web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 136
Total: 136

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่สิบสี่ Sleeping Child  (อ่าน 1390 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สิบสี่ Sleeping Child
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:14:42 »
บทที่สิบสี่ Sleeping Child

วรินธรหลับตาและลืมตาขึ้น อย่างต้องการพิสูจน์ตนว่าไม่ได้ตาฝาด ดึงมือกานต์ชนิตจับไว้และมองดู ความโปร่งใสสามารถมองทะลุถึงมือตนเอง และเมื่อกำแน่น เธอก็คว้าหล่อนไม่ได้ ริมฝีปากของอีกฝ่ายโค้งเหมือนส่งยิ้ม

“สงสัยอีกล่ะสิว่าทำไม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” กานต์ชนิตชิงตอบ

มีเรื่องอยากจะถามเป็นร้อยคำถาม ตอนนี้กลับตีบตันไม่รู้จะเริ่มอันไหน หรือว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้อยากให้หล่อนมาตอบคำถามอะไร แค่ปรากฏตัวว่ายังอยู่ใกล้ๆ ก็พอ

“เธอไม่นอนมาเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วนะ ตาเธอมีรอยเส้นเลือดฝอยแตก มันแดงเป็นริ้วๆ น่ะพาย”

วรินธรขยับยิ้มขรึมในความช่างสังเกต ครางตอบเบาๆ ว่าอืม เป็นการรับรู้

นั่งเงียบๆ สักพัก สายลมเย็นก็นำพาสมาธิอันสงบคืนสู่เธอ ความสงบประหลาดคล้ายดั่งสายลำธารไหลเอื่อย กัดเซาะร่องหินดินทรายไปเรื่อย จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ พัดพาตะกอนกลิ้งไหล

“ฉันนอนไม่หลับ” คำพูดง่ายๆ อย่างตรงไปตรงมา เรียกคะแนนสงสารล้นกระบวยสำหรับคนฟัง

กานต์ชนิตถอนหายใจ ยื่นมือแตะไหล่เธอและบีบเบาๆ “ถ้าฉันมีวิธีการทำให้เธอหลับได้ล่ะ”

วรินธรสบตาคนพูด พลางยิ้มตอบบางๆ “วิธีไหน”

“วิธีที่ง่ายกว่าการนั่งทำสมาธิ”

“ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากหลับแล้ว”

“ไม่หลับได้ไง เธอ..”

“ไม่นอนมาเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉันรู้แล้วน่า” พอได้เห็นหล่อน เธอรู้สึกว่าต่อมกวนประสาทเริ่มทำงานต่อ

“อ้อ แล้วจะทำอะไร จะออกไปสำรวจสืบเรื่องหมอหญิงคนนั้นอีกเหรอ”

คำตอบทำให้รู้ว่าหล่อนคงเห็นเธอมาทั้งวัน ตามติดเธอ เพียงแต่เธอไม่เห็นหล่อน วรินธรส่ายหน้า และเปลี่ยนท่านั่งหันเข้าหาอีกฝ่ายเต็มตัว มองร่างกายโปร่งใสวับๆ แวมๆ ขึ้นลงก็วิจารณ์

“ตัวเธอตอนนี้ชักเหมือนผีในละครเข้าไปทุกทีแล้วสิ”

“เสียใจด้วยนะที่ฉันไม่ใช่แค่ผีในละคร แต่เป็นผีตัวจริงย่ะ” ผีตัวจริงพูดอย่างภาคภูมิใจจนคนมองหัวเราะ มองมือเย็นวาบๆ ของอีกฝ่ายเงียบๆ ไม่โต้แย้งอะไร กานต์ชนิตจึงถาม

“แปลกแฮะคราวนี้ไม่เถียง”

วรินธรเงียบไปพลางค่อยๆ ส่งยิ้มให้หล่อน ในใจนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืน จนตาโตของกานต์ชนิตปรากฏเครื่องหมายคำถาม

“นี่กานต์... เมื่อคืนตอนที่เธอกำลังหายตัว ทำไมถึงได้ส่งเสียงร้องแบบนั้น”

คราวนี้เป็นคนถูกถามที่นิ่ง แววตาหล่อนเป็นคำตอบ แววตาอันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หวั่นไหวและเจ็บปวด หรือบางทีแววตาคนเราอาจจะบอกอะไรได้ไม่มาก เพียงแต่สิ่งที่รู้มาก่อนหน้าอาจทวีความรู้สึกว่าเราสามารถอ่านความหมายของดวงตาได้ชัดเจนกว่าปกติก็เป็นได้

กานต์ชนิตฝืนส่งยิ้มปลอบใจ คงจะปลอบใจเธอและปลอบใจตัวเองไปพร้อมกัน “ทำไมล่ะ... ร้องแบบนั้น...ที่เธอว่า มันทำให้เธอกลัวรึไง”

ใช่ ฉันกลัว... แต่ฉันไม่ได้กลัวเธอ ฉันกลัวสิ่งที่เธอเคยเผชิญมาต่างหาก

วรินธรไม่ตอบ ได้แต่มองอาการเหมือนจะกลัวแต่พยายามจะกล้าของคนตรงหน้า และเล่าต่อด้วยเสียงเรื่อยๆ

“ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำในตอนนั้น”

กานต์ชนิตมองเธอด้วยตาโต เธอจึงบรรยายต่อ “ฉันแสบตรงอก ทรมานเหมือนจะขาดใจ หายใจไม่ได้ และเหมือนมีอะไรบีบกดตัวฉัน รู้สึกถึงน้ำเย็นทิ่มตัวและกำลังสำลัก และปวดในสมองในโพรงจมูก”

ดวงตาของกานต์ชนิตสั่นไหว และเริ่มรื้นไปด้วยน้ำ เพียงแต่หล่อนกะพริบตาให้หายไปเสีย ฝืนยิ้มและแกล้งทำเสียงร่าเริง “เธอจะบอกว่าเธอเชื่อฉันแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าฉันเป็นผี”

วรินธรกลืนน้ำลาย หัวเราะเหอะๆ ถึงเชื่อฉันก็ไม่บอกเธอหรอกว่าเชื่อ

“เปล่า ฉันจะบอกเธอว่า ถ้าเธอจะร้องแบบนั้นมันประหลาดไปรึเปล่า คนกำลังจะจมน้ำ ก็ต้องอ้าปากหายใจ จะเอาปากที่ไหนไปส่งเสียงร้องล่ะ ไม่สมจริงเลยสักนิด” กวนอารมณ์เสร็จ เธอก็เห็นความเศร้าของหล่อนหายไป เริ่มมองอย่างขวางได้ใหม่

“ต้องเถียงข้างๆ คูๆ ตลอดเลยนะ”

เท่านั้น เธอก็ส่งยิ้มหวาน “ฉันถือว่าเป็นคำชม”

กานต์ชนิตทำหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะหัวเราะ “แล้วยังไงล่ะ จะกลับไปนอนได้หรือยัง”

วรินธรส่ายหน้า เอนไหล่พิงพนักยังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายแม้ดวงตาจะเริ่มปรือเต็มที “ไม่ล่ะ ฉันไม่ง่วง”

แว่วเสียงถอนหายใจของหล่อนหนึ่งที “เธอเนี่ย นอกจากขี้ระแวงแล้วยังดื้อด้าน”

“แล้วยังไง ฉันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครสักหน่อย”

กานต์ชนิตทำหน้าเหนื่อย และยิ่งทำให้เธอยิ้ม

“ถ้าฉันจะบอกว่า ฉันสามารถทำให้เธอหลับได้ง่ายๆ เธอจะเชื่อไหม”

วรินธรเลิกคิ้วยิ้มๆ ส่ายหน้าทันที “ไม่เชื่อ”

กานต์ชนิตเริ่มเท้าเอว เธอรีบเอ่ย “เธอต้องพิสูจน์ดิ ฉันถึงจะเชื่อ”

หล่อนขมุบขมิบปากอ่านเป็นคำได้ว่า ...กวนประสาท... เธอจึงยิ้มขำ มองใบหน้าอีกฝ่ายที่เริ่มคิดหาวิธีจัดการเธอด้วยความรู้สึกพอใจ สักครู่หล่อนถึงสั่ง

“งั้นหลับตาก่อนสิพาย”

เธอจึงย้อน “ทำไม ถ้าฉันหลับแล้วเธอจะจูบฉันเหรอ”

“บ้าแล้ว!” หล่อนแว๊ดพร้อมกับหน้าขึ้นสี วรินธรหัวเราะแต่ก็ยอมหลับตา

อีกฝ่ายขมุบขมิบคำด่าเรียกเสียงกลั้นหัวเราะกึกๆ ของเธอได้อีก พอหล่อนระงับอารมณ์ได้ก็ขยับเข้ามาใกล้ เธอรู้สึกถึงความเย็นของตัวหล่อน และสองมือของหล่อนที่จับหัวเธอบริเวณขมับ ปลายนิ้วนุ่มเย็นออกแรงคลึงขมับทำให้รู้สึกวูบวาบ เธอจึงลืมตาขึ้น ก็พบว่าใบหน้าหล่อนอยู่ห่างแค่เพียงหนึ่งช่วงแขน และมองตรงมาเช่นกัน

“ลืมตาทำไม”

วรินธรกะพริบตาตามจังหวะกด และกลืนน้ำลายเริ่มนิ่วหน้าเล็กๆ “ก็มัน... ปวดหัวจิ๊ดๆ”

“อย่าฝืนสิ เธอนี่ ช่วยทำเรื่องง่ายให้มันง่ายหน่อยได้ไหม งั้นเอนตัวลงมา”

ก็สั่งแบบเบาๆ เท่านั้นล่ะน่ะ ไม่ได้มีพลังอะไรเลย แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละ เธอกำลังทำตามเสียงพูดของหล่อน แทบไม่รู้ตัวว่าได้เอนตัวนอนราบตามน้ำเสียงแผ่วเบาและเรียบง่ายของอีกฝ่าย เธอขยับตัวให้ศีรษะหนุนอยู่บนตักนุ่มพอดิบพอดี ใบหน้าตะแคงนิดๆ มองเห็นใบหน้าของเจ้าของมือลางเลือนตามจังหวะกดคลึง เหมือนสายตากลายเป็นเลนส์ที่กำลังโฟกัสภาพ ค่อยๆ เบลอ แล้วรีโฟกัสใหม่ไปเรื่อยๆ

“ว่าง่ายก็เป็นเหมือนกันนี่” น้ำเสียงหล่อนดีขึ้น เย็นขึ้นและนุ่มขึ้น เธอจึงได้เอ่ยตอบอย่างเลื่อนลอย

“ฉันไม่ใช่คนดื้อด้านนี่นา”

กานต์ชนิตหัวเราะ เธอยิ้มตอบเพราะเสียงหัวเราะของหล่อนให้ความรู้สึกเหมือนเสียงเคาะแก้วน้ำ ที่มันเกิดจากการกระทบของแข็งกังวานในของเหลว ไม่บาดหู ละมุนละม่อม นิ้วมือคลึงลงบนขมับอย่างเบาๆ มาพร้อมกับเสียงฮัมเพลงในลำคอ นี่หล่อนกำลังคิดว่าเธอเป็นเปียโนหรือเปล่า หรือหล่อนเห็นว่าเธอเป็นคีย์บอร์ด ถึงได้กดคลึงหัวเธอ...พลิ้วราวกับนิ้วของนักดนตรี ครู่หนึ่งเธอก็ได้ยินเสียงร้อง

...

เด็กน้อยได้ยินเรื่องราว กล่าวขานมานาน ว่าหากใครได้นับหิ่งห้อย
มาเก็บเอาไว้ใต้หมอน นอนคืนนั้นจะฝันดี จะฝันเห็นดวงดาวมากมาย
ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง ฝันแสนสวยงาม

เด็กน้อยนั่งตักคุณยายไต่ถามความจริง ยายยิ้มกินหมาก
หนึ่งคำไม่ตอบอะไรส่ายหัว ใจเด็กน้อยอยากเห็นจริง
อยากเห็นดวงดาวมากมาย อยากเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง อยากฝันสวยงาม
หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน ส่องแสงระยิบระยับกัน สว่างไสวไปทั้งต้นลำพู
เด็กน้อยแอบออกมา ไล่คว้าแสงน้อยมาดู ใส่ไว้ในกล่องงามหรู
ซ่อนไว้ใต้หมอน แล้วนอนคอยฝันดี

...

วรินธรรู้สึกเพลิน สายตาที่จับจ้องไปยังท้องฟ้าสีดำกำมะหยี่มีลายจุด ก็ดูจะลดความระยิบระยับวิบวับลงไป เทียบกับความวาววับของแก้วตาคู่หนึ่งใกล้สายตา เปลือกตาปรือปิดทาบจนสนิท เปิดความรับรู้ทางโสตประสาทและการสัมผัสอย่างเต็มที่

...

ตื่นเช้าพอได้ลืมตา มองเห็นคุณยาย มาแกล้งถามว่าเจอะอะไร
สนุกแค่ไหนที่ฝัน ใจเด็กน้อยจึงทบทวน ไม่ฝันเห็นอะไรมากมาย
รีบค้นเร็วไวใต้หมอนเปิดฝานั้นดู

หิ่งห้อยในกล่องตอนนี้เหมือนหนอนตัวหนึ่ง ไม่สวยดังซึ่งตอนอยู่
ใต้ต้นลำพูส่องแสง ยายยิ้มแล้วสอนตาม จะมองเห็นความจริง
อย่าขังความจริงที่เห็น อย่างขังความงาม

หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน ส่องแสงระยิบระยับกัน สว่างไสวไปทั้งต้นลำพู
เด็กน้อยถือกล่องออกมา เปิดฝา แล้วแง้มมองดู
หนอนน้อยในกล่องงามหรูก็เปล่งแสงสุกใสบินไปรวมกัน

เด็กน้อยนอนหลับสบายอมยิ้มละไม ใต้หมอนไม่มีกล่องอะไร
ไม่มีสิ่งใดถูกขัง นอนคืนนั้นจึงฝันดี ได้ฝันเห็นดวงดาวมากมาย
ฝันเห็นเจ้าชาย เจ้าหญิง ฝันแสนสวยงาม

... (เพลงนิทานหิ่งห้อย เฉลียง)



เธอไม่เคยมีใครคลึงขมับให้เลย เมื่อตอนเกิดมาอาจจะมี แต่เธอคงยังเล็กเกินไปกว่าจะจำได้ ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีใครนวดคลึงหัวให้ก็แล้วกัน มือเบาจัง หรือเธอต้องฝึกทำให้ได้เหมือนปุยนุ่นแบบนี้บ้าง ทำได้ท่าจะเจ๋ง คงจะเป็นเสน่ห์ไม่เบา เอาไว้ไปอวดพวกเพื่อนๆ เอาไว้ไปอวดน้องสาว...

เสียงเพลงสิ้นสุดลง มือข้างนั้นก็เปลี่ยนเป็นลูบหัวเธอเหมือนเช่นหลายคืนก่อน

วรินธรระงับความรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดให้คงที่ ความอุ่นใจนั้นแผ่วาบไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนยากจะทนไหว นี่เธอกำลังศิโรราบให้สิ่งประหลาด ยินดีต้อนรับให้มันเข้ามาภายในใจเสียด้วย

หล่อนเป็นสิ่งประหลาด หล่อนหายตัวได้ หล่อนร้องโหยหวนราวกับคนที่ได้รับความเจ็บปวดสาหัส แต่หล่อนก็ร้องเพลงได้เพราะยิ่งกว่านักร้องผู้ชนะการประกวดเวทีไหน...

กานต์ชนิตกำลังทำได้อย่างที่พูด เธอกำลังจะหลับ... โดยปราศจากความกังวลอื่นใด ปราศจากความหวาดระแวงเหมือนเคย ทำไมหล่อนถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงอ่อนโยนให้กับเธอที่เป็นคนแปลกหน้าเพิ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่ เอ หรือเป็นการหว่านเสน่ห์ อย่างที่เธอเคยทำกับผู้อื่น เอ หรือตอนนี้...จะโดนเข้ากับตัวเสียแล้ว...

เมื่อสติของวรินธรหนีหายไปในดินแดนแห่งความฝัน กานต์ชนิตจึงได้ก้มลงมาดู พลางอมยิ้ม

“หลับฝันดีนะ คนดื้อ”

......................................................................................

เจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยโบยบินไปมา

เธอยื่นมือคว้ากำไว้ เมื่อแบมือก็เห็นแมลงสีเข้มมีตูดเรืองแสง นิทานหิ่งห้อยบอกว่าไม่ควรกักขังมันไว้ เหมือนเช่นดั่งดอกไม้ที่ประดับบนต้นย่อมสวยกว่าตัดมาปักในแจกัน

เธอจึงปล่อยหิ่งห้อยตัวนั้นไป แว่วเสียงคำชมลอยมา “ดีแล้วพาย อย่างงี้สิ ถึงน่ารัก”

วรินธรหันมองคนพูด พลางส่งยิ้มกลับอย่างภูมิใจราวกับกำลังได้รับคำชมเชยครั้งยิ่งใหญ่ แต่ร่างกายกึ่งโปร่งใสของกานต์ชนิตก็ทำให้เธอประหลาดใจ

“ทำไมเธอถึงหายตัวได้ล่ะ”

กานต์ชนิตเอียงคอและตอบยิ้มๆ “ก็เพราะฉันเป็นผีน่ะสิ”

วรินธรส่ายหน้า ไม่จริงหรอก ผีไม่มีในโลก พลันเดินเข้าหาร่างโปร่งใสของหล่อน จับแขนหล่อนได้ก็ยิ้มเป็นทำนองว่าเห็นไหม...ฉันจับเธอได้

อีกฝ่ายยังคงยิ้มเล็กๆ เหมือนเคย เธอจึงถาม “ไหนพิสูจน์ให้เห็นซิว่าเธอเป็นผี”

ดวงตากลมโตของหล่อนฉายความสงสัย “พิสูจน์เหรอ”

“เออ พิสูจน์มาสิ อยากให้เชื่อก็ต้องพิสูจน์มา ให้ไว”

กานต์ชนิตนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ยิ้มเห็นไรฟัน “ก็ได้ อ่ะงั้นเข้ามาใกล้ๆ”

วรินธรแม้สงสัยว่าทำไมต้องไปใกล้ๆ แต่ก็ทำตาม เดินเข้าไปหยุดเบื้องหน้าร่างโปร่งเกือบใสตรงหน้า หล่อนยกมือคลึงขมับเธอ วิธีการนี้ไม่เห็นพิสูจน์อะไรได้เลย จากนั้นมือเย็นจึงเลื่อนลง จับแก้มและคางของเธอไว้ พลางยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้จนเรียวปากคล้ายรูปหัวใจตรงหน้าจรดกับริมฝีปากของเธอ

วรินธรค่อยๆ หลับตารับสัมผัสชุ่มชื้นคล้ายดั่งละอองหมอกในยามเช้า บางเบา เย็นฉ่ำ และจับต้องไม่ได้...

...นี่หรือ วิธีพิสูจน์ความเป็นผีน่ะหืม...

ละอองหมอกค่อยๆ คลายตัวลง เปลี่ยนเป็นแสงสว่างจ้าบาดตาแทรกเข้ามาแทนที่ วรินธรลืมตาตื่นขึ้นทันใด พลันก็ต้องรีบหลับตาหนี ยกมือหนึ่งบังเอาไว้ หรี่ตาสู้แสงและกะพริบตาถี่

ภาพตรงหน้าของเธอคือท้องฟ้าสีฟ้าทาทับด้วยปุยเมฆขาว เห็นกิ่งใบของต้นไม้ตวัดทับบางส่วน และเห็นเพดานของระเบียงห้องชั้นบน กะพริบตาเรียกสติ

อา...นี่คือโลกแห่งความจริง แสดงว่าเมื่อครู่นี้คือความฝัน

ฝันนั้นมีสองมิติก็จริง แต่ฝันต่างจากความจริงตรงที่เราจะจดจำความรู้สึกในฝันได้แม่นยำยิ่งกว่าภาพที่เห็น และแน่นอนเธอจดจำรสสัมผัสได้ ก็รีบเม้มปากแน่น หลอนแน่ๆ เธอจำได้แม่นว่ายังไม่เคยจูบกับหล่อนเลยสักรอบ นี่คงเอาสัมผัสจากคนอื่นแล้วมาโมเมว่าเป็นสัมผัสจากหล่อนอย่างแน่นอน เธอรีบระงับความคิดฟุ้งด้วยการยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองออกไปรอบกาย

เธอยังคงอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวตรงระเบียงห้อง แสงเงาทำให้ทราบเวลาว่าค่อนข้างสาย เสียงพูดคุยจากผู้คนในโรงพยาบาลแว่วให้ได้ยินบ้าง ตรงสวนก็มีคนเดินเล่น แต่ระเบียงห้องยังคงว่างเปล่า และมองผ่านหน้าต่างไปในห้องของเธอก็เงียบเชียบเช่นเดียวกัน

นี่เธอหลอนไปเองใช่ไหม ที่เมื่อคืนเธอเห็นกานต์ชนิต หลอนเหมือนฝันเมื่อครู่นี้

หากว่าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมถึงมีหมอนกับผ้าห่มล่ะ เธอจำได้ว่าเธอไม่ได้หยิบติดมืออกมาด้วย เธอแน่ใจ

เธอได้แต่มองหมอนเหมือนทะลุไปถึงพื้น อะไรเป็นปัจจัยทำให้กานต์ชนิตปรากฎตัว... ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก

นั่นสิ นั่นสิ นั่นสิ

ปิ๊ง... หรือเพราะเป็นตอนกลางคืนกันนะ? ผีต้องออกตอนกลางคืนไง?

เฮ้อ... เอาอีกแล้ว เกิดคำถามแต่เช้า

บอกแล้วว่าถ้าเป็นแค่หลอนจะดีมาก และจะไม่ทรมานขนาดนี้

แล้วนี่เธอจะจัดการอย่างไรกับความรู้สึกตัวเองดี

ความทรมานระดับนี้ไม่ธรรมดา สัญชาติญาณบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น หวังว่าคงแค่สังหรณ์ไปเองนะ หวังว่าเธอจะไม่ฝันอะไรประหลาดแบบนี้อีก

คนป่วยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สำรวจร่างกายที่พอจะมีแรงขึ้นมาหน่อยเพราะได้นอนเต็มอิ่ม ก็ยิ้มบางๆ เสริมสร้างกำลังใจให้ตนเองก็ได้ ก้าวกลับมายังในห้อง พลันก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่หัวไหล่ เมื่อหันไปก็ต้องร้องจ๊ากเมื่อเห็นใบหน้ายักษ์คางเหลี่ยมใกล้สายตา

“เฮ๊ย จะแหกปากให้คนทั้งโรง’บาลรู้รึไง ไอ้พาย นี่ฉันเอ๊ง”

จิงจ้อนั่นเอง กระโดดมาจากไหนไม่ทราบ จู่ๆ ก็มาโผล่ตรงระเบียงด้านหลังเธอ วรินธรกุมหัวใจตัวเองแน่นและพยายามระงับอาการตกใจสุดขีดเป็นระลอกสอง กานต์ชนิตที่ประกาศตัวเองว่าเป็นผี ยังหน้าตาไม่น่ากลัวเท่ามันเลย เอ้อนี่สติเธอมาหรือยังนะ สติจ๋า สติ สติ

“แกเป็นอะไรของแก เห็นหน้าฉันอย่างกะเห็นผี”

เธอจึงยันหน้ามันออกห่าง “ก็เล่นโผล่มาใกล้ไม่ให้ซุ่มให้เสียง ใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว”

“ก็แอบมา จะให้แหกปากเรียกเหรอวะ”

เธอไม่ต่อล้อต่อเถียง เมื่อสติกลับมาแล้วจึงเห็นสภาพเพื่อนชัด

“ไง หายไปหลายวันนี่ไปสืบราชการลับในถังขยะมาเรอะ ดูไม่ได้เลยจิงจ้อ”

สภาพจิงจ้อดูเหมือนคนงานเหมืองที่คลุกคลีหินดินโคลนทั้งส่วนที่แห้งและส่วนที่เปียกชื้นเป็นด่างดวง ปลายผมแดงจากฝุ่นและเนื้อตัวก็มีกลิ่นไหม้ จิงจ้อถอนหายใจ ไม่ตอบอะไร เดินเกาหัวแกรกๆ เข้าไปภายในห้อง ตรงไปหยิบแอปเปิลกัดกินอย่างหิวโหย

“เดี๋ยวฉันขอใช้ห้องน้ำห้องแก คงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซะหน่อย”

สีหน้าท่าทางของเพื่อนทำให้วรินธรเริ่มเอะใจ ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม เสียงประตูระเบียงก็ดังโป๊กๆ ติดต่อกันรัวเร็ว ทั้งเธอและจิงจ้อหันมองก็เห็นใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาของเจฟในชุดกึ่งเป็นทางการมีสูทสีเทาพาดไหล่ ท่าทางเหมือนออกจากการประชุมอะไรมาสักอย่าง

วรินธรยังคงหน้าเอ๋อประมวลผล จิงจ้อจึงเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูให้เพื่อนก้าวเข้ามา เจฟรีบหันไปล็อกประตูทันทีพร้อมกับลากหน้าต่างปิดหากันฉับ รูดม่านปิดต่ออีกชั้นหนึ่ง

“เฮ๊ย อะไรกันวะ” วรินธรถามอย่างประหลาดใจกับท่าทีลุกลี้ลุกลนของเจฟ พอหันมองจิงจ้อที่ไม่มีท่าทีแปลกใจ เธอจึงได้นิ่งสงบลงเพราะรู้แล้วว่ากำลังเกิดเรื่องใหญ่ เจฟโยนสูทพาดไหล่โซฟาและทิ้งตัวนั่งต่อ แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองเม็ดระบายความร้อนและเหนื่อยล้า ดูท่าทางมันคงไม่ได้นอนมาเมื่อคืนทั้งคู่

“ฉันตามไปไม่ทันจิงจ้อ แต่โทนบอกว่าภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดจับได้ชัดว่ากล่องนั้นเป็นเซฟตี้บ๊อกซ์ของเรา”

เซฟตี้บ๊อกซ์?

จิงจ้อผงกหัว “แสบมากที่กล้าขโมยของไปจากฉัน”

ขโมย?

เจฟส่งยิ้มหึปลอบใจ “เอาตัวรอดมาก็ดีแล้ว รุมกินโต๊ะขนาดนั้นมันคงกะเอาแกให้ตายถ้าแกไม่ปล่อยของออกไป”

วรินธรงงหนัก เจฟจึงมองหน้าคนป่วยเอ่ยบอกสั้นๆ ได้ใจความ

“พวกอาสินขโมยเซฟตี้บ๊อกซ์ของเราไปได้”

...อาสินขโมยเซฟตี้บ๊อกซ์ของเรา...

“เฮ๊ย ได้ไง” เธอโวยวาย ก็กว่าจะได้เจ้ากล่องนี่มาเธอต้องลำบากเป็นนางเอกเกือบตาย เจฟหยิบแอปเปิลกัดกินบ้าง ไม่ได้ดูตายอดตายอยากเท่าจิงจ้อ แต่ก็เคร่งเครียดไม่แพ้กัน

“บอสเอาออกมาข้างนอกเพื่อทดสอบอะไรนิดหน่อย และฉันก็นัดพบกับบอสพอดี ฉันไม่รู้ว่าพวกอาสินสะกดรอยฉัน มันจึงฉวยโอกาสตอนนั้นบุกขโมยกล่อง ทีแรกบอสจะต่อสู้ แต่เห็นจำนวนพวกมันมีมากกว่าและเป็นระดับสูง จึงส่งกล่องให้ฉันรีบหนีและถอย บอสจะล่อให้มันไปอีกทาง แต่ไม่ง่ายอย่างงั้น มันฉลาด มันตามฉันทัน ฉันต้องปล่อยให้มันเอากล่องนั่นไปและหนี แกก็คงรู้ฤทธิ์อาสิน มันไม่เคยปล่อยให้ใครหนีไปจากมันง่ายๆ ฉันก็เลยมีสภาพเป็นอย่างที่แกเห็น” เป็นจิงจ้อที่ตอบให้ ถึงว่าร่างกายมันดูสะบัดสะบอม แต่โดยรวมไม่ได้มีแผลอะไรใหญ่ๆ ก็ยังดี ค่อยยังชั่ว

“แล้วบอสเป็นไงบ้าง”

เจฟเป็นฝ่ายตอบแทนในคำถามนี้ “หนีได้ แต่ก็ลำบากเหมือนกัน บอสส่งข่าวมาตอนดึก หลังจากฉันออกจากงานเลี้ยงแล้วว่าเซฟตี้บ๊อกซ์โดนขโมย มันก็ตรงกับกล่องต้องสงสัยที่อาสินมอบให้กับกีจกรในงานเลี้ยง”

“งานเลี้ยง?” เธอถาม

“งานเลี้ยงของเฟเดอริกสตาร์” เจฟตอบ

“โดยปิแอร์?” เธอถามอีก

“เออ เป็นงานเลี้ยงผู้บริหารระดับสูง ฉันเสนอหน้าเข้าไปได้ก็เลยเห็น”

เธอนิ่งอึ้งไป ขายาวพาตัวเองกลับมานั่งบนเตียง ทิ้งความเงียบให้ปกคลุม ความเงียบคือความเครียด ความเครียดมีต้นกำเนิดจากเนื้อตัวของสองหนุ่ม คงจะเล็ดลอดออกมาโดยกระบวนการระเหิดเป็นไอลอยอวลในห้องได้ ภายในคืนเดียวที่เธอนอนฝันสบาย ไม่น่าเชื่อว่าเกิดเหตุมากมายเหลือเกินกับเพื่อนในทีม

เจฟมองหน้าเธอ ส่งต่อให้เธอวิเคราะห์ เพราะรู้ตัวดีว่าเขาเครียดเกินจะคัดกรองความคิดให้เป็นระบบได้

“ทำไมอาสินสะกดรอยแกได้ แกเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ” เธอเริ่มตั้งคำถามแรกกับจิงจ้อก่อน

“ฉันสงสัยเหมือนกัน เดาว่ามันคงสะกดรอยฉันตั้งแต่ตอนที่จับฉันได้ในคราวที่แล้ว และมันรู้จักหน้าจริงๆ ของฉัน ต่อจากนั้นก็ค่อยๆ แกะรอย และหาอพาร์ทเม้นของฉันเจอ เมื่อคืนฉันพยายามจะกลับอพาร์ทเม้น ก็พบพวกมันดักรออยู่”

เธอรู้ว่านี่มันอันตรายขั้นสูงสุด การที่เซฟเฮ้าส์โดนเฝ้า จิงจ้อคงหนีหัวซุกหัวซุนเลยทีเดียว กว่าจะผ่านเมื่อคืนมาได้ แต่ใบหน้ามันก็ยังยิ้มสู้ แม้จะดูเหมือนยิ้มประชดสถานการณ์ก็ตาม “บอสเลยว่าให้ปลอมตัวเป็นญาติแกไปก่อน แล้วส่งเรื่องให้เจฟจัดการ”

“อ้าวแล้วฉันไม่ซวยไปด้วยเหรอ” เธอรีบออกตัว จิงจ้อยิ้มหึ ชี้ไปยังหน้าตัวเอง

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะปลอมหน้า”

เจฟเอ่ยต่อ “ฉันย้อนกลับไปที่งานเลี้ยงอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบใคร เท่าที่ดู กีจกรเหมือนบอสของอาสิน เขารอบคอบและดูฉลาดกว่าอาสินเยอะ โอกาสจะได้กล่องคืนไม่ใช่เรื่องง่าย"

“ช่างมันเถอะวะ แค่แกรู้ว่าเป็นเฟเดอริกสตาร์ที่อาสินทำงานด้วย แถมยังเจอกีจกร เจอหมอรสสุคนธ์อีก แค่นี้ก็ได้คำตอบหลายข้อแล้ว”

วรินธรตาโตทันที เมื่อได้ยินชื่อหมอรสสุคนธ์ จิงจ้อมัวแต่แซวคนนั่งบนโซฟา จึงไม่ทันได้สนใจเธอ

“แถมยังได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวกับลูกสาวเจ้าพ่ออีก”

พลันใบหน้าเจฟก็ลดดีกรีความเครียดลง หัวเราะเหอะพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ได้

“เฮ๊ย เอาทีละเรื่อง” วรินธรขมวดคิ้ว “เอาเรื่องหมอรสสุคนธ์ก่อน แล้วตามด้วยกินเตี๋ยวกะลูกสาวเจ้าพ่อ”

จิงจ้อหัวเราะ “เอาเรื่องกินเตี๋ยวก่อนไม่ได้เหรอวะ ฉันเห็นมันนั่งกินกระหนุ๋งกระหนิงอยู่หน้าตลาด”

เจฟเถียงทันควัน “กระหนุ๋งกระหนิงตรงไหนวะ เถียงกันจะตาย”

...นั่น แสดงว่าไปกินเตี๋ยวมาจริง...

วรินธรเหล่ตาซ้ายทีขวาทีมองหน้าเพื่อน เริ่มถามจิงจ้อก่อน “แกไปเห็นไอ้เจฟกินเตี๋ยวกะลูกสาวเจ้าพ่อได้ไง ไหนแกว่ากำลังหนี”

“เออสิฉันกำลังหนี ก็ตลาดโต้รุ่งหน้าอพาร์ทเม้นของฉันไงที่เจฟมันพาสาวไป ฉันวิ่งผ่านร้านก็เลยเห็นมันนั่งซดก๋วยเตี๋ยวกะสาวยิ้มระรื่น ไม่รู้สักนิดว่าเพื่อนมันโดนตามฆ่าใกล้ตาย”

“เออแล้วแกเลยจงใจวิ่งมาพังร้านก๋วยเตี๋ยวล้มไปเป็นแถบน่ะเหรอ ทำอะไรไม่คิดว่าคนอื่นเค้าจะเดือดร้อน” คราวนี้เจฟเริ่มขึ้น ไม่รู้ว่ามันขึ้นเพราะโดนขัดจังหวะการเดทหรือเพราะกล่องโดนขโมยกันแน่

จิงจ้อดักคอ “พ่อค้าเดือดร้อนหรือแกเดือดร้อนวะ” เออ ประโยคนี้เธอแอบเห็นด้วย

“เฮ้ยไอ้นี่ หาเรื่องกันแล้ว” เจฟก็ว่าไปงั้น จิงจ้อมองอย่างรู้ทัน วรินธรเห็นดวงตาไม่นิ่งของเจฟก็เริ่มยิ้ม

“ฉันตามไปช่วยแกทันก็บุญแล้ว” เจฟเลิกเถียงพิงตัวกับพนักโซฟาอย่างแรง เบนหน้าหนี

วรินธรสบตาจิงจ้อที่ยิ้มกริ่ม ก็เปลี่ยนไปถามเรื่องสำคัญ “แล้วเรื่องหมอรสสุคนธ์ล่ะ?”

เจฟปั้นหน้าขรึมได้เหมือนเดิม “หมอผู้หญิงคนที่แกกำลังตามหาเธอชื่อว่ารสสุคนธ์ เมื่อคืนเธอไปงานเลี้ยงด้วย ท่าทางคุ้นเคยกับการเข้านอกออกใน ตอนที่อาสินส่งกล่องให้กีจกร กีจกรก็ส่งกล่องอีกใบให้รสสุคนธ์ด้วย เป็นกล่องใบเล็กกว่า แต่ดูท่าทางจะสำคัญไม่น้อย”

ตรงนี้ทำให้เธอสนใจ ...กล่องอะไร?...

“ข้อสำคัญอีกข้อคือเธอสนิทกับภาพทิวา คงจะรู้จักกันมานาน แต่ภาพทิวาคงไม่รู้หรอกว่าพ่อของตัวเองทำงานอะไร คงรู้แค่ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ฉันว่าผู้ออกคำสั่งมีสามคน กีจกรคนหนึ่ง รสสุคนธ์คนหนึ่ง และนายพยัคฆ์...ตัวจริงที่กุมอำนาจของเฟเดอริกสตาร์”

วรินธรรับรู้ข้อมูลใหม่พลางคิดเงียบๆ จิงจ้ออาศัยจังหวะนี้โบกมือขอตัวเข้าห้องน้ำ เข้าไปไม่ทันดูดนมหมดกล่อง เสียงว๊ายก็ดังลั่นมาจากห้องน้ำ ทำเอาคนป่วยบนเตียงสะดุ้งทันใด เจฟมองเธออย่างงุนงงเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงด้วย ได้แต่มองร่างคนป่วยถลันกายลงจากเตียงดิ่งไปในห้องน้ำด้วยความเร็วยิ่งกว่ารถไฟหัวกระสุน

จิงจ้อร้องเฮ๊ยเมื่อเธอพรวดเข้าไป เจ้าหนุ่มหน้าเหลี่ยมนั้นถอดเสื้อเรียบร้อยแล้ว กำลังจะถอดกางเกง เขาจึงรีบดึงขอบกางเกงไว้เมื่อเห็นผู้บุกรุก และโวยวาย “อะไรของแกวะไอ้พ๊าย!”

มองวรินธรที่หน้าตื่นระวังภัยด้วยความงุนงง

เธอไม่สนใจเพื่อนมองไปทั่วห้องน้ำ ก็ไม่พบใคร จึงขมวดคิ้วหนัก แล้วทำไมเธอได้ยินเสียงกานต์ชนิตล่ะ?

หรือหล่อนอยู่ในนี้ แต่เธอไม่เห็น

สายตาวรินธรเบนมาจับที่ใบหน้าจิงจ้อในที่สุด มันขมวดคิ้วเครียดยิ่งกว่าเล่าเรื่องหนีผู้ร้ายตะกี้นี้อีก

“มึงเป็นอะไรของมึง”

วรินธรกลืนน้ำลายส่งยิ้มเจื่อน รีบตอบ “เออกูขอโทษ” แล้วปิดประตูปัง และถอนหายใจพรืด

“ไอ้พาย แกทำอะไรของแก” เป็นเสียงของเจฟนั่นเองยืนมาหยุดหน้าห้องน้ำข้างเธอ ขมวดคิ้วมองเธอขึ้นลง มือหนาก็เคลื่อนเข้าใกล้หมายจะจับหน้าผากสำรวจอาการ แต่วรินธรรีบปัดมืออีกฝ่ายทิ้งไปซะก่อนและแถหน้าซื่อ

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรน่า แค่คิดว่าลืมของ”

เจฟยังไม่เชื่อ จังหวะเดียวกับเสียงโหวกเหวกลอยจากในห้องน้ำออกมา

“ไอ้พายมันโรคจิตโว๊ย มันเข้ามาตอนฉันแก้ผ้า มันอยากเห็นอะไรๆ ของฉันโว๊ย” จิงจ้อได้ทีส่งเสียงล้อขณะเริ่มได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัว

วรินธรเหล่ตามองประตูห้องน้ำ ตะโกนบอก “ฉันไม่อยากเห็นเข็มหมุดหรอกนะโว้ย” พลางแบมือบอกเจฟว่าไม่มีอะไรโว้ย แล้วรีบเดินกลับเตียง แต่มือกาวของเจฟคีบแขนเธอไว้ ดีนะมันไม่คีบข้างที่เป็นแผล ไม่งั้นละก็จะศอกกลับให้

นัยน์ตาสงสัยคมกริบจ้องเธออย่างเค้นความจริง วรินธรชักเหนื่อยกับการหาคำแก้ตัว

จังหวะนั้นเองก็มีคนเคาะประตูหน้าห้องโป๊กๆ ทำให้เธอและเจฟสบตากัน พลางชะโงกดูกระจกบานเล็กตรงประตูหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าเป็นหมออินทนิลและพยาบาลก็ตาโตตกใจเหลียวมองหน้ากันเองอีกครั้ง เธอชี้หน้าเพื่อนเป็นทำนองว่านี่เป็นใบหน้าจริง เจฟลูบแก้มอย่างตกใจเป็นสองเท่า ถ้าเห็นหน้าเขาในตอนนี้ไม่ดีแน่ หมออินทนิลยิ่งสนิทกับรสสุคนธ์อยู่ด้วย ครั้นจะไประเบียงก็ไม่ทันแล้ว ต้องเปิดประตูระเบียงอีก เธอจึงรีบดึงประตูห้องน้ำเปิดออกกว้างกว่าเดิม โชคดีที่ไอ้จิงจ้อมันไม่ได้ล็อกตะกี้ จิงจ้อพอเห็นประตูห้องน้ำเปิดก็ร้องเอ๊ยๆ เสียงหลง ยกมือกุมส่วนล่างแทบไม่ทัน

“เข้าไปหลบในส้วมเร็ว!” ไม่พูดเฉยยังดันหลังคนตัวสูงยัดเข้าไป เจฟหน้าตื่นมองบานประตูห้องกำลังเปิดออก ตัดสินใจก้าวเข้าห้องน้ำอย่างรู้งานแล้วปิดประตูห้องน้ำปัง พร้อมกับประตูห้องเปิดอ้าตามแรงผลักของคุณพยาบาลหน้าใส วรินธรยิ้มต้อนรับคุณหมออินทนิลอย่างหวานแหว๋ว

อินทนิลเอียงคอมองหน้าคนป่วยและมองประตูห้องน้ำ

“ตะกี้หมอเห็นใคร คุณญาติของเธอมาแล้วเหรอคะ”

วรินธรพยักหน้าเออออห่อหมก “กลับมาแล้วค่ะ เพิ่งได้ว่างจากงาน กลับมาจากต่างจังหวัดค่ะ พอเล่าว่าอาการฉันดีขึ้นคงอีกไม่กี่วันฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาล ก็ดีใจใหญ่ นี่เข้าไปอาบน้ำ”

พร้อมกับคำบอก เสียงน้ำก็เปิดดังซู่ประกอบฉากอย่างรู้กัน อินทนิลพยักหน้าร้องอ้อๆ และมองหน้าคนป่วยที่ยังยืนยิ้มแป้นแล้น ก็แซว “แล้วนี่ออกมาต้อนรับหมอเหรอคะ”

“เอ้อ” วรินธรจึงนึกได้และเดินกลับไปยังเตียง ส่งแขนให้อีกฝ่ายตรวจพลางระงับจังหวะการเต้นของหัวใจให้ช้าลง

“อืม แผลดีมากค่ะ หมอคิดว่าพรุ่งนี้เธอก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ”

“พรุ่งนี้เหรอคะ”

อินทนิลพยักหน้า “ค่ะ พรุ่งนี้ ไม่ดีใจเหรอ”

วรินธรเอ๋อไป เธอยังสืบเรื่องหมอรสสุคนธ์ไม่เสร็จเลย แถมยังมีข่าวล่าสุดว่าหล่อนได้กร่อนปริศนามาจากกีจกรอีกด้วย ยังไม่อยากออกจากโรงพยาบาลเท่าไหร่

“เอ้อ แหมมันก็พูดยาก” ถ้าออกไปก็ต้องหาวิธีการปลอมตัวเข้ามาสืบใหม่ สู้ให้พราวพิลาศในคราบคนไข้สืบไม่ง่ายกว่าหรือ

หมอมองหน้ารอฟังเธอพูดต่อ เธอจึงเอ่ย “ถึงฉันจะอยากเจอหน้าหมอ แต่ได้กลับบ้านก็สบายใจไปอีกแบบค่ะ”

คำเอ่ยแบบแฝงนัยเช่นเคยทำให้อินทนิลยิ้มขำ และพยาบาลเริ่มหัวเราะ

โอกาสมีไม่มากนัก ยิ่งช่วงหลังฝ่ายเราโดนโจมตีบ่อย เธอยิ่งต้องรีบ คงต้องรีบวางแผนการให้ได้ข้อมูลอะไรสักอย่างภายในคืนนี้ ก่อนเธอจะออกจากโรงพยาบาล

“อารมณ์ของเธอเมื่อวานกับวันนี้นี่ต่างกันลิบลับเลยนะ มีอะไรดีๆ รึเปล่า”

“คงเพราะแผลมั้ง เมื่อวานมันอักเสบ แต่วันนี้ฉันไม่เจ็บแผล”

อินทนิลยังคงเอียงคอว่าจริงเหรอ เธอต้องทำหน้าแป้นแล้นว่าจริ๊ง เข้าไว้ “อืม แผลฟกช้ำที่อื่นของคุณก็หายดีแล้ว เหลือแค่ที่แขน ซึ่งก็ไม่น่าห่วงอะไร แค่รักษาความสะอาดและระวัง...”

“ไม่ให้เปียก ฉันรู้แล้วค่ะ” แล้วฉันก็ทำเปียกไปแล้วด้วย วรินธรยิ้มตอบ อินทนิลใช้เวลาไม่นานก็ตรวจเสร็จและกำลังจะเดินออกจากห้อง เธอร้องถาม

“หมอคะไม่ทราบว่าเย็นนี้ว่างรึเปล่าคะ”

“ทำไมเหรอคะ”

“ฉันว่าฉันจะซื้อขนมเค้กสักชิ้นเพื่อขอบคุณคุณหมอน่ะค่ะ”

อินทนิลหัวเราะ “ไม่ต้องหรอกค่ะ หมอทำตามหน้าที่”

“ต้องสิคะ นะคะฉันรบกวนเวลาหมอไม่นานหรอกค่ะ” วรินธรมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคม อินทนิลจึงหรี่ตามองยิ้มๆ “เย็นนี้หมอมีนัดค่ะ”

วรินธรเงียบไปและคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้ที่จะนัดกับรสสุคนธ์ แสดงว่ารสสุคนธ์อาจจะมาที่นี่

“แต่ถ้าไม่นาน หมอว่า เค้กบลูเบอรี่ก็น่าจะดีนะคะ” เธอแหวกยิ้มกว้าง

“รับทราบค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ”

อินทนิลว่าไม่เป็นไร พร้อมกับบอกลาและเดินจากไป ความเงียบบังเกิดช่วงหนึ่งก่อนประตูห้องน้ำจะเปิดออก สองหนุ่มรีบก้าวมาหยุดข้างเตียง จิงจ้ออยู่ในชุดใหม่ที่ดีกว่าเดิมและหน้าตากลับเป็นคุณญาติของพราวพิลาศ

เจฟหน้าตาเคร่งเครียดและถามตรงประเด็น “แกนัดหมอกินเค้กทำไม”




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สิบสี่ Sleeping Child(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:15:20 »
(ต่อ)

เธอดีดนิ้วว่าฉลาดมาก ก่อนจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของหมอสองคนที่สืบได้ให้เพื่อนทั้งสองฟัง จิงจ้อตบเข่าฉาดใหญ่

“นั่นไง ฉันบอกแล้วว่าเธอรสนิยมเหมือนแก”

วรินธรเหล่ตาขำๆ “เออ แกสืบเรื่องนั้นได้ แต่ดันไม่สืบต่อว่ากิ๊กหล่อนคือใคร ไม่งั้นก็ได้เรื่องตั้งแต่แรกแล้ว”

จิงจ้อหยิบแอปเปิลกินเป็นลูกสุดท้ายบนโต๊ะ “ใครจะไปตรัสรู้ล่ะว่ะ เอาเป็นว่าเราวางแผนกันก่อนดีกว่าว่าจะทำยังไงต่อไป”

เจฟนิ่งคิดไปก็เอ่ย “เมื่อคืนตอนฉันพบสามคนนั้นในงานเลี้ยง ฉันก็ส่งข้อความบอกไอ้สนให้ส่งคนตาม สนบอกว่าตามกีจกรไม่ทันจึงไม่สามารถตามไปเอาเซฟตี้บ๊อกซ์คืนมาได้ ส่วนอาสินกับหมอหญิงคนนั้นไม่รู้ว่ามันตามทันไหม”

ว่าแล้วก็กดโทรศัพท์มือถือโทรออก ท่ามกลางสองสายตาลุ้นของเพื่อนในห้อง สักครู่ปลายสายก็ส่งเสียง

“นั่นใคร”

วรินธรกับจิงจ้อเกือบกลั้นขำไม่ทัน สนฉัตรมันชอบรับสายด้วยคำถามนี้ตลอด ถึงแม้จะมีชื่อปรากฏบนโทรศัพท์ก็ยังถาม

“ฉันเอง ไม่ได้ดื่มชามาสองวันแล้ว”

“ฉันก็ไม่ได้ดื่ม ว่าไงมีอะไร”

เจฟเล่าเรื่องทั้งหมดให้สนฉัตรฟังด้วยความรวดเร็ว และปิดท้ายด้วยคำถามที่อยากรู้

“หมอคนนั้นไม่ได้กลับบ้าน เธอตรงไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แล้วเธอก็ทำงานถึงเช้า จากนั้นเธอก็ตรงไปโรงพยาบาลที่พวกแกกำลังอยู่ ลูกน้องฉันบอกว่าเธอเข้าไปในตึกฝ่ายบริหารซึ่งมียามเฝ้า ไม่สามารถตามเข้าไปได้ ตั้งแต่ตอนนั้น เขายังไม่เห็นหล่อนออกจากตึกเลย”

“แสดงว่ากล่องนั้นยังอยู่ที่หล่อน ไม่อยู่ในรถก็อยู่ที่ออฟฟิศในตึกฝ่ายบริหาร”

“ก็เป็นไปได้สูง”

เจฟวางสาย หันมองเพื่อนทั้งสองคน นัยน์ตาวาววับคิดแผนการออก

..............................................................................................จบบทที่สิบสี่ Sleeping Child

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.