web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 141
Total: 141

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ สิบหก Kidnapper  (อ่าน 1297 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ สิบหก Kidnapper
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:21:15 »
บทที่ สิบหก Kidnapper

กานต์ชนิตถูกจิ้มยาประหลาด ชวนทำให้รู้สึกมึนงง ก่อนจะควบคุมสติไม่ได้อีกต่อไป รู้สึกตัวตื่นอีกที เธอก็รู้สึกปวดหัวบริเวณด้านหลังหนึบ ได้แต่ครางเบาๆ และยกมือลูบผ้าพันแผล

เธอไม่ควรรู้สึกเจ็บสิจริงไหม ก็เธอตายไปแล้ว

กานต์ชนิตลืมตาทันใดเมื่อรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้า พลันก็เห็นร่างใครคนหนึ่งยืนจ้องมองตรงมา

“หมอรส!”

รสสุคนธ์ยังคงยืนนิ่งและถูกบดบังด้วยเงาแดดชวนให้ดูน่ากลัวมากกว่าเดิมซึ่งก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่เมื่อหล่อนออกมาจากมุมนั้น เมื่อเห็นใบหน้าของหล่อนชัด เธอก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของหล่อนขึ้นมาบ้าง ก็แฟนหล่อนทำตัวประหลาดไปนี่นะ ถ้าหล่อนจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะแปลกเกินไปล่ะ

“เอ่อ นี่ฉันหลับไปนานเท่าไรคะ”

คิ้วของหมอขยับหากัน อาจเป็นเพราะสรรพนามที่ใช้เรียกก็เป็นได้ แต่จะให้เธอเรียกว่าพี่หมอรส...เห็นทีจะเสแสร้งทำไม่ไหว

“สองชั่วโมงกว่า”

รสสุคนธ์ส่งสายตาเคร่งเครียด “พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมหนึ่งถึงเป็นอย่างนี้ ผลสแกนสมองของหนึ่งก็ปกติดี แต่หนึ่งเหมือนกับว่า... กลายเป็นคนละคน”

กานต์ชนิตไร้คำพูด มองมืออีกฝ่ายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างระแวง พลางหลบเมื่ออีกฝ่ายจะลูบหัว มือข้างนั้นของหมอจึงบีบหมับที่ข้อมือเธออย่างแรง

“ทำไมต้องตั้งท่ารังเกียจพี่ด้วย แล้วทำไมหนึ่งต้องวิ่งโร่ไปหาผู้หญิงคนนั้น ทำอย่างกับสนิทสนมกันมานาน ไหนหนึ่งบอกพี่ว่าเขาเป็นแค่คนไข้ไม่ใช่หรือไง หรือโกหกพี่!”

โอ๊ย เอาแล้วไงล่ะ เธอรีบถดตัวหนี พยายามบิดข้อมือออก เธอไม่เคยเจอคนโมโหร้ายรุนแรงมาก่อน ยิ่งโมโหหึงแบบนี้ ครั้งแรกในชีวิตเลยล่ะ แต่ไม่เห็นรู้สึกน่าภูมิใจตรงไหน

“ฉัน... ขอโทษค่ะ คือฉัน... ปล่อยก่อนได้ไหม เจ็บอ่ะ”

“เธอเจ็บแค่นี้เอง พี่ไม่ยิ่งกว่าเธอเหรอ”

เสียงดังทำให้กานต์ชนิตปวดหัวขึ้นมาตุบๆ “ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันไม่ใช่หมอหนึ่งของคุณ”

รสสุคนธ์มีสายตาโกรธ “ถ้าจะหาข้ออ้างมีใครใหม่ หาให้มันดีกว่านี้ก็ได้นะ”

“โอ๊ย บอกว่าไม่ใช่ไงล่า!”

พูดไม่รู้ฟัง จะบอกยังไงดีเนี่ย กานต์ชนิตเริ่มมีน้ำโหแล้วเหมือนกัน จึงลุกขึ้นจะหนี อีกฝ่ายกลับกดข้อมือเธอติดพื้นเตียงคร่อมเธอจนกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ ทำเอาใจเธอหล่นหายไปถึงใต้เตียง นี่เธอกำลังโดนจับกดรึเปล่าเนี่ย อร๊าย ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับหล่อนนะ ดิ้นๆ

ก่อนที่ใบหน้าหมอจะก้มลงใกล้ อวัยวะชิ้นที่ใช้การได้ดีที่สุดเห็นจะไม่พ้นเท้า เธอยกขึ้นมายันท้องอีกฝ่ายโครมอย่างเต็มแรงเหมือนที่วรินธรเคยรู้ฤทธิ์ไปแล้ว รสสุคนธ์ผงะไปชนผนังด้านหลัง เปิดโอกาสให้เธอลุกพรวดมายืนข้างเตียงได้ในที่สุด มองรอบห้องคงจะเป็นห้องตรวจตรงไหนสักแห่งของโรงพยาบาล ตัดสินใจวิ่งไปทิศที่เป็นประตู บิดลูกบิดกระชากออกประตูไม่ทันแง้มดี ลำแขนยาวเหมือนหนวดปลาหมึกก็คว้าหมับรอบตัวเธอ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดเสียอีก

“หยุดดิ้นนะหนึ่ง ไม่งั้นจะยิ่งเจ็บ โธ่เว๊ย เธออยากโดนจับฉีดยาอีกรอบหรือไง”

เท่านั้น กานต์ชนิตจึงหยุด และทำตัวแข็งท่อในอ้อมแขนอีกฝ่าย เธอต้องรวบรวมสติก่อนสิ ถึงจะแก้ปัญหาได้ ถ้าเธอโดนจับฉีดยาอีก แน่นอนไม่มีสติแน่

แว่วเสียงถอนหายใจของหมอรส หล่อนคลายแรงรัดลง แต่ทว่ายังไม่ปล่อยเธอ กานต์ชนิตยังไม่กล้าหันหลังกลับไป กลัวจะเจอใบหน้าถมึงทึงของหล่อน

“อย่าทำกับพี่อย่างนี้ พี่เสียใจนะรู้ไหม”

“ฉันขอโทษค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่พร้อมจริงๆ...” เธอนึกข้ออ้างสารพัด ในที่สุดก็ปิ๊ง “ฉันรู้สึกจำอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้ด้วยว่าตัวเองชื่ออะไร ไม่รู้ว่าคุณคือใคร รู้แต่ผู้หญิงคนที่ชื่อพราวพิลาศช่วยฉันไว้ นอกนั้นฉันนึกไม่ออก”

คนด้านหลังเงียบไป เธอได้แต่ลุ้นว่าหล่อนจะเชื่อไหม แต่การที่หล่อนไม่พูดอะไรโต้แย้ง คงแปลว่าเชื่อแล้วล่ะมั้ง

“งั้นต้องตรวจละเอียด พี่จะบอกหมอให้มาเช็คหนึ่งให้”

รสสุคนธ์กอดเธอแน่นขึ้นมานิดหน่อย เธอรู้สึกว่ามันเหมือนการกอดเพื่อปลอบประโลม ถ้าเป็นอินทนิลคงรู้สึกดี แต่เป็นเธอ เธอจั๊กจี้ ไม่ชิน และยืนตัวแข็งทื่อ

“มันคงจะเป็นแค่การสูญเสียความทรงจำชั่วคราว เดี๋ยวผ่านไปสักพัก หนึ่งก็จะจำได้เอง”

ความน่ากลัวที่มากกว่าความโมโหร้ายและหน้าตาถมึงทึง ก็คือการโดนกอดแบบนี้ แล้วเอาคางมาเคลียร์แก้มเธออย่างน่าขนลุก

กานต์ชนิตเบี่ยงหน้าหนี หดแขนที่โดนลูบขึ้นลูบลง หมดสิ้นความอดกลั้นอีกต่อไป

“ขอโทษค่ะ ฉันรู้สึกมึนหัวจังเลย... เอ่อ หมอรส พี่หมอ ฉัน...หนึ่งขอหลับอีกสักพักได้ไหมคะ” กานต์ชนิตพยายามพูดให้เนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ตะกุกตะกักเสแสร้งไป ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เชื่อสนิทใจนัก เพราะคิ้วยังขมวดไม่พอใจ แต่ก็ยอมปล่อยให้เธอได้พักผ่อน

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผู้ก้าวเข้ามาใหม่คือชายในชุดกราวน์ รสสุคนธ์พยักหน้าให้เขา พร้อมกับเอ่ยบอกเธอ

“เดี๋ยวพี่ขอคุยกับแพทย์ด้านสมองก่อน ช่วงนี้หนึ่งก็นอนพักนะคะ”

ทันทีที่ทั้งคู่หายออกไป เธอก็ลุกพรวด ไม่ได้แล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว ถ้าอยู่ต่อ เธอเสียมากกว่ากอดแน่นอน แล้วถ้ายิ่งขัดขืน เธอก็จะโดนจับกด! แล้วต่อจากนั้นก็อาจจะโดนข่มขืน อู้ย ถ้าไปแจ้งความที่ไหนคงจะไม่รู้จะหาหลักฐานมายืนยันว่าถูกกระทำชำเราได้ยังไง โอ๊ย ไม่ได้การ ต้องรีบหนี

ยัยพายวรินธรหายไปไหนกันนะ ทีตอนหล่อนเดือดร้อน เธออยู่ช่วยตลอด แล้วพอเธอเดือดร้อนบ้าง หล่อนหายไปไหน

กานต์ชนิตเดินวนไปวนมาหัวเสีย พลันยินเสียงแกรกๆ บริเวณหน้าต่าง ทำให้ต้องหันมองอย่างสงสัย

ครู่เดียวเสียงนั้นก็ดังขึ้น พร้อมกับเห็นศีรษะโผล่แพลมๆ บริเวณขอบหน้าต่าง เธอจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทันใดนั้นหน้าต่างกระจกก็เลื่อนพรืดเปิดออก ทำเอาเธอสะดุ้งสุดตัว ร้องวี๊ดอย่างตกใจ ร่างที่ปรากฏใหม่กระโดดผลุงข้ามหน้าต่างเข้ามาประชิดตัวเธอทันที พร้อมกับเอามือปิดปากเธอไว้ไม่ให้ส่งเสียง

กานต์ชนิตเกือบจะกัดมือนั้นถ้าไม่เห็นหน้าซะก่อนว่าเป็นใคร ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ

“อายอะอินอร”

“เออฉันเอง” วรินธรลดมือลงและเหลียวมองไปทางประตู ยังคงไม่เห็นคนในชุดกราวน์คนใดโผล่เข้ามา สีหน้าก็ค่อยคลายความหวาดระแวง เบนกลับมามองเธอขึ้นลง พลางยิ้มให้

“เป็นไง นอนหลับสบายเลยสิ”

กานต์ชนิตบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง มันคงจะเป็นความโล่งใจบวกกับอุ่นใจผสมกันละมั้ง อย่างน้อยวรินธรก็ดูร้ายกาจน้อยกว่าหมอขี้โมโหนั่น จึงเกาะแขนอีกฝ่ายหมับยึดเป็นที่พึ่ง

“ฉันนึกว่าเธอจะหนีไปซะแล้ว”

วรินธรเหล่ตามอง ก่อนจะยกนิ้วเกาคางตนเอง พลางพยักหน้าหงึก “ฉันก็ว่าจะทำอย่างนั้น”

ทำเอาคนฟังใจหายวาบ คนแหย่จึงได้ขำพรืด

“โหย มาทำเป็นเล่นไปได้ ฉันยิ่งกลัวๆ อยู่”

“เธอจะกลัวอะไรนักหนานะ แฟนเธอเค้าออกจะเป็นห่วงเธอจะตาย”

กานต์ชนิตหมั่นไส้สายตาหยอกล้อของคนพูดเหลือเกิน “มีแฟนน่ากลัวอย่างนี้อย่ามีเลยดีกว่า”

“โถ เธอก็พูดเกินไป แล้วให้ฉันพาหนีอย่างนี้ ฉันไม่กลายเป็นชู้เธอเหรอ”

กานต์ชนิตอ้าปากค้าง มองคนพูดขึ้นลง ลืมไปว่าวรินธรก็เพศเดียวกับหมอรส เพิ่งรู้ตัวว่ายืนชิดอีกฝ่ายมาก จึงรีบก้าวถอยห่าง

“เปลี่ยนรสนิยมมันทำไม่ง่ายย่ะ”

วรินธรยักไหล่ “ใครจะไปรู้ บางทีเธอเองอาจจะมีรสนิยมอย่างนี้อยู่แล้วก็ได้ แฟนก็ไม่เคยมีไม่ใช่เหรอ”

เท่านั้นเธอก็ตาโต “เธอรู้ได้ยังไง!”

วรินธรหัวเราะ “อ้าว ไม่เคยมีจริงเหรอน่ะ ต๊ายตายสาวซิง”

เธอรู้สึกหน้าร้อนวืด ระงับความอายไม่อยู่ มือขยับตีคนตรงหน้าอย่างแรง ซึ่งอีกฝ่ายก็คว้าแขนเธอไว้หมับว่องไวพอกัน พยายามกลั้นหัวเราะและเอ่ย

“อย่ามัวแต่เล่นอยู่เลยน่า เรารีบเผ่นกันดีกว่า เดี๋ยวหมอๆ จะกลับมา หรือเธอไม่อยากไป อยากจะอยู่โอ้โลมลั้นลากับหมอรสก็ตามใจ”

กานต์ชนิตจะทำอะไรได้ นอกจากฟึดฟัดๆ แต่ก็ต้องรีบก้าวตามคนตรงหน้าออกไปสู่ระเบียง จากนั้นปีนลงไปยังสวนหย่อมด้านล่าง

“รู้รึเปล่าว่าหมอรสมีอิทธิพลมากจนสั่งให้รปภ.ทุกคนจับตาดูฉันไว้ ไม่ให้ฉันเข้ามาในตึก ฉันก็เลยต้องหาทางเข้ามาหาเธอทางอื่นแทน”

“เขาทำขนาดนั้นเชียว”

“เออสิ เธอเล่นวิ่งมาหลบหลังฉันอย่างงั้น ต่อมโมโหหึงเลยโดนกระแทก แตกดังบึ้ม”

คำเปรียบเทียบทำให้เธออดขำไม่ได้ “เครียดๆ อย่างงี้ยังจะล้อเล่นอีกนะ”

คนนำจึงหันกลับมา “ที่เคยเจอมาน่าตื่นเต้นกว่าวันนี้ตั้งเยอะ เธอก็อย่าทำเครียดไปเลย วันนี้ยังไม่ถือว่าหนักหนาหรอก” พูดจบก็พาเธอเดินเลียบผนังตึก ฝ่าแดดร้อนยามเที่ยงก่อนจะหลบเข้าไปในซอกระหว่างตึก

จากนั้นอีกฝ่ายก็ล้วงเข้าไปในเป้หลัง หยิบเสื้อเชิ้ต กางเกงและรองเท้าแตะออกมาส่งให้เธอ

“เปลี่ยนชุดก่อน จะได้ไม่สะดุดตา” กานต์ชนิตจึงก้มมองตนเองในชุดคนไข้ นึกชมวรินธรในใจว่ารอบคอบดีจัง ว่าแต่ว่า...

“จะเปลี่ยนตรงนี้เนี่ยนะ”

“เอ้า” วรินธรร้อง พลางชี้นิ้วขึ้นลง “ร่างกายก็ไม่ใช่ของเธอ จะอายอะไร รีบเข้าเถอะ เดี๋ยวรปภ.มุมตึกนั่นก็เดินมาหรอก”

เธอลังเลอึดใจ เหล่ตามองรปภ.ที่ว่า จึงต้องรีบทำตามหล่อนอย่างไม่ขัดขืน จากนั้นอีกฝ่ายก็คว้าแขนเธอหมับ เริ่มเดินไวแล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งไปยังลานจอดรถ ซึ่งเธอจำได้ นี่รถมอเตอร์ไซด์คันเก่าของวรินธรจอดอยู่ใกล้ทางออก และเป็นพาหนะที่พาเราสองคนออกจากโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย ไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาไม่พอใจของรสสุคนธ์จับจ้องตอนที่พากันขึ้นรถและขี่ออกไป

รสสุคนธ์หยิบโทรศัพท์ภายในโทรไปยังหน่วยรักษาความปลอดภัย “นี่หมอรสสุคนธ์ค่ะ มีเรื่องให้ช่วยหน่อย...”

...............................................................................................

วรินธรมองกระจกมองหลัง เห็นรถมอเตอร์ไซด์คันเดิมเช่นเดียวกับตอนเธอจอดเมื่อสี่แยกที่แล้ว และเมื่อเธอลองเลี้ยวเข้าซอยแคบได้สักครู่ ก็ยังเห็นอีกฝ่ายตามมาอยู่

ไม่ต้องตีความให้ยาก ตอนนี้เธอกำลังโดนตาม

โดยใคร? ผู้ต้องสงสัยรายสำคัญคงหนีไม่พ้นแฟนสาวของผู้หญิงที่ซ้อนท้ายเธอ

วรินธรตัดสินใจจอดรถหน้าร้านขายยา พลางหันบอกคนด้านหลัง

“เราจะแวะซื้ออุปกรณ์ทำแผลแล้วก็ยาสำหรับเธอสักหน่อย ฉันคิดว่าเธอต้องได้รับการรักษา”

กานต์ชนิตในร่างของอินทนิลพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย หน้าตาเซียวสู้แดดจ้าในยามบ่ายทำให้เธออดไม่ได้แตะหน้าผากของหล่อน

“ตัวเธอรุมๆ”

“ก็ยังมีชีวิตอยู่ จะให้ตัวเย็นอย่างตอนฉันเป็นผีได้ยังไงล่ะ”

วรินธรเลิกคิ้วกับคำประชด “นี่ปวดหัวรึเปล่า แผลระบมไหม”

กานต์ชนิตถอนหายใจเฮ้อ และพยักหน้าตอบอย่างง่ายๆ ถึงว่าทำไมหงุดหงิดนัก วรินธรล้วงขวดน้ำในกระเป๋าออกมาส่งให้อีกฝ่าย

“เดี๋ยวกินยาแล้วนอนพักก็คงหาย ช่วงที่เธอยืมร่างเค้ามาใช้ ก็ช่วยถนอมๆ ร่างกายของเค้าหน่อยเป็นไง”

กานต์ชนิตไม่ได้พยักหน้า แต่กลับหน้าม่อยลงไป วันนี้กานต์ชนิตดูเป็นศิลปินตามอารมณ์ยาก

“ฉันไม่ได้ปลื้มใจอยากจะมายืมร่างเค้าใช้สักนิด แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไม... ให้ฉันเป็นวิญญาณล่องลอยต่อไปซะยังจะดีกว่า ถึงจะอยู่อย่างไร้ความหวัง แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเหมือนตอนนี้”

ดวงตาที่เคยกลมโตวันนี้หม่นแสง วรินธรสัมผัสได้ถึงความเศร้าวังเวงยิ่งกว่าคำพูด อยู่อย่างไร้ความหวังเลยหรือ... นี่หล่อนคงจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่เก็บมันไว้ และแสดงออกด้วยท่าทางร่าเริงปกติ พูดจาและเถียงกันได้ปกติ เธอไม่เคยรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเก็บเอาไว้เลย หรือเธอเอาแต่ระแวง จนไม่ได้สังเกตอะไรก็เป็นได้

“คิดอีกแง่หนึ่ง มันก็ทำให้เธอได้กลับมาใช้ชีวิตไม่ใช่เหรอ”

“ของที่ไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ของเราอยู่วันยันค่ำอ่ะ”

วรินธรทำอะไรได้ไม่มากนัก เธอเองก็ไม่สามารถหาหาเหตุผลมาตอบได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหดหู่อย่างนี้ คงต้องพูดอะไรเพื่อช่วยเหลือสักหน่อย

“เธอนับถือศาสนาอะไร”

กานต์ชนิตทำหน้างงที่จู่ๆ เธอก็เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น แต่หล่อนก็ตอบ “ศาสนาพุทธสิ”

“งั้นมันก็คือกรรม ที่กำหนดให้เธอเป็นอย่างนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรจะถามหาที่มา ในเมื่อมันเป็นไปแล้ว เธอก็แค่ยอมรับมัน แล้วก็ปรับตัวตามสถานการณ์ จากนั้นถ้ายังพอมีแรง ก็ใช้สมองคิด ว่าจะอยู่กับความจริงอย่างไรให้มีความสุข”

หล่อนมองหน้าเธอนิ่งไปพักหนึ่ง ในดวงตาคลายความตึงเครียด จนเมื่อหล่อนกะพริบตา เธอเห็นรอยยิ้ม

“เธอ... พูดอะไรดีๆ แบบนี้เป็นด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อ”

วรินธรยิ้มรับ “ฉันยังมีอะไรดีๆ กว่านี้อีกเยอะ”

กานต์ชนิตเอียงคอยิ้มๆ “รู้ไหม เธอพูดเหมือนท่านเจ้าที่ที่โรงพยาบาลเลย”

คราวนี้คนฟังทำหน้าเลี่ยน เจ้าที่อีกแล้ว? และยิ่งทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ เห็นอย่างนั้นน้ำหนักถ่วงหน่วงๆ ในใจดูจะเบาลง ยิ้มได้ก็ดีแล้ว จากนั้นจึงชักชวน

“ไปเถอะ เราจะซื้อยาที่ร้านนี้ แล้วเดี๋ยวจะแวะกินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้น เพราะเราทั้งคู่ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย เพิ่มพลังกันหน่อยก่อนจะเอ๊กเซอไซส์”

“เอ๊กเซอไซส์อะไร?”

เธอแค่ยิ้มและไม่ตอบ พลางเดินนำเข้าไปในร้านขายยา ใช้เวลาไม่นานจัดการธุระทั้งหมดที่เธอพูด

คนที่ตามเธอเป็นชายวัยกลางคน ใส่เสื้อกันหนาวแบบแจ๊กเก็ตปิดบังเครื่องแบบรปภ.ภายในเอาไว้ เข้ามานั่งเนียนสั่งก๋วยเตี๋ยวกินที่โต๊ะห่างออกไป เธอรู้ว่าสายตานั่นเฝ้าจับอยู่ จากนั้นเขาจึงโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง คงจะรายงานบอสให้รู้ว่าเธออยู่ไหน

“กานต์”

คนตรงหน้าร้องหืมในลำคอ หน้าตาเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง “เดี๋ยวเราจะออกทางหลังร้านนะ”

“ทำไมอ่ะ”

เธอส่งเงินให้แม่ค้า พลางลุกขึ้นยืนและพูดรัวเร็ว “เพราะมีคนแอบตามเรา”

และก็เป็นดังคาด หล่อนตกใจจนตาโตเหลียวซ้ายแลขวาแทบจะทันที เธอจึงต้องจับใบหน้าหล่อนไว้ให้อยู่กับที่

“ว่าแล้วว่าต้องเป็นอย่างงี้ ฟังฉันนะ เธอต้องทำเหมือนว่าไม่รู้ตัว ห้ามหันไปมองด้วยเข้าใจไหม”

หล่อนค่อยๆ พยักหน้า เธอปล่อยมือจากแก้มหล่อน มองดวงตาล่อกแลกก็ขำ “ขี้ตื่นจังเธอเนี่ย”

“ก็ชีวิตฉันไม่เคยเจอเรื่องโลดโผนประจำอย่างเธอนี่”

“เอ้า ถือว่าลองของใหม่ ลองโลดโผนหน่อยเป็นไร” พูดจบเธอก็คว้าข้อมือหล่อนพลางดึงให้เดินเร็วไปยังหลังร้าน ผ่านบริเวณซักล้างที่แสนจะลื่น

“เออโทษที ลืมบอกว่ารองเท้าไม่มีดอก ฮ่าๆ” กานต์ชนิตสุดปัญญาจะทรงตัวไว้ได้ วรินธรหันมองชายกลางคนในร้านซึ่งลุกพรวดตามเธอ จึงคว้าเอวคนข้างกายกึ่งพยุงกึ่งลากออกจากบริเวณที่เปียก แอบนึกในใจว่าอินทนิลนี่เอวเล็กนิดเดียวเอง แต่ทำไมตัวหนักเอาเรื่อง เอ หรือว่าจะซ่อนรูป? พลันสายตาไวก็เหล่มองส่วนเหนือเอวขึ้นไป ริมฝีปากผุดรอยยิ้มชั่วแวบ ก่อนจะตวัดปลายเท้าสะกิดกล่องลังที่เรียงรายอยู่ข้างทางเดินให้ล้มลงมากองกับพื้น ปิดกั้นทางเดินไม่ให้ใครตามมาโดยง่าย พลางดึงแขนหล่อนให้ออกวิ่งไปตามซอกตึกหลังร้าน

เธอวางแผนไว้แล้วว่าจะออกจากหลังร้านก๋วยเตี๋ยวเพื่อเข้าหลังร้านขายยาแล้วออกมาสู่รถมอเตอร์ไซด์ของตนเอง ก้าวขึ้นคร่อมพร้อมกับติดเครื่องรถ ร่างของอินทนิลก็ซ้อนท้ายเรียบร้อย จึงได้เวลาออกรถ พลางส่งยักคิ้วให้ชายผู้นั้น ซึ่งวิ่งอย่างเหนื่อยหอบบนทางเท้า แม้เขาคิดจะตามเธอต่อไป ก็คงไม่ง่ายแล้วล่ะ

..................................................................................................

กานต์ชนิตเหลียวมองหลัง ถนนยาวเป็นเส้นว่างเปล่า ไม่มีใครตามเรามาถึงนี่ได้ รู้สึกโล่งใจ พลางนึกชมคนขี่เบื้องหน้าที่สามารถพาเธอหลบหนีได้สำเร็จ สมกับเป็นพาย

สายลมปะทะใบหน้าค่อยๆ เบาบางลง เมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนภายในหมู่บ้านที่เริ่มคักคักเพราะเป็นเวลาของคนทำงานจะกลับบ้าน และหมู่เมฆสีเทาบนหัวเริ่มเกาะกลุ่ม ทำให้รู้ว่าอีกไม่ช้าจะโปรยฝน ทุกคนจึงต้องรีบพาตัวเองไปถึงบ้านให้ไวที่สุด

วรินธรขี่ผ่านหน้าบ้านของเธอ ทำให้เธอเหลียวมองอย่างค้นหา แต่ก็ไม่พบใคร เห็นแค่มีรถยนต์ของพี่สาวจอดในโรงรถ แสดงว่าพี่สาวของเธอกลับถึงบ้านแล้ว พ่อก็อาจจะถึงแล้ว เพราะต้นไม้หน้าบ้านชุ่มน้ำ อีกเดี๋ยวฝนลง พ่อคงบ่นแน่ๆ เลยว่าเสียดายน้ำที่รดไป

กานต์ชนิตหุบยิ้มเมื่อคนตรงหน้าเบรกกึกจนตัวเธอปะทะกับหลังอีกฝ่ายอย่างแรง แล้วยังมีหน้าหันมายิ้ม

“โทษที รถรุ่นเก่าไม่มีดิสเบรกก็อย่างงี้แหละ”

“แกล้งกันใช่ไหม”

วรินธรไม่ตอบ แค่ผายมือว่าลงจากรถได้แล้ว เธอจึงได้ก้าวลงมายืนหน้าประตูรั้ว มองเจ้าของบ้านไขกุญแจและเปิดประตูเลื่อนออก จากนั้นก็จูงรถสีแดงเหลืองจอดกลางโรงรถ มันดูโดดเดี่ยวเข้ากับสภาพรอบบ้านที่รกร้าง เปล่าเปลี่ยวและวังเวง ยิ่งมองไกลไปยังหลังบ้าน เห็นยอดไม้ไหวและผืนน้ำในบึง เธอยิ่งรู้สึกหนาวเยือกจนขนแขนลุก และเริ่มรู้สึกจุกตรงหน้าอกทั้งที่อยู่ในร่างของอินทนิล สิ่งที่ฉุดสติให้กลับมาคงจะเป็นเสียงฝีเท้าเหยาะๆ ของเจ้าของบ้าน ที่วิ่งไปปิดประตูรั้วและกลับมาไขประตูบ้าน พยักหน้าชักชวนให้เธอรีบเข้ามาด้วยแววตาเปล่งปลั่ง

มนต์วังเวงเหล่านั้นก็หายไปพร้อมกับความเจ็บความจุกด้วย กานต์ชนิตกะพริบตาปริบๆ

“ยืนเอ๋ออยู่นั่นแหละ มาเร็วเดี๋ยวฝนตก”

เจ้าบ้านสั่งทำให้เธอทำตามอย่างเลื่อนลอย ก้าวเข้าสู่ภายในบ้าน ไม่ทันปิดประตูดี เสียงฝนก็ซ่ากระหน่ำลงมาอย่างแรง “เห็นไหม เสี้ยววินาทีก็มีความหมาย ขอเปิดไฟก่อน”

การได้อยู่ใกล้หล่อนไม่ได้ทำให้รู้สึกอุ่นเหมือนตอนที่เธอเป็นวิญญาณ แต่มันทำให้ความอึดอัดเมื่อครู่นี้หายไป วรินธรคงจะมีพลังอะไรบางอย่างที่สามารถหยุดสิ่งเหล่านั้น คนเบื้องบนคงจะส่งหล่อนมาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง และเป็นเธอที่จะต้องคนหาว่ามันคืออะไร

เพราะประตูบ้านปิดไปแล้วทางเดินจึงมืดจนเธอไม่ทันสังเกตพื้นยกระดับทำให้สะดุดชนกับตู้รองเท้าดังครืน รองเท้าหลุดกระเด็น

“เอ้อ ระวังหน่อยสิกานต์ ตรงนี้เค้าให้ถอดรองเท้า ถอดอย่างนี้ เห็นไหม ไม่ใช่เอาเท้าเสยกับยกพื้นแบบนั้น”

เรื่องปากมอมเนี่ย เธอยกให้หล่อนเป็นที่หนึ่งจริงๆ ก็เลยอดไม่ได้

“ก็มันมืดซะขนาดนี้ ใครจะไปเห็นเล่า” เธอเถียงกลับ คนตรงหน้าร้องอ้าว

“ก็เข้าออกบ้านฉันตั้งหลายหนแล้วนี่ ทำไมจำไม่ได้”

เธอจึงเท้าสะเอว “ก็ตอนเป็นผีมันไม่ต้องเดินบนพื้นอย่างนี้นี่นา แค่อยากไปตรงนู้นก็ลอยไป”

วรินธรครางหวิว “เออดีเนอะ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าผีเค้าไม่เดิน ก็จริงด้วยสินะ ผีจับของไม่ได้ จะจับพื้นได้ยังไง อย่างงี้ถ้าปล่อยตัวเองให้ไหลลงไปเรื่อยๆ ไม่ไปถึงแกนโลกเลยเหรอ”

“ใครจะมาคิดอะไรพิสดารเหมือนเธอไหมเนี่ย”

“เป็นฉันไม่อยู่นิ่งหรอก คงจะลอยไปสำรวจนั่นนี่หมดแล้ว เธอคิดดูสิ เธอไปถึงแกนโลกได้โดยไม่ต้องขุดดิน แถมยังไม่เจอแรงโน้มถ่วงกดอีก จะหาโอกาสดีๆ อย่างนี้ได้ที่ไหน”

ปากหล่อนอาจจะกวนได้ แต่แววตาหล่อนมันปิดความเป็นห่วงไม่มิด นี่คงจะกวนเธอเพราะเห็นอาการซึมกระทือของเธอล่ะมั้ง เฮ้อ

กานต์ชนิตเสสายตามองบานหน้าต่างกระจก เห็นเม็ดฝนพรำกระจายเป็นวง จากนั้นจึงทำท่าคิด

“เธอลองคิดเอาเองแล้วกัน ว่าถ้าฉันลอยด้วยความเร็วอืดๆ แบบนี้ อีกกี่ชาติจะถึงแกนโลก”

วรินธรตาโต ยกมือยอมแพ้ “เธอฉลาดก็ได้ เออฉันโง่เองตกลงป่ะ”

กานต์ชนิตหัวเราะพร้อมกับคนตรงหน้าที่ยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก บางทีไอ้ส่วนที่น่ารักของหล่อนก็ช่วยกลบความร้ายกาจได้เหมือนกันนะ

“แล้วยังเจ็บแผลอยู่รึเปล่า ไหนนั่งลงมาให้ฉันดูแผลหน่อย”

“เธอเนี่ยนะจะทำแผลให้ฉัน แขนตัวเองยังไม่หายดีเลย แล้วโดนน้ำเมื่อกลางวันป่านนี้แผลเป็นไงบ้างไม่รู้”

วรินธรกดไหล่เธอให้นั่งลงกับพื้น ส่วนตัวเองนั่งบนโซฟากลางบ้าน และแหวกผมดูก่อนจะร้องอืมๆ

“อืมๆ แปลว่าอะไร ดีหรือไม่ดีล่ะว่ามา” เพราะหล่อนเอาแต่อืมๆ อยู่นาน อืมสั้นอืมยาวอยู่นั่นแหละ

“อืมๆ ก็แปลว่า ยังไม่เจอแผลไงล่ะ ก็เส้นผมหมอหนึ่งเยอะแต่สั้นกว่าผมเธอ นี่จำได้ไหมว่าเขาเย็บไปกี่เข็ม”

กานต์ชนิตส่ายหน้า ใครไปจำได้ เธอมัวแต่ระแวงหมอรสหน้าดุ กลัวว่าหล่อนจะเอายาอะไรแปลกๆ มาฉีดให้น่ะสิ ถึงเธอจะไม่มีทางรู้ว่ายาอะไรเป็นยาอะไรก็เถอะ

วรินธรลุกไปตรงโต๊ะด้านหลัง ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม มือสองข้างรวบผมเธอไปมา มือของหล่อนค่อนข้างเบาขณะมัดผมรวมกันให้ตึง เมื่อเสร็จแล้วจึงยื่นกระจกให้ส่อง เธอจึงได้เห็นผมเปียด้านหลังของตนเอง

“ทำอะไรเนี่ย”

“เห็นแล้วยังจะถาม ถักเปียไง เดี๋ยวฉันยังทำอีกทรงได้อีก คอยดู”

ครู่เดียวที่หล่อนจับผมเธอทบไปทบมา “เปียอย่างที่เธอถักไง”

“อ๋อ ฉันเปล่า รุ่นน้องคนที่เป็นผู้จัดการถักให้”

วรินธรร้องหืมในลำคอ สบตาเธอผ่านกระจก “เด็กสาวช่างแต่งหน้าของเธอน่ะเหรอ ฉันจำได้ละ”

เธอพยักหน้า “เอ๋ยถักให้ฉันก่อนออกจากรีสอร์ท ว่าแต่เธอเนี่ยนะทำเรื่องพวกนี้เป็นด้วยเหรอ”

“อ่ะฮ้า ไม่รู้อะไรซะแล้ว ฉันเนี่ยเป็นช่างทำผมระดับเซียนเชียวนะ สามารถจัดแต่งทรงผมได้ภายในสิบวินาที”

กานต์ชนิตส่ายหน้าว่าไม่เชื่อ หล่อนจึงเอนตัวลงมา “ดูถูกกันตลอด ท้าทายตลอด เดี๋ยวคอยดู”

เธอขำกับท่าทางแกล้งโกรธของหล่อน ไม่ได้สนใจระยะห่างของใบหน้าอีกฝ่ายว่ามันอยู่ในระยะใกล้ อาจจะใกล้พอๆ กับตอนหมอรสก้มมาหาเลยก็ได้ เธอกลับไม่ได้รู้สึกอยากถอยหน้าหนี ไม่ได้เกิดอาการรังเกียจแต่อย่างใด

วรินธรยืดตัวตรงกลับไปตั้งใจทำผมให้เธอต่อ ครู่ใหญ่เธอจึงเป็นว่าหล่อนทบผมเธอเป็นมวยกลับไว้บนศีรษะ และพันทบมวยนั้นจนมองดูคล้ายรูปดอกไม้ดอกใหญ่วางเอียงอยู่บนศีรษะข้างหนึ่ง

“ไม่น่าเชื่อ...”

คนฟังยิ้มอวด มันคงแปลเป็นคำพูดได้ว่า เห็นไหมล่ะ บอกแล้ว ใช่หล่อนไม่ได้โม้ และท่าทางก็ทะมัดทแมงสมจริงจนสงสัย “เธอไปเรียนรู้วิชาช่างทำผมมาได้ยังไง ฉันนึกว่าเธอจะเป็นแต่พวกต่อสู้ยิงปืนอะไรซะอีก”

“แหม ฉันเป็นนักสืบนะไม่ใช่ทหาร จะได้เป็นแต่เรื่องพวกนั้นน่ะ มีเอาไว้ป้องกันตัวต่างหาก”

“นึกว่าบริษัทอีเว้นท์อยู่ในสังกัดกองทัพบกซะอีก ชอบรับแต่งานเสี่ยงๆ มีแต่มาเฟียทั้งนั้นเลย”

วรินธรย่นหัวคิ้ว เหล่ตา “แหมฉันเกือบลืมไปแล้วเชียวว่าเธอน่ะรู้เรื่องของฉันเยอะ”

กานต์ชนิตย่นจมูก “แล้วไง รู้แล้วก็ไปบอกใครไม่ได้อยู่ดี เธอจะระแวงฉันไปทำไม นี่ยังไม่เชื่ออีกเหรอว่าฉันเป็นผีจริง”

“ถึงฉันหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าฉันไม่ต้องการการพิสูจน์นะ”

เธอจึงหันหน้ากลับมา แล้วถอนหายใจดังเฮ้อ ให้คนด้านหลังได้ยิน

“กลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว ยัยพายวรินธร”

แว่วเสียงหัวเราะจากคนด้านหลัง หล่อนทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนลุกเดินเข้าไปในครัว “แน่นอน อาชีพของฉันมันต้องการข้อพิสูจน์จับต้องได้ ไม่งั้นลูกขุนจะตัดสินได้ยังไงล่ะ”

...

สนฉัตรเดินไวเข้ามาในสำนักงานอีเวนท์ชั่วคราวใต้ตึกของมิทซึคิงครอป ภายในห้องโถงกลางเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศไม่อาจดับความร้อนในใจเขาได้ บุคคลทั้งสามที่นั่งล้อมโต๊ะประชุมหันมองเขาทันทีที่เขาตบโต๊ะปัง

“อะไรวะไอ้สน มีเรื่องร้ายแรงอะไร” จิงจ้อถามขึ้นด้วยดวงตาโตเท่าที่สุดที่มันทำได้

สนฉัตรมองหน้าคนพูด และหันมองยางโทน สุดท้ายจับที่บอส

“ไอ้พายมันก่อเรื่อง”

บอสเลิกคิ้ว “ก่อเรื่องอะไร”

“มัน...” สนฉัตรกำมือด้วยความหัวเสียเมื่อนึกถึง “มันกำลังหาเรื่อง”

“เออแล้วมันอะไรล่ะ อย่าอ้อมค้อมได้ไหม” บอสเริ่มเอ่ยเสียงเข้ม สนฉัตรจึงระงับอารมณ์

“สายฉันรายงานว่า วันนี้พายมันลักพาตัวแฟนสาวของรสสุคนธ์”

ทุกคนในที่นั้นเงียบอึ้งไปทันที จิงจ้อเป็นคนแรกที่ทวนคำ “แฟนหมอรส... หมออินทนิลที่เป็นหมอเจ้าของไข้ของไอ้พายน่ะเหรอ”

“เออสิวะ วันนี้มันออกจากโรงพยาบาล แล้วเสือกไม่ยอมออกไปคนเดียว ยังพาตัวผู้หญิงคนนั้นไปด้วย”

“ห๊ะ หมออินทนิลเนี่ยนะ ฉันนึกว่ามันจีบเล่นๆ ซะอีก” จิงจ้อพึมพำ ทำเอาสนฉัตรขึงตาตึง

“นี่แกเห็นว่ามันจีบ ทำไมไม่ห้าม”

จิงจ้อไม่กลัวสนฉัตรแม้แต่น้อย เพราะส่งยิ้มขำและเอ่ยอย่างเชื่อมั่นในเพื่อนของตนเองแบบสุดๆ “พายต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง”

“อย่างเช่นต้องการเบนความสนใจรสสุคนธ์ไม่ให้รู้ตัวว่ากำลังโดนขโมยของ” ยางโทนเสริมขึ้นมาอย่างเห็นด้วย

บอสประมวลผลและบอก “งั้นพวกเราคงต้องรีบ ตกลงตรวจสอบได้ถึงไหนแล้ว”

“เกินครึ่งทางแล้วครับบอส ระบบป้องกันความปลอดภัยของทางโน้นยังอ่อนกว่ามิทซึคิงมาก” ยางโทนตอบอย่างสบายใจ หันหลังไปบอกประโยคยาวๆ กับลูกน้องในแผนก ซึ่งตอนนี้ไม่จำเป็นต้องออกภาคสนามกับสนฉัตรแล้ว จึงอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา

บอสยิ้มหึๆ “งั้นรึ งั้นถึงพวกมันได้เซฟตี้บ๊อกของเราไป ก็คงไม่ง่ายจะถอดรหัสความปลอดภัย”

สนฉัตรขมวดคิ้ว เมื่อชายทั้งสามไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขากำลังกลัวเลย เขาจึงเอ่ยต่อ

“ฉันไม่รู้ว่าไอ้พายมันมีเหตุผลอะไรหรือเปล่านะครับบอส แต่การที่มันทำอย่างนี้ ทำให้รสสุคนธ์สั่งลูกน้องออกตามหาไอ้พายทั่วทั้งเมือง ซึ่งอิทธิพลของรสสุคนธ์นั้นก็ไม่ใช่น้อย เธอมีเส้นสายในกรมตำรวจ”

จิงจ้อขมวดคิ้ว “อย่างงั้นก็น่ากลัว”

“เออสิ ทำไมเพิ่งรู้ตัววะ” สนฉัตรค่อยรู้สึกดีที่พูดให้เพื่อนสักคนเข้าใจได้สักที แต่แล้วคำพูดต่อมาของยางโทนก็ทำให้เขาชะงัก

“ไอ้พายนี่มันสุดยอดไปเลย ไอ้เจฟสงสัยอยู่ตั้งนานว่าทำไมรสสุคนธ์ถึงเป็นคนที่อาสินกลัวนักหนา ประวัติของเธอก็ขาวสะอาด จะว่าแค่เงินหนา แค่มีกิจการโรงพยาบาลไม่กี่แห่ง ก็ไม่น่ากลัวมาก แต่ถ้าเธอมีเส้นสาย ต้องมาดูว่าเส้นใหญ่ขนาดไหน ถ้าใหญ่มากก็แสดงว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเธอมันต้องไม่ธรรมดา”

จิงจ้อทำหน้าสงสัย “แกสงสัยเครือญาติของเธอด้วยงั้นสิ”

ยางโทนสบตาคนพูด ไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ แต่แววตาบอกว่าเห็นด้วย

“ทำเลย อย่าเอาแต่มองตากันไปกันมาปิ้งๆ” บอสสั่งการทันใด ซึ่งสองหนุ่มรับทราบ ยางโทนหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ พลางเอ่ยสั่งการลูกน้องในแผนก ส่วนจิงจ้อนั้นกดส่งข้อความหาเจฟซึ่งตอนนี้คงอยู่ในเฟเดอริกสตาร์ให้ได้รู้ข่าว เพราะคนที่จะรู้ว่าวรินธรคิดอะไร ก็คงจะมีแต่เจฟเท่านั้น จากนั้นบอสก็หันมามองหน้าสนฉัตรที่ยังขมวดคิ้วเครียด

“แกก็อย่าเครียดนักเลย ฉันรู้ว่าแกเป็นห่วงพาย แต่ลองได้ทำอย่างนี้แล้ว คงวางแผนอะไรไว้สักอย่าง แกก็ทำหน้าที่ของแก จับตาดูรสสุคนธ์ไว้ให้ดีก็แล้วกัน เผื่อฉุกเฉินยังไงจะได้ทัน”

“บอสไม่รู้อะไร รสสุคนธ์เป็นคนโมโหร้ายมากนะครับ”

คนพูดสบตาเจ้านาย ประสบการณ์สอนให้รู้ว่า แรงจูงใจอะไรที่มีต้นกำเนิดมาจากความรัก ล้วนรุนแรงและคาดเดาความเสียหายไม่ได้ โดยเฉพาะแรงหึงหวง

“ทำตามที่ฉันบอก” บอสเอ่ยสั่งเรียบๆ เดินเข้ามาตบไหล่เขาและเอ่ย “พายมันเก่งถึงขนาดแย่งของของคนอื่นมาได้ในเวลาไม่กี่วัน มันคงเอาตัวรอดจากพิษรักแรงหึงได้”

สนฉัตรถอนหายใจ จิงจ้อจึงผสมโรงเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “แกไม่เคยเห็นตอนไอ้พายหว่านเสน่ห์หมอ ฉันงี้ยอมยกถ้วยให้มันเลยสน...”

บอสรีบโบกมือไล่ให้ทุกคนกลับไปทำงานเมื่อเห็นว่าลูกน้องแสนประเสริฐกำลังจะตั้งวงนินทา จิงจ้อเห็นดังนั้นก็หันไปขยิบตากับยางโทน เป็นทำนองว่าเดี๋ยวเล่านอกรอบก็ได้ แว่วเสียงหัวเราะดังหึของสนฉัตร

.......................................................................................... จบบทที่ สิบหก Kidnapper




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.