web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 21
Total: 21

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ เก้า You Should Be Here With Me  (อ่าน 1145 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ เก้า You Should Be Here With Me
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:57:59 »
บทที่ เก้า You Should Be Here With Me

วรินธรถูกจับแปลงร่างเป็นพราวพิลาศด้วยการแต่งหน้าให้ซีดเซียวผิดธรรมดาและเปลี่ยนทรงผมใหม่เท่านั้น อย่างอื่นล้วนแล้วแต่ไม่ได้เสริมเติมแต่งเพราะเกรงว่าอาจจะหลอกสายตาหมอไม่ได้

จิงจ้อจัดการพาเธอนั่งรถเข็นไปหาพยาบาลผู้หนึ่งหน้าห้องฉุกเฉิน บอกกล่าวเรื่องอาการของเพื่อนรักพร้อมกับส่งสายตากังวลมาให้เธอผู้ซีดเซียวราวกับคนขาดน้ำ ทำคอพับคออ่อนไปกับพนักเก้าอี้อย่างที่เจฟซึ่งปลอมตัวเป็นคนอื่นนั่งจับสังเกตอย่างขำขัน

จริงอยู่อีเว้นท์ดีเทคทีฟเป็นบริษัทนักสืบ แต่พนักงานอีเว้นท์ทุกคนล้วนมีความสามารถด้านการแสดง ครั้งนี้วรินธรแสดงได้แนบเนียนมาก เรียกสายตาเห็นใจได้หลายคู่ แต่ใช่ว่าเธอจะลัดคิวได้โดยง่าย โชคดีที่มีคนสละคิวให้ จิงจ้อจึงลากรถเพื่อนสาวเข้าสู่ห้องตรวจรวดเร็วด้วยความที่กลัวจะช็อกตายคารถเข็นไปเสียก่อน

จิงจ้ออ้างว่าเขาต้องการย้ายญาติสาวมาที่นี่เพราะทนจ่ายค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนไม่ไหว และเพื่อจะได้ใกล้บ้านและสะดวกคนเฝ้า ซึ่งหมอเข้าใจดี รับเอกสารผลการตรวจจากแพทย์คนก่อนหน้าไปอ่าน ไม่นานก็ได้ห้องเคลื่อนย้ายไปสู่ห้องเตียงรวม อันเนื่องมาจากห้องพิเศษราคาปานกลางยังไม่ว่าง ต้องรอช่วงบ่ายจึงจะมีห้องว่าง ครั้นจะให้ย้ายไปห้องพิเศษแสนแพงอย่างที่เธอนอนมาสองคืนแรก งบประมาณของอีเว้นท์ก็มีไม่เพียงพอ นางสาวพราวพิลาศ แพรวพราวจึงจำต้องนอนรับน้ำเกลือรวมอยู่กับคนไข้มากหน้าหลายตาไปก่อน จิงจ้อปรับเบาะเอนตั้งขึ้นเพื่อให้เธอนั่งคอยอย่างสบาย ตัวเขานั้นขอตัวออกไปเดินเล่น

คำว่าเดินเล่นสำหรับอีเว้นท์แล้วมีความหมายหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือดูลาดเลา

ยิ่งจิงจ้อแล้วยิ่งชอบหายแวบไปโดยไม่บอกใคร แล้วเขาก็มักจะได้ข้อมูลดีๆ กลับมาทุกครั้งเสียด้วย

เธออาจจะเดินเล่นไม่ได้เหมือนจิงจ้อ แต่เจ้าตัวค่อนข้างจะชอบใจกับการได้นั่งเฉยๆ ในห้องพักคนไข้อันแสนคึกคัก สายตาแวววาวส่งประกายสดใสเมื่อมองออกไปรอบกาย แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวเหลือหลายจนเหงื่อผุดแล้วผุดอีกก็ตาม

โรงพยาบาลของรัฐนั้นคนไข้มาก ดูสับสนวุ่นวาย ญาติคนไข้ก็มากตามจำนวนคนไข้ พยาบาลและพนักงานไม่เพียงพอ แพทย์ยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาว่างแม้แต่จะพักกินข้าว เสียงประกาศเรียกคิวต่อไปจากอาคารข้างกัน เสียงพูดคุยจ้อกแจ้ก เสียงรถเข็นแจกอาหาร แจกยา เสียงโอดโอยจากบางคนที่ปวดแผล ถ้าหากหลับตาแล้วสมมติตัวเองว่าไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน ก็คงเดาไม่ออกเลยว่าที่นี่คือโรงพยาบาล

เธอหันไปถามยายเตียงข้างๆ ว่าเป็นอะไร ยายตอบว่าปวดเนื้อปวดตัว เจ็บนั่นเคล็ดนี่ เป็นโรคคนแก่ แล้วตามด้วยคำบ่นยาวเหยียด คนฟังได้แต่ยิ้มรับ และถามว่าญาติพี่น้องยายล่ะไปไหน ยายตอบว่าค่ำๆ ถึงจะมา เค้าจะมาเยี่ยมวันละหน เธอถามยายว่าเบื่อบ้างเปล่าอยู่คนเดียวเหงาไหม

ยายยิ้มจนไม่เห็นฟัน เพราะไม่มีฟันในปากเหลือสักซี่ พลางตอบว่า “ไม่เหงา คนเยอะดี ดีกว่าอยู่บ้าน”

วรินธรหัวเราะไม่ค่อยออก เธอนึกถึงพ่อของเธอเหมือนกัน แม้ไม่แก่จนฟันหมดปาก แต่เธอก็ไม่ค่อยจะได้ไปหาเขา ได้แต่ฝากใครต่อใครช่วยดูแล บ้านที่ไม่มีลูกหลานคอยเอาใจใส่ จะน่าเบื่อกว่าที่นี่ไหมนะ

“แล้วหนูเป็นอะไรมา ร้อนล่ะสิ เหงื่อเต็มหน้าเชียว”

ยายส่งกล่องทิชชูให้ เธอรับมาซับบางๆ กลัวเครื่องสำอางที่จิงจ้อแต่งไว้ให้จะหลุดหมด พลางตอบไปตามอาการที่เจ้าจิงจ้อสรรสร้างโรคขึ้นมาให้เธอ พอยายถามว่าเธอไปทำอะไรมา ไอ้คนไม่อยากโกหกคนแก่ก็ได้แต่ยิ้มแหะ ตอบจริงเพียงส่วนหนึ่ง “โดนคนร้ายทำร้ายมา”

เท่านั้น ยายก็บ่นต่อว่าคนสมัยนี้ใจร้าย หาดีเหมือนสมัยก่อนได้ยาก บ่นไปสักครู่ เตียงถัดจากยายที่อายุอานามคงจะรุ่นราวคราวเดียวกันก็ผสมโรงเห็นด้วย กลายเป็นผสมกันบ่นไปเสียอีก ญาติของเตียงนั้นเข้าแจม บทสนทนาก็เลยขยายวง บางครั้งก็เฮฮา บางครั้งก็เป็นการระบายสารพันเรื่องราวในใจวกวนไปเรื่องเดิมๆ จนคนฟังเบื่อจะฟัง เธอนึกถึงใครบางคนที่บ้านที่บ่นมากแบบนี้แหละ บ่นจนบ้านไม่เคยเงียบ แต่พอปราศจากคนคนนั้น บ้านก็เงียบงัน

ข้อดีอีกข้อที่เธอเห็น ที่นี่ก็ครึกครื้นดี อาจจะไม่เหงาเหมือนอยู่บ้านอย่างที่ยายว่า แม้อากาศจะร้อนไปนิดก็ตาม

เวลาใกล้บ่ายโมง แพทย์หญิงเจ้าของไข้ของเธอก็เดินตรงมาหา ในมือถือกระดาษสำหรับบรรยายอาการคนไข้ เธอมักจะเห็นแพทย์ถือกระดาษแบบนี้เดินตรวจเสมอ หล่อนมีใบหน้าขาวแต่ไม่นวลละมุน แตกต่างจากเมื่อเช้าที่เธอเจอในห้องตรวจลิบลับ อันเนื่องมาจากการตรากตรำทำงานมากว่าครึ่งวันและความร้อนอบอ้าวชวนทำให้หน้ามันเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมองออกว่าเป็นหมอสาวที่หน้าตาดี คิ้วสวย ตาโต จมูกโค้งมนกำลังพอดีไม่ได้มากไปและดูเสแสร้งเหมือนคนทำจมูกมาใหม่ ปากเล่าก็จิ้มลิ้ม ยิ่งยิ้มแย้มก็ยิ่งเสริมเสน่ห์ วรินธรส่งยิ้มให้อย่างเผลอตัว ลืมไปแล้วว่าต้องเก็กหน้าหงอยเพราะกำลังป่วยหนัก

“สวัสดีค่ะคุณพราวพิลาศ”

ชื่อบนอกเสื้อคือ แพทย์หญิงอินทนิล นามสกุลละไว้ในฐานที่ไม่อยากบอก กำลังก้มลงอ่านผลตรวจของเธอในมือ แล้วเงยหน้าเอ่ย “อาการหนักเหมือนกันนะ เมื่อเช้าหมอลองตรวจคุณดูแล้ว หมอยังไม่แน่ใจว่าบาดเจ็บภายในหรือไม่ คงต้องนอนรอดูอาการไปก่อนนะคะ และร่างกายขาดน้ำก็เลยให้น้ำเกลือไว้ก่อน”

คนฟังพยักหน้ายิ้มรับ ยินยอมให้หมอเปิดแผลดู ตรวจอาการข้อมือ ข้อเท้า ลงความเห็นว่ามือต้องใส่เฝือกข้อมือ เท่านั้นแหละ เจ้าตัวก็จิ๊ดขึ้นมาในใจ นี่ท่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ใส่เฝือก ก็เหมือนคนด้วนน่ะสิ แล้วจะไปทำมาหากินอะไรได้ล่ะ จิงจ้อคนต้นเรื่อง หายหัวไปไหนของมัน

“ข้อเท้าหมอแค่ให้พันไว้นะคะ พยายามอย่าเพิ่งเดินมากในช่วงนี้” วรินธรรับฟังคำอธิบายของหมอด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น ยอมให้ทำนั่นทำนี่ตามที่บอก เอาผ้าคล้องแขนไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยใส่เฝือก

“เอ ในใบนี่ก็ไม่ได้ระบุนี่คะว่าคุณเป็นใบ้” คำล้อทำให้คนไข้หัวเราะพลางเอ่ยเป็นคำแรก

“จะให้ฉันพูดอะไร ก็หมอไม่ได้ถามอะไรฉัน”

อินทนิลเมื่อโดนย้อนเข้าบ้างก็เลยเก้อ สบสายตาสีน้ำตาลอ่อนใสวาวประกายนั้นอย่างสนใจ “โทษทีค่ะ หมอก็ลืมไป เดี๋ยวช่วงบ่ายๆ ก็คงจะได้ย้ายไปห้องพิเศษแล้วนี่ จะได้สบายขึ้นเนอะ”

วรินธรเหลือบมองรอบกาย “ที่นี่ก็ไม่ย่ำแย่อะไรหรอก ฉันอยู่ได้ค่ะ” กำลังคิดเหมือนกันว่าจะให้เจ้าจิงจ้อไม่ต้องจองห้องพิเศษแล้ว อยู่ห้องรวมเนี่ยแหละ

“แปลกนะ ไม่ใช่มีใครอยากอยู่ห้องรวม”

คนไข้ยิ้ม “ฉันก็ไม่อยาก แต่ห้องเดี่ยวมันน่าจะมีผีเยอะกว่า”

“อ้อ ที่แท้กลัวผี” หมอกลั้วหัวเราะ วรินธรสะอึกไป เมื่อนึกถึงใครบางคนที่บอกตัวเองว่าหล่อนคือผี

“ก็แหงล่ะ คนตายในโรงพยาบาลมากกว่าในป่าช้าอีกนะ” แต่ก็ยังกลิ้งไหลได้ไปเรื่อย หมอขำพร้อมมองเวลาว่าอาจจะคุยกะคนไข้นานไป สงสัยกำลังจะขอตัว

“เปรียบเทียบซะน่ากลัวเกินไปไหม ของอย่างงี้มันอยู่ที่ใจ ถ้าคิดว่าไม่มีมันก็ไม่มีหรอกค่ะ อาหารมาแล้ว คุณสามารถทานอาหารอ่อนๆ ได้นะคะ ถ้ามีอาการปวดท้องยังไงรีบแจ้งพยาบาลนะ ไว้เจอกันค่ะ”

วรินธรยกมือข้างที่สบายดีโบกบ้ายบาย มองร่างเพรียวสัดส่วนปานกลาง ความสูงปานกลางเดินจากไปอีกเตียงเพื่อถามไถ่อาการคนไข้อย่างชอบใจ ความจริงแล้วเวลาของหมอมีไม่ค่อยมาก ตรวจคนไข้คนหนึ่งไม่ควรกินหลายนาที เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถตรวจได้ครบด้วยเวลาจำกัด แต่หมอหญิงคนนี้ใจดี เธอถือว่าค่อนข้างมาก จิงจ้อที่แวบมายืนข้างๆ ทักเสียงต่ำพร้อมกระทุ้งศอกใส่

“เฮ๊ย”

วรินธรสะดุ้งเพราะเกือบโดนแผล “ไอ้นี่ มาไม่บอก ศอกไม่ดู เดี๋ยวแผลเปิด”

“มองตาไม่กะพริบเลย หมอมีอะไรน่าสงสัยรึ”

เธอหันมองเพื่อนที่หายไปตลอดช่วงเช้า ไม่ตอบแต่ย้อนถาม “แกนั่นแหละต้องตอบฉัน ไปสืบประวัติหมอมาล่ะสิ”

จิงจ้อเอนตัวใกล้ “รู้ทัน” พลางขยับโต๊ะกินข้าวให้เธอ และรับถาดอาหารมาวาง วรินธรเริ่มลงมือกินพร้อมเพื่อนที่ซื้อข้าวเหนียวไก่ทอดวางข้างถาดยืนกินด้วยเพื่อจะได้รักษาระยะการคุยให้แคบแค่คืบสองคืบ

“ประวัติขาวสะอาด หมออินทนิล ชื่อเล่นว่าหมอหนึ่ง อายุสามสิบปี เพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ปีแรก กำลังเรียนต่อเฉพาะทางเกี่ยวกับผิวหนัง ยังไม่แต่งงาน แฟนนี่ไม่แน่ใจ”

“แล้วนึกไงเลือกหมอคนนี้เป็นหมอประจำฉันล่ะ”

“ไม่ได้เลือก”

“อ้าว”

“แกคิดว่าโรงพยาบาลรัฐเลือกหมอได้เหรอวะ แกก็เห็น คนไข้เยอะอย่างกับมด แค่ฉันจัดการเอกสาร จัดคิวลัดคิว ทำบัตรนั่นนี่ก็หอบแล้ว ฉันว่านะ คนป่วยใกล้ตายจะมาตายก็เพราะขั้นตอนรอตรวจเนี่ยแหละ เยอะชิบ... หมอคนนี้ได้มาเพราะความบังเอิญ ที่เหลือก็เป็นตาแกแล้ว หาหมอผู้หญิงคนนั้นให้เจอ แล้วรีบๆ สืบก่อนแผลแกจะหาย”

วรินธรร้องจิ๊จ๊ะๆ ในคอ “บ่นเป็นป้าแก่ไปได้ พวกแกนี่ชอบกินแรงฉัน ใช้งานกันตลอด”

“อ้าวก็ระหว่างที่แกนอนหลับไปสองวัน บอสสั่งงานพวกฉันเป็นกระบุง ตอนนี้แกฟื้นแล้วก็ต้องช่วยกันทำบ้างสิ”

“วะ แล้วใครใช้ให้พวกแกกรองข่าวกันไม่ดี จนฉันเกือบจะโดนปิ้งในโรงหลอมตาย”

“งั้นแกก็ไปด่าไอ้สนสิ”

“ฉันก็อยากด่ามันเหมือนกัน ถ้ามันโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นล่ะนะ”

ก่อนที่จะเถียงกันเสียงดังไปมากกว่านั้น เสียงยายเตียงข้างกันก็ดังขึ้น

“พ่อหนุ่มคนนี้ผัวหนูเรอะ”

ทำเอาหนูแทบพรวดข้าวออกจากปาก พ่อหนุ่มผู้โดนแต่งตั้งให้เป็นผัวก็สำลักไอจนหน้าดำหน้าแดง พากันโบกมือเป็นพัลวัน ยายเห็นก็ร้องอ้อ “ก็กินข้าวหัวจะชนกันอยู่แล้ว ก็นึกว่าสวีทกันน่ะซี่”

ยายใช้ศัพท์วัยรุ่นด้วย แต่เธอขำไม่ออก รีบแก้ตัวว่าไม่ใช่ พลางเหล่สายตามองเพื่อนให้ถอยไปไกลๆ เดิมทีจะบอกจิงจ้อให้อยู่ห้องพิเศษรวมต่อ แต่เห็นทีจะไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง

............................................................................

กว่าจะได้ห้องพักผู้ป่วยแบบพิเศษที่ได้จองไว้ ก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็นแล้ว จิงจ้อเข็นรถพาเธอมาสู่ในห้อง ขอบคุณครับขอบคุณค่ะให้กับพยาบาลที่เข้ามาช่วยเหลือแล้วเดินออกจากห้องไป

จิงจ้อสำรวจตรวจตรารอบห้อง พร้อมกับวางอุปกรณ์พิเศษเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับเพื่อนอย่างรวดเร็ว หันมองเพื่อนซึ่งนอนหน้าซีดเป็นไก่รอเชือดบนเตียง แต่สายตายังดูสุกใส

“สีหน้าแกไม่ค่อยดีเลยว่ะพาย ฉันว่าคืนนี้แกพักเอาแรงก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยหาทางสืบ”

คนป่วยยิ้มเรี่ย เธอรู้สึกเมื่อยล้าจริงๆ นั่นแหละ อาจจะเพราะว่าวันนี้อากาศร้อนมากก็เป็นได้ แล้วแผลเจ้ากรรมที่แขนก็เริ่มปวดตุบๆ พิกล อีกเดี๋ยวยาที่เธอเพิ่งกินก็คงออกฤทธิ์ มันคงจะดีกว่านี้....

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยววันนี้ฉันจะไปเดินเล่นอีกที มีไรแกก็เรียกพยาบาลแล้วกัน อ่ะแล้วนี่”

จิงจ้อโยนมือถือเครื่องใหม่ให้เธอ “มือถือใหม่ โหลดข้อมูลจำเป็นใส่ไว้แล้ว โค้ดแกยังเหมือนเดิม” ผู้พูดก้าวฉับออกจากห้องทันทีที่พูดจบ ทิ้งความเงียบสงบให้กับคนไข้ได้พักผ่อน

วรินธรถอนหายใจพรืด มองสำรวจรอบห้อง ภาพใบหน้าเศร้าสร้อยก็วนเวียนกลับเข้ามาใหม่ พร้อมกับคำพูดของหล่อนประโยคสุดท้ายวนเวียนในโสตประสาท จึงดันกายลุกขึ้นนั่ง เธอคงจะไม่มีสมาธิทำอะไร ถ้ายังปล่อยให้ความสงสัยคุกคามตัวเองอยู่เช่นนี้ กระเป๋าเสื้อผ้าของเธอวางกองอยู่บนโซฟา เมื่อเปิดดูก็พบชุดลำลองสองสามชุด ชุดพยาบาล เสื้อคลุมหมอ และชุดพนักงานรักษาความปลอดภัย พร้อมกล่องรวมอุปกรณ์แต่งหน้าแปลงโฉม

เป็นเจฟแน่ๆ ที่จัดเสื้อผ้าให้เธอ

วรินธรยิ้มกริ่ม พลันเลือกชุดธรรมดาสามัญออกมาดีกว่า ชุดอื่นเอาไว้สืบเรื่องหมอหญิงคนนั้นทีหลัง แต่ตอนนี้ เธอไม่ได้ต้องการออกไปสืบ เธอต้องการกลับบ้าน ต้องไปสำรวจบ้านข้างๆ เธอดูสักหน่อย ว่าจริงหรือไม่ที่หล่อนว่าหล่อนเป็นลูกสาว...และได้ตายไปแล้วเพราะจมน้ำ

...

วันนี้เป็นวันทำงานและยังไม่ถึงเวลาเลิกงานดีนัก บริเวณหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้จึงยังไม่คักคัก มีเพียงรถยนต์สองสามคันวิ่งผ่าน แล้วก็เงียบกริบดังเก่า ยิ่งตรงหน้าบ้านเธอด้วยแล้วยิ่งไม่ค่อยมีคน เพราะความทะมึนรกร้างของบ้านทำให้เล่าลือกันว่าบ้านเช่าของเธอไม่ปกติ มีบางอย่างสิงสู่อยู่ เธอเลือกเช่าเพราะคำเล่าลือเหล่านั้นแหละ บ้านนี้จึงกลายเป็นเซฟเฮ้าส์ของเธอ เคยสำรวจเพื่อนบ้านเมื่อสมัยแรกที่ย้ายเข้า นั่นก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว และเธอก็ไม่มีเวลาได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นอีก วันนี้คงเป็นโอกาสดีได้เดินเล่นเสียหน่อย ถึงแม้สังขารของเธอจะไม่น่าพาไปเดินเล่นก็ตาม

วรินธรพาร่างไม่สมบูรณ์เต็มร้อยเดินเลียบรั้วบ้านตนเอง ข้อเท้ายังคงปวดอยู่ แต่ยังน้อยกว่าข้อมือและต้นแขน เธอค่อยๆ เดินข้ามซอยตันแคบจนหยุดหน้าบ้านหลังใหญ่ สีขาวครีมสะอาดตา ภายในไม่มีรถจอด บ้านดูเงียบเชียบแสดงว่ายังไม่มีใครกลับจากที่ทำงาน เธอเดินวนเวียนสำรวจจนเห็นว่าหน้าต่างบานหนึ่งบริเวณข้างบ้านปิดไม่สนิทนัก ดูเหมือนเจ้าโจรร้ายอยากออกมาเที่ยว ริมฝีปากบางแหวกยิ้มเหยียด เธอเอนตัวแนบประตูรั้วหน้าบ้าน พลางดึงกล่องเครื่องมืออเนกประสงค์ในกระเป๋ากางเกงออกมา ดึงวัตถุยาวเรียวสอดเข้าปลดล็อกแม่กุญแจอันใหญ่อย่างง่ายดาย ประตูรั้วอันเล็กเปิดออกเป็นอิสระชักชวนให้ร่างกะเพลกเดินเข้าไปสำรวจอย่างเงียบเชียบ

ไม่รอช้าสองขาพาไปยังหน้าต่างบานเล็ก อาการบาดเจ็บทำให้เธอปีนไม่สะดวก แต่เพราะความดันทุรังก็ทำให้ตนเองก้าวเข้าไปเหยียบภายในบ้านได้ในที่สุด ความสลัวทำให้เธอใช้ประสาทสัมผัสทางกลิ่น ได้กลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยแม้บางเบาแต่ก็ทำให้รู้ว่าสมาชิกในบ้านคนใดคนหนึ่งคงเกิดอาการปวดเมื่อยล้าจนต้องพึ่งยานวด หรือไม่แน่อาจจะเป็นคนสูงอายุจำเป็นต้องนวดก็เป็นได้ เธอเดินสำรวจตู้โชว์เป็นอันดับแรก ปรับสายตาเข้ากับความสลัวก็กวาดตาไปยังรูปที่ตั้งโชว์ ที่นี่มีสมาชิกห้าคน พ่อแม่และลูกสาวทั้งสาม ทีแรกเธอเกือบนึกว่ามีสมาชิกเพียงสี่ แต่พอไปเห็นรูปอีกรูปจึงได้รู้ว่ามีห้า เป็นรูปเดียวที่มีสมาชิกครบ รูปอื่นนั้นจะขาดผู้หญิงคนนี้ไป วรินธรจ้องใกล้ เธอเห็นหน้าหล่อนไม่ชัด เพราะรูปนั้นถ่ายย้อนแสงจึงเลิกเพ่งรูปถ่าย เปลี่ยนเป็นสำรวจห้องอื่นแทน

เฟอร์นิเจอร์และข้าวของสามารถแยกได้ว่าเป็นของสมาชิกคนใดได้ไม่ยาก ตู้หนังสือสูงท่วมหัวริมผนังด้านหนึ่งในห้องนั่งเล่นทำให้รู้ว่ามีคนชอบอ่านหนังสือเป็นอย่างมากในบ้านหลังนี้ บางเรื่องเป็นความรู้เฉพาะทาง แต่ส่วนใหญ่เป็นความรู้ทั่วไปมากกว่า โต๊ะทำงานมุมห้องมีกาน้ำชาวางพร้อมถ้วยชาสีครีม วรินธรก้มตัวลงดมพลางคีบใบชาก้นแก้วมอง เป็นชาเขียวธรรมดา ดูจากขนาดโซฟาตัวใหญ่เบื้องหน้าโต๊ะทำงานแล้ว มุมนี้เป็นของคนเป็นพ่อ หนังสือด้านหลังก็ควรเป็นของเขา มีเพียงตู้เตี้ยปิดด้วยบานกระจกเลื่อนที่เป็นหนังสือกฎหมาย ที่นี่มีนักกฎหมายอีกด้วย แถมกองนิตยสารหลายสำนักพิมพ์ยังวางเบียดกันจนเต็มอีกตู้ข้างกัน บอกให้รู้ว่ามีใครอย่างน้อยหนึ่งคนนิยมเรื่องแฟชันเป็นอย่างมาก

วรินธรวิเคราะห์ในใจพลางเดินต่อไปในครัว มีเครื่องครัวตามปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ถัดจากห้องครัว ยังมีประตูบานแคบสามารถเปิดเข้าไปสู่ห้องเล็กๆ อีกห้องหนึ่งซึ่งหลบอยู่ในซอกมุม หากไม่สังเกต เธอคงไม่เห็น ตรงกลางของห้องมีแท่นขนาดเท่าเอวตั้งชิดผนัง แต่เพราะอยู่ใต้ผ้าคลุมหนา เธอจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นสิ่งใด เมื่อย่างเท้าเข้าไปก็พบกับฝุ่นหนา สำนึกได้ว่าตนเองได้ทิ้งรอยเท้าเสียแล้ว

“เวรกรรม” งึมงำตำหนิตัวเองไม่กี่คำ ก็ตัดสินใจไหนๆ ก็ไหนๆ จะฝากร่องรอยเอาไว้แล้ว ขอสำรวจทั้งห้องดีกว่า เธอเดินรอบห้องแคบ ผนังสามด้านดูประหลาด พอเคาะแล้วดังปุๆ จึงรู้ว่าเป็นห้องเก็บเสียง มีหน้าต่างตรงผนังข้างหนึ่งเป็นทางยาว และชั้นหนังสือเล็กๆ แค่เอว ภายในบรรจุหนังสือเกี่ยวกับโน้ตเพลงเรียงรายเก็บเต็มแถว เมื่อเธอลองแตะปลายนิ้วกับผ้าคลุม รับรู้ถึงฝุ่นหนาไม่แพ้พื้นห้อง เธอพอจะเดาได้แล้ว ว่าเจ้าแท่นนี่คืออะไร

เมื่อแหวกผ้าดูก็เป็นดังคาด เจ้านี่คือคีย์บอร์ดของแท้ไม่ผิดแน่ อายุการใช้งานนานพอดู ดูจากร่องรอยตำหนิหลายแห่ง ถ้าเอาไปตีราคาค่างวด คงไม่มากเท่าไหร่แถมทิ้งไว้ไม่ยอมใช้งานอย่างนี้ เดี๋ยวได้มีอะไรเสื่อม ต้องเสียค่าเปลี่ยนอะไหล่อีก ดวงตาที่ทอประกายวิบวับเพราะคำนวณเม็ดเงินจึงได้สงบลงเพราะเห็นว่าไม่คุ้ม จึงดึงความคิดตนเองกลับสู่เรื่องที่ควรคิดเสียก่อน

แสดงว่าในบ้านหลังนี้ยังมีนักดนตรี เธออาจจะเดาว่าเป็นของลูกสาว หรือไม่ก็อาจจะแม่ ถ้าหากห้องเปียโนแห่งนี้จะไม่เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะบ่งบอกถึงการทิ้งร้างไม่ได้ใช้การ เธอถอนหายใจ ดูเหมือนทุกอย่างจะสนับสนุนคำพูดของหล่อนเหลือเกิน ข้าวของเหล่านี้เป็นของคนที่เหลือในภาพ และที่ทุกคนไม่เก็บภาพหล่อนไว้ก็เพราะว่าหล่อนตายไปแล้ว ไม่อยากระลึกถึงความเศร้า และที่ทุกคนยังเก็บห้องดนตรีแห่งนี้เอาไว้ก็เพื่อระลึกถึงผู้เล่น...

เธอต้องหารูปของหล่อนให้พบ เพื่อให้ได้มั่นใจในความคิดของตนเองเสียหน่อย

ว่าแล้วก็พาตัวเองไปยังชั้นสอง กำลังลังเลทีเดียวว่าจะเข้าห้องไหนก่อน เสียงเครื่องยนต์รถยนต์ก็กระหึ่มจากหน้าบ้านไม่นานก็ดับเครื่องรถ เจ้าโจรร้ายในใจกระซิบให้เธอระวังตัว ค่อยๆ ย่องไปยังช่องหน้าต่างติดหน้าบ้านเพื่อแหวกม่านดู ก็พบว่ามีคนกำลังเปิดประตูรั้วเข้ามา เป็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดทำงานสูทสีเทาเรียบร้อย ผมเผ้าก็เรียบร้อย ไม่ต้องเดาให้ยาก นักกฎหมายแน่ๆ หล่อนคือลูกสาวในรูปและหล่อนกำลังสงสัยแม่กุญแจที่ไม่ได้ล็อก พลันหญิงสาวในชุดสูทก็สาวเท้าเข้ามาในชายคา เพราะหล่อนเป็นคนประเภทเดียวกับเธอ เธอจึงไม่ปล่อยให้ตัวเองเสี่ยงอีกต่อไป รีบเปิดหน้าต่างชั้นสองข้างหนึ่งของตัวบ้าน มีต้นไม้แลดูแข็งแรงยื่นกิ่งระกันสาด ถ้าหากร่างกายเธอสมบูรณ์ปกติ ระยะแค่นี้เธอกระโดดได้ง่ายๆ แต่นี่ข้อเท้าก็แย่ ข้อมือก็เคล็ด เธอได้แต่กระโดดและใช้แขนคล้องกิ่งไว้ แต่มีหรือที่มันจะเกาะแน่นเท่ามือ พลันเธอก็ไถลพรืดได้ปล่อยสัญชาติญาณสั่งการให้รีบยื่นมือข้างที่ยังใช้การได้คว้ากิ่งไว้หมับ ปล่อยให้ตัวเองห้อยต่องแต่งหมุนไปหมุนมาจนหันหน้าเข้าสู่ตัวบ้านจึงได้เห็นว่าคนภายในกำลังมองทะลุหน้าต่างออกมาเห็นเธอ!

หล่อนเบิกตากว้างชี้นิ้วและร้อง “ขโมย!”

วรินธรสะดุ้งมองพื้นกะความสูง จำเป็นต้องกลั้นใจทิ้งตัวเองลงพื้น พยายามใช้ความรู้ที่นึกได้กลิ้งลงท่าที่เจ็บน้อยที่สุด แต่แหมก็ทำเอาจุกเอาเรื่อง เจ้าของบ้านวิ่งตุบตับออกมา เมื่อเห็นเธอก็หันไปคว้าไม้กวาดทางมะพร้าวสำหรับกวาดลานซีเมนต์พร้อมกับเงื้อด้ามและตรงมาที่เธอ เธอลืมเจ็บทันใด รีบพาตัวเองวิ่งกะเพลกๆ ไปยังประตูรั้วและเร่งฝีเท้าสุดกำลัง แว่วเสียงเจ้าของบ้านร้องตะโกนโวยวาย

“จับโจรๆ” โอ๊ย นี่คนหรือโทรโข่งเนี่ย เสียงจะดังอะไรปานนั้น เสียงขนาดนี้ไม่ควรเป็นทนายหรอกแม่คุณ ไปเป็นประชาสัมพันธ์หมู่บ้านดีกว่าไหม โชคดีที่เสียงรถราของคนกำลังกลับบ้านดังกลบ จึงไม่มีใครสนใจเสียงหล่อน เธอจึงสามารถวิ่งปรู๊ดหายลับจนไม่ได้ยินเสียงของหล่อนตามมาหลอกหลอนอีกต่อไป

วิ่งไปพลางหันไปมอง จนแน่แก่ใจแล้วว่ายัยโทรโข่งไม่ได้ตามมา คนเหนื่อยจึงทรุดตัวแอบข้างต้นไม้ใหญ่ริมทางเท้า รู้สึกหมดท่าอย่างบอกไม่ถูก แหงนหน้ามองฟ้าก็ไม่สดใส เสียงฟ้าร้องครืนๆ บ่งบอกถึงพายุใหญ่กำลังจะเข้ามาหาเธออีกในไม่ช้า วรินธรได้แต่ครางอ๋อย วันนี้มันวันร้ายกาจอะไรกันหนอ ตกลงแล้วเธอยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเลยสักอย่าง เรียกได้ว่าการลอบเข้าบ้านเพื่อนบ้านคราวนี้สูญเปล่า ไม่ทันได้ขโมยอะไรแต่ดันถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย ไม่ยุติธรรมเลย แถมกลิ่นฝนก็โชยเข้ามาไล่เธอให้รีบกลับ แต่ให้กลับโรงพยาบาลคงไม่ไหว คนเหนื่อยได้แต่ปลงสังขารตัวเองฝืนใจลุกขึ้นยืน และพาตัวเองกลับเข้าไปภายในบ้านให้ทันก่อนฝนจะตก

..............................................

กานต์ชนิตลอยตัวตามร่างสูงเพรียวที่เดินด้วยท่ากระหยองกระแหยงไม่กระฉับกระเฉงอย่างขำขัน เธอเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นทั้งหมด พี่สาวของเธอถือไม้กวาดไล่หล่อนออกจากบ้านเพราะคิดว่าเป็นขโมย เจ้าโจรที่หมดท่าตกต้นไม้กลิ้งตุบๆ ไปกับพื้น

สมน้ำหน้า... ก็ดันคิดว่าเธอไม่ใช่ผีจริงๆ คิดไปได้ว่าเธอเข้าใจผิดว่าตัวเองตาย หล่อนคิดได้ยังไง จะมีใครบ้าหลอกตัวเองเท่าหล่อนอีกไหม หรือว่าหล่อนกลัวผีจนต้องสร้างเหตุผลมาหลอกตัวเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงวรินธรก็เป็นคนที่ทั้งน่าขำและน่าสมเพช

สายฝนโปรยปรายกระตุ้นให้คนเดินต้องรีบจ้ำเท้า กานต์ชนิตแบมือรับสายฝนก็ปรากฏว่ามันร่วงผ่านมือเธอไป เธอยังคงเป็นผีล่องหน จึงตัดสินใจตามหล่อนเข้าไปภายในบ้านมั่นใจว่าหล่อนไม่เห็นเธออย่างแน่นอน ก็ดีแล้ว เธอไม่อยากอารมณ์เสียมาเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ความอบอุ่นแผ่กระจายจากร่างกายอันเปียกเป็นส่วนๆ ของคนตรงหน้า หล่อนก้าวผ่านห้องนั่งเล่นไปสู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นส่วนของครัว ห้องน้ำ และบริเวณซักล้างเล็กๆ มือยาวหยิบผ้าขนหนูวางบนหัวของตัวเองขยี้ไปมา สักพักก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องครัว หลับตานิ่ง กานต์ชนิตลอยมาหยุดตรงหน้าร่างนิ่งๆ สักครู่หล่อนก็ถอนหายใจพรืดใหญ่ เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันร้อนผะผ่าว จึงยื่นมือไปจับหน้าผากของหล่อน แต่ก็กลับทะลุร่างเนื้อนั้นไป กระทั่งหล่อนลืมตาและก้าวเดินทะลุตัวเธอเพื่อกลับไปยังโซฟากลางห้อง กางพนักพิงออกจนกลายเป็นเตียง ก็ล้มตัวลงดึงผ้าห่มคลุมกายอย่างลวกๆ จากนั้นก็หลับไป

อ้าว หนีออกจากโรงพยาบาลมานอนที่บ้าน เธอจำได้นะว่าหล่อนกำลังป่วยแผลก็ห้ามโดนน้ำ ต้องกินอาหารและกินยาให้ตรงเวลา แต่นี่หล่อนไม่ได้ทำตามคำสั่งหมอสักอย่าง แล้วคืนนี้เธอจะรอดไหมเนี่ย พาย...วรินธร

เธอนั่งยองๆ ข้างร่างคนนอน แอบรู้สึกกังวลเล็กๆ ฝนด้านนอกเทลงมาอย่างหนักหน่วงสาดกระทบบานหน้าต่างกระจกเป็นวงเล็กใหญ่ผลัดกันไปจนกระทั่งไหลรินสู่เบื้องล่าง ความเย็นชุ่มฉ่ำอาจเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา เพราะก่อนฝนตกอากาศมักจะร้อนอบอ้าวเสมอ แต่สำหรับเธอแล้ว ความเย็นชุ่มฉ่ำเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกหนาว จึงได้มองมันด้วยสายตาเหม่อลอย พลางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พลางเอนพิงหลังกับโซฟาและหลับตารินรับลมหายใจอุ่นร้อนของคนหลับ

ตรงนี้อุ่น...

แม้จะล่วงเลยจนเย็นย่ำ ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เธอก็ยังรู้สึกว่าอุ่นสบาย ต่อให้ฝนตกจนน้ำท่วม เธอก็คงไม่หนาวอีกต่อไป เสียงเปาะแปะของสายฝนค่อยทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อย เกือบปีที่ความเวิ้งว้างเป็นเพื่อนของเธอ และความทรมานก็เหมือนผู้คุมคอยติดตามไม่ว่าเธอไปอยู่ไหน ตอนนี้เธออยากเปลี่ยนเพื่อนและอยากผละออกจากผู้คุม เธอพบเพื่อนใหม่ ติดอย่างเดียว... เพื่อนใหม่ของเธอนั้นเป็นพวกไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ หัวรั้นอีกต่างหาก แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรให้หล่อนเชื่อว่าหล่อนเป็นผีดีล่ะ ต้องหันไปกลอกลิ้นปลิ้นตาทำท่าหลอกเหมือนในทีวีรึเปล่า

เฮ้อ... พายวรินธร ยัยคนเพี้ยน

เมื่อเธอหันไปมองใบหน้าของพายวรินธรในตอนนี้ เธอก็ต้องสะดุ้งตกใจ เพราะใบหน้าของหล่อนแดงก่ำ นอนงอตัวคุดคู้กัดฟันจนได้ยินเสียงกระทบกันดังกึกๆ

กานต์ชนิตลุกขึ้นยืนทันที พลางจับหน้าผากของหล่อนพลันก็รีบชักมือออก หล่อนร้อนอย่างกับเตาถ่าน ไม่ต้องหาปรอทมาวัดเธอก็รู้ว่าตอนนี้อุณหภูมิในร่างกายของหล่อนคงจะพุ่งสูงมาก ดีไม่ดีอาจจะเกิดอาการชักได้ เธอไม่สามารถโทรศัพท์เรียกหมอให้หล่อนได้นะ

เอาอีกแล้ว ตลอดเลยนะ

กานต์ชนิตนั่งลงบนโซฟาพลางเขย่าตัวคนไข้ เนื้อตัวของหล่อนเครียดเกร็งไปทุกส่วนทันทีที่มือของเธอแตะทาบ ผวา และขยับหนีพร้อมกับตัวก็เริ่มสั่นเทาเป็นพักๆ ราวกับมือของเธอเป็นน้ำแข็งที่ทำให้หล่อนยิ่งหนาว กานต์ชนิตชักจะเป็นกังวลหนักขึ้น หล่อนควบคุมตัวเองไม่ได้และแน่นอนหล่อนไม่ได้สติ เธอจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั้นสู่ห้องครัว หมุนตัวไปมาอยู่ครู่เดียวก็เปลี่ยนทิศไปยังห้องน้ำ หากะละมังรองน้ำอุ่นออกมาตั้งข้างโซฟา แล้วคว้าผ้าขนหนูที่หล่อนใช้เช็ดหัวก่อนนอนจุ่มลงในน้ำ รู้สึกได้ทันทีว่าผมหล่อนยังคงเปียกหมาด นี่ละหนอสาเหตุ นอกจากหล่อนดื้อไม่ยอมกินยาแล้ว ยังดื้อไม่ยอมนอนพักผ่อน แถมยังออกไปตากฝนอีก

กานต์ชนิตบิดผ้าพอหมาดลูบทั่วใบหน้าแดงก่ำ พยายามละเว้นรอยช้ำและวางผ้าพักตรงซอกคอ และข้อพับ เช็ดวนซ้ำอยู่หลายทีก็เปลี่ยนน้ำให้เย็นกว่าเดิม เช็ดซ้ำจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นที่อุณหภูมิห้อง หล่อนก็คลายอาการเกร็งกล้ามเนื้อ เธอค่อยรู้สึกโล่งใจ ตอนนั้นเองเธอรู้สึกตัวว่าเธอจับสิ่งของได้แล้ว หรือก็คือเธอเลิกโปร่งใส กลายเป็นคนได้อีกครั้งหนึ่งแล้วนั่นเอง เอ้อ...นี่เธอจะปรากฏตัวได้ตอนหล่อนเดือดร้อนหรือไง

“เธอหัดดูแลตัวเองบ้างสิ ฉันเหนื่อยแล้วนะ”

คนป่วยไม่ได้ตอบรับอะไร กานต์ชนิตยิ้มอย่างอ่อนใจ พลางกลับเข้าไปในห้องน้ำ บิดผ้าขนหนูและตากที่ราว ครู่เดียวเท่านั้นเธอได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาจึงรู้สึกแปลกใจ แต่เพราะเสียงฟ้าฝนด้านนอกกระหน่ำแรง เธอจึงเงี่ยหูฟังให้ชัดอีกครั้ง พลันก็มั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด ฝีเท้านั้นก้าวเข้าไปในครัวและกำลังเปิดตู้เย็น เธอชำเลืองมองเห็นเพียงเงาตะคุ้มเพราะความสลัวของห้องครัว มีเพียงแสงไฟจากตู้เย็นสาดส่อง ใครกัน?

พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

หรือว่าจะเป็น... ผะ ผี

เอ๊ะ แต่ว่าเธอก็เป็นผี แล้วเธอจะกลัวผีทำไมล่ะ ถึงอย่างนั้นเธอก็ถือกะละมังไว้มั่นขณะเดินออกไปดูให้แน่ใจว่าใครกำลังรื้อตู้เย็น และแล้วคนรื้อก็หันกลับมา ฟ้าแลบแปลบปลาบส่องฉายใบหน้า

พายวรินธรนั่นเอง

หล่อนสบตาเธอด้วยสายตาปรือ พลางหรี่ตาขมวดคิ้ว แล้วเดินอย่างเหนื่อยล้าไปยังโต๊ะกินข้าวและทรุดนั่งบนเก้าอี้ รินน้ำพร้อมกับกินยาที่พกใส่กระเป๋ากางเกง จากนั้นคนป่วยก็เอนตัวพิงผนังด้านหลังและหลับตา ระบายลมหายใจเข้าออกเชื่องช้าจนสม่ำเสมอ

กานต์ชนิตมองร่างนั้นนิ่งอย่างงุนงง สักครู่ก็จับต้นชนปลาย นี่วรินธรเป็นคนเหล็กหรือไง เพิ่งสั่นงันงกเป็นเจ้าเข้าตะกี้ เช็ดตัวให้ไข้ลดไม่ทันไรก็ออกมาเดินเสียแล้ว จะอยู่นิ่งๆ อย่างคนทั่วไปบ้างไม่ได้หรือ

เธอเดินเข้าไปใกล้ แอบยกมืออังหน้าผากของหล่อน แม้ยังร้อนอยู่แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก ค่อยยังชั่วหน่อยนะ ศีรษะที่เอนพิงผนังอยู่เอนซบไหล่ตนเอง ก่อนจะเริ่มไถลเอียงข้างมีท่าทีว่าจะไถลลงพื้นในไม่ช้า คนยืนจึงต้องรีบขยับตัวยันไว้ให้หัวอุ่นพาดพิงหน้าท้องของเธอโดยไม่ตั้งใจ ความอุ่นร้อนทำให้เธอรู้สึกแปลก คราวนี้เธอไม่กล้าขยับตัว

เจ้าของศีรษะอุ่นนิ่งไป ทิ้งเพียงลมหายใจสม่ำเสมอราวกับกำลังหลับ กานต์ชนิตค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกกลัวอีกฝ่ายจะตื่น ได้แต่ก้มมองเส้นผมยุ่งเหยิงในเงาสลัว โดยไม่รู้ตัว เธอก็ได้ยกมือตัวเองไล้ปลายนิ้วไปกับเส้นผมเส้นเล็กนุ่มละมุน และตัดสินใจวางมือลูบเบาๆ

ร่างอุ่นขยับตัวทันที พลางค่อยๆ แหงนหน้ามอง ริมฝีปากทั้งบางทั้งแดงขยับ “เธอ...”

กานต์ชนิตสบตาปรือแดงเพราะพิษไข้ของหล่อนก็ส่งยิ้มเหนื่อยอ่อนให้

“เธอมักจะลืมดูแลตัวเองอย่างนี้เสมอเลยเหรอ”

คนถูกถามครางรับในลำคอ เสสายตาไปมองทางอื่น “แล้วเธอ มักจะโผล่มาตอนฉันแย่เสมอเลยรึไง”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ศีรษะนั้นค่อยๆ เอนพิงผนัง ก่อนจะเริ่มไถลลงมาซบหน้าท้องเธอใหม่ กานต์ชนิตแอบเกร็งหน้าท้องแวบหนึ่ง สักครู่ก็กลับมาปกติดังเดิม จึงยกมือข้างหนึ่งทาบหน้าผากพลางนึกถึงการถ่ายเทความร้อนเหมือนเมื่อวาน หวังว่าวันนี้เธอจะทำได้อีกครั้งนะ วรินธรไม่ได้ขยับหนี เสมือนว่าท่านั้นเป็นท่าที่สบายที่สุดสำหรับหล่อนในตอนนี้

“วรินธร หลับแล้วเหรอ”

“...ยัง”

“รู้สึกอย่างไรบ้างตอนนี้”

เจ้าตัวเงียบไปอึดใจก็พึมพำเบาๆ “แย่มาก”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:01:01 อาคาริ »




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ เก้า You Should Be Here With Me(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:00:10 »
(ต่อ)
วรินธรคงนึกได้ล่ะมั้งว่าลืมกินยา คนเราเวลาเป็นไข้ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นไข้ หล่อนเหมือนคนที่พยายามจะดูแลตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่บางครั้งร่างกายก็รับไม่ไหว ไม่สามารถจะทำได้ เธอได้แต่ลูบหัวหล่อนด้วยความสงสาร ช่างเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกได้หลายอย่างจัง

“ขอบใจนะ” เสียงเบาแทบกลืนไปกับสายฝนแสดงว่าอีกฝ่ายรู้ตัวว่าเธอทำอะไรให้ ใจคนฟังค่อยๆ ชุ่มฉ่ำ กานต์ชนิตตอบไม่ได้ว่าทำไม มันคงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าความชุ่มชื้นใจหลังจากที่ได้ทำความดีล่ะมั้ง เธอได้แต่ยิ้มและร้องบอกเบาๆ

“เธอลุกไหวไหมหืม วรินธร ลุกไปนอนดีๆ ดีกว่า”

วรินธรทำตามอย่างว่าง่าย เดินตามมือคนจูงอย่างเลื่อนลอย จนเอนตัวนอนแล้วก็ยังพยายามลืมตามองใบหน้าเธออย่างฝืนฤทธิ์ยา เมื่อใบหน้าเริ่มกลับสู่สีปกติ รอยช้ำก็พลอยไม่ดูน่ากลัวตามไปด้วย ริมฝีปากบางแดงพึมพำ

“เธอควรอยู่ตอนที่ฉันตื่นมานะ” กานต์ชนิตยิ้มขำ นี่จะขอร้องหรือจะสั่งกันล่ะ

“ทำไมฉันต้องอยู่ด้วย”

นัยน์ตาปรือส่องประกายยิ้มแวบหนึ่ง ก่อนจะปิดตาลง แว่วเสียงพึมพำปิดท้าย “เพราะฉัน อยากจะเจอเธอ”

กานต์ชนิตนิ่งค้างมองใบหน้าคนหลับนานทีเดียวกว่าจะรู้สึกตัว อืม วรินธรเนี่ย เวลาที่ได้เอ่ยคำพูดแสนเรียบง่ายไร้เล่ห์เหลี่ยมมารยา กลับชวนให้รู้สึกซาบซึ้งจิตใจอย่างไม่น่าเชื่อ

................................................................ จบบทที่ เก้า You Should Be Here With Me

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.