web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 11
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 9
Total: 9

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่สี่ You Are Not Alone  (อ่าน 961 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สี่ You Are Not Alone
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:49:42 »
บทที่สี่ You Are Not Alone

ผู้หญิงคนนั้น ได้หายไปต่อหน้าต่อตาเธอ

หญิงสาววัยไม่เกินสามสิบปีในชุดเดรสยาวแค่ต้นขาสีขาวบางเบาปักลายดอกไม้ตรงมุมหนึ่ง ผมยาวผูกเป็นเปียหลวมอันใหญ่แกว่งไปมา ไม่มีเครื่องประดับใดๆ บนร่างกาย และไม่สวม...รองเท้า

วรินธรจรดปากกาลงบนสมุดบันทึกตรงหน้ายิกๆ เป็นเส้นลายมือตวัดไหวไม่เป็นระเบียบมองดูไม่ยากว่ากำลังรีบเร่งเขียนจนคิ้วทั้งสองขยับเข้าหากัน สายตาก็เหลือบอ่านไปยังข้อความในกระดาษอีกมือหนึ่ง ก่อนจะสลับกลับมามองลายมือตัวเองซึ่งยังคงเขียนต่อไปไม่มีหยุด ราวกับคนรีบเร่งลอกการบ้านเพื่อให้ทันส่งอาจารย์ ท่ามกลางเอกสารอีกหลายปึกบนโต๊ะกาแฟซึ่งกลายเป็นโต๊ะทำงานตั้งแต่เช้าจนสาย มีคอมพิวเตอร์แลปท๊อปวางเคียงคู่กองเอกสาร นานทีจึงจะได้รับความสนใจจากผู้นั่งตรงหน้าเสียครั้งหนึ่ง บัดนี้จอภาพจึงเผยภาพสกรีนเซฟเวอร์เป็นเส้นวิ่งวนไปมา เสียงแก้วน้ำวางกระทบจานรองแก้วดังกริ๊ก เรียกสมาธิของคนทำงานให้มลายหายวับ

วรินธรเงยหน้าขึ้นมองผู้วางแก้วก็พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งยืนยิ้มสวยเด่นเป็นสง่า ไม่นานจึงก้าวเข้ามายืนค้ำหัวเธอจนทำให้ต้องเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เพื่อแหงนหน้ามองผู้มาใหม่

ความสนใจมีให้เพียงแค่นั้น วรินธรหันไปยกกาแฟอันเย็นชืดดื่มจนหมดแก้ว แล้วจึงก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ ทำเอาคนตรงหน้า ซึ่งเป็นหญิงสาวเชื้อสายยุโรปสวยเฉียบบาดตาหยุดยิ้มโปรยเสน่ห์ทันใด

“ทำอะไรกันนักกันหนาไม่สนใจใครบ้างเลย”

คนทำงานขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจ “ทำการทำงานที่ลาพักร้อนไปสองอาทิตย์น่ะสิ”

เรียวปากอิ่มแดงสดของสาวเชื้อสายยุโรปขยับยิ้มน้อยๆ อีกครั้ง เลื่อนเก้าอี้ให้ตนเองได้นั่งลง มองกล่องเหล็กปู้ปี้ข้างคอมพิวเตอร์ซึ่งทับแผ่นกระดาษ รูปการ์ตูนยิ้มและรูปหน้ากากเขียนไว้ ลงชื่อว่าเจนนิเฟอร์ ซึ่งแปลความหมายว่าเขาปลอดภัยดี และกำลังแปลงหน้าเป็นเจนนิเฟอร์ผู้สวยเฉียบเปล่งรัศมีความงามไปทั่วทั้งร้านกาแฟแห่งนี้ จนวรินธรอยากจะลุกหนีเพราะไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตา

“แกเลิกโปรยยิ้มให้ฉันแบบนั้นได้ไหม”

หญิงสาวตรงหน้าหัวเราะคิกอย่างมีจริดจะก้านชวนให้หมั่นไส้เพิ่มเข้าไปอีก

“ฉันรู้สึกว่ากาแฟของฉันจืดชืดก็เพราะลิปสติกที่แกทาเนี่ยแหละ”

เจนนิเฟอร์ไขว้ขาไขว่ห้างอย่างหมิ่นเหม่ชวนให้วับๆ แวมๆ ให้มองลอดเข้าไปภายใต้กระโปรงดำ พร้อมกับเอาคางวางบนมือเอียงคอดูเก๋ไก๋ กะพริบตากระพือขนตาขึ้นลง

“อะไรกัน ใครๆ เขาก็สนใจรอยยิ้มของฉันทั้งนั้น”

วรินธรเหลือบสายตามอง พลันหลุบกลับไปยังงานตรงหน้าใหม่

“แล้วตกลงเขียนอะไรอยู่”

“บอกไปแล้วจะช่วยฉันเขียนหรือไง”

เจนนิเฟอร์หัวเราะคิกคักอีกคราว พยักหน้าขอบคุณให้กับพนักงานเมื่อเจ้าหล่อนนำขนมเค้กมาเสิร์ฟ สายตาคมตวัดมองจนเจ้าหล่อนทำอะไรไม่ถูกต้องรีบเงอะๆงะๆ ถอยหลบไป

“อย่าลืมว่าตอนนี้แกแอ๊บเป็นผู้หญิงอยู่ จะไปส่งสายตาเจ้าชู้แบบนั้นเค้าได้หาว่าแกเป็นเลสเบี้ยน” คนพูดก้มหน้าก้มตา แต่คนฟังแทบหลุดขำกลิ้ง

“เออ ถ้าฉันเป็นแล้วแกอย่าลืมจีบฉันล่ะ”

วรินธรขำ จรดปากกาเขียนคำลงท้ายเสร็จก็เป็นการบอกว่าเสร็จงาน แล้วหันเหความสนใจไปยังแลปท็อปเพื่อลงมือพิมพ์พร้อมกับทำงานชิ้นต่อไป เจนนิเฟอร์มองข้อความในกระดาษแวบเดียวก็ถามอย่างรู้กัน

“นี่ร่างฟ้องเสร็จแล้ว แล้วแกจะทำอะไรต่อ”

วรินธรถอนหายใจ “ก็ส่งอีเมลให้จำเลยสิวะ”

“อ้อ เดี๋ยวนี้เค้านัดหมายจำเลยทางอีเมลแล้วเหรอ”

“พอดีจำเลยคนนี้ติดอินเตอร์เน็ต ฉันก็เลยต้องนัดหมายทางนี้”

เจนนิเฟอร์พยักหน้าถึงบางอ้อ แอบประชดประชัน “อีกหน่อยคงมีนัดหมายผ่านทางไลน์ หรือไม่ก็ขึ้นศาลกันผ่านทางวีดีโอคอนเฟอเรนซ์”

วรินธรหัวเราะ “แล้วนี่ไปทำอะไรมา ถึงได้แต่งตัวยั่วสวาทได้ขนาดนี้”

“ฉันก็อยากเป็นนางเอกบ้างอะไรบ้าง”

วรินธรตวัดสายตาใส่ใบหน้ายิ้มกริ่ม เธอยังเคืองมันอยู่เลยที่สองวันก่อนปล่อยให้เธอเป็นนางเอก แล้วเจฟก็หายหัวไปจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันก็ส่งกล่องนี่กับโน้ตบอกแกแล้วไง”

“คราวหน้า ฉันจะให้แกเป็นนางเอกสมใจ”

เจนนิเฟอร์ยิ้มแย้ม มือกรีดกรายหยิบกล่องปู้ปี้ขึ้นมา วรินธรพิมพ์คีย์บอร์ดไปด้วยปากก็ถามไปด้วย “ตกลงในกล่องนี้มีอะไรบ้าง”

เจนนิเฟอร์ลีลาจิบกาแฟส่งยิ้มละไมสอดส่ายสายตากรุ้มกริ่มไปทั่วร้าน ตรงข้ามกับเสียงเคร่งเครียดเอ่ยกระซิบรัวเร็ว “เป็นอย่างที่คาด มีข้อมูลจากโฮลแลปโอนมาใส่ไว้ในนี้”

วรินธรมีแววตาพึงพอใจ ไม่เสียแรงที่ลงทุนเสี่ยงชีวิตกลับไปออฟฟิศ ซึ่งพวกอาสินโจมตีจนพนักงานแตกกระจายหนีกระเจิง โชคดีที่พวกเรารู้ทัน หนีทันก่อนพวกมันจะมา ไม่อย่างนั้นคงเสียหายมากว่านี้

เจนนิเฟอร์กระซิบเบาต่อ “สายพานบอกว่าอาจจะต้องใช้เวลาเพราะต้องจัดการกับโปรแกรมป้องกันการล้วงข้อมูลของเซฟตี้บ๊อกซะก่อน และเมนออฟฟิศของเราคงจะใช้การไม่ได้สักพักใหญ่ เราจึงต้องย้ายที่ทำการไปตึกของอังเดรแทน”

“แล้วนี่วันนี้ทำไมกลายเป็นยัยเจนนิเฟอร์โหนกแก้มสูงได้”

เจนนิเฟอร์ชักสีหน้าเมื่อโดนตอกย้ำปมด้อยที่แก้ไม่หาย “ฉันว่าพยายามแรเงาให้มันอ่อนลงแล้วเชียวนะ”

“ก็แกชอบแต่งหน้าจัดเป็นนางแบบ มันก็ปิดยากน่ะสิ”

“อ้อ คราวที่แล้วฉันแต่งเป็นสาวเกาหลี หน้าฉันมันเข้ากันไหมล่ะ”

คนฟังหลุดหัวเราะ เจนนิเฟอร์พากลับเข้าเรื่อง

“วันนี้ฉันมีนัดดูตัวน่ะ”

“ดูตัวอะไร”

“เลขานายอาสินคนใหม่” เจนนิเฟอร์ยิ้มให้กับใบหน้าประหลาดใจของเพื่อน ทั้งคู่สบตากัน

“จะเข้าไปหาอะไรล่ะคราวนี้”

เจนนิเฟอร์เอนตัวใกล้เพื่อน “ฉันอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วอาสินทำงานให้บริษัทไหนกันแน่ อย่างน้อยจะได้จำกัดวงได้ว่าควรเป็นห้องวิจัยไหนที่โฮลแลปไปล้วงความลับออกมา”

วรินธรถามพลางพิมพ์คีย์บอร์ดต่อ “แล้วเดาไว้รึเปล่าว่าบริษัทไหน”

เจนนิเฟอร์ยักไหล่ “เดา”

วรินธรหยุดการพิมพ์เพื่อรอให้เขาพูดให้จบ แต่อีกฝ่ายก็ยิ้มพร้อมกับจิบกาแฟอย่างอืดอาดทดสอบความอดทนของเธอจนได้ วรินธรเคี้ยวฟันตัวเองอย่างรอคอย มันมีบริษัทยักษ์ใหญ่แค่สามบริษัทเท่านั้นที่ต้องสงสัย ทั้งสามล้วนเป็นคู่แข่งสำคัญของมิทซึคิงครอป...บริษัทนายจ้างของอีเว้นท์ดีเทคทีฟของพวกเรา ซึ่งแข่งขันกันผลิตและพัฒนาสินค้าด้านเทคโนโลยี ตั้งแต่ระดับอนุภาคไปจนถึงเรือเดินสมุทร

ว่ากันตามจริงเราควรรอข้อมูลจากเซฟตี้บ๊อกซ์ก่อนจะผลีผลามทำอะไรต่อ แต่เจฟคงทนไม่ได้ที่กำลังโดนต้อนโดนไล่จากฝ่ายตรงข้าม คงคิดจะหาข้อมูลเพิ่มให้ได้มากที่สุด เธอกลัวว่ามันจะเสี่ยงเกินไปนิด

“เฟเดอริกสตาร์แน่นอน” เจนนิเฟอร์ประกาศอย่างมั่นใจ

คนฟังได้แต่ขมวดคิ้ว “ทำไมเลือกที่นั่น”

“เพราะชื่อมันยาวที่สุดไง”

วรินธรอยากยันหน้ายียวนให้คว่ำสักที เจนนิเฟอร์หัวเราะก๊าก “ใครจะไปรู้วะว่าที่ไหน ต้องลองถามจิงจ้อดูดีกว่าว่าเลือกอันไหน อย่างน้อยมันก็ลูกพ่อค้า”

“แกก็ลูกพ่อค้า” แถมเป็นพ่อค้าใหญ่ข้ามชาติซะด้วย

“แต่แม่ฉันเป็นคุณครูนี่หว่า” เจนนิเฟอร์พูดพลางกดมือถืออย่างกรีดกราย เพราะต้องพยายามไม่ให้เล็บที่แต่งทำมาอย่างดีไปขูดหน้าจอทัชสกรีน คนมองได้แต่ส่ายหน้าปนขำในความไม่ยอมรับในสายเลือดพ่อของคนตรงหน้า ดูท่าแล้วจะไม่ถูกกันไปอีกนาน

“ฮัลโหล อยู่ไหนยะ”

เห็นท่าทางจีบปากจีบคอพูดของเพื่อนแล้วเธอชักรู้สึกว่ามันแสดงสมบทบาทไปหน่อยไหม ท่าทางแบบนี้ไปขึ้นประกวดนางงามที่พัทยาได้สบาย

“เรื่องด่วน เจอกันที่ร้านกาแฟขี้ชะมดหน่อยเป็นไง...” วรินธรเขียนอีเมลและส่งจนเสร็จเรียบร้อย เมื่อกาแฟหมดแก้วก็จำเป็นต้องยกน้ำเปล่าดื่ม ฟังเพื่อนเจรจาได้ไม่นาน ภาพใบหน้าเกลี้ยงเกลาอันเศร้าสร้อยในชุดสีขาวพลิ้วก็กลับเข้ามา...

ผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างไรพิกล แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าคุ้นตรงไหน

หล่อนพยายามช่วยเธอเพื่อหลอกให้เธอตายใจหรือเปล่านะ เพราะมันเป็นวิธีการที่ซื้อความไว้วางใจได้ง่ายที่สุด ซึ่งเธอก็มักจะใช้วิธีการนี้เวลาสืบหาความจริงเสียด้วย แต่มันขัดแย้งกันตรงที่ว่า ทำไมหล่อนไม่โผล่มาดีๆ อย่างคนทั่วไป แต่ดันโผล่มาแบบพิศดาร อธิบายไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์แบบนี้ ก็ยิ่งสร้างความสับสนและไม่ไว้ใจน่ะสิ

หรือแท้จริงแล้วหล่อนไม่ได้หลอกเธอ

ถ้าอย่างนั้นหล่อนเป็นตัวอะไร?

อาจเป็นไปได้ที่หล่อนเป็นนวัตกรรมใหม่ของกลุ่มวิจัยสักแห่ง ถ้าหากว่าหล่อนเป็นจริงก็นับว่ากลุ่มวิจัยนั้นก้าวล้ำหน้ามิทซึงคิงไปหลายขั้น

สามบริษัทที่คุยกับเจฟเมื่อครู่นี้เข้าข่ายต้องสงสัย หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับบริษัทที่เป็นเจ้านายของอาสิน ถ้าอย่างนั้นหล่อนก็เป็นบุคคลที่น่ากลัวที่สุด ไม่สมควรเชื่อใจแม้ว่าหล่อนจะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ก็ตาม

เฮ้อ ทำไมเธอถึงไม่แต่เรื่องงานของตัวเองนะ ควรแยกเรื่องหล่อนออกไปก่อนสิ

ถ้ามันง่ายอย่างนั้นคงไม่ต้องมาคอยมองหาอย่างนี้หรอก หล่อนอาจจะเป็นต้นเหตุของเรื่องยุ่งๆ ในพักหลังนี้ก็ได้ใครจะไปรู้...

“ไอ้พายยยย”

วรินธรกะพริบตาปริบๆ มองเพื่อนที่จ้องตาโตหน้าโตเนื่องจากกำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ฉันเรียกแกตั้งนานแล้ว เป็นอะไรเนี่ย”

เธอยกมือเกาคอแก้เก้อ หยิบคุกกี้กัดกินก็บอก “ฉันง่วง”

เจนนิเฟอร์ยังคงจ้องด้วยสายตาคมปลาบ เธอจึงจ้องกลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว สุดท้ายเจนนิเฟอร์เป็นฝ่ายเอ่ยไปเรื่องอื่นเพราะรู้ว่ายังไงซะถ้าเธอไม่อยากบอกเธอก็จะไม่มีวันพูด “ฉันบอกจิงจ้อให้มาที่นี่ แต่เดี๋ยวเราจะย้ายกันไปมิทซึแทน แกโอเคป่าว”

“มิทซึเนี่ยฉันโอเคเสมอแหละ มีแต่แกนั่นแหละ”

“ฉันไม่มีปัญหาย่ะ”

วรินธรยิ้มขำ กดส่งข้อความยิกๆ หาเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนให้ไปเจอกัน “แล้วนี่นัดดูตัวกับนายอาสินกี่โมง”

“ดูไปแล้วเมื่อเช้า”

“หืม ไปดูตัวมาแล้ว!” วรินธรตาโต เจนนิเฟอร์พยักหน้าหงึกหงัก “ใช่สิตกใจอะไร”

วรินธรหรี่ตา ก็ถามต่อ “แล้วเป็นไง เวิร์คป่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน รอบที่แล้วเลขาเป็นผู้ชายแล้วมันแย่ รอบนี้เขาคงอยากเลือกผู้หญิงมากกว่า”

ถ้าอาสินได้รู้ความจริงคงจะแอ้มมันไม่ลงหรอก “แล้วถ้าเกิดว่าแกได้เข้าไปแล้ว ตอนออกเนี่ยจะออกยังไง คิดไว้หรือยัง”

เจนนิเฟอร์ยิ้มมุมปาก สายตาจับจ้องไปยังถนน “เรื่องนั้นฉันวางแผนเอาไว้แล้วน่า”

เจฟเป็นคนรักสงบ มันชอบอยู่นิ่งๆ เงียบๆ โดยที่ใครห้ามเอาอะไรมาแหย่ เพราะรู้ตัวดีว่าเป็นพวกชอบเอาคืน อย่าให้มีโมโห เดี๋ยวทุกอย่างจะกระเจิง

“จะทำอะไรก็...” วรินธรกลืนน้ำลาย “ปรึกษาบอสกันก่อน ดีกว่าเนอะ”

เจนนิเฟอร์หัวเราะหึจรดกาแฟดื่มจนหมดแก้ว บุคคลผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาชิดกระจกหน้าร้าน เมื่อทั้งสองเหลือบมองเห็นว่าเป็นใคร ผู้มาใหม่ก็ส่งยิ้มให้ พลางกวักมือเรียกให้มาข้างนอกด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งเธอและเจนนิเฟอร์เลิกคิ้วสบตากันเอง พลางควักเงินมาวางจ่าย เก็บข้าวเก็บของใส่กระเป๋าเอกสารขึ้นสะพายบ่า

วรินธรส่งยิ้มให้พนักงานตามปกติ เดินตามร่างสะโอดสะองของเพื่อนซึ่งเปิดประตูติดกระดิ่งนำไปก่อนแล้ว

จิงจ้อ ชายร่างกะทัดรัดในเสื้อยีนสีซีด ใบหน้านวลเหลือง กรามเหลี่ยม ดวงตาชั้นเดียวเฉียงพาดขึ้น รับกับคิ้วเรียวยาว หน้าตาบ่งบอกเชื้อสายของต้นตระกูลว่าค่อนไปทางจีนมากกว่าจะเป็นชาวไทยแท้ วันนี้เขาไม่ได้ปลอมแปลงใบหน้า จิงจ้อเดินเข้ามาใกล้และเอ่ยอย่างรวดเร็ว

“มีข่าวจาก ‘สนฉัตร’ เกี่ยวกับอาสิน”

วรินธรพยักหน้ารับรู้ให้เขาพูดต่อ เขาเหล่สายตามองเจนนิเฟอร์ “อาสินรู้ว่าเจนนิเฟอร์ไม่น่าไว้ใจ เขาจะล่อแกเข้าไปทำงาน และเก็บแก”

ใบหน้าของเจนนิเฟอร์นิ่งไปแววตาออกอาการวาววับบอกถึงความไม่สบอารมณ์ วรินธรเห็นดังนั้นก็ยิ้มและเอ่ยปลอบ “ดีที่รู้ก่อน...”

การข่าวของ ‘สนฉัตร’ นั้นแม่นยำเสมอ และมักจะมาทันเวลา

“ลูกน้องของเจ้าสนที่ติดตามอาสินบอกว่าช่วงนี้อาสินเก็บตัวเงียบและหวาดระแวงมาก บอสจึงสั่งให้เปลี่ยนไปตามลูกสาวของเขาแทน”

“ฉันไม่ยักรู้ว่าอาสินมีลูกสาว” เจนนิเฟอร์ดึงแว่นดำสวมกันแดด พลางสอดสายตาระแวดระวังรอบกาย

“โทษที ฉันก็ลืมบอกแก” วรินธรกล่าวยิ้มๆ และหันหาจิงจ้อ “ได้เรื่องหรือเปล่า”

จิงจ้อยิ้มมุมปากยัดกระดาษแผ่นเล็กใส่มือเธอ “ที่เหลือเป็นหน้าที่ของปิแอร์กับพริ้งแพรวพรรณ เนียนไปเป็นเพื่อนเธอหน่อยก็ดี”

“ทำไมต้องมีพริ้งแพรวพรรณด้วย?” วรินธรเหล่สายตามอง ‘ปิแอร์’ ในคราบหญิงสาว แค่ปิแอร์คนเดียวก็พอแล้ว งานนี้เกี่ยวอะไรกับเธอ

จิงจ้อหัวเราะหึๆ “เพราะมีคนคิดถึง”

ทำเอาคนถามขมวดคิ้วอย่างสงสัย จิงจ้อยังหัวเราะหึๆ ได้ไม่เลิก สบตากับเธออย่างมีเลศนัยแต่ก็ไม่อ้าปากพูดอะไร เธอส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ เขาหัวเราะและเสริมว่า

“ฉันว่าแกควรรีบหน่อยนะพาย ไม่งั้นจะเกิดปัญหา”

วรินธรมองร่างสัดทัดเดินลับหายไปในซอกตึกอย่างไม่เข้าใจ มันทิ้งปริศนาไว้แล้วมันก็ไป จิงจ้อตัวร้าย เธอคลี่กระดาษในมือก็พบว่ามันเป็นรูปภาพหญิงสาวหน้าตาบอกว่าเพิ่งพ้นวัยกระโปรงบานเปลี่ยนมาแต่งชุดนิสิตกระโปรงดำเสื้อเชิ้ตขาวเรียบร้อยได้ไม่นานนัก ความเรียบร้อยของเครื่องแบบดูไม่เปรี้ยวจี๊ดจ๊าดแสดงว่ายังน้องใหม่ ด้านล่างมุมหนึ่งเขียนชื่อติดไว้ ...ภาพทิวา...

ชื่อเพราะ ดูเข้ากับพริ้งแพรวพรรณดีจัง ว่าแต่ว่า....

“ทำไมบอสไม่สั่งแกแค่คนเดียว?” เธออดไม่ได้หันไปถามคนข้างๆ เจนนิเฟอร์ยิ้มเยาะยักไหล่อย่างน่าเกลียด

“เพราะบอสกลัวฉันพลาดอีกรอบมั้ง”

“ไม่ต้องประชดเรียกคะแนนสงสาร ฉันว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น ทำไมน้า คนอื่นมีตั้งเยอะแยะ ไม่ให้ฉันได้พักผ่อนบ้างหรือไง” เธอบ่นงึมงำออกอาการเกินตัวจนคนข้างกายเหล่ตามอง

“ทำไมรอบนี้โอดโอยจังเลย หรือแกมีนัดต้องไปทำอะไรกับใคร”

วรินธรชักหน้ากากแห่งความไม่รู้ไม่ชี้สวมทันที “ก็งานอื่นของฉันอีกเยอะแยะ และฉันว่าอีเว้นใช้งานฉันหนักเกินเงินค่าจ้าง รอบที่แล้วฉันเป็นนางเอก บอสยังไม่ทันได้จ่ายโอทีฉันเลย”

สายตาคมของเขายังจับจ้องเธอไม่เลิก เขารู้จักเธอดีว่าเธอไม่เคยเกี่ยงงอนเรื่องงานหนักยกเว้นแต่ว่ามีกิจกรรมอื่นที่อยากทำมากกว่า เธอจึงรีบเปลี่ยนเป็นมองเจ้าหล่อนในภาพแทน พลางดึงความนึกคิดหนีไปจากเรื่องแม่สาวลึกลับคนนั้นเสีย ป้องกันเจฟจับได้ด้วย

เธอจำได้เมื่อเดือนก่อนที่เธอได้ปลอมตัวเข้าไปเป็นเลขานุการของนายอาสิน ได้เจอหล่อนครั้งหนึ่ง หล่อนไม่ได้สนใจใครหรอก โดยเฉพาะลูกน้องของพ่อซึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่สำหรับวรินธรแล้วการเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดมักจะก่อประโยชน์ในภายหน้า

ภาพทิวาไม่ได้พักอยู่ที่บ้าน เพราะอาสินพ่อสุดหวงลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมห้องใหญ่ตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อไม่ให้ลูกสาวเหนื่อยเดินทาง หรืออีกนัยหนึ่งเพื่อไม่ให้ลูกสาวมารับรู้เรื่องการงานของเขา ดังนั้นเธอจึงมีข้อมูลของภาพทิวาไม่มากนัก เพราะหล่อนไม่ค่อยกลับบ้าน ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่างานนี้จะยืดเยื้อ ก็จะมีโอกาสแค่ไหนที่หล่อนจะนำพาไปพบเจอกับพ่อของหล่อน ยิ่งนานก็ยิ่งกินเวลา แล้วเธอก็จะไม่มีเวลาไปตามสืบเรื่องของผู้หญิงลึกลับ... สู้ให้ผู้ชายสักคนไปหลอกหักอกภาพทิวาในภาพนี้จนร้องไห้ฟูมฟายหนีกลับบ้านไม่ดีกว่าหรือ

สายตาของเธอเหล่มองเพื่อนข้างตัว เจนนิเฟอร์สบตาอ่านใจก็ยิ้ม “ฉันขอไปคิดก่อนว่าปิแอร์ควรหน้าตายังไงดี แกทำคะแนนนำไปก่อนเลยนะ”

วรินธรถอนหายใจ “ฉันว่าเสียเวลาเปล่า”

“ถ้าเสียเวลาแล้วบอสจะสั่งทำไม”

คำย้อนทำให้เธอขมวดคิ้ว เขาจึงบอกต่อ “ฉันว่าฉันพอเข้าใจบอสนิดหนึ่ง...” เขาชี้ไปยังฉากหลังอันพร่าเบลอพิกเซลแตก

“ฉันว่าฉันคุ้นๆ หน้าคนนี้”

เธอจดจ้องอยู่ได้ไม่นานก็มองหน้ายิ้มๆ ของเจนนิเฟอร์ รู้แล้วว่าทำไมจิงจ้อถึงบอกให้รีบ

“ฮารุกะกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“สักอาทิตย์ได้แล้วมั้ง เอ้า แกไม่รู้หรอกเหรอ โทษทีอ่ะ ฉันก็ลืมบอก” คำย้อนยียวนเธอจึงศอกใส่ท้องหนึ่งที เจนนิเฟอร์งอตัวหลบได้ทันอย่างฉิวเฉียดและหัวเราะเอิ้กอ้าก หายอารมณ์เสียได้ทันใด

“หรือว่าฮารุจะรู้เรื่องงานนี้ และปลอมตัวนำหน้าแกไปหนึ่งก้าวแล้ว”

วรินธรถอนหายใจ อยากคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่แหม เธอหลอกตัวเองให้คิดอย่างนั้นไม่ได้สักที สงสัยเธอต้องย้อนวัยแปลงร่างเป็นนักศึกษาปีเปอร์ไม่ยอมเรียนจบดูล่ะมั้ง เธอเอ่ยปิดท้าย

“ถ้าเจอบอสฝากบอกด้วยว่างานนี้ฉันขอค่าจ้างสองเด้ง” พูดจบก็โบกมือลาให้เพื่อนแล้วรีบออกเดิน โดยมีร่างโปร่งใสของใครอีกคนเดินเนิบนาบตามไป

สายลมในยามสายบางเบาปัดพลิ้วเสื้อผ้าและเส้นผมชวนให้รู้สึกอุ่นสบาย กานต์ชนิตยังสัมผัสสิ่งของไม่ได้ แต่สามารถรับรู้ได้เพียงบางเบาหากได้อยู่ใกล้กับผู้หญิงพิลึกคนตรงหน้า เธอลองยื่นมือไปจับไหล่ตั้งตรง ก็ปรากฏว่าคว้าเจอเพียงอากาศอุ่น หล่อนยังคงเหมือนเตาถ่านที่เธอจับได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มีแนวโน้มที่ดี ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนาสำหรับเธอ รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของผู้หญิงตรงหน้าเธอด้วย

พายวรินธรยังคงทำอะไรแปลกประหลาดเพิ่มขึ้น ยิ่งเธอติดตามหล่อนมากเท่าใด เธอยิ่งไม่เข้าใจชีวิตของหล่อน เหมือนสายลับในละคร ดูลึกลับพิศวง บางทีก็ออกแนวบู๊ล้างผลาญ จนบางทีเธอคิดว่าเธอหลุดมาอยู่ในโลกนิยายเรื่องใหม่สักเรื่องหนึ่ง คงเพราะมีชีวิตอย่างนี้ล่ะมั้งถึงได้ขี้ระแวงจัด ถึงขนาดจับเธอแนบกำแพงทั้งที่เธอเป็นคนช่วยหล่อนไว้แท้ๆ คิดแล้วยังโมโหไม่หาย แล้วนี่พายวรินธรคิดจะไปไหนต่ออีก

วรินธรกลับมารถมอเตอร์ไซด์คันเก่า หล่อนมองภาพในมือก็เก็บใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตพลางถอนหายใจ เธอรู้ว่าหล่อนไม่ได้เต็มใจอยากทำงานนี้จากบทสนทนาเมื่อครู่ แต่เธอกลับอยากให้หล่อนทำ เพราะเธออยากรู้ว่าหล่อนจะทำอย่างไร เสียงติดเครื่องรถทำให้กานต์ชนิตรีบซ้อนท้ายก่อนที่คนขี่จะบิดคันเร่งแล่นไปตามถนนใหญ่ ลัดเลี้ยวตามตรอกซอกซอยจนมาหยุดหน้าร้านขายข้าวมันไก่ร้านหนึ่ง อ๋อหล่อนแวะมากินข้าวนั่นเอง เธอตามหล่อนไปจนกระทั่งหล่อนจัดการกับอาหารทุกอย่างหมด แววตาวาวค่อยดูคลายความเครียดลง เธอจึงยิ้มขำ นึกถึงคติที่หล่อนเคยพูด...กินให้อิ่มก่อนแล้วทุกอย่างจะดีเอง หน้าตาของหล่อนตอนนี้ดีขึ้นจริงๆ

วรินธรลุกขึ้นยืน ถามทางเจ้าของร้านเพื่อไปห้องน้ำ กานต์ชนิตเลือกจะรออยู่หน้าห้อง ครู่เดียวเท่านั้นประตูห้องน้ำก็เปิด แต่ไม่ใช่วรินธรที่เดินออกมา กลับกลายเป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง รูปร่างสูงเพรียวผมยาวระบ่าเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจใคร กานต์ชนิตใช้เวลาเสี้ยววินาทีในการรำลึก เมื่อรู้ตัวว่าเป็นใครก็ก่อเกิดความตกตะลึง

นั่นคือหล่อนนั่นเอง

นางแบบเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว วันสุดท้ายที่เธอมีชีวิต... พริ้งแพรวพรรณ! เธอจำหล่อนได้

พริ้งแพรวพรรณคนที่ช่วยเหลือเธอในตอนถ่ายแบบ คนที่ดูไว้ตัวแต่ก็ใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะตอนที่เธอหล่นไปในน้ำทะเล...

อู้ย ไม่คิดเรื่องน่าอายนั่นดีกว่า

กานต์ชนิตดึงสติกลับเข้าหาตัวและชะโงกไปในห้องน้ำก็พบกับความว่างเปล่า

พายวรินธร คนที่หล่อนตามมาตลอดหายไปไหนเสียแล้ว? เมื่อกลับไปมองผู้หญิงชื่อพริ้งแพรวพรรณเมื่อครู่อีกครั้งจึงได้เห็นปลายเสื้อเชิ้ตขาวที่แลบออกมาจากแจคเก็ตยีนและกระเป๋าสะพายบ่า รองเท้าก็ใช่รองเท้าหนังสีขาว เป็นวรินธรแน่ ถึงแม้จมูกจะดูโด่งไปนิด คิ้วเปลี่ยนไปหน่อย ทรงผมไม่สั้นเหมือนเดิม นี่เองการแปลงหน้าที่เธอเคยได้ยินสองหนุ่มสาวเพื่อนซี้สนทนากัน

นี่หมายความว่า พายวรินธรปลอมตัวไปเป็นนางแบบวันนั้นน่ะหรือ?

คนสองคนที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน มีแต่ดวงตาสีน้ำตาลทองวาวประหลาดเท่านั้นที่ไม่แตกต่าง

โอ๊ย นี่หล่อนหลอกลวงใครต่อใครได้หน้าตาเฉยขนาดนี้เชียว รวมทั้งเธอก็โดนต้มไปด้วย

จากหน้าที่การงานของหล่อนที่เธอได้รู้มาเมื่อสองสามวันนี้ ทำให้เธอรู้ว่าหล่อนไม่ใช่คนธรรมดา แค่แปลงหน้าเป็นพริ้งแพรวพรรณ หล่อนทำได้อยู่แล้ว และเธอไม่คิดว่านอกจากวิชาการแปลงโฉมที่แสนแนบเนียนแล้ว ยังมีวิชาการแสดงที่เนียนยิ่งกว่า

วรินธรในคราบพริ้งแพรวพรรณเริ่มแผลงฤทธิ์เมื่อขี่รถเข้าไปในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ปลอมตัวเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามในคณะเกี่ยวกับการออกแบบ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่ชุดนักศึกษา จากนั้นก็ตีสนิทเพื่อนร่วมชั้น ผูกมิตรกับเพื่อนในกลุ่มง่ายดาย ไม่มีใครคิดว่าหล่อนแปลกปลอมเลยสักคน ช่างเป็นคนละมาดกับพริ้งแพรวพรรณที่เป็นนางแบบ ที่ชอบส่งยิ้มแค่มุมปากแลดูหยิ่ง พริ้งแพรวพรรณในตอนนี้ดูยิ้มง่ายและผูกมิตรเก่งจนน่ากลัว

แล้วคนไหนกันล่ะคือตัวตนที่แท้จริง พายวรินธร หรือว่าพริ้งแพรวพรรณ? วูบหนึ่งเธออยากได้พริ้งแพรวพรรณที่แสนใจดี...ทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นเดือดร้อนเหมือนกับที่หล่อนช่วยเธอเมื่อคราวนั้น อยากให้นั่นคือเนื้อแท้ของหล่อน ไม่อยากให้หล่อนเป็นมิจฉาชีพเที่ยวหลอกใครต่อใคร

หล่อนเดินเร็วผ่านถนนระหว่างตึกถัดไปจนเข้าสู่อีกภาควิชาหนึ่ง ไม่นานก็เดินเข้าไปหารถยนต์กึ่งสปอร์ตคันหนึ่ง มองทะเบียนก็ยิ้ม และแหงนหน้ามองบนตึก พลางเดินขึ้นไป เธอไม่เข้าใจความคิดหล่อนสักนิด จนกระทั่งหล่อนหยุดที่ชั้นสามและก้าวไปตามระเบียง และล้วงหินก้อนเท่ากำปั้นสองกำในกระเป๋าออกมา พร้อมกับโยนลงไปด้านล่าง

ครู่เดียวเสียงโพล๊ะก็ดังขึ้น วรินธรและกานต์ชนิตรีบชะเง้อมองตาม เห็นกระจกหน้ารถด้านล่างกลวงเป็นรูโบ๋

อ้าวเฮ๊ย นี่หล่อนทำอะไรกันเนี่ย

วรินธรอมยิ้มพร้อมกับถอยเข้ามาชิดผนัง รอจนกระทั่งได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านล่าง จึงได้ทำเนียนเป็นไทยมุงบริเวณลานจอดรถ

เธออ้าปากค้าง ได้แต่มองใบหน้าสบายอารมณ์ แถมยังไปซื้อน้ำมาดูดหน้าตาเฉยขณะมองผลงานตนเองตรงหน้า สลับกับมองรถยนต์คันสวยมีรูโบ๋ซึ่งเธออยากรู้ว่าใครกันที่เป็นเจ้าของ หรือว่าจะเป็นภาพทิวาในภาพนั่น

ถ้าอย่างนั้นเธอชักจะเริ่มเข้าใจแผนการของหล่อนขึ้นมาบ้างแล้ว... และก่อให้เกิดความกลัวในใจด้วย

คำภาวนาของเธอคงไม่ได้ผล หล่อนเป็นตัวร้ายตัวจริงเสียงจริง คิดแล้วเศร้าใจ เธอคงช่วยคนผิด

เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนไทยมุงสลายตัวหมด ดวงอาทิตย์ก็เริ่มเกาะขอบฟ้า

เสียงย่ำของรองเท้าพื้นแข็งดังต๊อกแต๊กๆ แต่ไกล เธอเงยหน้ามองร่างสลัวของผู้หญิงคนหนึ่งเดินลัดเลาะตามช่องจอดรถที่ว่างเปล่า สะพายกระเป๋าใบเก๋ข้างหนึ่ง หอบแฟ้มพะรุงพะรังอีกข้าง เสียงกรุ้งกริ้งของกำไลข้อมือดังสอดคล้องกับเสียงฝีเท้าเป็นจังหวะเข้ากันดี ท่ามกลางแสงสลัวยามโพล้เพล้ หล่อนหยุดยืนแล้วจ้องนิ่งไปยังรถคันหรูอันมีรูโบ๋ ก่อนจะแว่วเสียงถอนหายใจดังพรืด เมื่อหันหน้าให้แสงจากโคมไฟต้องใบหน้าเธอก็มั่นใจว่าหล่อนคือใคร...จริงด้วย เดาไม่เคยผิดเลย

ภาพทิวาเป็นผู้หญิงที่มีมาดคุณหนูตั้งแต่หัวจรดเท้า ออร่าแห่งความร่ำรวยและความถือตัวแผ่กระจาย หล่อนอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยผิวพรรณสดใสไร้ริ้วรอยจุดด่างดำ ใบหน้าจิ้มลิ้มแบบนี้ จับแต่งตัวสักหน่อยส่งไปประกวดเดือนดาวได้สบาย เมื่อได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถยนต์ของตัวเองก็ถึงกับหน้าซีด

เมื่อเป้าหมายมาแล้ว ก็ได้เวลาของคนเจ้าเล่ห์ออกปฏิบัติการ

“นี่ๆ ตัวเองๆ” ภาพทิวาเงยหน้า วรินธรซ่อนแววตาวาววับและเริ่มเปิดด้วยคำถาม “เป็นอะไรรึเปล่าทำไมมายืนมืดๆ คนเดียว”

.................................................................................... จบบทที่สี่ You Are Not Alone




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.