริเวณโหนกแก้มอย่างเป็นธรรมชาติ หากมิมีแววตาสีน้ำตาลอำพันเรืองรองคู่นั้นละก็ เธออาจจะไม่เชื่อว่าโจรป่าไร้เพศเมื่อครู่กับผู้หญิงมาดเนี้ยบคนนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน แววตานั้นเป็นจุดเด่นและสุกใส ในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดระแวดระวังอยู่ในที

กานต์ชนิตทดสอบเรื่องที่สงสัยอีกครั้งโดยการลอยตัวไปยืนตรงหน้าอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าหล่อนก็มองผ่านไปอย่างไม่ใยดี และนั่นทำให้เธอแน่ใจว่าเธอคิดไปเองว่าหล่อนจะมองเห็นเธอ ความรู้สึกเสียดายเกิดขึ้นวูบหนึ่ง นี่เธอกำลังตั้งความหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือไง ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะสามารถมองเห็นเธอ

“แบบนี้ค่อยน่าไปด้วยหน่อย” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อนสาว ดูไปก็เหมือนหล่อนกำลังส่งยิ้มให้เธอ กานต์ชนิตจึงยิ้มตอบอย่างอดไม่ได้ มนุษย์ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันอีกก็ชักชวนกันขึ้นรถสปอร์ตคันหรู ทันทีที่ร่างเพรียวสูงนั้นเดินทะลุผ่านตัวเธอ ความร้อนวูบวาบบางอย่างก็เกิดขึ้น กานต์ชนิตหันมองหล่อนอย่างตกใจ

พายวรินธรครางในลำคอพร้อมกับขมวดคิ้ว หันกลับไปมองบริเวณที่เดินผ่านมาเช่นกัน ตาสบตาชั่วอึดใจ กานต์ชนิตบอกตัวเองว่าถ้าหากตอนนี้เธอยังมีหัวใจไว้เต้น มันคงเต้นอย่างรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น ไม่นานอีกฝ่ายก็กวาดสายตามองรอบกายอย่างระวัง แต่ก็ไม่พบสิ่งใด จนชายหนุ่มด้านหลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมมองสำรวจด้วยกิริยาเดียวกัน “มีอะไร”

“ฉันรู้สึก...” พายวรินธรนึกหาคำพูด “เหมือนโดนอะไรบางอย่างสะกิด”

“อะไรสะกิด” เขาถามอย่างครุ่นคิด วรินธรพยายามนึก สักพักจึงเอ่ยอย่างจนใจ “เหมือนไฟฟ้าช็อต”

คำตอบทำให้คนถามทำหน้าประหลาด หน้าตาเขาตลกจนคนมองยิ้มขำพลางบอก “ช่างเถอะ คงไม่มีอะไร” พลางดันหลังเขาให้ไปขึ้นรถ “ไว้ค่อยคิด เราไปจัดการเรื่องที่ควรก่อนดีกว่าเจฟ”

เขาจึงตัดใจพยักหน้าคล้อยตาม ขึ้นรถได้ก็ติดเครื่อง กานต์ชนิตกล้ำกลืนความผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่เห็นตนอีกครั้ง เธอยืนเคว้งด้วยความสับสนเพียงครู่เดียว พลันตัดสินใจก้าวขึ้นรถตามคนทั้งคู่ไปทันที

...........................................................................................

รถสปอร์ตคันงามแล่นทะยานด้วยความเร็วสูง ผ่านถนนข้ามบึงหน้าหมู่บ้านไปอย่างง่ายดาย กานต์ชนิตนั่งภายในรถตอนหลังค่อนข้างแคบเพราะเป็นรถสำหรับสองคน แต่คงยังพอเบียดบังหาที่นั่งไปจนได้ เกาะกระจกรถมองดูผิวน้ำเรียบสนิทสีเข้มสะท้อนแผ่นฟ้าอย่างหวาดหวั่น เธอไม่เคยออกจากบึงแห่งนี้นับตั้งแต่เธอจมลงสู่ก้นบึง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ออกเดินทาง ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เธอจะถูกมือของใครกระชากกลับไปสู่ก้นบึงหรือไม่ จะได้รู้กันในตอนนี้ กานต์ชนิตพยายามเพ่งสมาธิ พยายามยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคย เธออยากเป็นอิสระจากที่นั่น ถึงแม้ว่าสถานที่ที่เธอกำลังจะเดินทางไปจะดูอันตรายกว่าบึงใหญ่แห่งนี้ก็ตาม เธอก็ไม่อยากถูกจองจำอีกแล้ว

ห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อย...

บึงใหญ่เล็กลงทุกที แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงดูปกติ กานต์ชนิตยิ้มยินดี อยากจะกระโดดโลดเต้นถ้าไม่ติดที่กลัวว่าเธอจะกระเด็นออกจากรถยนต์คันนี้ไปซะก่อน เธอหันมองไปยังหน้ารถ รู้สึกอยากเอื้อมมือไปกอดชายหญิงสองคนตรงหน้านี้จัง ระบายความดีใจของเธอให้ใครก็ได้รับรู้

แต่สองคนที่นั่งหน้าไม่ได้รับรู้ว่ามีผู้โดยสารไม่ได้รับเชิญขึ้นรถมาด้วย เริ่มสนทนากันในเรื่องที่ฟังแล้วเหมือนรหัสลับ กานต์ชนิตผู้แอบฟังไม่ได้รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย

“อาสินสืบจนได้ว่ามีคนของอีเว้นท์ปลอมไปเป็นเลขาส่วนตัวของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว” ฝ่ายชายเริ่มพูดก่อน

“เขารู้รึเปล่าล่ะว่าเป็นฉัน”

ฝ่ายชายส่ายหน้ายิ้มๆ “ถ้าแกไม่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเขาคงจะสืบหาตัวได้ง่ายกว่านี้ สายพานบอกว่าอาทิตย์ก่อนมีคนเข้าไปสำรวจออฟฟิศของเรา รอบแรกเขาไม่พบอะไร คงนึกว่าเป็นออฟฟิศธรรมดา แต่ที่ไหนได้ เมื่อวันก่อนเขากลับมาค้นใหม่ เลยรู้ว่าเขาเริ่มระแคะระคายอะไรขึ้นมาแล้ว”

“นายอาสินคนนี้ขี้ระแวงสุดๆ ถึงฉันปลอมตัวไปสืบอะไรต่ออะไรของเขาตั้งนาน แต่ก็ไม่ค่อยได้ความ เขาจะไว้ใจลูกน้องมือซ้ายกับมือขวาของเขาแค่สองคนเท่านั้น”

ชายหนุ่มยักไหล่ “เพราะมันทำไม่ดีไว้เยอะไง คนดีคงไม่มีความลับเยอะหรอก”

เสียงหัวเราะหึดังจากพายวรินธร “เสียใจก็แต่ว่าถ้าเกิดฉันรู้อะไรดีๆ ก่อนเกิดเรื่องก็คงจะดีน่ะสิ คนในแลปจะได้ไม่ตายบานเบอะขนาดนี้”

“ไม่ใช่คนของเราสักหน่อย คนของมิทซึคิง”

“คนของพ่อแกอ่ะนะ” หล่อนแซว

“เอ๊ะ ไอ้นี่ กวนประสาท”

“คนของใครมันก็คนเหมือนกันแหละน่า”

เจฟทำหน้าเอือม “เกิดจะมาแอ๊บเป็นคนดีอะไรตอนนี้”

“บ๊ะ ฉันเป็นแต่กำเนิด ไม่เคยแอ๊บ”

คนฟังขำ “แล้วไง จะเอายังไงต่อกับเรื่องนี้”

“ฉันไม่ได้บอกแกอีกเรื่องตอนที่ฉันพบศพดร.โฮล...ผู้อำนวยการแลป เพราะตอนนั้นเราสองคนมัวแต่หนีอาสินหัวซุกหัวซุน” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขณะเลี้ยวเข้าสู่ย่านชุมชน

“ที่ท้องแขนของเขามีรอยปากกาวาดเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยมระบายสีดำ และท้องแขนอีกข้างเขียนคำว่าอีเว้นท์ แกคิดว่ามันสื่อความหมายอะไรหรือเปล่า” หล่อนพูดยิ้มๆ และคนขับหันไปสบตาทันที

“ไดอิ้งแมสเสจ”

กานต์ชนิตอ้าปากค้าง นี่เอโดงาวะโคนันกับโมริโคโกโร่คุยกันรึเปล่าเนี่ย

ดูเหมือนชายหนุ่มจะเดาตรงใจกับฝ่ายหญิง เพราะหล่อนยิ้มกว้างขึ้นพลางเอนหลัง รับฟังการคาดเดาจากเพื่อน

“ไอ้กล่องนั่นคืออะไร black box กล่องข้อมูลเหรอ หมายความว่าเขาส่งข้อมูลสำคัญนั่นกลับมาให้มิทซึคิงแล้วสิ... ไม่สิ ส่งกลับมาอีเว้นท์ต่างหาก”

“ใช่ ฉันว่านอกจากอาสินจะสงสัยเรื่องเลขาฯ คงจะมีเรื่องโฮลแลปโอนข้อมูลกลับมาให้อีเว้นท์เนี่ยแหละ เผลอๆ มันจะสืบเจอด้วยว่าอีเว้นท์เป็นเครือข่ายของมิทซึคิง”

เขานิ่งงันไป “ไม่ไหวหรอกมั้ง รู้เยอะขนาดนี้ค่อนข้างอันตราย”

“อืม ฉันก็กลัวๆ อยู่เหมือนกันว่าที่ออฟฟิศจะเป็นยังไงบ้าง”

เขาถอนหายใจ “จะบ้าตาย อะไรจะเรื่องเยอะขนาดนี้นะ ว่าแต่ว่าวันนี้แกจะเปลี่ยนหน้าใหม่หรือเปล่า หน้าสดอย่างงี้เสี่ยงว่ะ เกิดเจอเหตุอะไรขึ้นมาอีก”

วรินธรหันไปยิ้ม “ฉันจะมีเวลาเปลี่ยนหน้าเหรอ ก็แกให้ฉันแค่เจ็ดนาที”

เจฟเปลี่ยนหน้าเครียดเป็นยิ้มเก๋ได้ทันใจ “ไม่คิดว่าเจ็ดนาทีจะเปลี่ยนไม่ได้ ฉันว่าแกหิวซะมากกว่าเลยไม่มีกะจิตกะใจแต่งหน้าแปลงโฉม”

แว่วเสียงหัวเราะคิก ก่อนแก้มฝรั่งขาวๆ จะถูกหยิกให้ยืดทั้งสองข้าง “แหม เกลียดจริงวู้ยคนรู้ทัน”

“อ่าอาอิกแอ้มอั้นนน” (อย่ามาหยิกแก้มฉันนน)

คนแกล้งยังคงสนุก จนหนุ่มเจฟคนขับรถละมือจากพวงมาลัยมาเอาคืน ตบตีกันตุ๊บตับอย่างจริงจัง รถสปอร์ตคันหรูเซไปเซมาชวนให้รถคันหลังบีบแตรด่าและไม่กล้าเข้าใกล้ ทำเอาผู้โดยสารที่เหลือเริ่มหวาดหวั่น ถึงเธอจะเป็นผีแต่เธอก็กลัวตายอีกหนได้นะ นี่เธอจะบอกยังไงให้เด็กโข่งสองคนนี่หยุดตีกันดีหนอ จนกระทั่งฝ่ายชายเริ่มออกหมัดเข้าใส่ ฝ่ายหญิงก็เอี้ยวตัวหลบอย่างรู้ทัน ออกหมัดโต้ตอบรัวเร็วน่ากลัวจะถูกซัดสักที่แต่ก็ไม่ยักโดน ใบหน้าหล่อๆ ยังคงขยับหลบได้ ทำให้กานต์ชนิตในทีแรกอยากห้ามกลับมองคนคนเล่นต่อสู้กันอย่างเพลิดเพลิน ต่างคนต่างรู้ทัน นัยน์ตาของคนทั้งคู่มีแววสนุกสนานมากกว่าจะแค้นเคือง ทำให้เธอรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ทะเลาะกัน แต่เหมือนเป็นความผ่อนคลายเสียมากกว่า

จนกระทั่งมีรถโฟร์วีลคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง แซงปาดหน้าอย่างรีบร้อน ทำให้ชายหญิงคู่หน้าชะงัก มองท้ายกระบะสีดำทะมึนเลี้ยวเข้าซอยเล็กข้างทางแทบยกล้อก็หันมองตากัน เลิกตีกันโดยปริยาย

เจฟใส่เกียร์เดินหน้าเต็มที่ เร่งความเร็วตามเข้าซอยไปอย่างไม่ลดละ กานต์ชนิตไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น สองคนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เธอไม่เข้าจายยย

พายวรินธรจับตามองรถกระบะสีดำคันหน้าอย่างครุ่นคิด เจฟก็โพล่งขึ้น “ไอ้กระบะคันนั้นไปทางออฟฟิศเรา”

หล่อนพยักหน้าเห็นด้วย จับตามองไปยังสองข้างทางจนกระทั่งเห็นลูกกลมๆ กลิ้งจากข้างทางมาหยุดกลางถนนในระยะไม่เกินยี่สิบเมตรเบื้องหน้า จึงตะโกนบอกเพื่อน

“เจฟ นี่เป็นกับดัก!” พร้อมกับดึงเบรกมือขึ้นสูงและปัดพวงมาลัยเบนไปทางหนึ่งจนท้ายรถหมุนเคว้งปัดเปลี่ยนทิศทางของรถกลับหลังหันจึงปล่อยเบรกลงสุด เจฟหันมองลูกสีเงินในกระจกแค่เสี้ยววินาทีก็เกิดแสงวาววาบระเบิดจ้าพร้อมกับเสียงตู้มสนั่นเมือง รถสปอร์ตคันเล็กราวกับติดไอพ่นให้พุ่งไปด้านหน้าเร็วขึ้นไปอีกเท่าตัว บอกให้รู้แล้วว่าระเบิดสองลูกนั้นมีอานุภาพร้ายแรงเพียงใด คนขับขับกัดฟันแน่นจนเห็นกรามเกร็ง แล้วเหยียบคันเร่งหนีห่างจากซอยเมื่อครู่ ความพลุ้งพล่านของเขาถูกระงับด้วยสายตาเย็นๆ ของพายวรินธร

“มันเป็นแผนล่อเราให้แสดงตัว รีบหนีก่อนเจฟ ขับให้พ้นก็พอ”

เขายังคงไม่พอใจ พายวรินธรจึงเอ่ยต่ออีกคำ “ใจเย็นก่อน”

คำเดียวที่ทำให้ชายหนุ่มหน้าฝรั่งสงบลง พร้อมกับพารถคันเก่งสู่ชานเมืองและจอดบริเวณซุ้มร้านอาหารเล็กๆ ข้างทางในที่สุด

กานต์ชนิตยังคงนั่งตัวแข็งทื่อ เหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเธอก็ยังไม่เข้าใจอะไรต่อไป ได้แต่เดินลงตามชายหญิงที่ก้าวลงจากรถก่อนหน้าและเข้าไปในร้านอาหารราวกับคนธรรมดาแวะหาที่กินข้าว แต่ใครจะรู้ว่าทั้งคู่เก็บความรู้สึกมากเพียงใด พอนั่งได้แทนที่จะสั่งอาหาร เขากลับถาม

“เพราะอะไร”

สองสายตาจากคนหนึ่งผีหนึ่งจับจ้องที่วรินธร ซึ่งเจ้าตัวเพียงแค่ถอนหายใจและนั่งลง สายตาจับจ้องไปยังเมนูอาหารบนฝาผนัง กานต์ชนิตนั่งลงข้างหล่อนบ้าง แต่เธอไม่ได้มองเมนูอาหาร เธอสนใจจะมองหล่อนมากกว่า ชายหนุ่มตรงหน้าเธอรับรู้ความรู้สึกร้อนรุ่มจากใจเขาได้ แม้ท่าทางของเขาจะไม่แสดงออก แต่หญิงสาวอีกคนไม่ใช่แบบนั้น แววตาที่จ้องมองไปข้างหน้าสงบเยือกเย็น เธอมองออกแค่เพียงว่าหล่อนกำลังครุ่นคิด แต่เธอมองอารมณ์ไม่ออกเลยว่ากำลังคิดสิ่งใด หล่อนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ชวนให้ติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ริมฝีปากคู่บางของหล่อนขยับตอบคำถามของเพื่อน

“เพราะมันไม่รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าอีเวนท์ดีเทคทีฟไม่ใช่บริษัทนักสืบธรรมดา มันจึงต้องล่อเราออกมา”

“แต่ถ้ารถที่แล่นไปไม่ใช่เราล่ะ ถ้าเป็นคนธรรมดาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้าไม่มีคนอย่างแกคอยดึงเบรกมือให้ฉัน มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

วรินธรหลุบสายตาลงมองแก้วน้ำที่เพิ่งวาง “งั้นก็โชคดีที่เป็นรถเรา”

กรามแข็งแรงของชายหนุ่มเกร็งขึ้นอย่างระงับไม่อยู่ วรินธรจึงรินน้ำให้เพื่อน หันไปหาแม่ค้าที่เป็นทั้งคนเสิร์ฟทั้งแม่ครัว “ข้าวกระเพราไก่สอง พิเศษเอาไข่จานละสองฟอง”

กานต์ชนิตอยากบอกจังว่าสั่งสามจานได้ไหม เธอเองก็ไม่ได้กินข้าวมานานหนึ่งปีแล้ว

“กินก่อนเจฟ อย่างที่แกเคยบอกฉันไง กินเสร็จนอนเสร็จแล้วทุกอย่างจะดีเอง”

กานต์ชนิตคิดตามคำพูดนั้น หรือเป็นเพราะเธอไม่ได้กินอะไรมาเป็นปี อะไรๆ ในชีวิตหลังความตายของเธอจึงยังไม่ดีขึ้น แสดงว่าเธอจะต้องลองกินข้าวกับเขาบ้างซะแล้ว ว่าแต่เธอจะทำยังไงให้ข้าวลงกระเพาะ แทนที่จะไปกองอยู่ที่พื้นดีล่ะ

เจฟไม่พูดอะไรอีก ทอดสายตามองออกไปนอกร้านพักใหญ่จนกระทั่งอาหารที่สั่งวางตรงหน้า ทั้งคู่ก็จัดการด้วยความรวดเร็วโดยไม่ต้องบอกกล่าว สองคนนี้นอกจากจะดวลต่อสู้กันในขณะขับรถได้แล้ว ยังไปประกวดแข่งกินเร็วได้อีกด้วย กานต์ชนิตเข้าใจว่าความสามารถบางอย่างก็เลียนแบบไม่ได้ง่ายๆ

สักครู่เดียวเมื่อจัดการกับอาหารหมด ฝ่ายชายก็เปิดปากถาม

“แล้วทีนี้เราจะทำยังไงต่อ”

ฝ่ายหญิงนิ่งไปบอกให้ทราบว่ากำลังคิด ดวงตาของหล่อนสะท้อนแดดยามบ่ายทำให้สีน้ำตาลอ่อนดูสว่างจนเกือบน้ำตาลทอง ดูแวววาวกระจ่างตา เสมือนว่าเป็นคนเปิดเผยจริงใจ แต่เมื่อมองลึกลงไปในความเคร่งขรึม เธอมองเห็นความลึกลับซับซ้อนที่ยากจะอ่านความคิดออก ประกอบกับความประหลาดของคนทั้งคู่ ทำให้เธอยิ่งเดาไม่ถูกว่าเนื้อแท้ของหล่อนเป็นคนเช่นไร

หล่อนนั่งเอนพนักพิงเก้าอี้พลางเอ่ยทบทวน “ก่อนโฮลแลประเบิด ดร.ส่งข่าวบอกให้มิทซึคิงรู้ว่าสามารถล้วงเรื่องสำคัญจากฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ยังไม่ทันได้บอกว่าฝ่ายนั้นคือฝ่ายไหน หรือเรื่องสำคัญนั้นคืออะไร ระเบิดก็ลงซะก่อน”

โฮลแลปอีกแล้ว?... กานต์ชนิตห้อยปรัศนีให้คำนี้ แล้วพ่วงอีกคำว่ามิทซึคิงด้วย ผู้จำหน่ายคอมพิวเตอร์น่ะเหรอ เธอว่าเธอเคยได้ยินชื่อมิทซึคิงบนของจำพวกอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์

“...โฮลแลปเป็นห้องวิจัยที่พัฒนาการล้วงข้อมูลระดับสูง ฉันเคยได้รับมอบหมายให้นำชิ้นส่วนจากแลปไปทดสอบประสิทธิภาพครั้งหนึ่ง เขาเรียกมันว่า “ของเล่น” เป็นกล่องสี่เหลี่ยมบางๆ วางไว้ใกล้ฮาร์ดดิสแล้วจะสามารถก๊อปปี้ข้อมูลภายในฮาร์ดดิสเครื่องนั้นได้ ง่ายๆ มันคือเครื่องล้วงข้อมูลแบบไวเลส หลักการนั้นฉันไม่รู้ว่าทำอย่างไร รู้แค่ว่าคงไม่แปลกถ้าโฮลแลปจะพัฒนาสิ่งนี้จนกระทั่งไปล้วงความลับสำคัญจากฝ่ายตรงข้ามออกมาได้ แล้วสุดท้ายก็โดนเอาคืน ก็เพราะเจ้าของเล่นชิ้นนี้แหละ”

“ความลับอะไรกันวะถึงได้หวงนักหวงหนา”

“คงไม่ใช่เรื่องเมียน้อยเมียหลวงอ่ะฉันว่า” หล่อนหยอกพร้อมกับยกน้ำดื่ม ช่วยคลายอารมณ์ให้กับชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาบ้าง เขาจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงดีขึ้น

“ฉันชักอยากจะรู้ เพราะไหนๆ พวกเราก็โดนลากเข้าไปเสี่ยงทั้งบริษัท ดีนะที่บอสสั่งให้ฉันกับแกเข้าไปสำรวจซากโฮลแลป ถ้าสั่งคนอื่นมีหวังได้ตายเรียบ ไอ้อาสินมันดักรอพวกเรา แล้วเตรียมถางป่าไว้เป็นสุสานหลังจากเค้นความลับออกไปได้” ถ้อยคำนี้ทำให้รู้ว่าสองหนุ่มสาวผ่านศึกไม่ใช่น้อยในป่า นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พายวรินธรมีสภาพเหมือนทหารผ่านศึกก็เป็นได้

“รู้หรือเปล่าว่าอาสินเนี่ยเป็นนายทหารมาก่อน แล้วก็ลาออกเพราะทำผิดวินัยทหาร เขาว่ากันว่านายนี่ซาดิสชอบจับลูกน้องมาลงโทษล่ะ” พายวรินธรเอ่ยยิ้มๆ

“แล้วไงวะ จะขู่ให้ฉันกลัวหรือไง ไม่กลัวหรอกโว้ย”

หล่อนหัวเราะ “ไม่กลัวก็ดี เพราะวันนี้เราจะต้องเข้าออฟฟิศให้ได้ สายพานเงียบหายไปอย่างนี้ เกิดเรื่องแน่ๆ”

ออฟฟิศที่มีลูกระเบิดดักไว้น่ะหรือ กานต์ชนิตแอบเสียวไส้ นึกไม่อยากตามคนคู่นี้ไปเอาดื้อๆ กลัวจะตายซ้ำสอง

“คิดว่าโฮลแลปจะโอนข้อมูลกลับเข้ามาในเซฟตี้บ๊อกซ์ของอีเว้นท์หรือไง” เขาถามพลางสบตาหล่อน

“กล่องสีดำบนท้องแขนนั่นน่าจะเป็นกล่องของอีเว้นท์ อย่าลืมว่าคนสร้างกล่องรักษาความปลอดภัยก็คือโฮลแลป กล่องนั่นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของแหล่งเก็บข้อมูลสำคัญที่มีความปลอดภัยสูง” หล่อนบอกอธิบาย

เจฟถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนและเอ่ย “ก็ได้ ถ้าเอารถไม่ได้ก็ต้องเดินไป” พลางคว้าแว่นตาสวมใส่ปิดความเครียดในแววตา

หล่อนพยักหน้าเห็นด้วย “แยกกัน ถ้าเอารถเข้าได้ก็เปลี่ยนรถด้วย”

เขาก็พยักหน้าบ้างและสบตากันไปอึดใจเดียว เขาก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์

“งั้นฉันค้นหาเซฟตี้บ๊อกซ์และสายพานเฝ้าออฟฟิศ ส่วนแก...เป็นนางเอกไปนะ”

คิ้วเรียวของวรินธรขยับติดกันทันที เขาจึงหัวเราะ “ตกลงตามนี้ สองทุ่มถ้าไม่เสร็จ พยายามกลับเซฟเฮ้าส์”

ดูท่าแล้วฝ่ายหญิงคงไม่ได้อยากเป็น “นางเอก” สักเท่าใด กานต์ชนิตสงสัยหนักขึ้นไปอีกว่านางเอกนั้นคืออะไร

ด้วยความสงสัยอย่างนั้นเอง กานต์ชนิตจึงเลือกตามฝ่ายหญิงที่เรียกเก็บเงินค่าอาหารเสร็จก็คว้ากระเป๋าสะพายก้าวพรวดข้ามถนนไปยังป้ายรถเมล์ แล้วจ้ำพรวดขึ้นรถเมล์คันแรกที่ผ่านมาทันที กานต์ชนิตแทบจะกระโดดขึ้นตามไม่ทันแน่ะ หันมองร้านอาหารอีกทีก็เห็นชายหนุ่มที่ชื่อเจฟกระชากรถสปอร์ตคันหรูออกไปอีกทิศทางแล้ว

วรินธรนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวหลังสุด สายตาจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า กานต์ชนิตนั่งข้างหล่อน มองดูหัวคิ้วขมวดเกือบติดกันทิ้งปลายยาวพาดเหนือดวงตาเป็นขีดเข้มค่อนข้างเป็นระเบียบ กระแสความร้อนปนอุ่นจากแผ่ออกมาร่างกายนั้นอย่างน่าประหลาด เหมือนเธอกำลังอยู่ใกล้เตาถ่านและกำลังได้ผิงไฟ จนอดไม่ได้จึงยื่นมือข้างหนึ่งแตะที่แขนของคนข้างกัน

ทันทีที่สัมผัส กานต์ชนิตรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าวิ่งปราดเข้าหาตัวอีกครั้ง เธอสะบัดมือออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเจ้าของลำแขนสะดุ้งพรวดและหันมองมาทางเธอ

สบตาสีน้ำตาลเรืองแสงแห่งความหวาดระแวงแล้วสมองของกานต์ชนิตว่างเปล่าโบ๋เบ๋ เธอกลั้นใจเมื่อใบหน้าอีกฝ่ายก้มลงมาใกล้ สักพักหล่อนจึงหันมองซ้ายขวา ยกมืออีกข้างลูบแขนตัวเองหน้าเครียด

กานต์ชนิตเองถอนหายใจ ประหลาด...สองครั้งแล้วที่ผู้หญิงคนนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอมีตัวตน มีความรู้สึกราวกับได้กลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง

รถเมล์จอด และหญิงสาวผู้เป็นเตาถ่านเคลื่อนที่ของเธอก็ลุกขึ้นยืน ก้าวลงจากรถไปด้วยความรวดเร็วเธอจึงติดตามหล่อนต่อ หล่อนเดินเข้าไปในอู่ซ่อมรถขนาดเล็ก พูดคุยกับช่างซ่อมไม่นาน เพื่อนำรถมอเตอร์ไซด์ของหล่อนที่ได้ฝากเอาไว้ออกมาใช้ ค่าฝากคือเงินไปปึกหนึ่งให้กับช่างใหญ่ เขายิ้มแย้มแถมยังเติมน้ำมันให้ด้วย เมื่อหล่อนใส่หมวกกันน็อกและคร่อมพร้อมสตาร์ทรถ เธอก็ตระหนกว่าเธอจะตามหล่อนไปอย่างไรให้ทันดีหนอ ผีจะซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ได้รึเปล่านะ วินาทีนี้เธอคิดอะไรไม่ออก ล่องลอยไปแล้วทำท่าคร่อมซ้อนตาม หลับตาในใจภาวนาขอให้เธอติดตามผู้หญิงคนนี้ได้ให้ถึงที่สุดด้วยเถิด จากนั้นเธอก็รู้สึกถึงสายลมฉิวพัดผ่านตัว จึงได้ลืมตาก็พบว่าตัวเธอนั้นนั่งแปะอยู่บนเบาะรถได้สำเร็จ รู้สึกถึงสัมผัสจากเบาะแข็งๆ ที่นั่งทับ รู้สึกถึงคันวางเท้าแข็งๆ รองรับเท้าของเธอ

ปลายเสื้อเชิ้ตขาวของคนขี่ปลิวสะบัดระใบหน้าชวนให้รู้สึกเหมือนปุยนุ่นเกี่ยวไปมา กานต์ชนิตลองยื่นมือไปจับ รู้สึกเพียงแค่ว่ามีบางอย่างปลิวผ่านเนื้อหนังของเธอเหมือนใครกำลังสะกิดเกามือเราเบาๆ แต่เธอยังคงจับสิ่งใดไม่ได้อยู่นั่นเอง อย่างไรก็แล้วแต่เธอยังรู้สึกตื่นเต้นดีใจ

คนขี่เร่งเครื่องใกล้ย่านชุมชน ขี่ซิกแซกแซงหน้ารถทุกคัน ก่อนจะจอดเอี๊ยดหน้าอาคารขนาดย่อมหลังหนึ่ง เบื้องหน้ามีอาคารสำนักงานขนาดสามชั้นตั้งโดดเดี่ยวเบื้องหน้าท่ามกลางสวนหย่อมเล็กๆ หน้าต่างประตูทุกบานปิดเงียบเชียบ ดูจากแววตาแล้วหล่อนคงไม่เบาใจนัก แต่ร่างเพรียวกลับเดินยืดตัวอย่างเปิดเผยไปบริเวณประตูหน้า...

แล้วเธอจะทำอย่างไรได้ นอกเสียจากตามไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหนือประตูมีป้ายเขียนไว้ว่า “อีเว้นท์ดีเทกทีฟ” สีส้มแดงอร่าม หล่อนเคาะประตูสองสามที ก็เปิดเข้าไปพร้อมกับโยนแท่งไฟนีออนในกระเป๋าเป้เข้าไปให้แสงสว่าง เมื่อเห็นว่าภายในมิได้เรียบร้อยเหมือนภายนอก มีร่องรอยรื้อค้นระเกะระกะและรอยกระสุนพรุนไปทั่ว วรินธรก็หันหลังขวับ กลิ้งหลบให้พ้นจากหน้าประตูรวดเร็ว ทำเอาเธอลนลานตกใจทำอะไรไม่ถูก และในทันทีทัดใดเสียงปืนรัวกระหน่ำมาจากทิศตรงข้ามวาดเฟี้ยวฟ้าวทะลุผ่านตัวเธอไปจนเธอหวีดร้อง พร้อมกับรีบคลานหลบหลังคนใจเย็นที่ช่างคุมสติได้นิ่งเหลือหลาย

“เธอไม่กลัวบ้างหรือไงเนี่ย!” กานต์ชนิตตะโกนถามหล่อนแข่งกับเสียงปืน แม้รู้ว่าหล่อนไม่ได้ยิน แต่มันอดไม่ได้นี่

วรินธรล้วงวัตถุสีน้ำตาลอ่อนออกจากกระเป๋าสะพายเฉียงไหล่ หน้าตามันเหมือนกระป๋องกาแฟ เขย่าแล้วมีเสียงซู่ซ่า จากนั้นกลิ้งมันออกไปเบื้องหน้า เสียงปืนเงียบลงอึดใจเมื่อมันคงเห็นเจ้ากระป๋องกลิ้งเหล่านั้น เพราะคนร้ายมัวชั่งใจว่ามันคืออะไรจึงเป็นโอกาสให้หล่อนขว้างระเบิดจิ๋วอันเท่าพลุเล็กในงานลอยกระทงออกไปอีก

ฝูงกระสุนปืนระลอกใหม่กรูเข้ามาราวสายฝน กานต์ชนิตหวีดร้องและก้มหัวชิดพื้นหญ้า แล้วยังต้องรีบกระเด้งตัวตามร่างเปรียวของอีกฝ่ายอีกด้วย โอ๊ย คิดว่าตัวเองเป็นแมวมีเก้าชีวิตหรือไง

หล่อนวิ่งไต่ริมถนนไปสู่ซอกซอยด้านหลังอาคารทันก่อนกระสุนระลอกสามและสี่จะมาถึงตัว เปิดทางให้กระป๋องเหล่านั้นทำงานส่งควันและก๊าซน้ำตาทำงานอำพรางร่างกายของชายหนุ่มคู่หูซึ่งวิ่งแผล็วผ่านสายตาเธอไปในอาคาร เขาหันมายักคิ้วให้วรินธรด้วย เธอเดาว่าเขาดักซุ่มอยู่แถวนี้ หน้าที่เขาคือเข้าไปหาของ ถ้าอย่างนั้นก็เดาไม่ยาก...หน้าที่นางเอกที่ว่าคืออะไร

วรินธรไม่ได้ตามชายหนุ่มเข้าอาคารไป แต่กลับวิ่งหลอกล่อให้กลุ่มคนเหล่านั้นตาม นางเอกที่ว่าก็คือตัวล่อนั่นเอง กานต์ชนิตหันกลับไปมองกลุ่มคน มีคนหนึ่งเล็งปืนมาทางนี้พร้อมกับเหนี่ยวไก เธอมองเห็นเม็ดกระสุนวิ่งเร็วจี๋ จึงได้แต่ยกมือปัดป้องและร้องว่าอย่าน้า กระสุนพลันหยุดที่มือเธอราวกับชนกำแพงใหญ่ และร่วงกับพื้นตรงนั้นเอง

เธอตะลึงและตื่นเต้น แต่จำต้องรีบวิ่งตามพายวรินธรไปเพราะกลัวคลาดกัน เหล่าชายชุดดำใส่เสื้อกันกระสุนจนอกหนา ทำให้ฝ่ายวรินธรยิงเท่าไหร่ฝ่ายนั้นก็ไม่ตาย และเหมือนวรินธรจะไม่ได้คิดจะยิง หรือยิงไม่โดนก็ไม่ทราบ เอาแต่หนีท่าเดียว ข้อดีคือหล่อนคล่องตัวกว่าพวกนั้น หล่อนถือเพียงปืนพกขนาดเล็กกระบอกเดียว หันมองกลุ่มคนเหล่านั้น เล็งอยู่ครู่ใหญ่จากขั้นบันไดหนีไฟ ไม่เกรงกับฝูงกระสุนซึ่งยิงเฉี่ยวเนื้อตัวอย่างน่าหวาดเสียว คนที่เหมือนหัวโจกถูกวรินธรยิงสองนัด หน้าอก และต้นขา ยังไม่ทันได้เล็งปังที่สาม กระสุนเฟี้ยวฟ้าวก็ทำให้ต้องหลบเสียก่อน

แล้วผลุบลงไปไต่ขอบระเบียบห้องของชั้นล่างกว่าเข้าสู่ภายในอาคาร วิ่งฉิวไปจนสุดทางเดินจนเธอแทบตามไม่ทัน หล่อนเปิดประตูเข้าห้องหนึ่งซึ่งไม่ได้ล็อกราวกับวางแผนไว้แล้ว เธอหันมองคนร้ายซึ่งวิ่งควบตะบึงตามติดมาด้วยความหวาดหวั่น วิ่งจี๋ทะลุกำแพงจนไปโผล่ห้องที่วรินธรเข้าไปก่อนหน้า ตอนนี้หล่อนหยุดยืนริมหน้าต่าง เธอเห็นสายเชือกระโยงตามพื้นผูกกับเก้าอี้ตัวใหญ่ไม่ทันได้คิดว่าคืออะไร ร่างของหล่อนก็กระโดดออกจากหน้าต่างชั้นสี่ไปแล้ว ยังหันมายิ้มหวานให้เหล่าคนร้ายอีกแน่ะ เฮ้อ คนอะไรจะไวขนาดนี้ เธอตัดสินใจกระโดดลอยตัวตามวรินธรลงไปด้านล่าง

เมื่อเจ้าหนุ่มเหล่านั้นมองจากขอบหน้าต่างลงไปอีกที ก็พบว่าร่างเพรียวในเสื้อขาววิ่งพรวดลับซอกซอยไปเสียแล้ว จึงได้สบถอย่างหงุดหงิดใจ และยกวิทยุสื่อสารขึ้นมา “มันหนีลงไปได้ ไปดักที่ซอยข้างวัด”

แม้กานต์ชนิตจะเหนื่อยมากกับการวิ่งตามพายวรินธร แต่ก็ยังมองออกว่าวรินธรไม่ได้วิ่งอย่างสะเปะสะปะ หล่อนพยายามดักให้พวกเขาแยกกัน ติดไปอยู่ทางนั้นทีทางนี้ที เพราะให้รับมือทั้งหมดเห็นจะไม่ไหว และพยายามหาทางหนีให้กับตนเอง แต่ความยากก็คือพวกเขามีมากเกินไป จึงได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งดักอยู่เบื้องหน้า เธอเบรกเอี๊ยดพร้อมหล่อน มองอีกฝ่ายหลบเข้าช่องระหว่างเสาไฟฟ้าหลบกระสุน อีกมือที่ว่างก็ควานหาอาวุธที่เหลือในกระเป๋า ปล่อยให้สายตาไวทำหน้าที่กวาดดู เธอมองเห็นความกังวลภายในนั้นชัดเจน

ก็แน่ล่ะหนอ คนชุดดำอีกกลุ่มวิ่งตรงมาจากทางตรงกันข้าม หน้าก็ดักหลังก็ดัก วรินธรตัดสินใจขว้างระเบิดควันอันสุดท้ายไปยังอีกทางทันที แล้วฉวยโอกาสอันชุลมุนวิ่งหนีไปอีกทาง ซึ่งก็เหมือนโดนต้อนให้ไปสุดทางตัน สุดท้ายเมื่อไร้ทางหนีหล่อนจึงหยุด ควักปืนสองกระบอกในกระเป๋าออกมาบรรจุกระสุนรังสุดท้ายจนเต็ม ปักหลัก หันปากกระบอกปืนเตรียมพร้อมและรอคอย

นี่หล่อนจะทำอะไร





ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สาม Till I See You Again(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:48:22 »
(ต่อ)
ผู้หญิงคนนี้บ้าเอามากๆ หล่อนไม่เกรงกลัว และไม่ยอมแพ้ แววตาหล่อนยังคงแน่วแน่ เหนี่ยวไกสกัดกลุ่มคนเหล่านั้นทีละคนจนพวกนั้นลังเลจะบุกเข้ามา ไม่เข้าใจว่าทำไมหล่อนถึงยังใจเย็นอยู่ได้ นี่เป็นการถ่วงเวลาแห่งความตาย เธอมองไม่เห็นทางรอดเลยสักนิด

ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ทำไมหล่อนไม่รู้จักรักษา

เธอโกรธจนอยากหันหลังหนีไปเสีย ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ก็รู้ดีว่าตนเองนั้นทำไม่ได้ ก็เพราะเธอเป็นเธอไง คงเพราะเธอเป็นอย่างนี้จึงทำให้เธอต้องสละชีวิตตัวเองแลกกับชีวิตใครอีกคนที่ไม่รู้จัก

หล่อนอาจจะไม่สำนึกในค่าของการได้มีชีวิต ก็ช่างมันเถิด เธอสำนึกของเธอคงเพียงพอแล้ว

ด้วยความคิดที่เป็นกุศล เมื่อเธอมองเห็นกลุ่มคนละลอกใหม่ยืนเล็งปืนมาทางนี้ จึงตัดสินใจยืนขวางหน้าหล่อน พลางหันไปมองเหล่ากระสุนเม็ดเล็กที่พุ่งตรงมาและหยุดตกลงเบื้องหน้าของเธอดังเคร๊งครัง บังเกิดความเงียบขึ้นวูบหนึ่ง

กานต์ชนิตหันมอง รู้สึกถึงความประหลาดใจและตกใจจากแววตาคู่นั้นชัดเจน และที่สำคัญคือหล่อนกำลังสบตาเธอ และเธอคาดหวังว่าคราวนี้จะไม่ได้คิดไปเองอีกนะ เสียงเสียงโหวกเหวกใกล้เข้ามา พร้อมกับกลุ่มคนเหล่านั้นยกปืนสำรวจทั่วซอยตันอย่างระวัง เธอจึงผลักตัวหล่อนให้หลบไปชิดผนังปูนอันเป็นซอกมุมของรอยต่อตึก

“เฮ๊ยมันหายไปไหนวะ!”

ชายคนหนึ่งเดินหยุดเบื้องหน้าและจ่อปืนปากกระบอกปืนตรงมา รับรู้ถึงมือของคนข้างหลังที่กระตุกเตรียมพร้อมจึงยึดมือหล่อนที่ถือปืนอุ่นร้อนเอาไว้ให้อยู่นิ่ง ชายผู้นั้นนิ่งไปวูบใหญ่ กานต์ชนิตจ้องเขม็ง ร้องขอในใจให้เขามองไม่เห็น ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ขอให้ช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้ด้วย

เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของชายตรงหน้า และสายลมร้อนจากลมหายใจของคนเบื้องหลังเป่ารดต้นคอ ช่วงไม่กี่วินาทีแค่นี้ กลับยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก

จนกระทั่งเขาหันไปบอกเพื่อนว่าไม่เจอและควรหาทางอื่น เธอจึงได้คลายความอัดอั้นในใจ อยากถอนหายใจฟู่ใหญ่ๆ แต่คงไม่มีลมหายใจให้ถอน...

...แตกต่างกับความรู้สึกของวรินธรซึ่งยังคงนิ่งค้างในท่าเดิมเพราะยังตะลึงงันไม่หาย จับต้นชนปลายไม่ถูกทีเดียวว่าเมื่อครู่นี้เกิดปาฏิหาริย์อะไรขึ้น เพิ่งรู้สึกตัวตอนที่เหงื่อชื้นไหลจากขมับย้อยถึงปลายคางชวนให้จั๊กจี้ และเรียกสติของตนเองกลับมาตั้งคำถามสำคัญว่า ใครกัน? ที่เป็นคนเข้ามาช่วยเหลือเธอในตอนนี้

เบื้องหน้าของเธอที่เดิมทีเป็นความว่างเปล่า บัดนี้เริ่มมีหมอกควันเบาบางรวมกลุ่มจนเป็นเป็นร่างกายของคน และมันไม่ใช่เพียงแค่ภาพลวงตา เพราะมือของอีกฝ่ายยังจับยึดมือเธอไว้อยู่เลย เธอเริ่มจากการแตะแขนไล่ไปยังไหล่และลำตัว พลันตัวตนเบื้องหน้าก็เริ่มชัดเจนขึ้น จนกระทั่งรวมเป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง หันหน้ากลับมาจ้องมองด้วยแววตากลมโต หล่อนอยู่ในชุดขาว มิใช่เจฟเพื่อนของเธอหรือแม้แต่เพื่อนร่วมทีมอีเว้นท์ที่เธอรู้จักด้วย ไม่ใช่นักวิจัยหรือใครก็ตามที่ดูมีความรู้และใช้เทคโนโลยีเป็น สายลมบางเบาที่ไม่รู้มาจากไหนพัดวูบวาบจนชุดขาวสะบัดไหว แสงเรืองรองจากร่างกายหล่อนสว่างวูบหนึ่งก่อนจะหายไปสู่ความสลัวของซอกตึกดังเดิม

วรินธรอธิบายไม่ได้ว่าหล่อนคือใคร... หรือ สำคัญกว่านั้น คือหล่อนคืออะไร!?!

“เธอเป็นใคร”

ผู้หญิงตรงหน้ายังคงนิ่งเหมือนรูปปั้น ดวงตามีความสับสนปนเป เธอไม่แน่ใจระหว่างความไม่พอใจหรือความแปลกใจว่าอันไหนมีมากกว่ากัน อย่างไรก็ตามความหวาดระแวงในใจเธอไม่ได้คลาย เมื่อหล่อนขยับตัวเบี่ยงหนีจากซอกตึกแคบ เธอจึงกระตุกมือคว้าสองแขนของหล่อนยึดไว้เผื่อว่าอีกฝ่ายจะต่อสู้

ฝ่ายนั้นตาโต ร้องบอก “ทำอะไรน่ะ”

วรินธรขมวดคิ้ว หล่อนเองก็ขมวดคิ้ว “ทำไมเธอแตะตัวฉันได้ล่ะ”

คำถามแปลกแต่วรินธรไม่มีกะจิตกะใจเล่นด้วย ยามนี้เธอเครียดและหวาดระแวงมาก จึงเอ่ยตอบน้ำเสียงคุกคาม “แล้วทำไมจะแตะไม่ได้ อย่านอกเรื่อง เธอคือใครกันแน่ ต้องการอะไร”

หล่อนโกรธ...

“เฮ๊ย ฉันเพิ่งช่วยเธอไว้แท้ๆ ยังมาตะคอกใส่”

“ก็นั่นแหละที่ฉันสงสัย เธอช่วยฉันไว้ทำไม ช่วยได้ยังไง อธิบายมาเดี๋ยวนี้ ใครส่งเธอมา”

ความเย็นจากเนื้อตัวหล่อนแผ่ซ่านจนมือของวรินธรที่เกาะกุมหล่อนไว้ชาหนึบ หล่อนสะบัดตัวหนีจนเกือบหลุด เธอจึงพลิกตัวหล่อนติดกำแพงและเอาตัวเองดันหล่อนเอาไว้ไม่ให้กระดุกกระดิก

“โอ๊ย เจ็บนะ คนอุตส่าห์ช่วย มาตอบแทนกันอย่างนี้เหรอ ปล่อยฉันนะ!”

“ก็ตอบคำถามมาเซ่” ไม่พูดเปล่า เธอยังดันเข่าล็อกตัวหล่อนให้แนบกำแพงแน่นเข้าอีกด้วย เรียกเสียงฮึดฮัดได้ทันที จะว่าไปถ้าไม่มีความเย็นวูบวาบหรือเรื่องที่ว่าหล่อนทำตัวเป็นหมอกล่องหนเมื่อครู่ล่ะก็เนื้อตัวหล่อนก็นุ่มนิ่มเหมือนผู้หญิงธรรมดา เธอคงจะรู้สึกขอบคุณหล่อนและไม่แคลงใจมากอย่างนี้เลย

“ปล่อยฉันเดียวนี้นะ พายวรินธร”

รู้ชื่อกันซะด้วย...

“ใครส่งเธอมา เธอเป็นคนของบริษัทไหน?”

เป็นคำถามที่เรียกเสียงฮึดฮัดของอีกฝ่ายอีกครั้ง “โอ๊ยถามอะไรไม่รู้เรื่อง รู้งี้ไม่ช่วยก็ดี”

มันก็แค่คำพูดธรรมดา แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากซีดฟังดูแปลก ก้องกังวานในซอยมืดอย่างประหลาด วรินธรรู้สึกว่าคล้ายเสียงที่สะท้อนในอุโมงค์ใต้น้ำ ลึกลับ...วังเวง แว่วเสียงเคลื่อนไหวของผืนน้ำอันกว้างใหญ่ กระทบแผ่นน้ำอันเย็นเยือก ขยับเคลื่อนดั่งคลื่นขยายวงไกล...กว้างใหญ่ไกลจนสุดลูกหูลูกตา เธอตั้งสติและขมวดคิ้วให้กับความเผลอไผลคิดไปไกลของตน

แต่ก็เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพลิกตัวกลับและส่งฝ่าเท้ามืดๆ ยันเธอโครมไปอีกฟากหนึ่งของกำแพงโดยไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่เป็นเท้าเปล่า เธอจึงไม่รู้สึกเจ็บมากนัก

แล้วหล่อนก็ยืนจังก้าเท้าสะเอวจ้องเธอ

“ฉันอุตส่าห์ดีใจเชียวที่เธอเห็นฉัน แต่ดันมาทำอย่างงี้ได้ เสียแรงที่ช่วยไว้จริงๆ”

คำตอบสะท้อนไหวสลับไปมาในสองหู แผ่วเบาเหมือนจะเลือนหายไปกับสายลม หล่อนเองก็คงรู้สึก เพราะสีหน้าหล่อนจากโมโหโทโสเป็นงุนงง ยกสองมืออันโปร่งใสขึ้นมองสลับกับมองหน้าเธอ จากนั้นจึงเป็นวิตกกังวลได้ทันตา วรินธรยังไม่ทันได้คำตอบ ว่าหล่อนเป็นใคร ใช้เทคโนโลยีอย่างไรถึงได้ทำแบบนี้ได้ แล้วเป็นเทคโนโลยีของบริษัทไหน เธอเกือบลืมไปแล้วว่ากำลังระแวงอีกฝ่ายอยู่เมื่อครู่นี้ สองมือจึงได้ยื่นคว้าร่างโปร่งใสตรงหน้า แต่ก็ปรากฏว่าหล่อนได้มลายหายไปเสียแล้ว

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก วรินธรก้าวไปยืนแทนที่ร่างในชุดขาว มองหาไปทั่วทั้งตัวก็ไม่พบใคร

.................................................................. จบบทที่สาม Till I See You Again

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.