web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 138
Total: 138

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบ The Old Country Church  (อ่าน 1816 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบ The Old Country Church
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:28:10 »
บทที่ ยี่สิบ The Old Country Church

ที่พักในคืนนี้อยู่ในซอยมืด ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ครึ้ม กานต์ชนิตอดรู้สึกวังเวงไม่ได้ นี่ขนาดเธอเป็นผีนะเนี่ย แต่ว่าวรินธรคงไม่รู้สึกอะไรเช่นเคย หล่อนเข้าไปเจรจากับพนักงานต้อนรับ ซึ่งก็คงจะเป็นเจ้าของบังกะโลแห่งนี้ด้วย

“เหลือห้องเดียว จะเอาหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนพูดและชี้ห้องหนึ่งในแผนผังของบังกะโล ซึ่งมีห้องเพียงหกห้อง สร้างติดกันเรียงเป็นแผงบนอาคารชั้นเดียว ทอดยาวไปในความมืด มีเพียงแสงไฟภายในห้องวับๆ แวมๆ เท่านั้นบอกให้รู้ว่าห้องพวกนั้นมีคนพักอยู่จริง ไม่ได้โกหกว่าเต็มแล้ว

วรินธรมองนาฬิกาแล้วพยักหน้า เขาจึงถามอีก “เป็นเตียงคู่สี่ฟุตนะ” พลางเหลือบมองกานต์ชนิตด้วยอีกคน เธอจะทำอะไรได้นอกจากเหลือบมองวรินธรอีกที เห็นหล่อนพยักหน้าต่อ

“โอเค แล้วมีอาหารเช้าหรือเปล่า”

“ปกติไม่มีแต่สั่งได้”

หล่อนพยักหน้าอีกที รับกุญแจจากเขาแล้วบอก “ถามไปงั้นแหละ ฉันคิดว่าจะไปกินที่ตลาดอยู่ดี”

ทำเอาชายคนนั้นจ้องหล่อนเขม็ง ก่อนเอ่ยทิ้งท้ายเช่นกัน “ก็ดี นี่กุญแจ ยังไงก็นอนหลับให้สนุกล่ะ”

ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มกรุ้มกริ่ม วรินธรหัวเราะหึๆ หน้าเฉย แต่เธอเนี่ยแหละที่หน้าร้อน นี่คงไม่คิดว่า.... วรินธรโบกมือบ้ายบายเขาพร้อมกับลากแขนเธอให้รีบเดิน

“เธอไปกวนประสาทเขาก่อนทำไม”

วรินธรเจอห้องแล้วจึงไขกุญแจพลางตอบ “โทษที มันอดไม่ได้น่ะ”

“ก็เลยเจอมองแปลกๆ เลย”

หล่อนหันมองเธอยิ้มๆ “ไม่แปลกอะไรหรอก คนที่เขามาพักที่นี่ก็เพื่อทำอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ”

กานต์ชนิตร้องฮึ “ทำอย่างไหน?”

วรินธรเดินนำเข้าไปในห้องมืดกวักมือให้เธอเดินตามเข้าไป

“ก็... นอนหลับให้สนุกอย่างที่เขาว่าไง” หล่อนตอบพร้อมกับเปิดไฟสว่าง มองเห็นเตียงขนาดเล็กกลางห้องก่อนเป็นอันดับแรก ไม่รู้ว่าห้องนี้มันร้อนเพราะเป็นอาคารชั้นเดียว หรือหน้าเธอมันร้อนไปเองก็ไม่ทราบ จึงเริ่มทำอะไรไม่ถูก แต่ความคิดที่ว่าเธอก็นอนร่วมห้องกับอีกฝ่ายตั้งหลายคืน ไม่มีท่าทีว่าวรินธรจะทำเจ้าชู้อย่างว่ากับเธอสักครั้ง ทำให้พอจะหายใจคล่องขึ้น

วรินธรวางกระเป๋าลงพร้อมกับถอนหายใจเฮ้อ กดรีโมทเปิดแอร์ดังกระหึ่ม พลางหยิบกล่องข้าวที่แวะซื้อมาจากตลาดวางบนโต๊ะเล็ก กวักมือเรียกเธอที่ยังยืนนิ่ง

“กินข้าวกันดีกว่ากานต์ จะได้คิดว่าจะเอายังไงต่อ ดีหน่อยที่มีแอร์ ถ้าไม่มีคงร้อนแย่อ่ะคืนนี้”

นั่นแหละนะ สำหรับวรินธรจะมีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าอาหารล่ะ

เธอก้าวไปรับกล่องข้าวจากมือหล่อนมาถือไว้ กลิ่นหอมทำให้รู้สึกหิวขึ้นมา จึงตักกินตามอีกฝ่ายที่จัดการไปเกือบครึ่งกล่องแล้วภายในเวลาไม่กี่นาที เมื่ออิ่มจึงได้หน้าตาสดชื่นขึ้น ทำให้เธอขำ

“หัวเราะแบบนี้แหละว่าอะไร อร่อยหรือเปล่า” วรินธรถามยิ้มๆ เธอพยักหน้าว่าก็โอเค

“เธอเนี่ยกินช้าอย่างกับเคี้ยวเอื้อง”

“ฉันไม่ใช่ควายนะ” เธอเอ่ยอย่างรู้ทัน เรียกสายตาวิบวับทันที จับล้างซะดีไหมปากมอมๆ แบบนี้

เธอตักข้าวกินต่อท่ามกลางความเงียบ และสายตาแป๋วแหววของวรินธรที่ยังคงจ้องเธอนิ่ง จนชักรู้สึกแปลก

“มีอะไรน่ะพาย มองอะไร”

หล่อนไม่ตอบอะไรยังคงมองเธออยู่อย่างนั้น เธอจึงรู้สึกว่ากับข้าวในกล่องชักจะฝืดคอ อยากได้น้ำแก้กระหายอย่างไรชอบกล ดูเหมือนคนตรงหน้าจะรู้ หล่อนไถลตัวไปหยิบขวดน้ำจากหน้าตู้เย็นเปิดฝาส่งให้ พลางเอ่ย

“ฉันแค่คิดว่าโครงหน้ากับจมูกของหมอหนึ่ง ดูๆ ไปก็คล้ายกับเธอเหมือนกัน”

โธ่ ที่แท้ก็คิดเรื่องนี้ เธอก็ทำเป็นกลัวไปได้กานต์ชนิต

“นี่อย่าบอกว่าจะตั้งสมมติฐานใหม่ ว่าเพราะหน้าคล้ายกันจึงทำให้ฉันเข้าสิงหมอหนึ่งได้” เธอเดา หล่อนจึงยิ้มทำมือเป็นเครื่องหมายถูก

“เธอเริ่มฉลาดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

คำชมที่ไม่น่าภูมิใจสักนิด เธอได้แต่ส่ายหัว เมื่อได้สังเกตหล่อนอีกที จึงได้รู้สึกว่าดวงตาของหล่อนเริ่มแดงๆ “พาย...เอาอีกแล้วนะ ตาเธอเนี่ยปิดไม่ได้เลยว่านอนไม่พอ ดูสิเส้นเลือดฝอยเริ่มแตก”

วรินธรกะพริบตาปริบๆ คลำใต้ตาตนเอง “ถึงว่าสิทำไมง่วงๆ”

“ก็เพราะตอนที่ควรนอนไม่นอน แต่ดันไปแอบสำรวจบ้านคนอื่น”

คนถูกว่าหัวเราะ “จริงด้วยสิเนอะ”

จากนั้นยิ้มอย่างยอมรับ นานๆ จะได้เห็นหล่อนยิ้มแบบนี้สักที ยิ้มแบบไร้เดียงสา ยิ้มเหมือนกับว่าเป็นคนปกติไม่มีอะไรซ่อนเร้น ทำให้ความวาวแววของดวงตาสีน้ำตาลทองนั้นคงจะดูน่ามองกว่าน่าระแวง

“งั้นก็รีบไปอาบน้ำ จะได้รีบนอน ดีไหม”

วรินธรลุกไปยังหน้ากระจกส่องลูกตาตัวเองดู ก่อนจะครางในลำคอว่าจริงด้วยๆ แล้วหันมาเอ่ยรับคำเธออย่างว่าง่าย ถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกพาดเก้าอี้จนเห็นเสื้อยืดภายในกระชับลำตัวโชว์สัดส่วนโค้งเว้า ยามที่ก้มลงคว้านข้าวของในกระเป๋าเป้ยิ่งทำให้มองเห็นช่วงไหล่พาดตรงและช่วงแขนเรียว จนกระทั่งหล่อนเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว กานต์ชนิตจึงรู้สึกตัวว่าเผลอสำรวจรูปร่างของวรินธรอีกแล้ว เอ้อ... เธออาจจะอิจฉาหุ่นหล่อนก็ได้ ก็หล่อนหุ่นดีนี่นา

เธอรีบเก็บกล่องข้าวใส่ถุงลงถังขยะ พลางเดินไปเปิดโทรทัศน์กลบความประหลาดใจไปเสียแล้วกลับมานั่งบนที่นอนรอคอย...

สายตาก็อดไม่ได้จะมองขนาดของเตียงที่มันดูจะ...เล็กไปไหมนะ สำหรับผู้หญิงสองคนมันนอนได้สบายๆ โดยไม่เบียด เพียงแต่ว่ามันก็อาจจะใกล้เกินไป

เฮ้อ นี่เธอกังวลอะไรกันเนี่ย ทุกวันก็นอนร่วมห้องกับหล่อนนี่นา... เพียงแต่ว่าวันนี้จำเป็นต้องนอนใกล้กันก็เท่านั้นเอง

จนกระทั่งอีกฝ่ายออกจากห้องน้ำ เดินมาแปะมือกับเธอและบอกว่าตาเธอแล้ว กานต์ชนิตจึงได้ปั้นยิ้มคว้าข้าวของและรีบเข้าห้องน้ำบ้าง ทุกอย่างมันก็ปกติดี... ไม่เห็นจะมีอะไรเลยกานต์ชนิต

...

กานต์ชนิตออกจากห้องน้ำมาอีกที ก็เห็นวรินธรเอนหลังพิงหัวเตียง กึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดเหยียดขายาวบนที่นอน มือถือแฟ้มเอกสารวางไว้บนตัก แต่ตาหลับสนิท

ก็แน่ล่ะ ไม่ได้นอนมาตั้งกี่ชั่วโมง แถมยังโลดโผนทั้งวัน อืม นี่แฟ้มงานที่ลูกน้องหล่อนบอกว่าเป็นเรื่องด่วนนี่นา ในนั้นมีเรื่องสำคัญอะไรนะ วรินธรทำงานประเภทไหนอีก นอกจากบู๊ล้างผลาญพวกนั้น หรือหล่อนเรียนจบอะไรมากันแน่ ชีวิตที่ผ่านมาเป็นอย่างไร อายุเท่าไหร่ตอนนี้

จะว่าไปเธอไม่เคยได้ถามได้คุยกับหล่อนแบบปกติเลย คุยกันทีไรหล่อนก็จะชวนเถียงนอกเรื่องตลอด หล่อนเป็นคนพูดมากถามมาก ชอบแซว แต่แปลกที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวหล่อนมากนัก ถ้าหากว่าเธอไม่ได้เป็นผีติดตามหล่อน คงจะไม่มีโอกาสได้รู้จักตัวตนของหล่อนมากเท่านี้

วรินธรคนลึกลับ... หลับอยู่ก็ดี ค่อยดูแสบน้อยลงหน่อย

กานต์ชนิตเดินไปหยิบเอกสารออกจากมือหล่อน พลันวรินธรก็สะดุ้งพรวดบีบข้อมือเธอแน่นจนเจ็บ

“โอ๊ย พาย บ้าอะไรเนี่ย”

หล่อนจึงได้กะพริบตารู้ตัว ปล่อยมือจากข้อมือเธอพร้อมกับเธอก็ปล่อยมือออกจากเอกสารของหล่อน

วรินธรทำหน้างุนงงจากนั้นขมวดคิ้ว “เธอทำอะไรของเธอ”

“ไม่ได้ทำอะไร ก็เห็นหลับก็จะเอาเอกสารวางบนโต๊ะให้”

วรินธรคลายขมวดคิ้วพลางพยักหน้า “เอ้อ ขอโทษที” และโยนเอกสารใส่กระเป๋าเป้ตนเอง พลางไถลตัวเข้าใต้ผ้าห่ม จัดหมอนปุๆ จึงซบหัวลง ปากพึมพำบอก “ฉันนอนด้านนี้นะ เธอนอนด้านนู้น ช่วยปิดไฟให้ด้วยแล้วกัน”

แล้วก็แน่นิ่งไป

กานต์ชนิตยืนอ้าปากค้างอยู่นานราวกับจะทดสอบว่าหล่อนหลับจริงหรือไม่ ก็ยังเห็นหล่อนนอนนิ่งหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ จึงถอนหายใจ ปิดโทรทัศน์และปิดไฟตามที่อีกฝ่ายบอก แล้วหย่อนตัวอย่างค่อยๆ ลงบนที่นอน เกรงว่าหล่อนจะตื่นขึ้นมาให้เธอตกอกตกใจอีก พยายามเก็บแขนเก็บขาทำตัวลีบบนเตียงเล็ก และพยายามให้ชิดขอบเตียงที่สุดแต่มันก็ได้เท่านี้ ผ้าห่มผืนยาวมีไออุ่นจากคนนอนก่อนระอุภายในชวนให้รู้สึกคล้ายตอนยังเป็นวิญญาณล่องลอย

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ร่างหมอหนึ่ง นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกถึงความอุ่นจากหล่อน หล่อนยังตัวอุ่นเหมือนเดิมคล้ายดั่งเตาถ่าน แล้วก็เป็นเตาถ่านที่ขี้ระแวงมากเสียด้วย ขี้ระแวงทั้งยามตื่นยามหลับ วรินธรหนอ...ชีวิตเธอเมื่อไหร่จะเป็นสุขกัน

กานต์ชนิตตะแคงหัวมองคนข้างกัน ผ่อนร่างกายคลายความเกร็งเมื่อความรู้สึกสงสารเข้ามาแทนที่ เหมือนเช่นเคย เธอยังสงสัยในความเป็นหล่อนอยู่มาก สงสัยและอยากรู้ อยากติดตาม มือก็เลยเผลอไผล ยกขึ้นมาหมายจะแตะศีรษะนั้น แต่ยั้งไว้ทันเพราะกลัวแตะต้องหล่อนแล้วหล่อนจะเป็นบ้าระแวงขึ้นมาอีก

“ทำอะไรน่ะ” เสียงของวรินธรดังขึ้นพร้อมกับลืมตา ทำให้เธอตกใจรีบชักมือหนีอย่างเก้อ

“เปล่า”

ใบหน้านิ่งหันมาจนเห็นดวงตาปรือสะท้อนแสงจันทร์รำไรจากหน้าต่าง “แล้วยกมือทำไม จะทุบหัวฉันเหรอ”

“แหมยัยบ้า หลับไปเลย ไม่ต้องพูดมาก” บอกแล้วว่าวรินธรตอนนอนน่ารักสุดแล้ว อย่าให้ปากเริ่มทำงานเลย

คนใกล้หลับขยับตัวตะแคงหันเข้าหา พลางปิดตาลงก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “น่ารักจริง... ฝันดีนะกานต์” แล้วผ่อนลมหายใจออก เป่ารดไหล่เธออย่างช่วยไม่ได้

และใจเธอก็เต้นตุบตับแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน ทั้งจากคำพูดและจากร่างกายอุ่นๆ นั่น ใกล้เกินไป ใกล้จนแค่เพียงเธอขยับหน้าตัวเองเข้าไปอีกนิด ก็คงจะชิดกับใบหน้าหล่อนแล้ว หรือแค่เธอยื่นมือก็คงจะคว้ากอดหล่อนได้ และคงจะอุ่นกว่าไออุ่นจากผ้าห่มนี่... เอ...ความคิดนี้เริ่มไม่เข้าท่า ทำไมเธอต้องจินตนาการไปว่าจะกอดหล่อนด้วยล่ะ หรือแอร์แรงเกินไป

ชักไม่แน่ใจว่าจะระแวงตัวเองดีหรือระแวงหล่อนดี กานต์ชนิตพยายามข่มความคิดให้สงบเสงี่ยม แต่เมื่อดวงตายังไม่ได้ปิด มันก็สำรวจไปเรื่อย

เอ... ทำไมเธอไม่เคยสังเกต ว่าปลายจมูกของหล่อนมีนูนเล็กๆ ของแผลเป็น คิ้วเรียวเป็นทรง ตรงปลายโดนกันออกให้บางลง ระหว่างคิ้วยังมีไรขนรำไรเชื่อมถึงกัน เขาว่ากันว่าคนคิ้วติดกันจะเจ้าชู้ เธอชักจะเห็นด้วยแล้วสิ ริมฝีปากบางเผยอนิดๆ ชวนให้ดูเซ็กซี่หน่อยๆ ประกอบกับแก้มและคางรับกันเป็นรูปไข่สีนวลๆ ลำคอทอดซบกับหมอนและช่วงไหล่ที่เคยตั้งตรงเวลายืนเดินหรือนั่ง... พอนอนแล้วค่อยดูนอบน้อม ไล่ต่ำไปกว่านั้นที่แสงจันทร์ทอดตัวไปไม่ถึง แต่ก็รู้ว่าคือเนินเนื้อรำไรพ้นจากเสื้อตัวบางคอกว้าง...

เอ๊ะ กานต์ชนิต... บ้าไปแล้วเหรอ นี่เธอกำลังมองอะไร

คิดแล้วตวัดสายตาหนีมองเพดานทันควัน กานต์ชนิตนับหนึ่งสองสามในใจพยายามทำสมาธิและกล่อมตัวเองให้หลับ

“ห้ามแอบมองหน้าอกฉันล่ะ”

ร่างนั้นยังงึมงำและยิ้มมุมปากชวนให้จิตใจเธอเตลิด หน้าร้อนวืดอย่างช่วยไม่ได้

“ไอ้พาย ทะลึ่ง” ทำให้ตกใจอยู่เรื่อยเชียว

แว่วเสียงหัวเราะในลำคอ เธอจึงรีบพลิกตัวหันหลังให้ หนึ่ง สอง สาม สี่... รีบหลับตานับเลขอย่างเอาเป็นเอาตาย เฮ้อ วันนี้เธอเป็นอะไรกันนะ ประสาทจริงๆ ขอให้คืนนี้ผ่านไปได้ด้วยดี จะขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวดามากๆ

..............................................................................

วรินธรไม่ชอบให้ใครมาสงสารหรือเห็นใจ เธอมักจะหลีกหนีจากคนที่คิดอย่างนั้น

เพียงแต่ว่ากับกานต์ชนิตมันให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปนิดหน่อย คงเพราะว่าเธอแสดงความไม่เอาไหนให้หล่อนได้เห็นตลอด จึงไม่จำเป็นต้องเก็กหน้ารักษาฟอร์มใดๆ

เมื่อคืนนี้ ถ้าหากว่าเธอไม่ห้าม หล่อนก็คงจะถือวิสาสะเอามือลูบหัวเธอ ทำเหมือนกับว่าเธอเป็นเจ้าด่างทับทิมอีกแน่ แล้วเธอก็คงจะทำตัวไม่ถูกอีกเช่นเคย

กานต์ชนิตคงจะคิดว่า เจ้าหมาขี้ระแวงควรได้รับการปลอบใจ จะได้เลิกตื่นตกใจ เออเธอยอมรับว่ามันได้ผล

ที่จริง...หล่อนไม่จำเป็นต้องออกแรงลูบหัว แค่หล่อนกำลังนอนอยู่ใกล้ๆ นอนเฉยๆ หลับเฉยๆ แค่นั้นเธอก็สามารถนอนหลับสนิทได้แล้ว แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ควรหวาดระแวงสุดๆ ก็ตาม

อาจเพราะเธอกำลังระแวงว่าใครจะแย่งตัวกานต์ชนิตไปมากกว่าเรื่องอื่น ซะล่ะมั้ง แล้วนี่ รู้สึกขนาดนี้แล้ว จะทำยังไงต่อไปดี

เฮ้อ... ชักเริ่มเหนื่อย

เหมือนความสุขกำลังวิ่งเข้าหา และเธอกำลังยกมือห้าม อย่าเข้ามาหาฉันนะความสุข ออกไปก่อน เพราะเธอไม่อยากเศร้าในภายหลัง

ความสุขที่เหมือนยาเสพติด มันให้โทษและผิดศีลนี่นา

กานต์ชนิตคงไม่รู้ตัวหรอก ว่าเธอกำลังรู้สึกอะไร หล่อนเป็นผีไม่ใช่ผู้วิเศษจะอ่านใจใครได้ แล้วเรื่องอะไรที่เธอจะต้องไปบอกหล่อนให้รู้ด้วย...

วรินธรจิบน้ำเต้าหู้ที่ซื้อมาจากตลาด ทอดสายตามองทิวป่าเบื้องหน้าในแดดอ่อนยามเช้า บังกะโลนี้เหมือนบังกะโลหนีเมียเที่ยว ค่อนข้างจะลึกลับและเก็บเงียบ เธอค่อนข้างชอบใจ อย่างไรก็ตามให้วางใจทั้งหมดคงไม่ได้ เราควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เธอดั้นด้นมาที่นี่เพื่อมาหาหลวงตา ท่านก็มรณภาพไปเสียแล้ว ทีนี้จะทำอย่างไรดี กานต์ชนิตจึงจะออกจากร่างหมอหนึ่งได้

ความหวังที่สองของเธอคือ พ่อ

พ่อบวชเรียนมามาก และถึงแม้จะสึกและใช้ชีวิตทางโลกตามปกติแล้ว เขาก็ยังคลุกคลีกับวัดเสมอ เธอคงจะต้องกลับไปถามพ่อที่บ้าน แต่ว่าที่ยังลังเลเพราะไม่อยากชักศึกเข้าบ้าน หน้าจริงของเธอพวกเขาก็เห็นไปแล้ว นี่ถ้ารู้ว่าภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน คงจะสืบหาตัวจริงไม่ยาก ไม่อยากให้มันเกินเลยจนสาวถึงครอบครัว

ร่างสมส่วนเดินออกจากห้องพัก วรินธรนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าห้อง เธอจึงยื่นถุงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ให้หล่อนขอบคุณเบาๆ

“ตกลงได้นอนกี่โมงเมื่อคืน” เธอทักอีกฝ่ายที่อ้าปากหาว กานต์ชนิตเหล่สายตาขุ่นใส่และไม่ตอบอะไร เธอจึงหัวเราะ มือถือในกระเป๋ากางเกงยีนสั่นไหว จึงวางมือจากของกินดึงมือถือดูหมายเลขเข้า และกดรับ

“น้ำเต้าหู้ ไม่ใช่น้ำชา”

ยางโทนตอบกลับมาไวพอกัน “ฉันจัดไปสองแล้วแล้ววันนี้ พายแกควรระวังตัวหน่อย ตอนนี้แกเป็นแบล๊กลิสต์ของกรมตำรวจ ถูกสั่งให้จับตามองอยู่”

เรื่องเครียดๆ วิ่งมาหาเธอแต่เช้าสิน่า เธอร้องตอบในลำคอว่าอืม “ต้องระวังแค่ไหน”

“ควรออกไปในชนบทยิ่งดีเพราะตำรวจท้องถิ่นคงไม่เข้มงวดมาก วันสองวันนี้ระวังให้มาก ฉันว่ารสสุคนธ์มีมือดีคอยแกะรอยให้ ไม่ควรประมาทฝีมือพวกเขา แกไม่ควรประจำที่ไหนนานๆ แต่จะดีกว่านั้นถ้าแกปล่อยหมอหนึ่งไปซะ จะได้ไม่เดือดร้อน”

เธอเกาหัวแกรกๆ ร้องอืมในลำคออีกครั้ง พลางกดวาง สายตาของกานต์ชนิตจ้องเธอเป็นคำถาม เธอรู้ว่าควรแก้ปัญหาอย่างไรให้สบายตัวที่สุด... รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่เลือกทางนั้น ให้ปล่อยหล่อนไปน่ะหรือ ทางเลือกนี้ถูกเรียงไว้เป็นข้อสุดท้ายโดยไม่มีเหตุผลกำกับ เธอใช้เพียงความรู้สึกเท่านั้นเป็นตัวตัดสิน ซึ่งไม่ชอบคำตัดสินของตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้ ก็เธอไม่อยากทำนี่นา ไว้กานต์ชนิตออกจากร่างอินทนิลก่อนค่อยว่ากัน

ดังนั้นเธอควรเสี่ยงกลับไปบ้านใช่หรือเปล่า?

“มองอย่างนี้แปลว่าอะไร มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

เธอนั่งดูดน้ำเต้าหู้หมดเป็นถุงที่สองเพื่อเติมพลัง และตอบ “มีอยู่แล้ว”

คนฟังรอฟังต่อว่าเธอจะพูดอะไร แต่เธอแค่ลุกขึ้นยืนและไม่ตอบ บิดขี้เกียจเอนตัวไปมาจนอีกคนหมดความอดทน

“ปัญหาอะไรล่ะพาย เกี่ยวกับฉันหรือเปล่า”

“ถ้าเกี่ยวแล้วจะยังไงล่ะ เธอรู้ไปก็ไม่เห็นมีประโยชน์”

“ทำไมไม่มีประโยชน์...” กานต์ชนิตเถียงและนิ่วหน้า วรินธรมองใบหน้ากังวลแล้วรู้ทันที หล่อนไม่ใช่คนชอบเก็บงำความคิดนัก ค่อนข้างจะเปิดเผยและแสดงออกอย่างจริงใจ ในชีวิตของหล่อนคงไม่จำเป็นต้องเก็บความลับอะไรมากมาย

“ถ้าต้นเหตุมันเป็นเพราะฉัน”

“ถ้าเป็นเพราะเธอ เธอก็ทำได้แค่รู้สึกผิด ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไร” นั่นไง ปากเธอเอาอีกแล้ว และดูเหมือนจะได้ผล กานต์ชนิตชักสีหน้าหมั่นไส้แทนที่จะทำหมองอย่างเมื่อครู่

“เราคงต้องรีบหาวิธีให้เธอออกจากร่างหมอหนึ่งให้เร็วที่สุด” วรินธรสรุปและนั่ง ขณะหยิบปาท่องโก๋ตัวสุดท้าย แบ่งครึ่งส่งให้อีกฝ่ายท่ามกลางแดดอ่อนยามเช้า ส่งสายตาโดยไม่เอ่ยว่าหล่อนควรกินเพื่อเพิ่มพลัง หล่อนคงจะรู้จักเธอบ้างแล้ว จึงได้ตัดสินใจรับไปกัดกิน เสยผมยุ่งๆ ไปด้านหลังสลัดความกังวล

หากเราไม่ได้กำลังหนีใครอยู่ก็ดีน่ะสิ ถ้าหากว่าวันนี้เป็นการเที่ยวตากอากาศ ได้พากานต์ชนิตมาชนบท นั่งชิลกันตอนเช้าอย่างสบายใจ จะดีแค่ไหนนะ

“พาย... มองอย่างนี้มีแผนอะไรหรือเปล่า”

เวลาที่หล่อนชักสีหน้าเคร่งแต่ปิดความระแวงไม่มิดแบบนี้ก็น่ารักดี

วรินธรหลบตาซ่อนความรู้สึกโดยการหันมองทิวไม้เบื้องหน้าไปซะ

“ฉันไร้เดียงสาจะตายไป จะไปมีแผนอะไรได้”

แว่วเสียงฮึทำให้เธออดไม่ได้หันมองหล่อนอีก “ไม่เชื่อแล้วก็ยังจะถาม”

“ถ้ามองเฉยๆ ฉันก็พอจะเชื่ออยู่หรอก แต่มองแล้วยิ้มแบบเธอน่ะไม่น่าไว้ใจ”

“ทีเมื่อคืนเธอยังมองหน้าอกฉันได้เลย”

“ไม่ได้มองย่ะ ทะลึ่ง” วรินธรรีบยกตัวและเก้าอี้ไถลหนีมือยาวที่ยื่นมาตีนั่นและหัวเราะ กานต์ชนิตได้แต่ร้องชิๆ อย่างเจ็บใจ ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ทำใจ “เก่งเหลือเกินนะเรื่องชวนทะเลาะ”

วรินธรยิ้มรับคำชม สร้างความหมั่นไส้ให้อีกฝ่ายได้อีก แสงเงาพาดพื้นทำให้เธอหันมองความสูงของดวงตะวัน เธอก็จำเป็นต้องเบรกความสนุกไว้เพียงเท่านั้น ปล่อยให้ความเงียบกลับมาวูบหนึ่ง สงบใจและเอ่ย

“วันนี้เราอาจจะต้องออกเดินทางกันต่อ”

กานต์ชนิตนั่งตัวตรงเตรียมพร้อม รับรู้อารมณ์ของเธอว่าต่อไปนี้จะเป็นเรื่องจริงจัง “ไปไหนเหรอ”

“ไว้ถึงแล้วก็จะรู้เอง” เธอตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“ลึกลับได้ตลอด” กานต์ชนิตบ่นต่ออีกนิดหน่อยตามประสาคนขี้บ่น จนเธอยิ้มขำอดไม่ได้ กานต์ชนิตจึงพูดต่อ

“แต่ไหนๆ ก็มาที่นี่แล้ว เพื่อความแน่ใจ เธอพาฉันไปที่ที่หนึ่งก่อนได้หรือเปล่า”

คราวนี้เธอหันมองหล่อนเต็มตาเป็นเครื่องหมายคำถาม กานต์ชนิตก็ดูลึกลับน้อยกว่าเธอเมื่อไหร่กัน

..............................................................................................

กานต์ชนิตนั่งขมวดคิ้วไปได้สักพักก็ชี้มือ “พายลองเลี้ยวเข้าไปทางขวา”

วรินธรงงแต่ก็ทำตามที่อีกฝ่ายว่า ตีไฟเลี้ยวเข้าสู่ถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ก็บ้านชนบทธรรมดา บ้านไม้บ้าง กึ่งไม้กึ่งปูนบ้าง มีรั้วบ้าง อาศัยแนวไม้เป็นรั้วบ้าง หรือบางทีมีราวไม้กั้นเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ เธอขับเอื่อยๆ ไปครู่ใหญ่คนข้างกันก็บอกให้หยุดรถหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง ป้ายด้านหน้าเขียนว่าสถานสงเคราะห์เด็กบ้านครูแจ่มใส เป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียวทอดยาวหลายคูหา นับว่าเป็นสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่ใหญ่เมื่อเทียบกับสถานสงเคราะห์ฯ แถวบ้านเธอ

วรินธรลงจากรถ เดินตามกานต์ชนิตเข้าไปภายใน มีเครื่องเล่นสำหรับเด็กเล็กหลายชิ้น อายุการใช้งานไม่น้อยเพราะเห็นรอยสีลอกตามราวเหล็กตามส่วนที่ได้รับการสัมผัสบ่อย ตะแกรงลูกโลกกลมขนาดใหญ่ เอาไว้ให้ลอดเข้าไปนั่งเล่นและปีนป่ายภายใน โลดโผนทิ้งตัวห้อยลงมา จับมือกับเพื่อนที่อยู่ด้านล่าง พลางวิ่งไล่จับไปตามสะพานโค้งและชิงช้า แกว่งไกวให้สูงจับฟ้า...

สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าทำให้เธอยิ้มบางๆ พลางนึกถึงอดีต เมื่อหันมองคนข้างกันอีกที ก็เห็นหล่อนจับสังเกตอยู่แล้ว เธอจึงยิ้มเฉยแก้เก้อ ถาม “แล้วไงต่อ มาที่นี่ทำไม”

“ถ้าฉันบอกว่าฉันเคยอยู่ที่นี่ เธอจะเชื่อไหม”

วรินธรเลิกคิ้ว มองเห็นคุณครูเดินออกมาจากอาคาร ชี้นิ้วให้เด็กนักเรียนราวสิบกว่าคนให้นั่งตามม้านั่งใต้ต้นไม้ แล้วตะโกนปาวๆ มอบหมายงานให้ทำในวันนี้ สำหรับวิชาศิลปะ พวกเธอยืนดูไม่นาน คุณครูก็หันมาเห็น ดังนั้นช่วงที่ปล่อยเด็กให้ทำงานที่ได้รับมอบหมาย จึงปลีกตัวออกมาทักทาย

“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นครูพัฒนาการของที่นี่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

ครูสาวคนนี้อายุน่าจะมากกว่าเธอไม่เกินห้าปี หล่อนสาวเกินว่าจะเป็นคนเลี้ยงดูกานต์ชนิตในวัยเด็กได้ และกานต์ชนิตเองก็ดูจะไม่รู้จักหล่อน

“อ้อ เปล่าหรอกค่ะ แค่มาเดินดูอะไรนิดหน่อย”

ครูสาวเลิกคิ้ว หันไปเอ็ดนักเรียนที่กำลังปีนต้นไม้เสียงดังโฉงฉาง จนเด็กชายหลายคนรีบไต่ลงกลับมานั่งเรียบร้อยใต้ต้นไม้ดังเดิม เสียงคาดโทษจากครูทำให้ลิงทโมนกลับมาหงอยได้ดังเก่า จากนั้นหล่อนจึงหันกลับมายิ้มแห้งๆ

“ขอโทษทีค่ะ ฉันเป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวของที่นี่ อีกคนหนึ่งลาคลอด อีกคนก็ลาป่วย ช่วงนี้ก็เลยต้องรับหน้าที่หลายอย่าง”

กานต์ชนิตยิ้มอย่างเป็นมิตร “เด็กพวกนั้นอาจจะซนไปหน่อย แต่เขาคงรักคุณมาก เขาแค่ซนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณค่ะ”

คำพูดของกานต์ชนิตทำให้วรินธรต้องเหลียวมองใบหน้าซีกข้างของหล่อน กานต์ชนิตกำลังมีแววตาแสดงความขอบคุณให้กับครูสาว จะขอบคุณแทนเด็กพวกนั้น หรือขอบคุณเลยไปไกลย้อนอดีตกลับไปยังคนที่เลี้ยงดูหล่อนหรือเปล่านะ

ครูหัวเราะอย่างชอบใจ “พูดอย่างนี้แสดงว่าเคยอยู่สถานกำพร้ามาก่อน ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะคะ คุณเคยอยู่ที่นี่ใช่หรือเปล่า”

“ฉันก็ไม่แน่ใจ ตอนนั้นฉันเด็กมาก ก็เลยลองเดินดูรอบๆ เผื่อจะเจออะไรบ้าง แต่ก็จำไม่ได้”

“คงจะยากค่ะ เพราะที่นี่เปลี่ยนไปมาก อีกอย่างเมื่อก่อนอาคารเรียนตั้งลึกเข้าไปในซอย พักหลังเขาตัดถนนใหม่ก็เลยขยับย้ายมาติดถนน ถ้าคุณอยากรู้ว่าเคยอยู่ที่นี่รึเปล่า ฉันจะลองค้นประวัติให้เอาไหมคะ”

กานต์ชนิตพึมพำว่าได้เหรอ จริงเหรอ พลางเดินตามครูสาวเข้าไปในอาคาร แต่แล้วเสียงเย้วๆ ในสนามก็ดังอีก วรินธรจึงยกมือบอกครู “เดี๋ยวฉันจัดการให้ก็ได้ เรื่องปราบลิง งานถนัดของฉันค่ะ”

ครูมองอย่างลังเล เธอยิ้มตอบอย่างมั่นใจจนอีกฝ่ายร้องบอก “ฝากด้วยนะคะ” ให้เธอได้พยักหน้าตอบ พลางเดินข้ามสนามหญ้าไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งมีเด็กชายหลายคนกำลังปีนป่ายกิ่งก้าน พลางเขย่ากิ่งจนฝักจากต้นร่วงลงตกใส่กระดาษวาดเขียนของเด็กผู้หญิงด้านล่าง ร้องกรี๊ดกร๊าดต่อว่ากันเสียงดัง

วรินธรก้มลงหยิบฝักฉำฉาอันหนึ่ง เล็งไปยังคนที่ดูท่าทางเป็นหัวโจกซึ่งไต่ได้สูงกว่าใครเพื่อน ก่อนจะขว้างไปโดนสะโพกเขาดังเพี้ยะราวกับโดนไม้เรียวฟาด

“เฮ๊ย พี่สาวทำอะไร” เขาร้องโวยวายท่ามกลางเด็กอื่นๆ ที่เงียบมองเธอ

“แล้วนายล่ะนายเปี๊ยกกำลังทำอะไร”

“ฉันไม่ได้ชื่อเปี๊ยก”

“อ่ะงั้นชื่ออะไร” เธอถามพร้อมกับก้มลงเก็บฝักใหม่บนพื้น ควงเล่นไปมาในมือ เด็กหลายคนเริ่มไต่ลงมาอย่างช้าๆ ยกเว้นหัวโจกที่ยังทำซ่าแม้จะมองฝักนั้นไม่วางตา

“มันชื่อมาโนชค่ะครู” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งโดนฝักเล่นงานจนกระดาษเปื้อนรีบตอบและยกให้เธอเป็นครูทันที จนมาโนชบนต้นไม้ถาม

“เป็นครูใหม่เหรอ แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก”

“บอกแต่แรกแล้วนายจะลงจากต้นไม้หรือไง”

“ลงทำไมให้โง่ล่ะ” ว่าแล้วก็เขย่ากิ่งบนหัวเธอใหม่ วรินธรยิ้มพลางขว้างฝักในมือใส่ก้นเขาใหม่

“โอ๊ย โอ๊ย” เธอขว้างใส่ไปสองสามฝักเขาจึงยกมือห้าม “หยุดได้แล้ว”

วรินธรเลิกคิ้ว ขว้างอีกฝักไปใหม่ คราวนี้เขารู้ทันกระโดดหลบ ทำให้พลาดท่าลื่นตก แต่ยังดีมือยังเกี่ยวกิ่งไว้ได้จนห้อยต่องแต่งให้เพื่อนๆ หัวเราะ

เธอเดินเข้าไปใกล้กอดอกมอง

“ลงดีๆ แบบเพื่อนๆ ก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว”

เขายังมองเธอตาขุ่น ถึงน้ำตาจะเริ่มเล็ดเพราะแขนถลอกจากการขูดต้นไม้เมื่อครู่ เธอขำ เขาคงไม่กล้าทิ้งตัวลงมาเพราะมันสูงเกินไป จริงๆ เธอสามารถช่วยเขาได้ แต่อยากสั่งสอนอะไรสักหน่อย

“อยากให้ฉันช่วยหรือเปล่า”

เขากัดปากอย่างเจ็บใจยังคงปากแข็งและพยายามปีนกลับขึ้นไปเองแต่ไม่ง่ายนัก ข้อมือนั้นคงเจ็บอะไรสักอย่าง “ขอโทษดีๆ แล้วเดี๋ยวจะช่วย”

เขาลังเล คงอยากให้ช่วยอยู่แต่ฟอร์มก็ค้ำคอ เธอจึงยักไหล่เดินหนี ทำเอาอีกฝ่ายรีบร้องบอก “โทษ ขอโทษครับ”

เธอหันมอง “ช่วยผมหน่อย ผมลงไม่ได้”

เธอจึงเดินกลับเข้าไปใกล้ “เพราะนายทำตัวซ่าข่มคนอื่นเขาไปทั่ว ก็เลยไม่มีเพื่อนคนไหนอยากช่วยนาย มีแต่จะหัวเราะนาย ถ้านายทำตัวดีมีน้ำใจกับเพื่อน ฉันไม่จำเป็นต้องเดินกลับมาช่วยนายหรอก เดี๋ยวเพื่อนๆ นายก็ทนไม่ได้ต้องเข้ามาช่วยเอง”

เขาจ้องเธอเขม็ง ไม่รู้จะเข้าใจไหม แต่เขาค่อนข้างเป็นเด็กฉลาดน่าจะรู้เรื่อง เหมือนเช่นครั้งนั้น ที่เธอเองก็โดนดุเช่นกันเพราะริทำตัวเป็นหัวหน้าแก๊งประจำสถานกำพร้า นำพาเด็กๆ หนีเที่ยว และรอคอยให้คุณครูตามจับเจอ เพียงแค่อยากได้รับความสนใจก็เท่านั้นเอง

เธอไม่ใช่เด็กที่เติบโตในสถานกำพร้า แต่เพื่อนซี้ในวัยเด็กของเธอล้วนเติบโตจากที่นั่น เห็นเด็กเหล่านี้ ก็ทำให้เธอนึกถึงเพื่อนและนึกถึงน้องสาวของตนเอง

เธอจึงดึงม้านั่งปีนขึ้นไปช่วยอุ้มร่างเขาลงมา ท่ามกลางเสียงปรบมือของเด็กๆ โดยรอบ

กานต์ชนิตและครูสาวเดินกลับมาพอดี ครูร้องถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

เด็กหญิงรีบชิงกันเล่าเรื่องอย่างกับนกกระจอกแตกรัง วรินธรหัวเราะพลางปลีกตัวออกมาหากานต์ชนิต

“อะไรเหรอพาย”

“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องของเด็กๆ” เธอตอบยิ้มๆ “แล้วผลเป็นไง เจอประวัติของเธอไหม”

กานต์ชนิตส่ายหน้า และเอ่ยต่อ “แต่ฉันมีวิธีพิสูจน์”

“วิธีอะไร”

“ฉันจำได้ว่ามีโบสถ์อยู่ในอาคารด้วย ครูบอกว่าด้านหลังก็มีโบสถ์เก่า ลองไปดูก็ได้ว่าใช่โบสถ์เดียวกันไหม”

ครูหันมาบอกทิ้งท้ายก่อนจะต้องกลับไปสอนต่อ “โบสถ์เก่ามากแล้ว ระวังหน่อยนะคะ ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไป ถ้าคุณจะเดินดูรอบๆ ก็ได้นะ แต่ไม่ควรเข้าไป อันตราย”

กานต์ชนิตยิ้มยินดี หันมองเธอด้วยสายตาชักชวน นานๆ ทีจะเห็นกานต์ชนิตเป็นแบบนี้ เธอจึงพยักหน้าตอบ ขอบคุณครู และเดินออกจากอาคารกันสู่สวนรกร้างด้านหลัง พอจะมองเห็นทางเดินทอดตัวไปสู่ป่าหญ้าสูง แทบคาดไม่ถึงว่าหลังป่าหญ้าเหล่านี้จะมีโบสถ์ซ่อนอยู่ด้วย

กานต์ชนิตเดินสวบๆ รีบเร่งและตื่นเต้น จนเธอต้องรีบก้าวยาวๆ ตาม

“ใจเย็นๆ กานต์ เดินช้าๆ เดี๋ยวมีงู”

“อุ๊ยงูเกา” ไม่ขาดคำหล่อนก็เล่นมุก วรินธรหันไปแยกเขี้ยว หล่อนขำและเอ่ย “ก็มันตื่นเต้นนี่นา ฉันจำได้ว่าครูที่เลี้ยงฉันเป็นครูชาวฝรั่ง เป็นผู้หญิงมีอายุแล้วก็ใจดี จำหน้าท่านไม่ได้ จำเหตุการณ์ก็ไม่ได้สักเรื่อง มีแค่ภาพลางๆ ว่าจะเคยเห็นเธอนั่งบนเก้าอี้ไม้ บนพื้นมีเสื่อกก มีฉันและเพื่อนของฉันล้อมวงฟังเธอเล่าอะไรต่อมิอะไร มันเป็นเพียงแค่ภาพแวบๆ กับความรู้สึกพวกนั้นเกี่ยวกับที่นี่”

วรินธรร้องอ้อ “ก็อยู่ตั้งแต่กี่ขวบเอง จำได้ก็แปลกแล้ว”

“อืม คงสามขวบมั้ง จำได้อีกครั้งคือพ่อและแม่พาฉันมางานศพครูฝรั่งตอนแปดขวบ ไหว้ท่านหน้าหลุมศพอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่พอเห็นรูปท่านเท่านั้น ฉันก็ร้องไห้...”

ความเงียบมาพร้อมกับสายลม ดวงตาคนเล่านิ่งแต่ไม่มีน้ำตา วรินธรสัมผัสถึงความเศร้าสร้อยวูบหนึ่งก่อนจางหายไป “ฉันก็เลยค่อนข้างแน่ใจว่าฉันเคยอยู่ที่นี่” หล่อนเอ่ยให้ความมั่นใจ

วรินธรหันมองรอบตัว “งั้นจะรอช้าอะไร รีบไปให้ถึงโบสถ์ที่ว่านั่นกันดีกว่า”

......................................................................

อาคารไม้สองชั้นหลังเก่า โถงกลางเป็นห้องขนาดใหญ่แต่ก่อนคงเคยมีเก้าอี้ไม้เรียงเป็นแถว ตรงกลางยกพื้นคล้ายเวทีเล็กๆ ยังคงเห็นรอยบนพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

กานต์ชนิตรู้ทันทีว่าตรงนี้คือที่ตั้งของเปียโนหลังเก่า เธอเคยชื่นชอบเสียงกังวานของมันและทำให้โตขึ้นยังคงหลงใหลในเสียงดนตรี แม้บัดนี้ทั้งห้องว่างเปล่าและรกร้างเต็มไปด้วยฝุ่นหนาและหยากไย่ เธอก็ยังมองเห็นที่นี่สวยงาม

เสียงจามฮัดชิ้วดังขึ้นด้านหลัง

วรินธรเดินตามเข้ามาพร้อมกับโบกหยากไย่เกาะมือออก ที่นี่ฝุ่นค่อนข้างเยอะ แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าตื่นเต้นที่ความทรงจำเหล่านั้นเริ่มทยอยร้อยเรียงกลับมาอีกครั้ง ผนังด้านหน้ามีรอยขีดแดงแลดูคุ้นเคย เธอเหมือนเคยเห็นรอยสีแดงแบบนี้บนผนังทึบๆ ที่ไหนสักแห่ง ความทรงจำปะติดปะต่อดลใจให้เธอเดินต่อไป

เธอเปิดประตูไปสู่ทางเดินแคบ ด้านข้างเป็นหน้าต่างกระจกขุ่น แสงสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้แต่ไม่มากนัก




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบ The Old Country Church(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:29:24 »
(ต่อ)
“เธอเดินระวังๆ หน่อย พื้นมันดูไม่แข็งแรง” วรินธรเอ่ยเตือนแจ้วๆ จากห้องโถง เธอไม่ได้หันไปตอบ ยังคงเดินไปจนสุดทาง ที่ห้องในสุดมีบางอย่างซ่อนอยู่หรือเปล่านะ ห้องที่มีคุณครูฝรั่งคนนั้นนั่งอยู่กลางวงและสั่งสอนพวกเรา... ทั้งเด็กกำพร้าและเด็กที่พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยง พวกเราถูกฝากเอาไว้กับคุณครูผู้นี้ เธอและพี่ๆ...

ยังไม่ทันก้าวเข้าไปในห้องเพื่อพิสูจน์ความคิดของตนเอง เสียงไม้กรอบแกรบก็ทำให้เธอชะงักเท้าซึ่งก้าวเข้าห้องไปแล้วหนึ่งขา พลันพื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าของเธอก็แสดงอาการรับน้ำหนักไม่ไหว ในที่สุดหักเปาะ จนร่างกายเธอหล่นวูบลงไปในช่องระหว่างแผ่นไม้ในที่สุด

“พ๊ายยย”

กานต์ชนิตร้องพร้อมกับยื่นมือคว้าพื้นไม้ที่ยังไม่หักด้านบนเอาไว้ท่ามกลางความโหวงเหวงด้านล่าง

เสียงฝีเท้าวิ่งดังเข้ามาใกล้ จากนั้นวรินธรก็ร้องเฮ๊ย “ไปทำอะไรตรงนั้นล่ะ”

แน่ะยังจะถามกวนประสาท

“ก็ตกลงมาน่ะสิถามได้” เธอเกาะไม้พื้นไม้กระดานอย่างกับลิงโหนบาร์ พยายามวาดเท้าไปมาในที่แคบด้านล่างเพื่อหาที่เหยียบ แต่เธอทำได้ไม่นานก็นิ่วหน้าเพราะเจ็บแปล๊บบริเวณเอวและท้องน้อย จึงละสายตาจากใบหน้าเหวอๆ ของวรินธรก้มมอง มีแผ่นไม้แตกเกี่ยวเอวเธอเอาไว้ มันคงช่วยพยุงเธอไม่ให้หล่นลงไปด้วย

“ก็เดินดุ่มๆ ไม่ดูเลย เตือนอะไรก็ไม่ฟัง สมน้ำหน้า” แหมปากหล่อน ถ้าเธอมือว่างหน่อยละก็คงได้หยิกปากหล่อนแน่ๆ ตอนนี้เธอทำได้แต่ส่งสายตาขอร้องให้ช่วยกันหน่อย จนวรินธรหัวเราะพลางยื่นมือดึงแขนเธอเหนี่ยวขึ้น แต่เธอร้องโอ๊ย “หยุดก่อนๆ” พลางก้มมองเอวตัวเอง เจ้าแผ่นไม้นี่คงจะสร้างแผลให้เธอซะแล้ว

สายตาวรินธรเป็นคำถาม ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดึงไฟฉายจิ๋วออกมา พลางมุดหน้าแทรกระหว่างแขนเธอส่องดู “เอ เหมือนจะลงไปข้างล่างได้นะกานต์ ข้างล่างเนี่ยเป็นห้องอีกห้องหนึ่ง”

“โธ่ รีบๆ ทำอะไรเข้าเถอะ อะไรไม่รู้เกี่ยวเอวฉัน เจ็บๆ ยังไงไม่รู้”

วรินธรหันมองซ้ายมองขวา พลางเดินห่างออกไปยังทางทิศตรงข้าม จากนั้นจึงเลี้ยวลับไปตรงมุมหนึ่ง ทิ้งความเงียบเป็นเพื่อนเธอ หล่อนคงไม่ได้ทิ้งกันหรอกนะนั่น

ครู่ใหญ่ผ่านไปก็ยังไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่าย หล่อนหายแล้วหายลับไปเลย เธอแหงนหน้ามองแดดส่องลอดกระจกขุ่นเป็นลำจนกระทบไยแมงมุมซึ่งขยับไหวตามแรงลม ชวนให้ความวังเวงปกคลุม จนต้องกลืนน้ำลายระงับความหวาดหวั่นเล็กๆ พลางเอ่ยเรียก “พาย”

เสียงเธอทำไมก้องไปในอาคารอย่างนี้หนอ ก้องและไม่มีใครขานรับ ราวกับว่าเธออยู่ในอาคารหลังนี้เพียงลำพัง

“พาย... ไปไหนอ่ะ”

เสียงเธอชักจะถามอย่างไม่เต็มคำ มือที่เกาะเกี่ยวขอบไม้เริ่มสั่นเพราะแรงร่อยหรอ วรินธรคงไม่คิดทิ้งเธอไปหรอกมั้ง เพราะไม่อย่างนั้นจะพาเธอหนีมาถึงนี่ทำไมกัน แต่หล่อนไปไหนล่ะ...

“พายยยย” คราวนี้เธอตะโกนเรียกดังขึ้น จนกระทั่งรู้สึกว่ามีใครด้านล่างคว้าเอวเธอหมับ ทำให้เธอดิ้นพรวด พยายามเหนี่ยวตัวเองขึ้นบนสุดแรง ความเจ็บแปลบที่เอวลามไปยังท้องน้อย ทำให้รู้ว่าบางสิ่งที่เกี่ยวเธอนั้นต้องแหลมคมและกำลังลากเป็นแผลยาวเข้าเนื้อ

“กานนนนต์ ฉันเอ๊ง”

เสียงพายวรินธรนั่นเองดังจากเบื้องล่างเธอรีบก้มลงมอง เห็นหน้าหล่อนวับแวมในความมืด ก็ดีใจจนยิ้มแหยออกมา พร้อมกับปล่อยมือจากไม้ด้านบนเกาะหล่อนทันที ทำเอาคนด้านล่างโวยวาย

“เฮ๊ย ปล่อยมือทำไมล่า ตัวเธอไม่ใช่เบาๆ นะปัดโธ่ กานต์ เกาะไว้ก่อนยัยบ้า ฉันอุ้มเธอไม่ไหวนะ”

กานต์ชนิตรีบทำตามอีกฝ่ายว่าทันที แต่ยังอยากก้มมองดูว่าหล่อนกำลังทำอะไร

วรินธรถอนหายใจเฮ้อ คลายท่อนแขนที่รัดต้นขาเธอไว้หลังจากที่เธอทิ้งน้ำหนักลงไปตะกี้จนหล่อนเซไปเซมา

“เธอยังลงมาไม่ได้ เพราะตะปูมันเกี่ยวเอวเธออยู่ เดี๋ยวก็ได้ทะลุไปถึงไหนต่อไหนหรอก”

“ถึงว่าสิทำไมเจ็บ” เธอบ่นเสียงอ่อย ค่อยอุ่นใจขึ้นหน่อยเวลาได้ยินเสียงอีกฝ่าย

“ข้างล่างเนี่ยรกมาก เหมือนห้องเก็บของใต้ดินอ่ะ ลองเหยียบลงบนนี้ซิ”

วรินธรวางบางสิ่งใต้เท้าเธอ พอเธอเหยียบก็ดังกรอบจนแทบชักเท้ากลับไม่ทัน ตะปูก็จิ้มเนื้อเธอต่อ เอ้า เธอเจ็บไม่ว่าหรอก แต่เดี๋ยวเจ้าของร่างจะว่าเธอว่าไปทำร่างกายเขาขูดขีดทำไง

“เฮ้อ โต๊ะตัวไหนก็ผุ”

หล่อนคงจะพยายามหาอะไรให้เธอยืนแต่คงหาไม่ได้ อ้อมแขนอุ่นๆ จึงสอดรัดต้นขาเธอใหม่ เธอก้มลงมองเห็นศีรษะหล่อนพยายามเบี่ยงหลบท่อนไม้ผุๆ แหงนมองหน้าเธอ

“ไหวไหมกานต์ ฉันจะดึงตะปูอันนี้ออกให้แล้วกัน เจ็บหน่อยนะ”

กานต์ชนิตยิ้มแหย พยักหน้าตอบไปทั้งที่แขนชักเริ่มสั่น เธอไม่ใช่นักยิมนาสติกนะจะได้โหนบาร์ได้นาน

จากนั้นหล่อนก็เริ่มขยับไม้ออก “พาย... เจ็บ”

วรินธรจึงหยุด ดึงไฟฉายที่คาบไว้ในปากออกและบอก “มันเกี่ยวทะลุกางเกงเธออ่ะ ขอโทษ ฉันขออนุญาตแล้วกัน”

ไม่ทันได้ถามว่าขออนุญาตอะไร มือหล่อนก็ปลดกระดุมกางเกงยีนออก พลางรูดซิปลงครึ่งหนึ่ง

“พาย! ทำอะไร”

หล่อนยังคงไม่ตอบเพราะปากคาบไฟฉาย ใบหน้าหล่อนก็อยู่เท่าระดับเอวเธอ เรียกได้ว่ามันใกล้เกินไปไหม แล้วนั่นกำลังจะถอดอะไร

“อ่าอิ้นเอ้” (อย่าดิ้นเด้)

“ก็เธอกำลังทำอะไรฉันล่ะ พาย อู้ย เจ็บนะเนี่ย”

“โว๊ย ก็ดิ้นทำไมยัยบ้า อยู่นิ่งๆ เลือดออกแล้ว เดี๋ยวก็จิ้มทะลุไส้หรอก” น้ำเสียงอีกฝ่ายเริ่มดุพูดขู่ ความเจ็บทำให้เธอต้องฝืนเกร็งตัวอยู่นิ่ง แต่ใจน่ะไม่อาจนิ่งได้เลย ก็มือหล่อนตอนนี้กำลังเหนี่ยวขอบกางเกงเธอลงน่ะสิ แล้วมันก็ไม่ใช่แค่กางเกงยีนส์เสียด้วย

นิ้วมือของหล่อนทำไมเหมือนของร้อน เธออยากขยับตัวหนี แต่หล่อนก็วาดแขนอีกข้างรัดต้นขาเธอไว้เสียแล้ว และวางมือลงบนท้องน้อย ใต้ขอบกางเกงลงไปราวครึ่งคืบ ถ้าต่ำไปกว่านั้นอีกนิดเดียวมันก็...

กานต์ชนิตกลืนน้ำลายระงับความปั่นป่วนใจ พลางหายใจเข้าออกถี่เหมือนคนเป็นโรคหอบหืด ยิ่งลมหายใจอุ่นๆ นั่นรดบนท้องน้อยเธอยิ่งแย่

“พายยยย” เธอควรรีบโวยวายไว้ก่อนดีไหม ตอนนี้เธอรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ แขนก็ชักไม่ค่อยมีแรงจะเกาะ

เสียงขู่ฮึ่มในลำคอของอีกฝ่ายเป็นการบอกให้อยู่นิ่งๆ เธอจึงจำเป็นต้องอดทนต่อไป

เอาเถอะน่า กานต์ชนิต ร่างกายนี้มันก็ไม่ใช่ของเธอซะหน่อย

หล่อนพยายามดึงตะปูตัวจิ๋วกับเศษไม้ออก ซึ่งแต่เดิมคงฝังอยู่กับไม้ท่อนที่หักครึ่ง บัดนี้มันกลับมาฝังกับเนื้อแทน ทิ้งรอยแดงเป็นทางยาวทอดต่ำลงไป

“อยู่นิ่งๆ”

น้ำเสียงนุ่มๆ เอ่ยเหมือนกล่อม พร้อมกับเจ็บแปลบเมื่อหล่อนดึงตะปูออกได้ และชูให้เธอดูพร้อมสายตาแวววาวโล่งใจ กานต์ชนิตเองถอนหายใจเช่นกัน ก้มลงมองอีกฝ่ายที่ดึงผ้าเช็ดหน้าซับลงบนแผลให้แผ่วเบา กดลงและดึงขอบกางเกงขึ้นให้

เธอจึงค่อยรู้สึกหายใจคล่องขึ้นหน่อย มือลื่นพลันหลุดออกจากไม้ด้านบนทิ้งน้ำหนักลงให้คนด้านล่างรับ

“อ้าวเอ๊ย” วรินธรเปลี่ยนเป็นวาดแขนรอบตัวเธอไว้ทั้งสองข้าง เซไปเซมาท่ามกลางเสียงร้อง

“กานต์ ยัยบ้า จะปล่อยมือก็ไม่บอก”

จากนั้นจึงล้มโครมลงบนกองไม้ทั้งคู่

“โอ่ย...” วรินธรครางเบาๆ พยุงตัวเองนั่งและกุมหลัง กานต์ชนิตเอาแขนลงชนพื้นโต๊ะไม้จึงปวดหนึบๆ ใช่เล่น แต่คงไม่ถึงกับหักอะไร

“อ่า ขอโทษ”

วรินธรมุ่ยหน้าและบิดตัว ก่อนจะพึมพำว่าไม่เป็นไร จากนั้นก้มลงดูขอบเอวเธอใหม่ ทำให้เธอรีบกระเด้งตัวหนีท่ามกลางความงุนงงของอีกคน

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เราไปจากที่นี่เถอะ”

พอยันตัวลุกขึ้นจึงรู้สึกเจ็บตรงฝ่ามือ เมื่อแบดูก็เห็นซี่ไม้เล็กๆ ฝังเข้าเนื้อหลายขีด

แง๊... มันเวรกรรมอะไรของเธอเนี่ย

วรินธรมองตามพร้อมกับจับมือเธอยื่นเข้าหาแสงที่ลอดส่องจากรูด้านบน จากนั้นถอนหายใจเฮ้อรดมือเธออีกแน่ะ

เธอรู้สึกหน้าร้อน ครั้งนี้มันร้อนนานและร้อนไม่หาย เพราะความคิดเธอมันวนกลับไปช่วงเวลาที่วรินธรก้มหน้าก้มตาดึงตะปูออกให้เธอเรื่อยเลย

“เสี้ยนตำน่ะ เดี๋ยวค่อยบ่งออก ดีที่เธอฉีดยากันบาดทะยักแล้วตอนหัวแตก ก็เลยไม่ต้องไปหาหมอฉีดซ้ำ” วรินธรเอ่ยพร้อมกับมองหน้าเธอ เธอสบตาหล่อนใกล้ๆ พร้อมกลืนน้ำลาย มือหล่อนขยับใกล้หน้าเธอแล้วแตะลงใต้หางตาซึ่งมีรอยน้ำตาที่เกิดจากการเจ็บเหลืออยู่นิดหน่อย

“รู้ว่าเจ็บ ก็เพราะใครกันล่ะที่รีบร้อนเดินไม่ระวัง”

แล้วทำไมต้องทำเสียงนุ่มด้วยล่ะ วรินธรที่เสียงนุ่มทำให้เธอไม่ชิน ต้องวรินธรที่ปากหมาสิชินกว่า กานต์ชนิตทำตัวไม่ถูก จึงปัดมืออีกฝ่ายออกและเบนสายตาไปทางอื่น “เพราะฉันเอง ฉันมันใจร้อน พอใจหรือยัง”

วรินธรยิ้มขำ “ประชดเป็นด้วยเหรอกานต์”

กานต์ชนิตพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว กับรอยยิ้มจางๆ นั่น เธอต้องเป็นประสาทไปแล้วแน่ๆ ถึงได้รู้สึกว่าหล่อนยิ้มสวยและน่ามอง

“ไม่ได้ประชดสักหน่อย ฉันเป็นอย่างงั้นจริงๆ”

วรินธรลุกขึ้นยืน พลางพยุงต้นแขนเธอให้ยืนด้วย ร้องบอกเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไรหรอก”

เฮ้อ จริงๆ เธอต้องขอบคุณหล่อนสิถึงจะถูก

“คราวนี้ก็เดินตามหลังฉันแล้วกัน”

เธอพยักหน้าตอบอย่างเจียมตัว แสงไฟจากไฟฉายของวรินธรสาดไปบนผนังห้องมุมหนึ่ง จนเธอต้องรีบกุมมืออีกฝ่ายให้หยุด

“ฉันเห็นรอยบางอย่าง” เธอเอ่ยและเดินเข้าไปใกล้ ส่องไล่ไปตามรอยหมึกสีแดงอ่อนวาดเป็นรูปสัตว์หลายชนิดอย่างบูดๆ เบี้ยวๆ และมีรูปคนก้างปลายืนจับมือกันสามคน มีตัวหนังสือเลือนลางใต้คนบูดๆ เบี้ยวๆ แต่พอจะอ่านเป็นคำได้ว่า

...ก าน ต์ ช นิต...

ทำเอาวรินธรหันจ้องเจ้าของชื่อทันที

“เธอ...น่าจะเคยอยู่ที่นี่จริงๆ ซะแล้ว”

กานต์ชนิตอ้าปากค้าง ชื่อเธอ ใช่แล้วชื่อเธอ คงไม่ใช่ใครที่ชื่อเหมือนเธอหรอกมั้ง เพราะรอยแดงเหล่านี้มันอยู่ในความทรงจำของเธอด้วยนี่ เธอเคยอยู่ที่นี่จริงด้วย

วรินธรหันมาส่งยิ้มให้ จากนั้นส่องบนกำแพงจนทั่วและเอ่ย “มีแค่ตรงนี้แหละ ไม่รู้ว่าที่นี่ในสมัยนั้นเอาไว้ทำอะไรนะ จะว่าไปก็เหมือนถ้ำ ชวนให้ผจญภัยดี”

คำวิจารณ์ทำให้กานต์ชนิตยิ้มปลื้มใจ

“เราไปต่อกันเถอะพาย ขอบคุณที่พามาที่นี่ เราเสียเวลามากแล้ว”

วรินธรหันกลับมาส่องไฟแยงหน้าเธอจนเธอหงุดหงิด หล่อนขำ “ที่นี่คงสร้างความทรงจำดีๆ ให้เธอไว้มาก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ดีใจที่จำได้”

วรินธรจับข้อมือเธอและเดินนำ มีบันไดแคบชิดผนังมุมหนึ่ง ขึ้นไปสู่ชั้นบน ประตูเล็กดั่งห้องลับปิดลงเมื่อเราทั้งคู่ก้าวขึ้นมายืนบนพื้นไม้ หล่อนไม่ปล่อยมือเธอตราบจนกระทั่งเดินออกนอกอาคารได้แล้ว คงกลัวว่าเธอจะเดินดุ่มไปไหนอีกล่ะมั้ง

“เธออยากให้ฉันช่วยสืบหรือเปล่าว่าคุณครูฝรั่งคนนั้นชื่ออะไร เป็นใคร”

“เธอจะสืบให้ฉันฟรีๆ เหรอ ฉันไม่มีตังจ้างเธอหรอกนะ”

วรินธรยื่นมือยีหัวเธอจนยุ่ง “เริ่มรู้จักฉันดีแล้วนี่”

กานต์ชนิตเหลือบมองตาหล่อนที่ยังส่งยิ้ม ทำไมเธอจะไม่เห็นความใจดีในนั้น เชื่อว่าหล่อนคงอยากสืบให้ด้วยใจจริงและไม่คิดค่าจ้างหรอก เพียงแต่ว่าเธอไม่ได้อยากรู้สักเท่าไหร่ เรื่องราวในอดีตที่ไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม เธอก็ตายไปแล้ว

“แค่เธอตามใจพาฉันมาที่นี่ ฉันก็ขอบคุณมากแล้ว เรื่องสืบไม่ต้องหรอกพาย”

“ตามใจแล้วกัน” นานๆ ทีหล่อนจะตามใจเธอ เพราะมันมานานๆ ที ถึงได้รู้สึกดี ทำไมถึงไม่รู้จักทำตัวทำปากให้เหมือนอย่างใจบ้างนะ “เราคงจะต้องกลับไปพักบังกะโลเดิมนะกานต์ บ่ายแก่แล้ว คงไปไหนไม่ได้ไกล เพราะเธอคนเดียวเชียว”

นั่นไงล่ะ ชมได้ไม่นานหรอกคนนี้ คนพูดเดินนำกลับไปยังรถยนต์ เธอจึงถอนหายใจทิ้ง ยอมรับว่าผิดจริงและเดินตามหล่อนอย่างเงียบๆ

.......................................................................................... จบบทที่ ยี่สิบ The Old Country Church


 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.