web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 127
Total: 127

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเอ็ด Don’t Take The Girl  (อ่าน 1624 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเอ็ด Don’t Take The Girl
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:30:37 »
บทที่ ยี่สิบเอ็ด Don’t Take The Girl

วรินธรส่งยิ้มมุมปากให้เจ้าของบังกะโลอีกครั้ง เขายักคิ้วใส่และถาม “ติดใจเตียงสี่ฟุตล่ะสิ”

เธอไม่ตอบอะไรรับกุญแจจากเขาพร้อมตรงไปไขห้องเดิม มีคนหน้าบูดข้างกันเหล่ตามอง

“อะไรอีกล่ะแม่คุณ” เธอถาม

“เธอทำหน้ากวนประสาทใส่เขา เขาเลยแซว” หล่อนกล่าวหาเธอจนได้ เธอจึงหัวเราะ

“ฉันยืนเฉยๆ ก็ว่าทำหน้ากวนประสาท”

“ก็หน้าเธอมันกวนประสาทตลอดเวลานี่”

“มันเป็นยังไงน้า ไอ้หน้ากวนประสาทเนี่ย”

“ส่องกระจกดูแล้วก็จะรู้เองนั่นแหละ” วรินธรขำ เห็นแก้มป่องๆ ก็อยากบีบเล่น แต่ไม่เอาดีกว่า เธอไม่อยากใกล้ชิดอะไรมากเดี๋ยวกานต์ชนิตเกิดฉลาดเดาอะไรต่ออะไรได้อีก

วรินธรก้าวเข้าห้องพลางเปิดแอร์เปิดม่านและเปิดไฟกลางห้อง จากนั้นวางกระเป๋าและกล่องข้าวกลางวันบนโต๊ะ

“กินข้าวกันดีกว่ากานต์” เหตุการณ์ดูจะซ้ำรอย ผิดกันก็แต่เมื่อกินข้าวเสร็จอิ่มแปล้แล้ว กานต์ชนิตนั่งหน้าเหี่ยวอยู่บนเก้าอี้ มองมือตัวเองที่มีเสี้ยนจมแล้วพยายามบีบออก จากนั้นจึงเบ้หน้าด้วยความเจ็บ

วรินธรจึงนั่งบนที่นอนตรงข้ามกานต์ชนิต และดึงมืออีกฝ่ายเพื่อก้มลงดูความยากง่ายในการแงะออก นอกจากรอยไม้ฝังลึกแล้วยังมีแผลถลอกอีกหลายรอย เธอไม่ว่าอะไรแล้วล่ะ ที่กานต์จะทิ้งน้ำหนักตัวให้เธอรับจนล้มปวดหลังไม่หายถึงตอนนี้

“เอางี้ อาบน้ำก่อนดีไหม”

ใช่วันนี้มันต่าง ตรงที่วรินธรเป็นฝ่ายไล่กานต์ชนิตไปอาบน้ำ “แล้วเดี๋ยวจะได้ทำแผลทีเดียว ทั้งแผลตรง... ท้องน้อยของเธอด้วย”

กานต์ชนิตหน้าขึ้นสีพลางเสสายตาไปทางอื่น ทำให้วรินธรรู้ อ้อที่แท้ทำเงียบตลอดทางก็เพราะเหตุผลนี้หรอกเหรอ แหม เธอยังไม่ทันคิดอะไรเลยสักหน่อย ตอนนั้นก็คิดอย่างเดียวว่าจะเอาตะปูออกอย่างไร

“มันอาจจะใกล้ส่วนสำคัญไปหน่อย แต่รับรองว่าฉันไม่แอบดู”

“ไอ้พายบ้า คิดลามก” พร้อมกับมือฟาดตุ๊บบนแขนเธอ ดีที่แผลจากใบมีดหายดีแล้ว ไม่งั้นได้มีเอาคืน

“ใครกันแน่ลามก แน่ะ คิดอะไรอยู่ฉันรู้ทันนะ”

ดูเหมือนหน้าหล่อนจะแดงขึ้นได้อีก เธอจึงนึกสนุกแซวต่อ “ฉันก็มีของฉัน จะดูของเธอไปทำไมกันล่ะ”

“ยังไม่หยุดพูดอีก” มือหล่อนฟาดตุ๊บลงใหม่ คราวนี้เธอรู้ทันรีบจับไว้ทั้งสองข้าง พร้อมกับดึงตัวอีกฝ่ายไหลลงจากเก้าอี้ และคงจะหล่นลงพื้นถ้าหากว่าเธอไม่ออกแรงดึงแขนหล่อนยกให้ตัวขึ้นมาและดึงเข้าหาตัวเอง กลายเป็นว่าก้นหล่อนวางแหมะอยู่บนตักของเธอแล้วตอนนี้ ท่ามกลางความคาดไม่ถึงของทั้งคู่

วรินธรจำเป็นต้องเกร็งขารับน้ำหนักที่ไม่ใช่น้อย แต่ก็ยังออกปากแซวอย่างเป็นต่อ “อย่าหวังจะตีฉันได้ฝ่ายเดียวนะเอ้อ”

กานต์ชนิตกัดริมฝีปากล่างอย่างเจ็บใจ บิดแขนออกจากมือเธอสุดแรงจนหลุด แล้วดันกายขึ้นจะหนี วรินธรแกล้งเหนี่ยวเอวนั้นลงมานั่งใหม่ กานต์ชนิตลุกขึ้นอีกรอบ ก็โดนแรงดึงกระชากกลับไปนั่งลงแรงกว่าเดิมพร้อมกับวรินธรออกแรงกำแขนทั้งสองข้างล็อกไว้อย่าให้ดิ้นได้อีก

“เอ๊ะ ไอ้พาย เล่นอย่างนี้ใช่ไหม”

กานต์ชนิตดิ้นแรงกว่าเดิมพยายามทั้งดันทั้งปัดทั้งตี แต่มีหรือคนอย่างเธอจะปัดป้องไม่ได้ อีกทั้งยังสามารถจับแขนลื่นๆ ให้อยู่หมัด โอบรัดทั้งตัวทั้งแขนเอาไว้ได้สำเร็จ เธอจึงส่งสายตาเป็นต่อ

กานต์ชนิตเจ็บใจอยู่มาก พยายามข่มความบึ้งตึงและเปลี่ยนเป็นนิ่วหน้า ซึ่งวรินธรดูออกว่ากำลังแสดงละคร จึงยิ้มอย่างคอยดู “เจ็บ... เจ็บอ่ะพาย”

หล่อนกำลังพยายามปั้นหน้าสำออยแบบสุดๆ เธอจึงร้องตอบว่า “เหรออออ” ยาวๆ เรียกสายตาหมั่นไส้วาวขึ้นอีก

“เจ็บจริงๆ ปล่อยกันก่อนสิ นะนะ”

เวลากานต์ชนิตอ้อนมันก็น่ารักไปอีกแบบ ถึงเธอจะรู้ว่าหล่อนแกล้งก็เถอะ แต่ก็ยอมคลายวงแขนออกให้หล่อนได้หลุดพ้นครู่หนึ่ง และอย่างที่คาด สองมือนั่นเตรียมจู่โจม คราวนี้หมายหัวเธอไว้แน่ ดูท่าง้างแล้วรู้เลย วรินธรตาวาวรีบคว้าสองมือของหล่อนหมับ ใช้วิชามารการต่อสู้ที่เคยเรียนมาเอาเปรียบนิดหน่อย ด้วยการตวัดพลิกข้อมืออีกฝ่ายฝืนท่าธรรมชาติ เธอจึงสามารถกุมแขนทั้งสองข้างไว้ได้ภายในมือเดียว พลางเงยหน้ามองใบหน้าเจ็บใจยิ้มๆ

“เฮ๊ย นี่มันเอาเปรียบกันนี่”

“มันแหงอยู่แล้ว” เธอยอมรับหน้าระรื่น

“ร้ายกาจ” หล่อนเลิกทำสำออย แสดงอาการเจ็บใจอย่างเปิดเผย

“แน่ะ เวลาแบบนี้ไม่ใช่ว่าเธอจะว่าอะไรฉันก็ได้นะ เธอควรชมฉันสิถึงจะถูก เพราะฉันอาจจะใจดีปล่อยเธอไง”

กานต์ชนิตส่ายหน้า “ฝันไปเถอะ”

วรินธรครางหืมในลำคอ มือข้างที่ว่างจึงล้วงเข้าไปใต้เสื้อของหล่อนจนหล่อนสะดุ้ง

“ไอ้พาย ทำอะไรน่ะ เอ๊ะ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

เธอลอยหน้าลอยตา ทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ทำแผลไงล่ะ เอแผลอยู่ไหนน้ากานต์” มือเธอเปลี่ยนจากควานใต้เสื้อเป็นปลดกระดุมกางเกงยีนออกแทน ท่ามกลางความตกใจของเจ้าของกางเกง ร้องโวยวายและขยับหนี

“ไอ้พ๊าย ไอ้บ้า หยุดเดี๋ยวนี้ อย่านะ”

กานต์ชนิตขึงสายตาเขียวปั๊ดใส่ แล้วหน้าขาวๆ ก็ขึ้นสีแดงแปร๊ดได้ใหม่ เธอนึกสนุกแกล้งเหนี่ยวขอบกางเกงยีนต่ำลงเรื่อยๆ หล่อนจึงเลิกดิ้นเพราะรู้ว่าไม่ได้ผล เปลี่ยนเป็นเอ่ยขอร้องเธออีกหน

“ปล่อยฉันเถอะ... นะนะ”

เธอเลิกคิ้วขำๆ “ไม่เห็นจริงใจเลยกานต์” พลางค่อยๆ วางนิ้วบนเนื้ออ่อนแกล้งเหนี่ยวผ้าชั้นในสุดตามลงมาด้วยและมันคงสร้างความปั่นป่วนใจให้หล่อนไม่น้อย จึงเงียบไปและมองเธอด้วยสายตาอ้อนวอน

และคงเพราะว่าตัวเราติดกัน เธอจึงรับรู้จังหวะเต้นของหัวใจกานต์ชนิตว่าเร็วและแรงเพียงใด อีกทั้งใบหน้าเขินอายและสายตาร้องขอนั่นอีกเล่า

เธอไม่เคยคิดว่าอัตราการเต้นของหัวใจมันเหนี่ยวนำกันได้

รอยยิ้มของวรินธรค่อยๆ จางลงเมื่อรับรู้ว่าหัวใจของเธอนั้นเริ่มจะเต้นแรงขึ้นมา และกำลังโครมครามขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ นี่มันเพราะกานต์ชนิต...กำลังทำหน้าทำตาน่ารัก หรือเพราะเป็นหน้าตาของหมอหนึ่งกันแน่เธอถึงได้รู้สึกชอบใจและกำลังโดนดึงดูด

ก็มัน...ใกล้กันแค่นี้เอง ริมฝีปากนั่น... จะรู้สึกอย่างไรนะถ้าได้สัมผัสสักครั้ง อีกฝ่ายจะโต้ตอบเธออย่างไร

แม้รู้ดีว่านั่นไม่ใช่ริมฝีปากของกานต์ชนิต วรินธรกลับรู้สึกว่าที่ต้องการสัมผัสคือความรู้สึกของกานต์ชนิตต่างหาก ความรู้สึกต้องเป็นของหล่อนอย่างแน่นอน ก็สายตานั่นตอนนี้ยังฉายความประหม่าและตื่นเต้นให้เห็นเลย ดึงดูดใจจนเธอละสายตาไม่ได้ และมือที่นิ่งค้างไปสักครู่ของเธอกำลังจะทำหน้าที่ต่อโดยการดึงพันธนาการออก เพียงแต่ว่าเมื่อเลื่อนต่ำลงไปจนสัมผัสผ้าเช็ดหน้าที่ปิดแผลเธอก็รู้ตัวว่ากำลังจะทำอะไร และมันคงจะเกินเลยไปกว่านี้ถ้าเธอยังไม่เลิก

วรินธรสูดลมหายใจเรียกสติ และกะพริบตาดับมนต์นั้นเสีย ช่วยเรียกสติให้คนตรงหน้าด้วย จากนั้นปล่อยมือจากขอบกางเกงหล่อน เลิกกำมือและคลายอ้อมแขน พยายามจะหาวิธีดับความกระอักกระอวนใจด้วยรอยยิ้มขำ

“ล้อเล่นน่า”

กานต์ชนิตรีบลุกขึ้นยืนจนชนกับโต๊ะด้านหลัง สติของหล่อนคงยังไม่เข้าที่เข้าทางนักหรอก เมื่อรู้สึกตัวหล่อนจึงรีบกำกระดุมกางเกงปิดไว้แน่นราวกับกลัวเธอจะล่วงเกินอะไรอีก

“นิสัยไม่ดี แย่ที่สุด”

ทิ้งคำด่าไว้พร้อมกับรีบคว้ากระเป๋าตัวเอง เดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับปิดปังให้เธอได้แสบแก้วหู อดไม่ได้จะตะโกนตอบ

“รีบอาบน้ำเร็วๆ จะได้รีบทำแผล ฉันมีงานต้องทำต่อนะ เธอชอบทำให้เสียเวลาอยู่เรื่อย”

คำกวนเรียกเสียงตอบรับทันใด “ฉันทำเองได้ยัยบ้า ไม่ง้อเธอหรอก”

วรินธรยิ้มอย่างไม่เต็มที่นัก พลางกุมหน้าตนเอง รับรู้ความร้อนผ่าวที่เก็บกดเอาไว้เมื่อครู่ จนต้องระบายลมหายใจออกมายาวๆ เลือกจะคว้าเป้หยิบงานออกมาอ่าน เบี่ยงเบนไปจากอารมณ์ไหวๆ

...

การงานมักจะดึงดูดเธอได้เสมอ แต่ขอวงเล็บไว้หน่อยว่าใช้ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม เพราะเมื่อเธอเห็นกานต์ชนิตเดินออกจากห้องน้ำด้วยเสื้อผ้าใหม่ กลิ่นสบู่และยาสระผมจากเนื้อตัวหล่อนก็ทำลายสมาธิเธอจนกระจาย ทนทำงานต่อไม่ได้จึงต้องเป็นฝ่ายเข้าไปอาบน้ำบ้าง จะได้รู้สึกว่ากลิ่นหอมๆ นี่มันมาจากตัวเธอเองต่างหาก คงไม่มีใครรู้สึกพิศวาสกลิ่นจากตัวเองได้หรอกนะ

และกะว่าหลังจากอาบน้ำจะหันไปสนใจงานในแฟ้มต่อ แต่เมื่อเธอเดินออกมาพบอีกฝ่ายนั่งพยายามแงะเสี้ยนออกจากฝ่ามือ เธอก็ทนไม่ได้จะเดินเข้าไปใกล้และนั่งลงข้างหล่อน ซึ่งแทบจะกระโดดหนีทันที

“เดี๋ยวฉันช่วย” “เดี๋ยวฉันทำเอง”

คำโต้กลับแทบจะทันทีก็ว่าได้ พร้อมกับกำเข็มแน่นราวกับกลัวเธอจะแย่ง

วรินธรยิ้มอย่างเพลียใจ แบมือขอเข็มดีๆ ซึ่งหล่อนส่งสายตาขวางใส่

“ให้ฉันทำให้ดีกว่าไหม”

กานต์ชนิตส่ายหน้า “ไม่รบกวนหรอก เธอจะทำงานก็รีบไปทำสิ”

แน่ะ ยังรู้อีกว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร ก็เพราะอย่างนี้หล่อนถึงได้พิเศษกว่าคนอื่น

“ให้ฉันช่วยเถอะ ฉันแค่จะช่วยบ่งเสี้ยน ไม่ทำอะไรเธอหรอก”

“ใครจะไปเชื่อ”

“เอาน่า ฉันไม่แกล้งเธอแล้ว” เธอส่งสายตาจริงใจสุดๆ

กานต์ชนิตชั่งใจอยู่พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจก้าวลงจากเตียงเตรียมหนี ทำเอาคนคอยครางฮึม ยืดตัวคว้าแขนหล่อนหมับ หล่อนก็สะดุ้งขืนตัวทันใดเหมือนกัน ไม่อยากแสดงความคุกคามอย่างนี้เลย ให้ตายสิ

“กานต์ จะส่งเข็มมาดีๆ หรือเปล่า”

กานต์ชนิตอ้าปากจะปฏิเสธ เธอจึงดักคอ “คิดให้ดีๆ ก่อนตอบ”

เท่านั้น หล่อนจึงรูดซิปปากและมองเธอด้วยสายตาเคือง นี่คงโกรธจริงซะแล้วสิ เฮ้อ ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังพยายามดึงเข็มออกจากมือที่กำไว้ของหล่อนจนได้ พลางแบมือหล่อนวางไว้บนตักของตัวเอง หันแสงโคมไฟที่หัวเตียงเข้าหา และค่อยๆ แซะเศษไม้ออก

อันตื้นๆ นั้นทำง่าย ใช้เวลาไม่นานเธอก็คีบเศษไม้ออกได้หลายชิ้น เหลืออันที่ตำลึก เธอจึงเอ่ยบอกคนตรงหน้า

“อันนี้เจ็บหน่อยนะ”

กานต์ชนิตนั่งขมวดคิ้วมองอย่างเงียบๆ หล่อนพยักหน้าตอบ เธอจึงค่อยๆ ปักปลายเข็มข้างเศษไม้ลงลึกจนอีกฝ่ายชักมือหนี ซึ่งเธอบีบข้อมือข้างนั้นยึดไว้ทันพอดี จึงพยายามเบามือ ค่อยๆ ปักเข็มลึกลงไปใหม่เพื่อหาทางงัดเศษไม้จากด้านล่างขึ้นมาทีละนิดๆ ท่ามกลางการกัดฟันแน่นของกานต์ชนิต เธอเงยหน้ามองและยิ้ม ก้มลงเป่าให้เบาๆ พลางบ่งเศษไม้ออกให้ต่อ ทำเช่นนั้นจนกระทั่งหมดทุกชิ้น

จากนั้นเช็ดล้างแผลให้ และทายาเป็นอันเสร็จสิ้น

สายตาของกานต์ชนิตมองเธอตอนนี้จึงค่อยดีขึ้น ไม่เห็นร่องรอยความโกรธอีกต่อไป ใบหน้าหล่อนอมชมพูนิดๆ คงจะเพราะแสงจากโคมไฟส่อง

“แล้วไงต่อ” เธอถาม

กานต์ชนิตหลบตาชักมือกลับ แต่เธอยึดมือหล่อนไว้ไม่ปล่อย ทำไมน่ะเหรอ ก็เธอชอบจะนั่งใกล้หล่อนอยู่แบบนี้ ชอบจะจับเนื้อต้องตัวหล่อนส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้

“ฉันก็จะนอนแล้ว มันดึกแล้ว หรือเธอจะไปทำงานก็เรื่องของเธอ”

เท่านั้นเธอจึงนึกได้ว่าต้องทำงาน แต่แหม รู้สึกอยากแกล้งหล่อนขึ้นมาอีกแล้วสิ

“ไหนล่ะคำขอบคุณ นี่อุตส่าห์เสียเวลาทำให้เป็นชั่วโมง”

กานต์ชนิตร้องหึ ย้อนกลับมาว่า “ไหนล่ะคำขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อกี้”

วรินธรอึ้ง คำย้อนธรรมดาแต่สายตากล่าวโทษทำให้รู้สึกจุกไปไม่น้อย จะมีสักกี่คนนะที่ต่อว่าเธอแล้วรู้สึกจุกได้ เธอกลอกสายตามองซ้ายขวาบนล่าง ก่อนจะยิ้มกวน

“งั้นฉันไม่เอาก็ได้ คำขอบคุณ”

เรื่องอะไรจะขอโทษล่ะ ไม่มีทางหรอก

กานต์ชนิตขมวดคิ้ว “งั้นก็ปล่อยมือฉันแล้วไปทำงานซะ”

“ไปก็ได้” สีหน้ากานต์ชนิตดีใจวูบหนึ่ง ชวนทำให้เธอหรี่สายตามอง แกล้งยังไม่ปล่อยมือหล่อนเป็นอิสระ “อะไรล่ะ ไปทำงานสิ”

“ทำไมวันนี้เธอไม่ท้วงว่าฉันทำงานดึกแล้วล่ะ”

“มันเรื่องของฉัน”

วรินธรส่ายหน้า แม้รู้สึกอยากทำอะไรสักอย่างต่อ แต่เปลี่ยนใจไม่เอาดีกว่า เธอยังไม่อยากรับมือผลการกระทำของตัวเองต่อจากนั้น จึงปล่อยอีกฝ่ายพลางหันกลับมาเปิดเอกสาร ตั้งสมาธิกับงานและเลิกสนใจอีกคนให้ได้ จึงกดโทรศัพท์คุยกับลูกน้องคนสำคัญเพื่อสั่งการงานด่วนที่มันต้องการให้เธอรีบทำ

สำนักกฎหมายเล็กๆ ที่เธอกำลังดูแลอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทอีเว้นท์ดีเทคทีฟ หรือเรียกให้สวยหรูว่าแผนกรวบรวมหลักฐาน อีเว้นท์มีสำนักงานใหญ่หรือเมนออฟฟิศอยู่ที่หนึ่ง ผู้ประจำการคือสายพานหรือบอส และมีสำนักงานย่อยอีกห้าแผนก แผนกไอทีของยางโทน แผนกงานคดีของเจฟ แผนกบัญชีของจิงจ้อและแผนกสืบสวนของสนฉัตร

แผนกเหล่านั้นก็ตั้งให้หรูเพื่อจดทะเบียนเท่านั้นแหละ เพราะเมื่อทำงานจริงบอสจะเป็นคนวางแผน รับงานจ่ายงานและประสานงานให้อยู่ดี

เธอสนทนากับลูกน้องปลายสายเป็นการเป็นงานครู่หนึ่ง ก็เริ่มได้ยินเสียงประหลาดบางอย่างทำให้หันไปมองหน้ากานต์ชนิตที่เอนหลังนอนแล้วแต่ตายังไม่หลับ สบตาเธออย่างสงสัยเช่นกัน

“จัดการไปตามนั้น เท่านี้ก่อน ฉันเริ่มไม่สะดวก”

เมื่อวางสายเสร็จเธอจึงขมวดคิ้วฟังต่อ

เธอเกือบลืมไปว่าที่นี่เป็นรีสอร์ทหนีเมียเที่ยว เมื่อคืนนั้นเงียบสงบดี แต่สำหรับคืนนี้มันไม่ใช่ และเริ่มจะมีเสียงอึกทึกคึกโครมอย่างที่ควรจะมี แต่แหม เลือกช่วงเวลามีได้ดีเกินไปไหม ทำไมต้องวันนี้ล่ะ

กานต์ชนิตฟังไปชั่วครู่ก็คงจะรู้ว่ามันคือเสียงอะไร ใบหน้าจึงมุดงุดซุกใต้ผ้าห่มไปเกือบครึ่ง และหันหลังให้เธอทันที เธอได้แต่นั่งเกาหัวแกรกๆ ลุกไปแปรงฟันรอจนกระทั่งเสียงนั้นเงียบลง จึงปิดไฟครบทุกดวงและกระโดดขึ้นเตียง ควรหลับอิตอนมันพักยกกันเนี่ยแหละ

“ราตรีสวัสดิ์กานต์”

พร้อมกับมุดลงใต้ผ้าห่มเช่นกัน แขนเธอชนกับแขนของกานต์ชนิตเพราะความแคบของเตียง รู้สึกว่าอีกฝ่ายชักกลับทันทีราวกับเจอของร้อนและรีบเปลี่ยนท่าขยับหนี เธอจึงหันมอง

“นี่กานต์ จะตกเตียงอยู่แล้ว ขยับมากลางๆ ก็ได้”

กานต์ชนิตเงียบทั้งยังตะแคงตัวหันหลังให้ ...เอ้าตามใจ...

เธอจึงทิ้งตัวลงนอนต่อ กานต์ชนิตขยับตัวหนีเธอทำให้ผ้าห่มเกิดช่องโหว่จนอากาศเย็นพัดเข้ามา แต่ก็ช่างเถอะ เธอไม่อยากอยู่ชิดตัวหล่อนเหมือนกัน กลัวอารมณ์ตัวเอง นอนอย่างนี้ล่ะดีแล้ว

เงียบไปชั่วอึดใจ ห้องข้างๆ ส่งเสียงกระหนุงกระหนิงชวนกันให้เล่นจ้ำจี้กันต่อ

“พี่ก็... ไม่เอาน่า”

“เอาหน่อยนะจ๊ะ”

“ไม่เอา บ้า...อื้มๆ” เธอรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“โอ้ว โอ้ว โอ้ว ซู้ดดด ซี้ดดด อู้ยยย...”

และเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากเตียงโดนขย่มเป็นจังหวะเดียวกัน วรินธรขมวดคิ้วพยายามไม่จินตนาการตามพลางอดทนรับฟังเสียงกระเส่า

“ทนอีกหน่อยนะน้อง...”

“ฮู้ววว.. โฮ้ววว...” ฝ่ายหญิงก็เป็นลูกคู่รับกันดีเหลือเกิน “ฮ๊าย ฮ๊าย เร็วๆ ค่ะพี่”

“ใกล้แล้ว ซี้ดดด ซี้ดดด... โอวว จะเสร็จ จะเสร็จ...”

โว๊ย ใครจะเสร็จไม่เสร็จไม่ทราบ เธอคงทนฟังอีกไม่ไหว แต่ก่อนเธอจะลุกขึ้น กานต์ชนิตเป็นฝ่ายหมดความอดทนก่อน ตวัดผ้าห่มพ้นตัวพร้อมกับลุกพรวด เธอหันมองขวับอย่างตกใจ นี่คงไม่ใช่ว่าเกิดอารมณ์อยากเผด็จศึกเธอหรอกนะกานต์...เป็นไปไม่ได้หรอก กานต์ชนิตดูไร้ประสบการณ์ ต้องไม่รู้วิธีการแน่ๆ

สายตาของกานต์ชนิตหงุดหงิดขุ่นขวาง มองเธอเหมือนกล่าวหา

“เฮ๊ยอะไร ฉันไม่ได้เป็นคนทำเสียงสักหน่อย” เธอรีบแก้ตัวก่อนจะโดนว่า หล่อนแยกเขี้ยวใส่ไม่ได้ดิ่งเข้ามาปล้ำเธออย่างที่นึกกลัว กลับลุกขึ้นตรงไปยังตู้เย็น ควานหาขวดน้ำดื่ม ท่ามกลางเสียงโอ๊วอ๊าวของคนจะเสร็จไม่เสร็จแหล่

วรินธรจึงลุกขึ้นบ้าง คงต้องเปิดเสียงกลบสักหน่อย จึงเดินไปหารีโมทที่วางอยู่บนหลังตู้เย็น เป็นจังหวะเดียวกับที่กานต์ชนิตปิดตู้เย็นและหันหลังกลับมาชนเธอจนชะงัก ตาสบตาใกล้แค่ช่วงคืบและเหมือนมีเส้นเชือกล่องหนโยงตรึงเราสองคนให้มองกันอยู่เช่นนั้น

มันคงจะชนกันอย่างปกติถ้าไม่มีบรรยากาศโอ๊วอ๊าวอย่างตอนนี้ วรินธรบอกตัวเองว่าอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะเธอกำลังถอนสายตาจากหล่อนไม่ได้ และเธอกำลังอยากย่นระยะห่างจนสัมผัสไออุ่นของลมหายใจของอีกคน จนกระทั่งขวดน้ำในมือกานต์ชนิตหลุดตกบนหลังเท้าของเธอ เส้นเชือกจึงได้ขาดผึงเพราะความเจ็บที่แผ่ซ่าน

“โฮ้ววว” เธอว่าเธอชักจะครางเหมือนห้องข้างๆ แล้วนะ

กานต์ชนิตตาโตตกใจ รีบก้มลงดู “ฉันขอโทษ พายเจ็บไหม”

“ยังมีหน้ามาถามอีก อู้ย ทิ้งขวดลงมาทำไม” เธอนั่งลงและลูบเท้าตัวเองป้อยๆ และได้เห็นรอยยิ้มของหล่อนใกล้ๆ เธอจึงส่งสายตาขุ่นใส่

“ยิ้มสมน้ำหน้ากันเหรอ”

หล่อนสบตาก่อนจะขำเล็กๆ และตอบ “ใช่ที่ไหนล่ะ เธอนี่ก็ ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันหลุดมือเอง”

วรินธรมองรอยยิ้มนั้นอย่างรู้ทัน และเธอจึงค่อยๆ ยิ้มโล่งใจออกมาบ้าง อย่างน้อยเจ้าขวดนี่ก็ช่วยเธอทั้งคู่เอาไว้ ไม่อย่างนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“คิดซะว่าบรรยากาศเหมือนกำลังดูหนังโป๊ก็แล้วกัน” เธอปลอบใจ

“นี่ไม่เรียกหนังโป๊แล้ว นี่เรียกหนังสด” กานต์ชนิตแย้งหน้าตาย

วรินธรหัวเราะคิก “เคยดูด้วยเหรอเธอน่ะ”

“ยัยบ้า”

คำด่ายามดึกสร้างความสุขใจเล็กๆ ให้เธอ เธอคิดว่าเธอพิลึกขึ้นทุกวันก็เพราะกานต์ชนิตเป็นต้นเหตุ “นอนเถอะเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อ อย่าไปสนใจคนอื่นเลย เดี๋ยวพอเสร็จเขาก็หยุดกันเอง”

“อะไรเสร็จไม่ทราบ”

“นี่ถามแก้เขินหรือถามเพราะอยากรู้จริงๆ ล่ะ จะได้อธิบาย” วรินธรทำหน้าตาเมตตาอยากมอบความรู้ให้นักเรียน ซึ่งนักเรียนไม่ตอบรีบหยิบรีโมทกด

“เปิดทีวีดีกว่า เธอจะนอนก็นอนไป”

วรินธรขำ เดินกลับไปเอนตัวลงนอน แอบเห็นกานต์นั่งไปแทบตกเตียงก็ยิ่งฮา รายการทีวีเกี่ยวกับการเกษตรช่วยกลบเสียงเหล่านั้นได้เหมือนกัน ทำให้อารมณ์ของเธอเองคูลดาวน์ลงด้วย บอกตามตรงเสียงพวกนั้นทำให้เธอปั่นป่วน ถ้าอยู่คนเดียวคงไม่รู้สึกอะไรนอกจากรำคาญ สำคัญที่มีคู่กรณีอยู่ด้วยนี่สิมันเลยควบคุมอารมณ์ยาก

ตอนนี้ตาเธอแจ้งยิ่งกว่าไฟฉายแอลอีดี...ไลท์อิมิตติ้งไดโอด เหลือบมองกานต์ชนิตก็คงไม่ต่างกันนัก

“พรุ่งนี้ ฉันจะพาเธอกลับไปบ้านของฉัน”

“หืม”

“นอกจากหลวงตาแล้ว ก็มีพ่อของฉันที่น่าจะให้คำแนะนำได้”

กานต์ชนิตเงียบไป และสบตาเธอ อ่านใจใครต่อใครมากมาย เธอไม่เคยรู้สึกดีเท่าตอนนี้

หรือเพราะเธอกำลังมองเห็นความเป็นห่วงเป็นใยจากดวงตาของหล่อนกันหนอ

“เรา...อย่าเสี่ยงดีไหมพาย แค่นี้มันก็มากพอแล้ว”

มันคือความเป็นห่วงระหว่างเพื่อนมนุษย์พึงรู้สึกหวังดีต่อกัน ไม่ใช่ห่วงแบบชู้สาวที่จะต้องคาดหวังผล ถึงได้รู้สึกบริสุทธิ์ผุดผ่องและชุ่มชื้นใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ใครกันเป็นบอกว่าอันไหนมากอันไหนน้อย” เธอยังต่อปากต่อคำอยากชวนให้หล่อนเลิกวิตก แต่คราวนี้ไม่ง่ายนัก สายตาที่จ้องมายังกังวลเต็มเปี่ยม

“ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่เธอเข้ามาในร่างของหมอหนึ่ง ใจเธอเล็กเป็นปลาซิว” คำวิจารณ์เรียกสีหน้าเหนื่อยของคนฟัง นิ่งไปนิดก็เอ่ยแจกแจงความรู้สึก

“ฉันแค่รู้สึกไม่มั่นใจ เพราะเมื่อก่อนฉันเป็นวิญญาณ ไม่มีอะไรทำร้ายฉันได้ ฉันไม่รู้สึกกลัว แต่ตอนนี้ฉันมีร่างกาย ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว”

“เลยรู้สึกกลัวงั้นสิ”

กานต์ชนิตลังเล แต่สักครู่ก็ยอมรับด้วยการพยักหน้า

วรินธรอมยิ้ม ถึงตอนนี้เธอตอบได้แล้วว่าทำไมครั้งแรกที่เจอกานต์ชนิตถึงได้รู้สึกสงบใจนัก หล่อนเป็นคนไร้พิษภัย จริงใจต่อตัวเองและจริงใจต่อคนรอบข้าง และแน่นอนไม่ปากอย่างใจอย่างแบบเธอด้วย

“จะกลัวอะไร มีฉันอยู่ทั้งคน”

พูดไปแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าถ้อยคำนั้นมันหวาน เธอจึงเสสายตาไปทางอื่น มองท้องฟ้าสีมืดนอกหน้าต่างไปเสีย ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ซึ้งใจกับถ้อยคำนั่น หล่อนต่อคำว่า

“ก็เพราะมีเธอนั่นแหละ ถึงได้มีแต่อันตรายวิ่งเข้าหา”

วรินธรหัวเราะเบาๆ ดีเหมือนกันที่หล่อนไม่ใช่คนคิดอะไรมาก เพราะไม่อย่างนั้นเธอจะทำหน้าไม่ถูก กลัวจะโดนล่วงรู้ถึงสิ่งที่คิดไว้ในใจ วรินธรเอนตัวนอนพลางหลับตา

“งั้นเธอก็เป็นตัวอันตรายด้วยเหมือนกัน ถึงได้ป้วนเปี้ยนอยู่กับฉันเนี่ย”

...เป็นตัวอันตรายที่สุด...

กานต์ชนิตเบนสายตามองคนหลับ พลางลูบใบหน้าร้อนๆ ของตน รีบปัดความรู้สึกประหลาดไปเสีย ก่อนจะเอนตัวนอนหลับบ้างอย่างไม่ต้องการคิดอะไรมาก

...

กานต์ชนิตเม้มปากอย่างอับอายรับฟังเสียงหัวเราะขำขันของคนบนเตียงแต่เช้าตรู่ ซึ่งบัดนี้ชะโงกหน้ามองเธอ

“ลงไปนอนอะไรตรงนั้นล่ะกานต์ อย่าบอกว่ากลัวฉันปล้ำจนต้องกลิ้งไปนอนกับพื้น”

“ใช่ที่ไหน เมื่อคืนฉันร้อน นอนบนพื้นมันเย็นกว่าต่างหาก” คำแก้ต่างที่ไม่ขึ้นที่สุดจนหล่อนหัวเราะต่อ กานต์ชนิตหมั่นไส้จึงลุกขึ้นยืนและคว้างหมอนใส่หล่อน

“แหม หัวเราะนิดหัวเราะหน่อยก็ไม่ได้”

“ไม่ได้” เธอโต้พร้อมโยนหมอนอีกใบใส่อีก คราวนี้อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งตัวจึงโดนหน้าเต็มๆ

“โอ๊ย ลองดีกันใช่ไหมหะกานต์”

จากนั้นร่างเอกเขนกบนเตียงก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกระโดดเข้าหาเธอจนเธอรีบหันหลังวิ่งหนี ทำให้อีกฝ่ายคว้าลมเปล่า เธอจึงหันไปปลิ้นตาใส่

แสงแดดยามเช้าจับส่องใบหน้าหล่อนเห็นแววตาสว่างวาววับ แยกเขี้ยวบอกอาการอยากเอาคืน

“ถ้าวันนี้ไม่เห็นว่ารีบล่ะก็ เธอเสร็จฉันแน่”

เธอหัวเราะเหลือบมองประตูห้องน้ำข้างตัว คงเพราะเช้านี้อากาศดีเธอจึงอยากยั่วหล่อนบ้าง

“เธอจะทำอะไรฉันได้ยัยบ้า”

“นี่ท้าเหรอ อุตส่าห์ว่าจะไม่แล้วเชียว หาเรื่องเองนะ”

ว่าแล้ววรินธรกระโจนเข้าใส่ เธอน่ะระวังไว้ก่อนแล้ว มุดตัวเข้าห้องน้ำพร้อมกับปิดประตูปัง กดล็อกกริ๊กแล้วหัวเราะอย่างสะใจ

“เธอทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ยัยพาย”

แว่วเสียงฮึ่มๆ ของคนด้านนอกทำให้เธอยิ้ม เห็นเงาสะท้อนตนเองในกระจก ช่างเป็นรอยยิ้มที่แสนสดใสบนใบหน้าของอินทนิล ใช่ล่ะเธอเคยเห็นอินทนิลยิ้มแบบนี้มาก่อน เวลาจ้องมองไปยังพี่หมอรส...

แล้วเธอล่ะ ที่ยิ้มได้แบบนี้ เพราะกำลังจ้องมองวรินธรหรือเปล่า

เอ้อ... พอคิดอย่างนี้ เธอไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

กานต์ชนิตรีบกวักน้ำล้างหน้าแปรงฟันและเช็ดหน้าเร็วๆ พยายามไม่มองรอยแดงที่สองแก้ม เพราะกำลังนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืนอย่างฉุดความคิดไม่อยู่

ลมหายใจร้อนๆ ของวรินธรมีผลต่อเธอไม่ว่าในร่างของเธอเองหรือร่างนี้ เพียงแต่ว่ามันต่างกันนิดหนึ่ง

ต่างกันตรงไหนใจเธอรู้ดี...ลมหายใจที่รดไหล่เมื่อคืนเวลาหล่อนหลับและเผลอเอนหน้าเข้าหาเธอ ทำให้ใจของเธอไม่นิ่ง แม้จะทำสมาธิสักเท่าใดก็ไม่สามารถบังคับใจให้เต้นช้าลงได้ และนั่นแหละสาเหตุที่เธอต้องระเห็จตัวเองลงมานอนบนพื้น

เสียงก๊อกแก๊กบริเวณประตูทำให้หันมอง ลูกบิดขยับซ้ายขวาเล็กน้อย ก่อนเธอจะประมวลผลได้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ประตูห้องน้ำก็เปิดผัวะ พร้อมกับร่างสูงเพรียวและหน้าตาบอกชัยชนะของวรินธรปรากฏ

เธอกระโดดถอยหลังร้องเฮ๊ยอย่างตระหนก ลืมไปว่ายัยพายเป็นโจร ประตูแค่นี้หล่อนปลดล็อกได้สบาย

“เสร็จฉันแน่ยัยบ้า” แน่ะ ยังมีหน้ามาว่าเธออีก

กานต์ชนิตเถียง “เธอสิบ้า ตามเข้ามาในห้องน้ำได้ไง ไร้มารยาท”

อีกฝ่ายหัวเราะหึ “ก็เพราะเธอยั่วฉันไว้น่ะสิ”

วรินธรปราดเข้าประชิดตัวกานต์ คว้าแขนเธอหมับ เธอเองก็ทำตัวลื่นดิ้นหลุดทันทีเหมือนกัน และกระโจนเข้าอ่างอาบน้ำให้หลุดพ้นจากแขนยาวๆ ที่ยื่นหมายคว้าตัวเธอให้ได้ แล้วสงครามย่อยๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อเธอตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีไปรอบห้องน้ำแคบๆ และอีกคนก็วิ่งตามจับให้ได้ ท่ามกลางขวดครีมอาบน้ำ ยาสระผม ปลิวว่อน

เธอได้ยินเสียงโวยวายจากคนด้านหลังที่ถูกโยนข้าวของใส่ เธอเกือบก้าวถึงประตูแล้วเชียว แต่มือไวก็ยื่นคว้าเอวดึงกลับไปจนได้

“คิดว่าโยนของใส่แล้วจะหยุดฉันได้เหรอห๊ะ”

กานต์ชนิตหัวเราะกับน้ำเสียงขู่แต่ก็เหนื่อยหอบจากคนวิ่งไล่ เบนหน้ากลับไปเห็นครีมเยิ้มบนหัวหล่อนก็ยิ่งขำ

วรินธรเหล่ตามองพลันยิ้มเจ้าเล่ห์ ขณะนั้นเองเธอเห็นมืออีกข้างของหล่อนถือขวดครีมอาบน้ำไว้ รู้ทันทีว่าจะโดนอะไร ระบบศอกอัตโนมัติจึงกระแทกกลับไปยังท้องหล่อน ซึ่งหล่อนก็ไวพอจะงอตัวหลบ เป็นโอกาสให้กานต์ชนิตง้างเท้าถีบใส่อีกหนเป็นท่าไม้ตาย แต่เหมือนว่าวรินธรจะรู้ทันเธอ หล่อนแยกเขี้ยวยกขาขึ้นกันขาเธอไว้รวดเร็ว

กานต์ชนิตอ้าปากค้าง นี่หล่อนชักจะโต้ตอบเธอเก่งเกินไปแล้วนะ

เมื่อทุกท่าไม่ได้ผล เธอจึงหันหลัง เผ่นดีกว่า

วรินธรโยนของในมือทิ้ง ยื่นสองมือดึงเอวเธอกระชากกลับไปอย่างแรง เธอจึงดิ้นหนี

“ปล่อย! อยากโดนอีกศอกหรือไงพาย ฮึ หรือจะเอา”

“หน็อย ยังจะปากดี เธอทำอะไรฉันไม่ได้แล้วตอนนี้ ดิ้นไปเถอะเดี๋ยวก็หมดแรง”

“เธอก็หมดแรงเหมือนกันนั่นแหละ”

“ก็ลองดูซี” วรินธรท้าทาย ยิ่งทำให้เธอดิ้นหนี คว้าวงกบประตูได้ก็เหนี่ยวสุดกำลังเพื่อจะออก ฝ่ายหลังเอาขาเกี่ยวชักโครกช่วยรั้งเอวกลับหลัง เธอก็อดไม่ได้ที่จะขำ “ไอ้พายเดี๋ยวฝารองชักโครกก็หลุดออกมาหรอก”

“ไม่เป็นไรฉันมีตังจ่าย”

“โอ๊ย ปล่อยฉันยัยบ้า”

เสียงหัวเราะแห่งความดื้อดึงดังขึ้นด้านหลัง ยังคงเหนี่ยวเอวเธอแน่นจนเธอชักจะเหนื่อยและกำลังจะหมดแรงอย่างที่หล่อนว่านั่นแหละ

ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกของตัวเองและเสียงหายใจหอบของหล่อน

“ตานี้เสมอก็ได้” เธอพูดอย่างไม่ยอมแพ้ แว่วเสียงฮึตอบรับ

“ไม่เสมอ ตานี้เธอแพ้”

ว่าแล้วเชียว ยัยบ้านี่เคยยอมใครซะที่ไหน

“ไหนใครว่ารีบ” เธอหาข้ออ้างต่อ เมื่อเริ่มรู้สึกถึงความอุ่นจากร่างกายด้านหลัง จะว่าไปตอนนี้เธอเหมือนกำลังโดนกอดทั้งตัว มันจะชิดจะใกล้มากไปไหม ใช่ล่ะมันใกล้กันมากถึงขนาดที่เวลาหล่อนพูด เธอได้ยินเสียงหล่อนอยู่ข้างหู

“ก็เพราะเธอนั่นแหละทำให้ช้า”

กานต์ชนิตหันกลับไป จริงดังคาด ใบหน้าหล่อนอยู่ใกล้แค่นี้เอง แทบจะเห็นลวดลายของม่านตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบเหลืองวาวๆ และลมหายใจเข้าออกถี่ๆ ของหล่อน ที่พ่นรดแก้มของเธอ

ตายล่ะ... แล้วทีนี้เธอจะทำยังไง แล้วจะอะไร อย่างไหนต่อ ที่ไหน? เมื่อไหร่? อย่างไร? What? Where? When? Who? Quell? Qui? Où? Pourqoui? เยอะไปแล้ว

ในสมองเธอมีแต่เครื่องหมายคำถาม เป็นคำถามของความอยากรู้อยากเห็น เธอไม่อยากให้ความอยากรู้อยากเห็นเกิดขึ้นในตอนนี้เลย แต่ก็อยากรู้ว่าแล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อ

“รู้รึเปล่า ว่าทำร้ายร่างกายคนอื่นจะต้องได้รับการลงโทษ”

นี่วรินธรพูดอะไร ไม่เห็นจะเข้ากันเลย แล้วเธอก็ดันส่ายหน้ากลับอย่างไม่ยอมรับ “ไม่รู้ ฉันไม่ผิด”

อ้อมแขนอุ่นๆ กอดกระชับเอวเธอแน่นขึ้น พร้อมกับใบหน้าของวรินธรชะโงกข้ามไหล่มาใกล้ และหล่อนกำลังยิ้มเล็กๆ ไม่ใช่ยิ้มเพียงแค่มุมปากเสียด้วย หล่อนกำลังยิ้มทั้งดวงตา เป็นยิ้มแบบที่ทำให้ใจเธอเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอกำลังโดนร่ายมนต์แน่ๆ

ยัยพายวรินธรกำลังปล่อยฟีโรโมนใส่เธอให้ชอบเพศเดียวกัน

ลมหายใจจากปลายจมูกนั่นกำลังหยอกล้อเธอ เธอน่าจะรังเกียจที่หล่อนไม่ได้แปรงฟันตอนเช้าสิ แต่ก็เปล่า...เธอรู้สึกห่างไกลกับคำว่ารังเกียจอยู่มาก ถ้าหากเป็นไปได้ เธอก็อยากจะ...

เสียงประตูก๊อกแก๊กหน้าห้องทำให้เราทั้งคู่หยุดสบตากัน

มนต์เหล่านั้นหายไปแล้ว มีแต่ความหวาดระแวงเข้ามาแทนที่ เธออ่านสายตาวรินธรได้ไม่ยากและรู้ดีว่าใครบางคนที่อยู่ข้างนอกนั้นกำลังบุกรุกห้องของเรา เพราะไม่นานประตูก็โดนเปิดกระชากออกดังปัง

วรินธรคลายอ้อมแขนพลางก้าวบังหน้าเธอไว้ทันที พร้อมกับร่างบึกๆ ในชุดซาฟารีสองคนปรากฏบริเวณปากประตูห้องน้ำ

“เจอแล้วครับคุณรส”




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเอ็ด Don’t Take The Girl(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:31:47 »
(ต่อ)

รสสุคนธ์พาพวกมาไวกว่าที่คิด เพราะเธอแท้ๆ ที่มัวแต่เล่น หรือเมื่อวานเธอมัวแต่เถลไถลแท้ๆ ทำให้วันนี้พวกเขาตามเราทัน กานต์ชนิตได้แต่เบนสายตากังวลมองวรินธร หล่อนเองก็กังวลเช่นกันและคงยังนึกหนทางแก้ปัญหาไม่ออก มีก็แต่มือที่ยื่นกุมมือเธอเอาไว้พลางบีบแน่นเท่านั้นที่เป็นสิ่งบอกว่า หล่อนจะไม่ไปไหน หล่อนจะไม่ยอมให้เธอไปไหนเช่นกัน

...จะกลัวอะไร มีฉันอยู่ทั้งคน...

กานต์ชนิตกระชับมือบีบตอบ ข้างในลึกๆ ยังกังวลว่าแล้วถ้าหากว่าเกิดเหตุให้หล่อนไม่สามารถอยู่กับเธอได้ล่ะ ถ้าหากเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นถ้าเราต่อต้านพวกเขา...

เสียงฝีเท้าด้านนอกทำให้เธอจินตนาการออกว่ารสสุคนธ์คงพาพวกมาไม่น้อย

รสสุคนธ์ปรากฏขึ้นหลังกรอบประตู ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดคิ้วขมวด ยิ่งได้เห็นวรินธรยืนกันท่าด้านหน้า รสสุคนธ์ยิ่งชักสีหน้าไม่พอใจ เธอไม่ชอบอารมณ์โมโหแบบนี้เลย คนเราจะทำอะไรไม่ยั้งคิดก็ต่อเมื่อขาดสติ

“เจอกันจนได้สักทีนะ” รสสุคนธ์พูดเหมือนโล่งอก แต่หน้าตาเหมือนแมวเจอหนูจนตรอก

วรินธรกระตุกยิ้มกลับ “อืม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน หมอสบายดีรึเปล่าคะ”

รสสุคนธ์กระตุกริมฝีปาก คงทนเล่นละครไม่ได้ คำพูดที่ชวนหมั่นไส้ยิ่งสร้างความไม่พอใจ หล่อนจึงไม่เสียเวลาสนทนากับวรินธรอีก หันบอกลูกน้องให้เชิญตัวอินทนิลมานี่ แล้วเอาก้างขวางทางออกไป

ฉับพลันทันที ลูกน้องสี่คนก็กรูเข้ามาในห้องน้ำ อาการตั้งรับของวรินธรทำให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ปิดบังความสามารถของตนเองอีกต่อไป เมื่อฝ่ายนั้นยื่นมือกระชากแขนเธอ วรินธรจึงสับสันมือใส่ข้อมือของเขาจนร้องโอ๊ย ชายอีกสามคนระวังตัวขึ้นมาทันที จากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น

วรินธรมีเพียงมือเปล่า และกำลังโดนต้อนให้จนมุมไร้ทางหนี หล่อนไม่มีกระเป๋าบรรจุอุปกรณ์พิสดาร หล่อนมีแค่สมองและกำลัง และหล่อนมีชีวิตที่ควรถนอมรักษาเก็บไว้...

กานต์ชนิตพยายามเก็บขวดครีมขว้างใส่พวกเขาเพราะไม่ต้องการให้ใครเข้ามาจับตัวเธอได้ พยายามก้าวเข้าไปช่วยเหลือวรินธรซึ่งกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะกำลังน้อยกว่า ไม่มีแล้วล่ะคำว่าสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรี พวกเขาใช้กำลังอย่างเต็มที่และขณะนี้กำลังล็อกคอหล่อนพลางออกหมัดใส่ท้องอย่างแรงจนหล่อนงอตัวด้วยความเจ็บ เธอจึงรีบก้าวเข้าไปขวาง

“ห้ามทำอะไรเธอนะ!”

ชายสี่คนชะงักทันใด กานต์ชนิตมองรสสุคนธ์ด้วยแววตาโกรธเคือง แววตาของหมอรสที่สบกลับมานั้นแม้จะโกรธไม่ต่างกัน แต่เธอยังเห็นความเจ็บใจและเสียใจด้วย

ใครผิดใครถูกกันล่ะ... เธอไม่รู้หรอก แต่เธอทนไม่ได้ที่เห็นพายต้องเอาชีวิตมาทิ้งอย่างนี้

“จะกลับไปกับพี่ดีๆ ได้แล้วใช่ไหม” รสสุคนธ์ถามเรียบๆ ซึ่งเธอลังเล หันมองรอยแดงข้างแก้มของวรินธรที่คงจะขึ้นสีม่วงในไม่ช้านี้ก็ขมวดคิ้ว ดวงตาของวรินธรกร้าวขวาง ใช่ล่ะหล่อนไม่ยอมแพ้ หล่อนไม่เคยยอมแพ้แม้จะใกล้ตาย

กานต์ชนิตใช้เวลาไม่นานที่จะพยักหน้าตอบ ลุกขึ้นยืนพลางก้มมองวรินธรที่ยังทรุดอยู่ข้างอ่างล้างหน้า

วรินธรกำลังขมวดคิ้วใส่เธอ ส่งแววตาดุเป็นการปรามสิ่งที่เธอจะทำ แต่เธอตัดสินใจแล้ว คนที่ขาดสติใช่เพียงแต่หมอรสคนเดียว พายเองก็เช่นกัน พายจะรู้ตัวเองหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรไม่ยั้งคิด และกำลังวอนตายโดยไม่รู้ตัว

กานต์ชนิตเบนหน้ากลับพลางก้าวออกจากห้องน้ำ มีมือของวรินธรดึงแขนเธอรั้งไว้

“อย่าไป” คำพูดขอร้องง่ายๆ ทำให้ใจของเธอไหวๆ เพราะวรินธรไม่เคยพูดขอร้อง แค่ขอโทษยังไม่ค่อยจะได้ยินเลย

ชายชุดซาฟารีดึงแขนวรินธรออกจากมือเธอ พายสะบัดมือหนีพร้อมกับปล่อยหมัดกลับไปยังชายผู้นั้น จึงทำให้อีกสามคนที่เหลือกรูเข้ามารุมหล่อนใหม่ หล่อนโดนหมัดใส่ใบหน้าอีกหมัด และโดนล็อกแขนไพล่หลังและคุกเข่าลงจนกระดุกกระดิกไม่ได้

กานต์ชนิตก้าวไปหาวรินธรแต่โดนมือของรสสุคนธ์คีบต้นแขนเธอไว้ก่อน

“ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าอย่าให้ฉันโกรธ”

“คุณจะทำอะไร”

กานต์ชนิตขนลุกวาบกับรอยยิ้มเย็นๆ รสสุคนธ์สบตาลูกน้องในห้องน้ำ พวกเขาก็ดัดไหล่วรินธรจนร้องโอ๊ย ทำเอากานต์ชนิตสะดุ้งตามเสียงร้อง ขยับตัวหมายจะเข้าไปห้ามพวกเขา คนด้านหลังดึงแขนเธอให้หันกลับไป

“อย่าลองดีกับฉัน” รสสุคนธ์เอ่ยเสียงเรียบ เสียงตุบตับทำให้เธอกระวนกระวายหันมอง วรินธรหลุดจากชายเหล่านั้นแล้ว และกำลังโต้ตอบพวกเขาอย่างสุดกำลัง จนกระทั่งคนหนึ่งดึงอาวุธปืนสีดำเมื่อมออกจากเอวจ่อเข้าที่หัวหล่อนให้ต้องหยุด กานต์ชนิตจึงร้องวี๊ด

“หยุดนะ! อย่าทำอะไรเธอ! จะบ้าไปแล้วเหรอ หมอรส”

ลูกน้องทั้งสี่แค่หันมาสบตาเจ้านายของพวกเขา ที่ยิ้มเย็นตอบ หันมองลูกน้องอีกสองคนด้านนอกและเอ่ย

“ช่วยพาคุณหนึ่งตามฉันมาที”

ชายสองคนจับต้นแขนของเธอคนละข้าง ก่อนจะลากร่างเธอตามเจ้านายไป เธอดิ้นสุดแรง พยายามหันกลับไปหาวรินธร

“พาย พาย... ไม่นะ ปล่อยฉัน ไอ้บ้า หมอรสจะเหี้ยมเกินไปแล้ว โอ๊ย ปล่อยฉันสิ อย่ายิงเค้านะ”

วรินธรพยายามดิ้นขืนตัว แต่หล่อนก็ทำอะไรไม่ได้ แค่จะโงหัวขึ้นมายังไม่ได้เลย

ไม่มีใครสนใจเสียงร้องโวยวายของเธอ แม้กระทั่งเจ้าของโรงแรมซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับรสสุคนธ์ด้วย

ร่างสูงเพรียวของหมอรสสุคนธ์ก้าวออกมายืนท่ามกลางแสงแดดจ้า ใช้กำลังดึงตัวเธอจับโยนใส่รถตู้ โธ่เอ๊ย เพราะอินทนิลตัวเล็กอ้อนแอ้นอย่างนี้ไง ถึงไม่มีกำลังไปสู้กับใครเขา

“จะทำอะไรพาย ปล่อยฉัน เฮ๊ย พวกเผด็จการ นี่มันผิดกฎหมายนะเว้ย โอ๊ย ปล่อยเซ่”

การดิ้นรนสุดชีวิตของกานต์ชนิตไม่ได้ก่อให้เกิดความเห็นใจอะไรทั้งสิ้น สองหนุ่มในชุดซาฟารียังคงใช้กำลังกดเธอให้นั่งลงบนเบาะ คาดสายรัดติดกับเบาะไว้หลายสาย พร้อมกับปิดประตูปังและก้าวประจำที่คนขับ

เธอได้แต่พยายามเปิดประตู แต่ก็ทำไม่ได้เพราะติดระบบล็อกห้ามเปิดจากภายใน หันมองใบหน้าเรียบเฉยของรสสุคนธ์ข้างกัน ก็เอ่ยขอร้อง “อย่าทำอะไรเค้า”

รสสุคนธ์ตวัดสายตาขุ่นเคืองไปทางอื่นเสีย พลางสั่งการให้ออกรถ

กานต์ชนิตร้องโวยวายอยู่ลำพังราวกับคนบ้า ไม่มีใครสนใจเธอและไม่ได้ผล รถกำลังแล่นออกจากปากทาง เพราะเธอแท้ๆ พวกนั้นจะทำอะไรพายหรือเปล่า จะจับไปฆ่าหรือเปล่า เธอไม่ได้เป็นผีแล้ว เธอจะไปช่วยหล่อนได้อย่างไร

การโดนล็อกแขนล็อกขาทำให้เธอขัดใจเป็นอย่างมาก พยายามดิ้นจนรู้สึกเจ็บก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้ รถแล่นออกจากปากประตูเข้าสู่ถนนชนบท เธอตั้งจิตภาวนาขอให้ออกจากร่างนี้ได้สำเร็จ... ขอให้เธอทิ้งร่างนี้ไปเสีย มันไม่ใช่ของเธอ อย่ากักขังเธอไว้อีกเลย ออกจากร่างนี้ ออกจากร่างนี้

คำภาวนาหายไปในสายลม เธอหันมองหาบังกะโลด้านหลังซึ่งมองไม่เห็นอีกแล้ว

ใจหายจริงๆ... ในชีวิตนี้เธอเคยเจอความใจหายหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนจะบีบหัวใจเท่าครั้งนี้เลย

กานต์ชนิตกัดฟันข่มอารมณ์ ตวัดสายตามองรสสุคนธ์ แม้จะเจ็บใจเท่าใด สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือก ไม่มีประโยชน์จะแข็งขืนใส่ จึงหันบอกรสสุคนธ์ คนเดียวที่มีอำนาจสั่งการ

“หมอรส ... ฉันขอร้อง อย่าทำร้ายพาย เธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย”

รสสุคนธ์เงียบ และทั้งรถก็เงียบกริบ กานต์ชนิตก้มมองแขนตัวเองที่มีรอยแดงและรอยเล็บขูดจากการที่เธอขัดขืน เธอรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่ความกลัวว่าจะโดนจับโดยใครก็ไม่ทราบอย่างคราวแรก แต่คือความกลัวปนพะวงถึงคนข้างหลัง ซึ่งทำให้เธอเอ่ยอ้อนวอนอีกครั้ง

“พี่หมอรส... จะทำอะไรฉันก็ได้ ฉันยอมแล้ว จะพาฉันไปตรวจที่ไหนก็ได้ แต่อย่าทำร้ายเธอ ได้ไหมคะ”

ความเงียบนั้นเก็บซ่อนทุกอย่าง รวมทั้งความรู้สึกของผู้ที่โดนร้องขอ รสสุคนธ์มองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาฉายความปวดร้าวจนจุกและพูดอะไรไม่ออก

ความห่วงใยมหาศาลมีมากเท่าไหร่ ความปวดร้าวเสียใจของรสสุคนธ์ก็มากเท่ากัน

........................................................................................... จบบทที่ ยี่สิบเอ็ด Don’t Take The Girl

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.