web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 138
Total: 138

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ สิบเจ็ด Cry On Me  (อ่าน 1224 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ สิบเจ็ด Cry On Me
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:22:18 »
บทที่ สิบเจ็ด Cry On Me

แม้ว่ากานต์ชนิตจะเคยตามวรินธรเข้ามาในบ้านหลังนี้หลายครั้ง แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ และวรินธรก็มีธุระให้ออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย จึงไม่ได้เห็นข้าวของประหลาดหลายสิ่งที่บ้านคนปกติเขาไม่มีกัน หล่อนบอกว่าเป็นของแถมจากงานของหล่อน เช่นบางอย่างเป็นชิ้นงานตัวอย่างของห้องวิจัย สร้างและต้องทำการทดลองใช้ เมื่อได้ผลแล้วของตัวอย่างก็บริจาคให้กับอีเว้นท์ ซึ่งงานทดสอบชิ้นงานตัวอย่างนั้นมีค่อนข้างบ่อย

มิทซึคิงที่เป็นบริษัทใหญ่มีห้องวิจัยถึงเก้าสถาบันที่ประกาศให้สาธารณชนรู้ และมีอีกหลายสถาบันที่แอบสร้างเก็บไว้

“เช่นโฮลแลปที่เธอว่าโดนระเบิดไปน่ะหรือ”

วรินธรตวัดสายตาระแวงมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนใจ กานต์ชนิตขำ หล่อนคงปลงว่าเธอรู้หลายเรื่อง แต่ก็ไม่รู้จะห้ามไม่ให้เธอรู้ได้ยังไงล่ะมั้ง สุดท้ายหล่อนก็พยักหน้าอย่างเสียมิได้

จากนั้นก็ค้นหาอุปกรณ์คล้ายกรงกระต่าย แต่มีกล่องสีดำติดไว้ปลายด้านหนึ่งและมีสายไฟโยงออกมาสำหรับเสียบกับเต้าเสียบ กานต์ชนิตสงสัย กำลังคิดว่ามันอาจจะเป็นกรงดักหนูก็ได้ แต่ว่าเจ้าของบ้านกลับถือมันเดินไปหลังบ้าน เปิดประตูไปสู่สวนหย่อมที่เต็มไปด้วยหญ้าสูงเท่าเข่า ยังพอมองเห็นทางเดินตัวหนอนคอนกรีตไปสู่ประตูหลังบ้านและซุ้มต้นไม้รกครึ้มขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านเลี้อยไปตามรั้วและห้อยสาขายาวจนเกือบระพื้นดิน ประตูเหล็กบานนี้เปิดไปสู่ท่าน้ำขนาดเล็กที่เธอเคยนั่งเล่นมาแล้วในวันแรกที่พบกับหล่อนหน้าบ้าน

เธอตามเจ้าของบ้านไปบนท่าน้ำนั้น หล่อนนั่งลงและหย่อนกรงที่ว่าลงไปในน้ำจนมิด และเกี่ยวขอไว้กับพื้นไม้ของท่าน้ำ จากนั้นลากสายไฟเข้ามาเสียบบริเวณวงกบประตูรั้ว ซึ่งมีเต้าเสียบซ่อนไว้ช่องหนึ่ง

“อะไรน่ะพาย ทำไมต้องเสียบปลั๊กด้วย”

วรินธรดึงกิ่งไม้ห้อยระโยงเด็ดทิ้งไป พลางเดินกลับเข้ามาในบ้าน ปากก็เอ่ยตอบ “เครื่องจับปลา”

“เครื่องจับปลา?”

หล่อนยิ้มมุมปากกับสีหน้ายุ่งของเธอเพราะกำลังคิดว่ามันจะจับปลาได้ยังไง แล้วชักชวนให้ไปตลาดกัน

กานต์ชนิตประมวลผลไม่ค่อยจะทันเท่าไหร่ เห็นคนชวนเดินไปยกคัทเอ้าท์ตรงข้างประตูหลังบ้าน แล้วเสียงปั๊มน้ำก็ดังกระหึ่ม คงไม่ต้องถามว่าหล่อนทำอะไรล่ะงานนี้ แล้วเดินฉับๆ ไปปิดประตูบ้านและก้าวคร่อมรถมอเตอร์ไซด์อย่างไว กวักมือเรียกเธอให้รีบมา ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วล่ะ และแสงทองก็เริ่มจะแตะขอบฟ้า คนขี่ส่งหมวกกันน็อกให้เธอใส่แต่ตัวเองไม่ใส่ ให้เหตุผลว่ามีใบเดียว

รถคันเก่าแล่นออกจากหมู่บ้านไปสู่เขตชุมชน สายลมของบึงหลังฝนตกวันนี้ค่อนข้างเย็น แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้หนาวเหน็บเหมือนแต่ก่อน อาจเพราะการได้สูดอากาศชื้นเข้าปอด มันให้ความรู้สึกวิเศษอย่างที่สุดก็เป็นได้ การได้มีชีวิต...ถือเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว

จริงอย่างที่วรินธรว่า คิดในแง่ดีแล้วเธอมีโอกาสได้มีชีวิตอีกครั้ง เธอก็ควรใช้โอกาสนี้ให้มีคุณค่าสิจริงไหม คนขี่เบรกกึกจนเธอเลื่อนไปชนหลังของหล่อนเต็มๆ เอาอีกแล้วยัยคนนี้

“เธอมีปัญหาอะไรกับเรื่องเบรกรถไม่ทราบ” ว่าแล้วก็อดไม่ได้ ก็รอยยิ้มกวนประสาทของหล่อนมันน่าหมั่นไส้ จากนั้นเลื่อนสายตามองหน้าอกเธอเป็นคำตอบ ก่อนจะหัวเราะและก้าวหนีฝ่ามือเธอที่ตวัดผ่านอากาศ

“จะโมโหไปทำไม ร่างกายก็เป็นของหมอหนึ่งไม่ใช่ของเธออยู่แล้ว”

“จะร่างกายใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น คนลามก”

“ก็ใครใช้ให้เธอเหม่อลอย สติไม่อยู่กับตัวทำไมล่ะ” พูดจบหล่อนก็รีบเดินหนีอย่างรู้ทัน ปล่อยให้เธอหัวเสียอยู่คนเดียวแล้วก็ต้องรีบตามคนเดินไวไปอีก โอ๊ยจะไวอะไรนักหนานะ

วรินธรจับจ่ายของสดอย่างคล่องแคล่ว บ่งบอกว่าไม่ใช่มือใหม่ในการทำอาหาร คิดว่าคนอย่างหล่อนจะเป็นแต่ซื้อกินข้างนอกบ้านซะอีก

“อยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่ากานต์”

เธอเลิกคิ้วไม่คิดอีกเหมือนกันว่าหล่อนจะหันมาถาม เห็นเอาแต่ซื้อๆ ราวกับคิดเมนูเอาไว้แล้ว

“ไม่รู้สิ บอกไว้ก่อนนะว่าฉันทำกับข้าวไม่ค่อยอร่อย”

คนฟังหัวเราะ “แล้วใครบอกว่าจะให้เธอทำกันล่ะ”

สรุปคือหล่อนจะทำให้เธอกินจริงๆ นั่นแหละ จะว่าไปเธอก็ไม่เคยไปกินข้าวบ้านเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้องคนไหนเลย เลี้ยงสังสรรค์ทีก็ไปร้านอาหารกันตลอด พอมีคนมาทำให้เหมือนกับที่คนที่บ้านทำให้กินอย่างนี้ มันเลยชวนให้รู้สึกแปลก

“ฉันไม่มีอะไรพิเศษหรอก แค่ได้กินอาหารก็คงจะพิเศษที่สุดแล้วมั้ง”

วรินธรหันกลับมามองเธออีกครั้ง พลางส่งยิ้มบางๆ จากนั้นชี้ของหวานสองสามอย่างถามความเห็นเธอว่าชอบอันไหน และหล่อนก็สั่งซื้อให้เธอ แถมลูกชิ้นปลาชุบแป้งทอดให้ด้วยอีกสองไม้ มีการโฆษณาว่าร้านนี้ทอดกรอบอร่อยมากอย่างกับได้ค่าโฆษณามาอย่างนั้นน่ะ

“ดูเหมือนเธอจะชิมมาแล้วทุกร้านนะพาย ถามร้านไหนก็รู้ไปหมด”

วรินธรกลืนลูกชิ้นลูกสุดท้ายเข้าปากเสร็จก็บอก “ก็แน่ล่ะ มันตลาดใกล้บ้านนี่ ฉันมาบ่อย เธอล่ะไม่ค่อยได้มาเหรอ”

“มาบ่อย แต่ส่วนใหญ่พ่อจ่ายตลาด”

วรินธรจึงคาดเดา “พ่อเธอน่าจะทำอาหารอร่อยถึงได้ต้องมาจ่ายตลาด”

กานต์ชนิตส่ายหน้ายิ้มๆ “เราผลัดกันทำน่ะ แต่เพราะร้านหนังสือของพ่ออยู่ในตลาด ก็เลยซื้อได้ง่ายกว่าคนอื่น”

คราวนี้คนฟังเลิกคิ้ว มองออกไปรอบตัว เธอจึงชี้ไปยังร้านหนึ่งบริเวณมุมสี่แยกไฟแดง

“ร้านนั้นฉันเคยเข้าไปหนหนึ่ง อ้อที่แท้พ่อเธอเป็นเจ้าของร้านหรอกเหรอ”

“ใช่ อยากจะไปดูไหมล่ะ”

“ไม่ล่ะ ใกล้ค่ำแล้ว เราคงต้องรีบไปร้านขายเสื้อผ้าก่อนเขาจะเก็บ”

“ไปทำไมอ่ะ”

“อย่าลืมว่าเธอยืมเสื้อผ้าของฉันใส่มากี่วันแล้ว” วรินธรเหล่ตามองทะลุไปถึงข้างใน “แล้วก็ชั้นในของฉันด้วย”

คราวนี้อยู่ในระยะเอื้อม กานต์ชนิตเลยฟาดตุ้บที่ต้นแขนได้ถนัด ทำเอาเจ้าตัวครางอู้ย “อะไรล่า ก็พูดเรื่องจริงนี่ ยัยเพี้ยน เดี๋ยวก็ให้นอนแก้ผ้าซะหรอกคืนนี้”

กานต์ชนิตหน้าร้อนวาบ รีบเดินหนีไปยังร้านขายเสื้อผ้า “ยัยบ้า ลามก”

วรินธรร้องเอ้าตามหลัง แล้วโวยวายว่าเรื่องจริงชัดๆ แต่เธอไม่ฟังแล้ว รีบไปเดินซื้อของให้เสร็จดีกว่า

เมื่อกลับถึงบ้านอีกที พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว

อาหารเย็นวันนั้นคือปลาในกรงพิลึกที่สามารถขอดเกร็ดให้ด้วย กับผัดผักที่ต้องผัดเอง ความพิเศษของกับข้าวอยู่ที่ขั้นตอนการทอดปลาด้วยเครื่องกลับปลาอัตโนมัติ

“ถ้าเธอขี้เกียจทอดขนาดนั้นล่ะก็ฉันทอดให้ก็ได้นะ”

วรินธรส่ายหัวหงึกๆ “เธอไม่ว่างหรอก” พลางส่งผ้าถูบ้านให้ “ไปถูบ้านซะ ฉันจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวเสร็จแล้วกับข้าวก็กินได้พอดี

เธออ้าปากค้าง รับผ้ากับไม้ถูและมองหล่อนเดินไปปิดคัทเอ้าท์ปั้มน้ำซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับเสียงน้ำล้นจากแท้งใหญ่ดังขึ้น ราวกับอีกฝ่ายกะเวลาไว้แล้วว่าน้ำจะเต็มเมื่อไหร่ จึงได้ปิดทันพอดี จากนั้นวรินธรดึงเสื้อผ้าในกระเป๋าและเสื้อผ้าใหม่ของเธอใส่เครื่อง และก็เดินไปอาบน้ำ เธอพอจะรู้ว่าหล่อนเป็นคนที่บริหารเวลาเก่ง แต่ไม่คิดว่าจะบริหารได้ทุกเรื่องขนาดนี้ ไม่มีตอนไหนที่หล่อนจะหยุดนิ่งเลย หล่อนมักจะมีแผนการล่วงหน้าเสมอว่าจะทำอะไรต่อ

“ไหนๆ ก็อัตโนมัติไปเกือบทุกอย่างแล้ว ทำไมไม่มีเครื่องถูบ้านอัตโนมัติบ้างล่ะพาย”

เธอถูเสร็จทำเอาเหงื่อแตก ทักคนหน้าตาแจ่มใสในเสื้อผ้าใหม่อย่างอดไม่ได้

“เธอไง เครื่องถูอัตโนมัติ” ชี้มาที่เธอแล้วหัวเราะ

กานต์ชนิตหน้างอ หล่อนจึงพูดเอาใจ “เอาน่ารีบตากแล้วรีบมากิน หิวแล้วนี่”

มองหล่อนทยอยยกกับข้าววางบนโต๊ะ ก็เลยตากผ้าถูบ้านบริเวณซักล้างเสร็จก็เดินกลับมานั่ง คนตรงหน้ายื่นช้อนส้อมให้ ตักข้าวให้ เฮ้อ ยอมรับว่าอยู่กับวรินธร เธอไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเลย แค่ทำตามหล่อนก็พอ จะว่าหล่อนเป็นคนเผด็จการก็ไม่ถูกนัก เพราะก็ยังหันมาถามความสมัครใจอยู่เสมอ หรือหล่อนจะถามเธอไปอย่างนั้นเอง ก็ไม่เชิงอีก เพราะบางทีหล่อนก็เอาใจเก่ง อย่างตอนนี้หล่อนก็ตักปลาทอดไฮเทคให้เธอแล้วถามว่าเอาซอสเพิ่มไหมจะไปหยิบให้ มันให้ความรู้สึกคล้ายตอนซื้อขนมหวานกับลูกชิ้นให้เธอในตลาดนั่นแหละ เอาเป็นว่าหล่อนค่อนข้างใส่ใจ ถ้าเป็นคนไม่คิดอะไรมากก็อาจจะเพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายๆ แต่ถ้าเกิดได้ฉุกคิดขึ้นมา บางทีอาจจะมองตรงนี้ว่าเป็นความน่ารัก

มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนฮารุกะบุกเข้ามาหาวรินธรในโรงพยาบาล แม้วรินธรไม่พอใจอยู่มากแต่ก็ยังพยายามจะรักษาน้ำใจอีกฝ่ายเอาไว้ ถ้าฮารุกะรู้จักวรินธรเป็นอย่างดีล่ะก็ คงไม่น่าสงสัยล่ะว่าทำไมฮารุกะถึงสนใจในตัววรินธรนัก วรินธรมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ว่าแต่ว่าแล้วภาพทิวาล่ะมองเห็นอะไรในตัววรินธร ทั้งที่เจอกับหล่อนเพียงแค่วันสองวันเท่านั้น

“นี่พาย เธอเคยทำกับข้าวให้ใครกินในบ้านหลังนี้รึเปล่า” นอกจากฉันน่ะ

“ถามไมอ่ะ” วรินธรย้อนพลางกวาดข้าวในจานคำสุดท้ายเข้าปาก กานต์ชนิตหน้าเอ๋อไปนิด

“ก็แค่อยากรู้น่ะ”

คนฟังทำหน้าคิด แล้วก็ตอบ “ก็มีเจฟ จิงจ้อ สน โทน บอส...”

แหมนั่นมันเพื่อนร่วมงานหล่อนทั้งหมดเลยนี่นา

“แล้วก็ฮารุก็เคย”

“คุณฮารุกะก็เคยเหรอ”

วรินธรเลิกคิ้วขณะยกน้ำดื่ม และพยักหน้า “ทำไมอ่ะ มีอะไรกับฮารุเหรอ”

“เปล่า ก็แค่ถาม”

“สงสัยอะไรอีกแม่คุณ”

“แหม ก็ข้าวของในบ้านเธอมันพิสดารซะขนาดนี้ ใครมากินข้าวด้วยคงตกใจแย่”

“อ๋อ คนที่จะเข้ามาในบ้านฉันได้ก็ต้องเป็นคนรู้จักของฉันอยู่แล้ว อย่างฮารุก็รู้จักของพวกนี้ดี ที่บ้านคงมีเยอะกว่าอีกมั้ง แล้วบางเครื่องฮารุยังใช้เก่งกว่าฉันด้วย”

เหรอ ฮารุกะเนี่ยเป็นหนึ่งในพนักงานอีเว้นท์รึเปล่านะ

“ไม่ใช่หรอก เธอเป็นแค่น้องสาวของเจฟ”

กานต์ชนิตตาโต หรือวรินธรจะอ่านใจเธอได้เหมือนเจ้าที่ หล่อนจึงหัวเราะ

“หน้าเธอมันเอ๋อ แสดงออกหมดล่ะว่ากำลังคิดอะไร นี่ทำไมสงสัยเรื่องฮารุกะมาก มีอะไรงั้นเหรอ”

กานต์ชนิตก็ตอบไม่ได้ว่าสงสัยอะไรหรือสงสัยทำไม แต่ปากก็พูดตอบไป “ก็แค่ชวนคุยไง กินข้าวไม่ชวนคุยแล้วจะให้นั่งกินด้วยกันทำไม”

“ถึงว่าทำไมถึงกินช้านัก” วรินธรเหล่ตามองข้าวที่พร่องไปแค่ครึ่งจานของเธอ ทำให้เธอรู้สึกกดดันต้องรีบกิน หล่อนจึงหัวเราะหันไปหยิบขนมหม้อแกงกับขนมตาลมาเปิดวาง

“เธอก็กินเร็วเป็นจรวด เคี้ยวก่อนกลืนหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้ไหมคนเราควรเคี้ยวยี่สิบทีก่อนกลืนหนึ่งคำ”

“ตั้งยี่สิบที โหยอย่างนั้นเสียเวลาตายเลย”

“ไม่ถึงกับตายหรอกน่า เพราะอย่างนี้กระเพาะอาหารของเธอก็เลยทำงานหนักไง อันนี้สิจะทำให้ตายไวกว่า”

“อ้าวแช่งกันงี้หาเรื่องแล้ว”

“ฉันไม่ได้แช่งสักหน่อย แค่จะเตือน”

“แช่งชัดๆ หรือเธอเหงาต้องการคนไปอยู่เป็นเพื่อน เอ๊าะอ๊อ ที่เป็นผีมาหาฉันนี่เพราะอย่างนี้นี่เอง ฉันไม่ไปกับเธอด้วยหรอกนะ”

กานต์ชนิตอดขำไม่ได้ และหมั่นไส้กับสายตาจนปัดนิ้วที่ชี้หน้าเธอไปห่างๆ

“พูดงี้แสดงว่าเชื่อแล้วว่าฉันเป็นผี”

“ก็บอกแล้วว่าไม่เชื่อ” หล่อนยังเถียงคำไม่ตกฟากได้เสมอต้นเสมอปลาย

ค่ำนั้นเธอรู้สึกเมื่อยปากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งอยู่ใกล้วรินธรนับวันเธอยิ่งรู้สึกพูดมาก เพราะหล่อนช่างแหย่คำให้ชวนเถียงได้ตลอดเวลาสิน่า

...

กานต์ชนิตตื่นมาตอนเช้าและไม่พบใคร บนโซฟาแบบกางได้เป็นที่นอนของวรินธรบัดนี้ว่างเปล่า หมอนกับผ้าห่มพับอย่างเรียบร้อย เธอว่านี่มันยังเช้าอยู่มาก วรินธรไปไหนซะล่ะ

เธอเดินหาทั่วบ้านก็ไม่พบ รถมอเตอร์ไซด์ก็ยังอยู่ แสดงว่าหล่อนคงเดินออกไปไหนไม่ไกล อีกเดี๋ยวก็คงกลับมา คิดได้อย่างนั้นก็โล่งใจ

อ้อ เดี๋ยวนี้เธอต้องมีวรินธรอยู่ใกล้ๆ แล้วหรือถึงจะโล่งใจ

กานต์ชนิตให้เหตุผลตัวเองว่า ก็หล่อนเป็นคนเดียวที่เห็นเธอนี่นา อากาศยามเช้าสดชื่นจนเผลอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วอดไม่ได้จะเดินไปชิดรั้วบ้าน ชะเง้อมองบ้านสีครีมข้างกัน เห็นสวนหน้าบ้านเป็นบางส่วน ได้แต่มองอย่างคิดถึง เมื่อเห็นว่ามีใครกำลังรดน้ำต้นไม้ จิตใจจึงเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นดีใจ

เธอก้าวมาหยุดยืนบนทางเท้า พลันสองขาก็พาตนเองให้ออกเดินข้ามซอยตันแคบๆ จนกระทั่งหยุดหน้าบ้าน

เธอมีเลือดมีเนื้อแล้วนี่ ตอนนี้เขาสามารถเห็นเธอได้แล้ว เพียงแต่ว่า...

คนที่เขาเห็นจะไม่ใช่เธอ แต่เป็นหมออินทนิล

กานต์ชนิตหยุดเดิน ขาดูจะแข็งขึ้นมาซะเฉยๆ มองร่างหนึ่งก้มๆ เงยๆ เหนือกระถางดอกไม้ในสวนหย่อมของหน้าบ้าน แผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตขาวเนื้อบาง มือที่ถือกรรไกรตัดกิ่งและมักจะมีบัวรดน้ำวางอยู่แทบเท้า เดินไปเดินมาดูแลสวน เขามักจะหันมาส่งยิ้ม เวลาโดนถามเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ พลางเอ่ยปากเล่าเรื่องต้นนั้นต้นนี้ได้อย่างผู้รอบรู้ ไม่เคยเบื่อที่จะฟัง... เธอคิดถึงสิ่งเหล่านั้น เธอคิดถึงพ่อ

จนกระทั่งชายวัยกลางคนผู้นั้นหันมาเห็น เธอจึงสะดุ้งพรวด นึกจะก้าวหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว

“อ้าว มาหาใครเหรอครับคุณ”

กานต์ชนิตร้องเอ่ออ่าในลำคอ จนคนถามเลิกคิ้ว เดินเข้ามาใกล้ประตูรั้ว

“พ่อเห็นหนังสือของพู่มั้ยอ่ะ พู่วางไว้ในห้องรับแขกเมื่อวาน...” เสียงแจ้วจากในบ้านทำให้เธอมอง เสียงดังอย่างงี้คงไม่มีใครนอกจากพี่สาวเธอ

“อ้าว นั่นใครน่ะพ่อ” คนพูดหยุดคำถามเมื่อเห็นเธอยืนอยู่นอกรั้วเสียก่อน พลอยทำให้คนเป็นพ่อหันกลับมามองเธอต่อ

“มาหาใครคะ” พวงชมพูส่งเสียงดังถาม พ่อหันไปบอกว่าไม่ควรตะโกนถามอย่างนั้น แล้วจึงส่งยิ้มให้เธอ

เธอรอคอยเวลานี้มาตลอด ให้พวกเขาสามารถมองเห็นเธอและพูดคุยกันได้อีกครั้ง แต่พอเอาเข้าจริง เธอก็กลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองและยิ้มตื้นตันให้แก่คนทั้งสอง จนพี่สาวของเธอเลิกคิ้วสูง และสายตาของพ่อมีคำถาม

“รู้จักใครในบ้านนี้รึเปล่าครับ” เขาถามซ้ำ

กานต์ชนิตรู้สึกใจโลดแล่น อยากจะเอ่ยบอกคนสองคนตรงหน้าไปทุกอย่างที่ใจคิด บอกว่าเธอคือใคร แล้วเธอคิดถึงพวกเขามากเพียงใด พออ้าปากจะตอบ...

“ฉันอาศัยอยู่บ้านหลังข้างๆ คุณค่ะ เห็นบ้านนี้ต้นไม้เยอะมากแล้วสวยด้วย ฉันก็เลยอยากขอคำปรึกษาเรื่องต้นไม้บ้างค่ะ เผื่อจะทำให้สวนเหี่ยวๆ ของบ้านฉันมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง”

เสียงวรินธรดังขึ้นข้างตัวเสียก่อน หล่อนก้าวนำหน้าเธอไปจนชิดประตูรั้ว พลางยกมือไหว้พ่ออย่างยิ้มแย้ม

“ฉันชื่อพายค่ะ ส่วนนี่เพื่อนฉันชื่อหนึ่งค่ะ”

กานต์ชนิตหันมองคนพูดอย่างงงงวย วรินธรเกือบจะส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการบอกว่าไม่ควร ไอ้สิ่งที่เธอคิดจะทำอยู่นั้น ไม่ควรทำ

ทำไมล่ะ?

“อ้าว พักอยู่บ้านนั้นเหรอครับ ผมนึกว่าไม่มีใครอยู่ซะอีกเห็นทิ้งร้างไว้ตั้งนาน”

“ฉันเช่าไว้นานแล้วค่ะ แต่ทำงานไกล ก็เลยไม่ค่อยได้กลับบ้านสักเท่าไหร่ อีกอย่างฉันรู้สึกว่าบ้านค่อนข้างจะดูวังเวง ถ้าได้สวนดอกไม้อย่างที่นี่น่าจะเข้าท่ากว่า”

เจ้าของบ้านหัวเราะต้อนรับอย่างอารมณ์ดีพลางเปิดประตูรั้วให้เข้ามา

วรินธรหันมองเธอที่ยังคงยืนนิ่ง เธอเกือบลืมไป วรินธรนั้นต้องการจะหาความจริง ต้องการให้เธอพิสูจน์ว่าเป็นลูกสาวของบ้านหลังนี้จริงๆ เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งจึงได้รีบหาโอกาสเข้าไปในบ้าน จู่ๆ เธอก็รู้สึกไม่พอใจ แม้จะคิดถึงมากแค่ไหนแต่ตอนนี้กลับอยากวิ่งหนี เธอจึงขืนตัว ส่งผลให้อีกฝ่ายหันกลับมา

สายตาของวรินธรนั้นแปลกออกไป อะไรก็ไม่ทราบทำให้เธอรู้สึกว่ามันไม่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์เหมือนเคย แล้วหล่อนก็กระซิบบอก “จะรออะไรเล่า นี่เป็นโอกาสของเธอแล้ว มาสิ”

กานต์ชนิตไม่อยากทำตามนัก วรินธรพยักหน้าน้อยๆ ยื่นมือให้เธอจับ มันอาจเป็นวิธีเพิ่มความกล้าอย่างหนึ่ง หล่อนอาจจะอยากให้เธอกล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เธอก็ก้าวตามคนตรงหน้าไปเข้าไปในเขตบ้านได้ในที่สุด

ใช่ เธอก้าวเข้ามาได้ โดยปราศจากคุณเจ้าที่คอยห้ามปรามอย่างเคย เพราะเป็นร่างกายของคนอื่น ไม่ใช่ของเธอเอง ชายวัยกลางคนตรงหน้ายิ้มและจับจ้องมาที่เธอ แม้จะเป็นสายตาที่มองคนเพิ่งรู้จักกัน แต่เท่านี้ก็สร้างความซาบซึ้งใจให้เธอมากพอแล้ว แค่นี้แหละ

วรินธรหันมายิ้มถาม “ไงหนึ่ง คุณลุงเขาจะให้ต้นไม้เราสองต้นแน่ะ เอาต้นอะไรดี ฉันเห็นเธอมองเข้ามาในนี้หลายรอบแล้ว ชอบต้นไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ถึงว่าสิ ฉันเห็นคุณยืนมองนิ่งเชียว ยังงงอยู่เลยว่ามองอะไร” พวงชมพูเดินออกมาพร้อมกับขวดน้ำและแก้วน้ำ พร้อมกับรินส่งให้แขก

วรินธรกลืนน้ำลายยิ้มหวานผิดปกติขณะรับน้ำจากมือคนพูด เพราะเคยมีคดีกันก่อน แต่สงสัยพี่สาวของเธอคงจำวรินธรไม่ได้

“ต้นไม้...เหรอ?” กานต์ชนิตยังทำหน้าไม่รับมุกคนข้างกันแต่อย่างใด ทำให้วรินธรอธิบายต่อ

“อ้อ พอดีหนึ่งเพิ่งออกจากโรงพยาบาลค่ะ เธอหัวแตกน่ะ”

“อ้าว ไปโดนอะไรมาคะ”

“พอดี... สะดุดล้มไปในสระค่ะ แล้วหัวฟาดกับรูปปั้น แต่ไม่เป็นอะไรมาก”

“อ้อ ยังเบลอๆ อยู่รึเปล่าคะ งั้นมานั่งหลบแดดดีกว่า หน้าตาซีดๆ” พวงชมพูไม่พูดเฉยๆ ยังดึงแขนกานต์ชนิตให้ไปในชายคาบ้านอีกด้วย กานต์ชนิตได้แต่มองมืออีกฝ่าย มองหน้ามองตัว มองทุกอย่างเท่าที่จะมองได้ ครู่เดียวเท่านั้น มันเกินจะอดกลั้น น้ำตาเธอก็ไหลจนควบคุมไม่ได้ ทำเอาคนทั้งสามที่ล้อมรอบอยู่อึ้งไปตามๆ กัน

“เอ้า อ่า คุณ เป็นอะไรไป...คะ” พวงชมพูหันมองคนนั่งร้องไห้ทีหนึ่ง มองพ่อทีหนึ่งแล้วมองวรินธรอีกทีหนึ่งเป็นคำถาม

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉัน...สบายดีค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่ต้องเป็นห่วงฉันค่ะ” เธอเอ่ยบอกทุกคน พยายามยกมือเช็ดน้ำตา แต่ก็ไม่อาจควบคุมน้ำตาให้หยุดไหลได้ เธอประสาทไปแล้วเหรอ

หยุดสิกานต์... หยุดร้อง

ถึงจะสั่งตัวเองอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ผล ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกันอยู่ที่นี่ ทำให้ใจเธออ่อนไหว ความอดทนอดกลั้นที่เคยมีหายไปหมด ท่อนแขนอุ่นโอบพาดไหล่เธอ พลางตบหลังปลอบ กานต์ชนิตจึงเงยหน้า

วรินธรนั่นเอง

“เธอ...ไหวรึเปล่า อยากกลับบ้านกันไหม”

กานต์ชนิตส่ายหน้าตอบทันใด “ฉันยังไม่อยากกลับ...” พร้อมกับกำเสื้อคนถามแน่นอย่างต้องการจะบอกหล่อนว่า เธอยังอยากอยู่ที่นี่ วรินธรนิ่งไปครู่ใหญ่

“สวนนี่... ทำให้เธอคิดถึงบ้านเธอใช่ไหม”

กานต์ชนิตสบตาหล่อน และพยักหน้า น้ำตาที่เอ่อจึงไหลต่อ วรินธรก้มตัวลงใช้มือปาดน้ำตาออกให้และเอ่ยบอกคนอีกสองคนยิ้มๆ

“หนึ่งเป็นคนอ่อนไหวน่ะค่ะ”

พวงชมพูยิ้มเจื่อน “ไม่ค่อยได้กลับบ้านเหรอคะ”

เธอไม่รู้จะตอบยังไงเลยทีเดียว น้ำตาไหลรดมือของคนเช็ด จนวรินธรเปลี่ยนเป็นแตะลูบหัวเธอ ทำราวกับว่าหล่อนเข้าใจ ทั้งที่วรินธรยังไม่เชื่อสักหน่อยว่าเธอเป็นลูกสาวของคนในบ้านหลังนี้จริงๆ

คนเป็นพ่อมองสบตาพวงชมพูและวรินธร จากนั้นจึงยิ้มหวานและมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน

ได้แต่บอกตัวเองว่าสายตาอย่างนี้ไม่ใช่หรือที่เธอคิดถึง แม้น้ำตาจะไหล เธอก็จะไม่กะพริบตาสักนิด

“ถ้าคิดถึง ก็มาบ่อยๆ ก็ได้นี่นา สาวๆ บ้านนี้ไม่ค่อยว่างชมสวนของลุงหรอก ทำงานกันยุ่งทุ๊กวัน เมื่อก่อนเคยมีคนนึง แต่ก็...” คนพูดสีหน้าเก้อไปนิดก็กลับมาเล่าต่อ “เจ้าพู่นี่เห็นท่าทางแบบนี้ แต่เป็นอัยการแล้วนา”

วรินธรครางอื้อหือเบาๆ พวงชมพูมองอย่างไม่แน่ใจว่ากำลังโดนล้ออะไรรึเปล่า แต่ก็คุยทับไว้ก่อน

“ช่าย ใครจะหาเรื่องอะไร ระวังตัวไว้ด้วย”

วรินธรหัวเราะ รู้ตัวว่าโดนกระทบเข้าให้แล้ว พลางจ้องคุณลุงเจ้าของบ้าน

“อย่าบอกว่าคุณลุงก็คือผู้พิพากษาสูงสุด!”

เขาหัวเราะลั่น พลอยทำให้กานต์ชนิตหยุดร้องไห้ และขำตามไปด้วย

“โอเวอร์จริง ในบ้านนี้มีแค่ฉันที่ทำงานกฎหมาย” พวงชมพูตอบขำๆ แล้วส่งกระดาษทิชชูให้กานต์ชนิต

“เช็ดหน้าเช็ดตาก่อนดีไหม หน้าตาแดงไปหมดแล้ว อู้ยตกใจหมดเลย จู่ๆ มีคนดราม่าใส่ ฉันชื่อพู่ค่ะ เธอชื่อหนึ่งใช่ป่าวคะ ฉันขอเรียกว่าหนึ่งเฉยๆ แล้วกันเนอะ”

“ค่ะ พี่พู่”

พวงชมพูเลิกคิ้ว สบตาพ่อแวบหนึ่ง “เอ่อ คุณเรียกฉันแบบนี้ ทำให้ฉันนึกถึงน้องสาวของฉันเลยอ่ะ”

กานต์ชนิตจ้องมองคนพูดนิ่ง “คุณก็ทำให้ฉันนึกถึงพี่สาวของฉันเหมือนกัน”

พวงชมพูพูดไม่ออก แต่ก็กะพริบตาไล่ความรู้สึกและส่งยิ้มฝืดให้ พยายามทำตัวให้ร่าเริง พลางลุกขึ้นไปยืนเคียงข้างพ่อ

“เอ้อ ฉันว่าเดี๋ยวฉันขอไปแต่งตัวก่อนนะพ่อ จะสายแล้ว ขอตัวก่อนนะ หนึ่ง แล้วก็...”

“พายค่ะ พี่พู่” วรินธรตอบล้อเลียน ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะกับแววตาวาวๆ ได้ทันที

“เอ้า พี่พู่ก็พี่พู่ แหม ฉันรู้สึกว่าวันนี้ฉันแก่จังนะ” จากนั้นก็โบกมือเดินหายลับเข้าไปภายในบ้าน วรินธรจึงหันมาถามคนที่เหลือ

“เอ้อ แล้วคุณลุงต้องรีบไปทำงานหรือเปล่าคะ”

“อ๋อ ลุงไม่ต้องรีบหรอก ลุงเปิดร้านหนังสืออยู่ในตลาดนี่เอง เคยเห็นรึเปล่า ร้านชื่อปริศนาน่ะ อยู่ตรงสี่แยก”

“เคยค่ะ ไม่คิดว่าเจ้าของร้านจะเป็นเพื่อนบ้านใกล้กันแค่นี้เอง”

เขาหัวเราะ “ถ้าคราวหน้าไปอุดหนุน ลุงจะลดราคาให้ดีไหม”

“แหมเป็นเพื่อนบ้านกะเจ้าของร้านมันดีอย่างนี้นี่เอง” คนช่างเจรจาหัวเราะเอิ้กอ้าก พลางออกตัวอย่างลื่นไหล

“ฉันว่าฉันไม่กวนคุณลุงแล้วดีกว่าค่ะ เนอะหนึ่งเนอะ ยังไงก็ดีใจที่ได้รู้จักค่ะ คุณลุงชื่อ... ลุงอะไรคะ”

“ลุงพจน์จ่ะ”

“อ้อค่ะ ลุงพจน์ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกหนูได้นะคะ บ้านติดกันแค่นี้เอง ฉันคงออกมาป้วนเปี้ยนแถวนี้บ่อยๆ”

“ยินดีจ้ะ” นายพจน์ยกมือรับไหว้ วรินธรดึงมือคนนั่งให้ลุกขึ้นยืน พยักหน้าให้ว่าไปกันนะ กานต์ชนิตมองหน้าเจ้าของบ้านนิดหนึ่ง ก็ส่งยิ้มลาพลางเดินตามวรินธรออกจากบ้าน มีสายตาของชายเจ้าของบ้านจับจ้องคนทั้งคู่ มีความคิดบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น เช่นเดียวกับแววตาของคนที่ชื่อพู่

กานต์ชนิตหันกลับมาจากบ้านหลังนั้น วรินธรเดินนำผ่านสวนอันแห้งแล้งและต้นปีบไร้ดอกไปสู่ประตูสีขาว เธอมองอีกฝ่ายไขประตูด้วยหัวใจว่างเปล่า เมื่อหันกลับไปมองบ้านนู้นอีกครั้ง ก็ไม่เห็นพี่หรือพ่ออีกแล้ว คงเข้าไปในบ้าน กำลังเตรียมตัวออกไปทำงาน

“พาย”

วรินธรถอดรองเท้า หันกลับมาร้องหืมในลำคอ

“ทีแรก ฉันนึกว่าเธอจะถามซอกแซกจนรู้เรื่องให้ได้ซะอีก”

วรินธรปิดประตูบ้าน ทางเข้าแคบๆ จึงสลัวลง

“ฉันก็มีศิลปะในการถามหรอกน่า อีกอย่าง แค่ฉันพาเธอไปหน้าบ้าน น้ำตายังแทบท่วมสวน คงไม่มีอารมณ์จะถามอะไรต่อล่ะ”

กานต์ชนิตยิ้มเศร้า นึกสมเพชตัวเองเหมือนกัน ทำไมถึงเป็นไปได้ขนาดนี้ เธอจำได้ว่าเคยร้องไห้ไปเมื่อสมัยรู้ตัวว่าตายใหม่ๆ แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นความปลงในชะตากรรมของตนเอง ไม่คิดเลยว่าวันนี้ความเศร้าเหล่านั้นจะจับมือกันออกมาปรากฏตัว ยังไงก็แล้วแต่เธอต้องรู้สึกขอบคุณวรินธรเป็นอย่างมาก เธอเข้าใจว่าหล่อนพยายามคลายบรรยากาศที่เธอทำมันอึดอัดไป เธอไม่อาจเก็บกลั้นความรู้สึกได้ เพราะเธอมีเพียงคนในบ้านหลังนั้นที่เป็นความผูกพันในชีวิต

“ฉัน...” กานต์ชนิตรู้สึกหมดคำพูดซะเฉยๆ ลำคอตีบตัน “ไม่ได้ตั้งใจ...”

เกิดความนิ่งเงียบเพราะเธอพูดไม่ออก มองสบตาคนตรงหน้าแล้วน้ำตาก็ไหล วรินธรกลอกตาหนีแล้วหัวเราะฝืดๆ

“โอ่ยจะบ้าตาย ทำไมถึงขี้แยอย่างนี้นะกานต์”

“ไม่... รู้ พาย...ฉันขอโทษ... ฉันไม่รู้...”

“เฮ้อ ไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้วจะขอโทษฉันทำไม” พร้อมกันนั้นก็ดึงตัวเธอเข้าไปหาและกอดเอาไว้ ชวนทำให้เธอปลดปล่อยน้ำตาและเสียงสะอื้น ไม่อยากอดกลั้นไว้อีกต่อไป

“ฉัน... ฉันคิดถึง...บ้านน่ะพาย... คิดถึง... พ่อ... พี่... ทุกคน” กานต์ชนิตไม่สนใจที่ถูกว่าว่าขี้แย เธอระบายออกมาทั้งหมด ทุกสิ่งที่อยากพูดที่นั่นแต่ไม่ได้พูด “แต่ฉันก็บอกความจริงพวกเขาไม่ได้อ่ะ...”

ทำไมเธอจะไม่รู้ ว่าถ้าเธอบอกไปว่าเธอคือใครเขาจะทำหน้ายังไง เขาจะเหลือเชื่อแค่ไหน และที่สำคัญ มีประโยชน์อะไรจะไปสร้างความเศร้าให้พวกเขาอีก ถ้าวันข้างหน้าเธอเกิดออกจากร่างของอินทนิลไป... ไม่มีประโยชน์อะไรจะประกาศว่าเธอคือกานต์ชนิต ลูกสาวที่ได้ตายจากไปแล้ว...

วรินธรตบหลังเธอเบาๆ เพื่อปลอบใจ คงจะมีวรินธรคนเดียวที่เธอจะระบายได้ เพราะหล่อนเป็นคนเดียวที่เห็นตัวจริงของเธอ และเป็นคนเดียวที่เข้าใจสถานภาพของเธอที่สุด

“ไม่เป็นไรหรอกน่ากานต์ ฉันเข้าใจเธอนะ ร้องออกมาซะบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ร้องออกมาเถอะ”

น้ำเสียงเรื่อยๆ ไม่ได้ฟังดูลึกซึ้งอะไร แต่ยามที่ใจเธอแฟ่บฝ่อยิ่งกว่าลูกโป่งไม่ได้เป่าเช่นนี้ กลับทำให้ตื้นตันใจมากในความกรุณาปรานีของอีกฝ่าย

................................................................................................ จบบทที่ สิบเจ็ด Cry On Me




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.