บทที่ยี่สิบสาม Born This Way
ในที่สุดก็เปิดศาลเตี้ยกันกลางดึกจนได้ เมื่อรสสุคนธ์ปริ๊ดแตกพอเห็นหน้าวรินธร ก็โบกมือให้ลูกน้องกรูเข้ามาจับตัวทันที กานต์ชนิตก็ไวพอกัน รีบเอาตัวเองบัง หนีบเธอไว้หลังอย่างกับแม่ลิงพาลูกเกาะหลัง ฝ่ายนั้นจึงเข้ามาทำอะไรไม่ง่ายนัก สร้างความเดือดดาลให้แก่หมอสาวยิ่งกว่าเดิม
เสียงอึกทึกบนบ้านจากการต่อสู้และขัดขืนปลุกเจ้าของบ้านสองสามีภรรยาขึ้นมาทันที
วรินธรกำลังโดนกานต์ชนิตดันจนติดผนัง ตัวหล่อนเองก็คว้าข้าวของบนชั้นข้างตัวโยนใส่บรรดาชายในชุดซาฟารีไม่ยั้ง หล่อนนี่เวลาไม่ได้ดั่งใจชอบปาของเสียจริง แต่ยอมรับล่ะว่าคราวนี้กานต์ชนิตเอาจริง แววตาไม่ยอมแพ้กระจ่างนักในสายตา เป็นการบอกว่าหล่อนจะไม่ปล่อยให้เธอหายไปจากสายตาอีกแล้ว และมันสร้างความปลื้มปิติเล็กๆ ให้แก่เธอด้วย
แต่เอ...นี่ไม่ใช่เวลามาดีใจอะไรนี่นา
“หยุด! หยุดทะเลาะกันเดี๋ยวนี้ แล้วบอกฉันว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจากร่างอดีตนายทหาร ทุกคนในห้องหยุดการเคลื่อนไหวทันทีเมื่อเขาก้าวเข้ามากวาดตามอง สุดท้ายจ้องเขม็งที่วรินธร
ใช้เวลาไม่นานนักในการเล่าความ เขาจึงรู้ว่าเธอนั่นเองเป็นคนพาลูกสาวของเขาหนี
“ฉันแค่ต้องการเข้ามาหาหนึ่ง ลูกสาวของคุณ แต่คนพวกนั้นไม่ยอมให้ฉันเข้ามา” เธอแก้ตัวเมื่อเขาตะคอกถาม ซึ่งหมอรสคงหมั่นไส้ไม่น้อย จึงโต้กลับทันควัน
“ถ้าเธอเข้ามาแบบปกติ คงไม่มีใครขัดขวางเธอหรอก แต่นี่ลับๆ ล่อๆ มาอย่างหัวขโมย จะให้ต้อนรับกันได้ยังไง”
“ฉันขอยืนยันว่าไม่ได้ขโมยอะไร ขอโทษที่เข้ามาแบบเสียมารยาท แต่หมอไม่เต็มใจให้ฉันเข้ามาพบหนึ่งเองนี่”
“เธอน่ะเหรอไม่ได้ขโมยอะไร แล้วที่ลักพาตัวหนึ่งออกจากโรงพยาบาลนั่นล่ะ” รสสุคนธ์สวนขึ้น
วรินธรเถียงกลับ “ฉันเปล่าลักพา หนึ่งเต็มใจเอง หนึ่งบอกคุณไปหลายรอบแล้วนี่ เอ๊ะ ความจำเสื่อมเหรอหมอ”
รสสุคนธ์ถลึงตาใส่ ผู้พิพากษาจำเป็นก็เลยต้องยกมือเบรก ตะคอกด้วยเสียงฟ้าผ่า
“เงียบทั้งคู่นั่นแหละ หนึ่ง! ว่ามา เรื่องมันเป็นยังไง”
กานต์ชนิตหน้าเหวอ ยืนจนชิดตัววรินธรส่งสายตาเป็นคำถามว่าจะตอบยังไงดี
“เอ๊ะ จะไปถามคนอื่นเขาทำไม ตอบความจริงมาไม่ต้องโกหก” โดนแหวอย่างนี้ กานต์ชนิตจึงต้องบอก
“คือ ฉันไม่ได้โดนลักพาตัวอะไรหรอกค่ะ... ฉันเต็มใจไปกับพายเอง”
คนเป็นแม่ขมวดคิ้ว อดไม่ได้จึงถามวรินธร “แล้วเธอเป็นใคร ชื่ออะไรมาจากไหน มารู้จักกับลูกสาวของฉันได้ยังไง”
แม้วรินธรจะเป็นพวกกะล่อนโกหกเก่ง แต่เธอก็มีจุดอ่อนกับคนสูงอายุ ยิ่งคนที่ดูคล้ายบุพการีของตัวเองด้วยแล้ว เธอยิ่งรู้สึกลื่นไม่ค่อยออก จึงเล่าให้คนถามฟังตามตรง(ส่วนหนึ่ง) ว่าชื่อพราวพิลาศเคยเป็นคนไข้ของหมอหนึ่งมาก่อน
“นี่หนูไม่ไว้ใจหมอรส แต่กลับไปไว้ใจคนไข้ที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วันหรือ” แม่ค้านคั้นลูกสาวบ้าง
“โธ่ แม่ของหมอหนึ่งค่ะ ก็ฉันบอกแล้วว่าฉันความจำเสื่อม”
“เอ๊ะ เสื่อมแล้วจำแม่นี่ได้ยังไง”
“ก็...” คราวนี้กานต์ชนิตจนมุม วรินธรจึงช่วยตอบ
“ก็เพราะฉันเป็นคนแรกที่พาเธอไปเย็บแผลไง แล้วหมอรสคนนี้อ่ะ ก็ทำท่าคุกคามน่ากลัวกับหนึ่งด้วย แถมยังไล่ล่าเราอย่างกับมาเฟียอีก หนึ่งกับฉันก็เลยต้องหนีน่ะสิ”
“ใครเป็นมาเฟียไม่ทราบ เธอมันหัวขโมย หนึ่งยังไม่ได้รับการตรวจให้ดีเลย ถ้าเกิดมีอาการหนักขึ้นมาเธอจะรับผิดชอบชีวิตไหวรึ” หมอรสแว๊ดกลับหน้าเริ่มแดงด้วยความโกรธ
“เดิมทีฉันก็ว่าจะพาหนึ่งกลับไปตรวจอยู่แล้ว แต่ต้องมามัวแต่หนีหมอนั่นแหละ”
“ก็ถ้าไม่ลักพาตัวไปเรื่องมันจะยุ่งขนาดนี้ไหม”
“ก็แล้วเรื่องมันยุ่งเพราะใครล่ะ”
เสียงกระแทกโต๊ะดับตุ้ม เรียกความเงียบกลับคืนมาสู่บ้าน วรินธรกลืนน้ำลายหันมองผู้พิพากษาผู้เคาะโต๊ะทันที
“จะทะเลาะกันอีกนานไหม ไม่งั้นจะตะเพิดออกจากบ้านกันหมดนี่แหละ”
“พ่อของหมอหนึ่งจะทำอย่างนั้นไม่ได้” ทั้งที่ทุกคนควรเงียบแท้ๆ แต่กานต์ชนิตกลับเป็นคนเดียวที่หือ “ถ้าพ่อของหมอหนึ่งไล่พายออกจากบ้าน ฉันก็จะออกไปด้วย”
“ว่าอะไรนะ!” พ่อตะคอกกลับ ดูท่ากานต์ชนิตจะลืมกลัวไปแล้ว แววตากานต์ชนิตส่องประกายเด็ดเดี่ยวอย่างที่วรินธรอ่านออก ว่ากานต์ชนิตต้องการปกป้องเธอ
“ถ้าคุณอยากให้ฉันอยู่ที่นี่ คุณต้องให้พายอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นฉันก็จะหนีไปกับเธอ ไม่กลับมาที่นี่อีก เหมือนก่อนหน้าที่พวกเราเคยทำมา”
“หนูพูดอะไรเนี่ย” แม่ร้องเสียงหลง จ้องลูกสาวอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะอินทนิลเคยเรียบร้อย พ่อกับแม่พูดอะไรก็มีแต่เชื่อฟัง อยู่ในโอวาทไม่เคยสร้างปัญหาหนักใจ กานต์ชนิตหลุบสายตารู้สึกผิดลงต่ำ
“นี่คือเรื่องเดียวที่ฉันขอค่ะ แล้วต่อจากนั้น พวกคุณอยากให้ฉันทำอะไรต่อไป ฉันจะยอมทำตามโดยไม่ขัดขืนเลย”
ทำไมเธอรู้สึกอยากกอดหล่อนนักก็ไม่รู้ วรินธรทำได้แค่ยืนชิดหลังอีกฝ่าย บีบมือปลอบใจจนหล่อนหันกลับมา เธอจึงพยักหน้าว่าดีแล้ว สิ่งที่เธอคิดจะทำนั้นดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร
พ่อกับแม่มองหน้ากัน ก่อนแม่จะย้อนถาม “เอ แม่ชักสงสัยแล้วนะ ว่าทำไมหนึ่งต้องการให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วย... ทำไมต้องปกป้องกันนัก"
กานต์ชนิตเหลือบสบตาเธอ คิดเหตุผลไม่ออก แต่ไอ้อาการมองสบตาแบบนั้น ทำให้พ่อแม่เดาได้ “นี่อย่าบอกว่า...”
วรินธรล่วงรู้ความคิดทั้งสอง จึงรีบเออออห่อหมกทันที เมื่อเห็นหนทาง
“เธอเป็นทอมเหรอ?” แม่ถาม
วรินธรร้องหืมในลำคอ ก้มมองหน้าอกตัวเองที่ก็ไม่ได้มีน้อยจนแบนเป็นไม้กระดานสักหน่อย เธอว่ามันมีขนาดกำลังสวยพอดีด้วยซ้ำ แต่ความคิดที่ว่าคนเป็นผู้ใหญ่คงยังแยกไม่ออกว่าชาววายมีกี่เหล่า เธอจึงไม่ถือสาอะไร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกขำเสียด้วยซ้ำ ยิ่งมองหน้าเอ๋อของกานต์ชนิตก็ยิ่งฮา หล่อนเอ่ออ่าในลำคอก่อนจะรีบปัด “มันไม่ใช่แบบนั้นค่ะพ่อของหมอหนึ่ง...”
“หรือเธอเป็นดี้” พ่อยังคาดเดาหน้าเครียด วรินธรส่ายหน้าว่าไม่ใช่
คนเป็นแม่อดรนทนไม่ไหว เลยถามอีก “หนึ่งรักยัยทอมคนนี้เหรอ”
“แม่หมอหนึ่ง...” กานต์ท้วงเพราะถ้อยคำพ่อแม่เหมือนกำลังดูถูก
“หยุดเรียกพ่อกับแม่แบบนั้นสักที พ่อรู้หนูความจำเสื่อม แต่อย่าให้มันสมบทบาทมากนัก”
“อ้าว นี่หนูไม่ได้โกหกนะ” กานต์ชนิตจึงแทนตัวเองว่าหนูไปปริยาย
“หยุดพูด!” คำสั่งถือเป็นเด็ดขาด นี่ผู้พิพากษาสูงสุดนะเออ วรินธรเห็นสองสามีภรรยาทรุดตัวนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง หยิบพัดคนละอันโบกไปมาพลางมองเธอสองคนสลับกัน ยากจะยอมรับความจริง
วรินธรอดไม่ได้เหลือบมองรสสุคนธ์ ซึ่งมองเธอด้วยความอาฆาต เจ็บปวดหัวใจยิ่งกว่าเอามีดกรีดเป็นแผล ทั้งไอแดดจะแผดเผาให้พุพอง จะชองช้ำคล้ำเป็นหนองลงลามไหล สองสุริยวงศ์ตั้งแต่ว่าจะทรงกันแสงไห้ สุดอาลัยของพ่อแล้วจะติดตาม... พอๆ มันคงจะยาวไปกว่านี้จนหยุดไม่ได้ เธอควรรีบหยุดบทรอยแก้วที่เคยท่องสมัยสิบปีที่แล้วก่อนดีกว่า
นี่แสดงว่าหมอรสกับหมอหนึ่งคบกันแบบปกปิดพ่อแม่ การที่เธอสองคนประกาศอย่างนี้จึงเหมือนประกาศวายครั้งแรกให้ทางบ้านรู้ แล้วมีหรือพี่หมอรสจะไม่โกรธ คบกันมาตั้งนานไม่คิดจะเปิดตัว แต่คบกับยัยโจรนี่แป๊บเดียวดันเปิดอ้าซ่า มันน่าไหมหืม
ขออย่าสติแตกขึ้นมาตอนนี้ก็แล้วกันหมอรส เธอไม่อยากเจ็บตัวอีก
“ว่าไง หนูกำลังหลงรักยัยทอมนี่ใช่ไหม”
กานต์ชนิตขมวดคิ้ว “พ่อของ... พ่อคะ พายไม่ใช่ทอม แล้วอีกอย่างทอมก็มีหัวใจ ไม่ควรใช้น้ำเสียงดูถูก...”
วรินธรแทบขำพรืด เข้าใจว่าหล่อนอาจจะไม่ชอบใจนักที่พ่อแม่กำลังเหยียดทางเพศ จึงพึมพำเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ทอมฉันก็เคยเป็น”
ทำเอากานต์ชนิตร้องห๊า ก้มมองหน้าอกเธอทันที เอ๊ะทำไมต้องมองส่วนนี้ด้วยนะ วรินธรกลั้นขำพลางสบตาผู้ใหญ่
“ถ้าพ่อกับแม่อยากจะเข้าใจอย่างนั้นก็ง่ายดีค่ะ” คำแก้ตัวของวรินธรทำเอากานต์ชนิตอยากเขกหัวหล่อน ยิ่งกระตุ้นให้หมอรสโมโห
“แก... ออกไปจากบ้านหลังนี้เดี๋ยวนี้” หมอรสคว้าคอเสื้อวรินธรหมับ
กานต์ชนิตร้องวี๊ดรีบขวาง “อย่าทำอะไรพาย ไม่งั้นโดนดีแน่”
หมอรสคงจะเป็นบ้าไปแล้วตอนนี้ บ้าคลั่งจนลืมสติ จนพ่อต้องสั่งการเรียกสติทุกคนกลับมา
“หยุดกันให้หมด! หมอรส กลับบ้านไปก่อน ไประงับสติอารมณ์ให้ดีกว่านี้ค่อยมาคุยกัน”
คนถูกสั่งฮึดฮัดไม่พอใจ แม่จึงเดินเข้ามาลูบไหล่ให้เบาๆ รสสุคนธ์จึงเริ่มมีสติกลับมาบ้าง กดเสียงต่ำเป็นคำถามแม่ของหมอหนึ่ง “แล้วคุณอาจะทำยังไงกับสองคนนี้คะ”
คุณอาถอนหายใจเฮ้อ “คงต้องให้อยู่นี่ไปก่อน”
เท่านั้นรสสุคนธ์ก็มองอย่างไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะทั้งคู่เป็นผู้ใหญ่ที่หล่อนนับถือ ใช้เวลาเขม่นมองอย่างกินเลือดกินเนื้อทั้งคู่ไม่นานก่อนจะสะบัดหน้า ยกมือไหว้บุคคลทั้งสอง ก่อนจะทิ้งสายตาอาฆาตให้เธอสองคน จากนั้นเดินลงส้นตึงๆ จากไปพร้อมกับบรรดาพลสมุนในชุดซาฟารีของหล่อนด้วย
พายุไปไปแล้ว กานต์ชนิตกับวรินธรจึงได้ถอนหายใจเฮ้ออย่างโล่งใจ ก่อนจะพบกับแววตาถมึงทึงของผู้ใหญ่สองคนที่เหลือ “หนึ่งเก็บข้าวของที่ลูกทำรกให้เรียบร้อยซะ ส่วนเธอตามฉันมา ถ้าคิดว่าจะได้นอนห้องนี้กับลูกสาวฉันละก็ อย่าหวัง!”
วรินธรอ้าปากค้าง ยังไม่ได้หวังสักหน่อย แหมพูดงี้ชักอยากนอนห้องนี้ขึ้นมาทันใด
“ตามฉันมานี่!” เมื่อเขาเร่ง เธอจึงต้องรีบ โบกมือให้กานต์ชนิตและส่งสายตาว่าไม่ต้องห่วง หล่อนพยักหน้าตอบ ก่อนที่เสียงคนเป็นแม่จะอบรมกานต์ชนิตต่ออีกยืดยาว ส่วนตัวเธอนั้นต้องไปนอนห้องนอนแขกซึ่งอยู่ชั้นล่างในคืนนี้
ครู่ใหญ่ทีเดียวที่เธอฟังคำเทศนาจากผู้พิพากษา รวมทั้งข้อห้ามต่างๆ นานาที่เธอไม่สนใจจะฟัง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวของเขานั่นแหละ ในที่สุดเขาก็ปล่อยเธอและเดินออกจากห้อง รอจนกระทั่งเงียบ
วรินธรจึงมองสำรวจไปยังห้องนอนแขกสีครีมขนาดเล็ก สะอาดตา มีหน้าต่างด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นชั้นวางของ ส่วนใหญ่แล้วเป็นของจุกจิกที่ล้นออกจากตู้โชว์ด้านนอก เลยต้องเปลี่ยนมาโชว์ให้แขกตอนนอนแทน นาฬิกาบอกเวลาตีสาม ดึกมากพอสมควรอาบน้ำนอน แต่เธอมีความคิดหนึ่งที่เก๋กว่านั้น
วรินธรอาบน้ำแต่ไม่ได้กระโดดขึ้นเตียงใกล้ตัว กลับย่องออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ กระชับผ้าห่มผืนบางคลุมหัว มองซ้ายแลขวาฝ่าความมืดภายในบ้านชั้นล่าง จนแน่แก่ใจว่าเจ้าของบ้านทั้งสองคงขึ้นไปนอนแล้ว จึงก้าวขึ้นบันไดไปยังหน้าห้องเดิมกับที่เธอเคยออกมา
ต้องหาที่นอนฟินๆ สักหน่อยแล้ว...
.......................................................................................
กานต์ชนิตรู้สึกถึงแสงสว่างส่องใบหน้า พยายามจะหลบหน้าหนีแต่พอรู้สึกตัวจึงลืมตาตื่นขึ้น มองหน้าต่างห้องที่ไม่คุ้นก็นึกออกว่าเธออยู่ที่ไหนกำลังทำอะไร พลันก็นึกถึงตัวดีเมื่อคืนที่ลอบเข้ามาในบ้านกลางดึก
กานต์ชนิตพลิกตัวกลับเพื่อจะลุกขึ้นนั่ง เท่านั้นแหละ เธอจึงรู้สึกว่าไม่ได้นอนเพียงลำพัง ติดท่อนแขนของใครคนหนึ่งเหนี่ยวไว้ไม่ให้ขยับไปไหนง่ายๆ และเจ้าของแขนปริศนาก็คงจะทอดตัวนอนอยู่ข้างๆ เธออีกด้วย ใจชักวูบขึ้นมาเมื่อนึกว่าอาจจะเป็นหมอรส ตัวเธอแข็งทื่อด้วยความแขยง ค่อยๆ เบนหน้าหันกลับไปมอง
แล้วก็ต้องตกใจกว่าเก่า
“พาย...”
ใบหน้าเจ้าของชื่อหลับพริ้มอย่างไม่รู้เรื่อง ท่าทางนอนอย่างเป็นสุขเกินงามจนคนมองอ้าปากค้าง
นี่พายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง มานอนเตียงเดียวกันได้ยังไง? แถมยังไม่นอนดีๆ... เธอไล่มองลำตัว แขน และขาของหล่อนที่พาดตัวเธอเอาไว้ราวกับหมอนข้าง นี่นอนอย่างกับกลัวใครจะลักพาตัวเธอไปอย่างงั้นแหละ
ลักพาตัว
หรือว่าพายจะกลัวใครลักพาตัวเธอไปจริงๆล่ะ
กานต์ชนิตเผลอคลายอาการเกร็งตัว ระงับความสงสัยได้จึงค่อยๆ ขยับตะแคงตัวหาหล่อนช้าๆ ทำให้อีกฝ่ายขยับตัวตาม เธอจึงเลิกกระดุกกระดิก มองเปลือกตาขยุกขยิกหน่อยๆ อย่างลุ้นว่ามันจะเปิดขึ้นหรือเปล่า
นี่เธอจะกลัวหล่อนตื่นทำไม ทั้งที่เธอควรปลุกหล่อนแล้วด่าเสียให้เข็ด มากกว่าจะนอนมองอีกฝ่ายอย่างนี้ นอนเฉยๆ ยินยอมพร้อมใจให้หล่อนกอดโดยง่ายโดยไม่มีความขนลุกขนพองใดๆ ทั้งสิ้น
แถมยังเกิดอาการไม่ปกติกับความนุ่มนิ่มของเนื้อตัวหล่อนและของ... กานต์ชนิตกลืนน้ำลาย ละสายตาหนีไปมองอย่างอื่นเสีย แนบติดกันทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างนี้หัวใจเจ้ากรรมของหมอหนึ่งเกิดสูบฉีดเลือดอย่างแรง แรงอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโบสถ์ร้าง นี่ถ้าหัวใจหล่อนวายขึ้นมาจะทำยังไงนะ เอหรือว่าวายอยู่แล้วก็ไม่รู้
ใจเย็นน่า ถึงวรินธรจะทำเจ้าชู้หว่านเสน่ห์กับใครไปทั่ว แต่เธอมั่นใจเพราะหล่อนไม่เคยหว่านเสน่ห์ใส่เธอ มีแต่ชวนเถียงชวนทะเลาะ กวนประสาทใส่ คนแบบนี้น่ะหรือจะคิดอะไรกับเธอ ไม่หรอกน่า แม้จะมีความเป็นห่วงเป็นใยให้กันบ้าง มันน่าจะเป็นแค่ความห่วงใยของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะแปลกพิสดารกว่าเพื่อนทั่วไปของหล่อนก็เท่านั้น
แล้วทำไมวรินธรต้องมานอนกอดกันหน้าตาเฉยอย่างนี้?
ยัยพาย นี่หล่อนหลงเสน่ห์เธอแล้วใช่ไหม
กานต์ชนิตขมวดคิ้วมองหน้าคนหลับอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับอีกเดี๋ยวคำตอบคงจะปูดออกมาจากรูจมูก เธอควรระวังหล่อนมากกว่า เพราะหล่อนเจ้าเล่ห์ที่สุด นี่ต้องอยากแกล้งอะไรกันแน่ เธอไม่อยากตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของหล่อนอีกคน ไม่น่าไว้ใจสักนิด...
สักนิดเดียวก็ไม่มี
อืม ไม่มีแน่เหรอ
เสียงเดวิลในใจเธอบอกว่าเปล่าเลย จริงๆ แล้วเธอไว้ใจเจ้าของอ้อมแขนนี้มากกว่าใคร เวลาเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา หรือรู้ว่าอยู่ใกล้ๆ เธอหายกังวลใจได้เสมอ เพราะพายเป็นพัดลมอันใหญ่คอยขจัดปัดเป่าความกังวล แล้วด้านหลังยังมีขดลวดความร้อน...อบอุ่นเมื่อได้อยู่ในอ้อมแขน ได้แตะต้องเนื้อตัว
โอ้ กานต์ชนิต เธอกำลังคิดอะไร
สักพักหล่อนก็ครางอืม ชิดใบหน้าซุกหาหมอนและซุกหาใบหน้าเธอจนเธอตกใจ หดคอถอยหลัง ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผม เป็นกลิ่นยาสระผมของบังกะโลเมื่อคืน ซึ่งเธอคิดว่ามันก็ไม่ได้หอมมากมายอะไร ไม่ได้หอมอะไร แต่ทำไมถึงได้อยากให้หน้าตัวเองอยู่ใกล้หน้าหล่อนด้วยล่ะปัดโธ่
นี่เทวดาจะทดสอบอะไรเธอหรือ ถึงได้ยื่นข้อสอบที่แสนจะประหลาดอย่างนี้ ทั้งเธอต้องมาสิงร่างคนอื่น ทั้งเธอต้องมาหวั่นไหวเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง นี่ล่ะหนอที่เขาสอนว่าความตายไม่ใช่การหลุดพ้น แต่มันคือการล่องลอยละกายหยาบไปสู่อีกโลกหนึ่ง แม้เธอจะอยู่ในข้อยกเว้นว่ากลับมาโลกเดิมก็เถอะ
นี่มันคือกายหยาบนะกานต์ชนิต สิ่งลวงตาทั้งนั้น ประเดี๋ยวแก่เฒ่ามันก็มลายหายไป
วรินธรเริ่มขยับตัวมากขึ้น และแขนก็กระชับกอดแน่นขึ้นจนเธอเริ่มรู้แล้วว่าหล่อนตื่นแล้ว แต่แกล้งหลับตาต่อ
“พาย ตื่นแล้วก็ลืมตา”
มุมปากใกล้สายตาขยับยิ้มเป็นคำตอบ แล้วนิ่งค้างในท่าเดิมอย่างท้าทายกัน
“แกล้งหลับก็ไม่มีประโยชน์ คนขี้ระแวงอย่างเธอน่ะเหรอจะไม่รู้สึกตัว”
เสียงร้องครางรับว่าอืมในลำคอเป็นคำตอบ กวนประสาทกันนัก เธอจึงเลื่อนมือมุดใต้ผ้าห่มจับพุงอีกฝ่ายเพื่อบิด แต่หล่อนหัวเราะงอตัวหนี “โทษที ฉันหุ่นดี ไม่มีพุงให้เธอจับหรอก”
“จริงเหรออออ”
“อู้ย อื้มหืม กานต์ ลองดีเหรอ” วรินธรลืมตาขึ้นมาจนได้เมื่อเธอบิดเนื้อที่แขนหล่อนแทน ใกล้แผลเดิมเสียด้วย เธอถามอย่างเอาเรื่อง
“เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ไงไม่ทราบ”
หล่อนปรือตายิ้มอย่างคนขี้อวด “เธอก็รู้ว่ามันไม่ได้ยากสำหรับฉัน”
“ฉันหมายถึงเธอเข้ามา ‘ทำไม’ ต่างหากล่ะ”
วรินธรมองไปรอบตัว และบอกหน้าซื่อ “พอดีห้องนอนแขกไม่มีหมอนข้าง”
กานต์ชนิตมองตาเขียว “ไม่ยักรู้ว่าเธอติดหมอนข้าง”
“อ้าวเหรอ งั้นก็รู้ไว้ซะสิ”
คำแก้ตัวน้ำขุ่นที่สุดเท่าที่เคยเจอ มองตายิ้มๆ ของหล่อนแล้วเธอก็ปล่อยหมัดฮุกบ้าง
“ไม่ใช่เข้ามาเพราะอยากจะนอนกับฉันหรอกนะ”
ตาหล่อนโตขึ้นออกอาการเก้อไปนิด และงึมงำ “อื้อหือ พูดจาติดเรต น่าตี”
“หน็อย ยังมีหน้ามาตี นี่เธอกำลังทำผิดฐานบุกรุกนะ ยัยทะลึ่ง”
วรินธรหัวเราะ “คำก็ทะลึ่ง สองคำก็ทะลึ่ง แล้วอย่างงี้เรียกทะลึ่งรึเปล่า” ว่าแล้วก็รู้สึกถึงมืออยู่ไม่สุขลูบเบาๆ ด้านหลัง ไล่ตั้งแต่ชายเสื้อไต่ขึ้นไปด้านบน
“ไอ้...พาย... ทำอะไร!”
วรินธรปรือตาแสนซื่อมอง ตรงข้ามกับวาจาแสนกวนประสาท “นับจำนวนกระดูกสันหลัง”
แหม แต่ละข้ออ้างของหล่อน
กานต์ชนิตอดขำไม่ได้ วรินธรจึงแหวกยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงกันสวย พอตากับปากหล่อนพร้อมใจทำเหมือนกัน ก็ทำเอาเธอต้องกลืนน้ำลายลงคอเพื่อข่มอารมณ์ และพยายามเบนสายตาไปทางอื่นราวกับกลัวจะโดนสาปให้เป็นงู เอ๊ยเป็นหิน
“มองอย่างงี้ฉันไม่หลงกลหรอก ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับเธอ”
เสียงถอนหายใจเฮ้อรดแก้มเธอทำให้เธออยากกลั้นใจตาย แต่แรงกอดที่คลายออกก็ทำให้แปลกใจ หล่อนแกล้งทำหน้าเบื่อและบอก “เธอเนี่ยทำให้ฉันหมดอารมณ์อยู่เรื่อย”
“โอ๊ย ฉันก็ไม่อยากทำให้เธอมีอารมณ์อะไรหรอกนะ”
วรินธรขำก๊าก แล้วพลิกตัวนอนหงาย บ่นเบาๆ “เมื่อยแขนฝุดๆ”
เธอยันตัวขึ้นนั่งพลางหันมองหล่อน “ก็ใครใช้ให้นอนท่านี้ สมน้ำหน้า”
“เอาน่า มันมีข้อดีหลายอย่างก็แล้วกัน”
“ข้อดีอะไร”
หล่อนมองตาเธอแล้วแกล้งมองเมินทางอื่น แล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นหันกลับมายื่นหน้าทะเล้นและตอบ “ไม่บ๊อกกก”
แหมอดไม่ได้ มือเธอจึงดึงหมอนใกล้มือฟาดโบะใส่หน้าทะเล้นนั่นสักที หล่อนยกมือรับ
“เธอนี่ยังไงนะ ชอบใช้กำลังอยู่เรื่อย อยากลองดีแต่เช้าใช่ไหม ห๊ะ”
“เธอสิหาเรื่องแต่เช้า ไม่งั้นจะแอบเข้ามาห้องฉันหรือ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีหมอนข้าง”
“แหมเชื่อตายล่ะ” กานต์ชนิตฉวยโอกาสนั้นลุกหนี มือยาวของวรินธรถลันมาคว้าเสื้อนอนของเธอเหนี่ยวจนยืดทำให้ต้องร้องโวยวาย
“เฮ๊ย ดึงทำไมเดี๋ยวเสื้อขาด”
“ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องถอดให้เสียเวลา”
ทำเอาเธอต้องหันไปมองคนพูดตาโตตกใจ คนพูดเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรก็ฉีกยิ้มหวานแก้เก้อ
“นี่เธอคิดจะทำอะไรฉันจริงๆ ใช่ไหม”
“ทำอะไรที่ว่ามันคืออะไรล่ะ”
แน่ะยังมีหน้ามาย้อน “ก็ทำ... อะไรที่ทะลึ่งๆ นั่นแหละ อย่าเชียวนะ”
วรินธรหัวเราะ กระโดดพรวดเดียวนั่งจุ้มปุ๊กปลายเตียงชิดเธอได้อย่างน่ากลัว แล้วจะลุกหนีก็ดูจะทำไม่ได้ง่ายๆ นี่หล่อนกินยาอะไรผิดมาหรือเปล่า เธอรู้ว่าอีกฝ่ายชอบแกล้งแรงๆ เช่นแกล้งอย่างที่บังกะโลวันนั้น อย่ามามองหน้าใกล้กันอย่างนี้นะ นี่ก็คงแกล้งทำใส่ใช่ไหม
“เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอลง ฮึ ยัยซื่อบื้อ”
ปากมอมของพายช่วยลดทอนความหวานในแววตาหล่อนได้เยอะ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังควบคุมใจให้กลับสู่จังหวะปกติไม่ได้ ได้แต่สั่งตัวเองให้ถอย ถอยให้ห่างหล่อนไปก่อน คิดว่ามนตราจากพายคงมีแรงส่งได้ในรัศมีจำกัด เดี๋ยวห่างสักหน่อยคลื่นคงแรงน้อยลง
“เขินหรือไงกานต์ หน้าแดงเป็นมะเขือเทศ”
กานต์ชนิตเหมือนโดนจี้ใจดำ ทำให้รีบถอยครั้งใหญ่ จนพลาดวูบตกขอบเตียง ก็เป็นวรินธรอีกนั่นแหละที่คว้าเอวกับตัวเธอไว้หมับ ทำให้ไม่หล่นลงพื้น และขำต่ออย่างกับรู้ทันกัน
“ฉัน...ฉันไม่ตกแล้ว ปล่อยๆ”
“นานๆ ทีจะได้กอดหมอหนึ่ง ฉันจะปล่อยได้ยังไง”
เธออ้าปากค้างอีกหน จนกระทั่งวรินธรต่อคำพูด “ถ้าเป็นหมอหนึ่งตัวจริงคงไม่ได้กอดง่ายๆ อย่างนี้หรอก”
ทำเอาใจแฟ่บลงจนแกะมืออีกฝ่ายออกจากตัวไวๆ แล้วกระเถิบตัวหนี วรินธรเลิกคิ้วแกล้งออกแรงรัดไหล่ล็อกคอเธอจากด้านหลังแล้วเอาขาเกี่ยวเอวเธอไว้ไม่ให้ดิ้นหนีอย่างกับลูกหมีเกาะคอแม่หมี
“ไอ้พ๊าย ทำอาไร ปล่อยฉันนะ อย่าเอาแข้งขามาพัน เป็นนักมวยปล้ำหรือไง”
“เออ เดี๋ยวต้องหาหน้ากากมาใส่ เอาเก้าอี้มาฟาดซะเลย” วรินธรยังต่อปากต่อคำ กานต์ชนิตฮึดฮัด พึมพำด่า
“ยัยซาดิส”
“ถ้าฉันซาดิส เธอก็มาโซสิส”
กานต์ชนิตกัดฟัน “เธอมันบ้า ยัยประสาท”
“ถ้าฉันประสาทตอนนี้เธอก็คงโรคจิต”
“โอ๊ย พาย ไหลได้ไปเรื่อย เล่นได้ตลอด คนอะไรไม่มีความจริงใจ”
วรินธรเอียงคอและขำ “เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว”
“ฉันไม่ได้ชมเธอสักหน่อยยัยบ้า”
“โมโหอะไรฮึ”
กานต์ชนิตหันมองหน้าคนพูด เห็นรอยยิ้มระรื่นจึงได้รู้ว่ากำลังโดนยั่วเข้าแล้ว แปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงได้ปริ๊ดขึ้นขนาดนั้น อย่างไรก็ตามเธอยอมแพ้มือกาว ปล่อยตัวตามแรงคนเกาะ นั่งบนที่นอนอย่างเหนื่อยใจ แว่วเสียงหัวเราะแล้วพายจึงปล่อยมือออก และวางขาห้อยลงปลายเตียง นั่งเคียงข้างกับเธอ
แสงแดดในยามเช้าทอดผ่านหน้าต่างกระจกส่องปลายเท้าเราสองคน สายลมพัดโชยเข้ามาภายในทำให้รู้สึกอุ่น เสียงนกเสียงกาส่งเสียงคุยกันไม่ไกล วรินธรเลิกเถียง ปล่อยให้เราทั้งคู่นั่งฟังสิ่งเหล่านั้นเงียบๆ
รอยยิ้มน้อยๆ บนริมฝีปากและดวงตาของพายที่ทอดมองออกนอกหน้าต่าง บอกให้รู้ถึงความสบายใจ ดีอกดีใจ ไม่จำเป็นต้องหันมาสบตา ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากบอกอะไรให้กวนประสาท เพราะพายเป็นพวกพูดคนละอย่างกับใจเสมอ ความรู้สึกของพายนั้นรับรู้ได้จากการหลับตาและจินตนาการตาม ที่เข้ามาหากันนี่คงไม่ใช่อะไร มันก็อย่างเดียวกันที่เธอรู้สึกนั่นแหละ เข้ามาเพื่อให้รู้ว่ายังอยู่ ไม่ได้โดนใครลักพาหนีหายไปไหน เข้ามาอยู่ใกล้ๆ เพื่อให้หายกังวล
ใจอันโมโหจึงคลายร้อนรุ่มลง... จะมีสักกี่คนที่ทำให้เธออารมณ์ขึ้นวืด แต่สักครู่ แค่หล่อนนั่งเฉยๆ อารมณ์ของเธอก็กลับเย็นลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เธอจะทำยังไงกับตัวเองดี เพราะกำลังรู้สึกพอใจกับความกวนประสาทปนเปไปกับความอ่อนโยนที่หล่อนสร้าง ยิ่งนับวันยิ่งอยู่ใกล้ เธอก็ยิ่งรู้สึกพอใจมากขึ้น เฮ้อ พายเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์จริงๆ
“หนึ่งตื่นหรือยังลูก” เสียงสวรรค์จากภายนอกทำให้เธอสะดุ้ง วรินธรเหลือบมองตาเธอ ดวงตาหล่อนส่องประกายยิ้มแฉ่งอย่างไม่น่าไว้ใจ พลันหล่อนก็กระเด้งตัวขึ้นยืน เธอไม่ทันได้อ้าปากห้ามอะไร คนชอบยั่วก็ไปเปิดประตูต้อนรับผู้เคาะประตูด้วยตัวเองแล้ว
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
กานต์ชนิตอ้าปากค้าง ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าในใจคุณแม่ของหมอหนึ่งตอนนี้จิ้นวายไปถึงไหนต่อไหน เห็นไหม บอกว่าอยู่นิ่งๆ ดีที่สุด อย่ากระดุกกระดิกตัวเลย...
...............................................................................
วรินธรเหล่ตามองหญิงสูงวัยเบื้องหน้าซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อน หลังจากส่งกานต์ชนิต คุณพ่อของหมอหนึ่งและแพทย์หญิงรสสุคนธ์ขึ้นรถไปโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว เธอก็โดนเรียกมาใช้แรงงานในสวน
“วางถ่านลงไปแบบนี้ ทำเป็นหรือเปล่า” แม่สั่งสอนเธอ แสดงตัวอย่างการจัดถ่านใส่กระเช้าไม้ให้ดู และต่อจากนั้นคือเธอต้องช่วยหล่อนทำ
วรินธรแสร้งพยักหน้าร้องอ๋อๆ อย่างไร้เดียงสา ซึ่งไม่ได้ช่วยลดความขุ่นขวางให้คนสอนสักเท่าใด
จากเหตุการณ์เมื่อเช้า ทำให้เธอถูกจับแยกจากกานต์ชนิต แม้แต่นั่งกินข้าวเช้า ยังต้องนั่งห่างกันในตำแหน่งที่ไกลที่สุดเลย วรินธรไม่ตอบคำถามอีกฝ่ายว่ามาทำอะไรห้องลูกสาวหล่อนเมื่อคืน แค่ยิ้มเขินๆ ไม่พูดอะไรเท่านั้นเอง
“วางกอกล้วยไม้เบาๆ ห้ามทำของฉันหักนะ”
วรินธรร้องอ้อ ค่อยๆ วางตามตัวอย่าง ปากก็เอ่ย “นี่แม่เพาะไว้ขายเหรอคะ”
คนถูกเรียกว่าแม่ตวัดสายตาปาดฉับ เธอจึงรูดซิปปาก “เรียกฉันว่าแม่ของหมอหนึ่ง”
ปากรูดแต่ดวงตาหลุดยิ้ม ทำให้อีกฝ่ายชี้นิ้วเร่งให้เธอทำงาน เธอจึงไม่พูดอะไร เร่งมือตามคำสั่ง จัดการวางกอกล้วยไม้ใส่กระถางไม้บรรจุถ่าน อีกพันธุ์หนึ่งวางในกระถางบรรจุกาบมะพร้าวสับ ส่วนต้นยาวเธอจัดการอัดกาบมะพร้าวแน่นกว่าเดิม พลางวางแขวนเรียงตามราวให้ จนอีกฝ่ายเกิดคำถาม
“เธอเคยเพาะกล้วยไม้มาก่อนหรือ”
วรินธรเก้อไป เพราะความลืมตัวโดยแท้ อย่างไรก็ตามเธอตอบตามตรง “เคยเพาะขายได้หลายตังอยู่ เพาะในถ่านแบบนี้ ในกาบมะพร้าว ในวุ้นก็มี ในวุ้นนี่ง่าย สะดวกสบายกว่าคุณแม่ของหมอหนึ่งเคยลองไหมคะ ฉันรู้จักวุ้นยี่ห้อดีๆ ปลูกง่าย ในนั้นมีสารอาหารพร้อม มีหลายแบบให้เลือกด้วย ถ้าแม่...ของหมอหนึ่งอยากจะขาย...”
“ฉันไม่เคยคิดจะเลี้ยงไว้ขาย” ประโยคเรียบๆ ขัดเสียงต่อยหอยได้ชะงัก วรินธรเก้ออีกรอบสอง
“อ้อ งั้นชอบผสมพันธุ์ยากๆ เอาไว้ดูเล่นเหรอคะ ฉันมีเมล็ดกล้วยไม้ป่าเยอะแยะ ถ้าแม่ของหมอหนึ่งอยากได้...”
“เธอเป็นเซลล์ขายกล้วยไม้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
วรินธรฉีกยิ้ม ตอบหน้าตาเฉย “ที่จริงฉันเป็นแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว อยู่ในเมืองตรงตลาด... ลูกค้าเยอะเป็นบางเวลา ทำทั้งน้ำข้น น้ำใส น้ำตก เย็นตาโฟก็มี ก๋วยเตี๋ยวต้มยำก็ได้ แต่ที่เด็ดที่สุดคือสูตรมะนาวกับหมูเด้งทำเอง ลูกชิ้นก็ปั้นเองด้วย ถ้าแม่สนใจเดี๋ยวฉันให้นามบัตรร้านก๋วยเตี๋ยวค่ะ” เธออุปโลกน์ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเดียวที่รู้จักดีขึ้นมาทันใด
คราวนี้คนเป็นแม่คงยอมแพ้ยอมให้เธอพูดจนจบประโยค สายตาบอกว่าเพลียแต่ก็เจือรอยยิ้มขึ้นมาแวบหนึ่งอย่างที่คนจ้อบอกตัวเองว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ร้านก๋วยเตี๋ยวทำไมต้องมีนามบัตร”
“ของอย่างงี้ ก็มีเพื่อการตลาดไงคะคุณแม่...ของหมอหนึ่ง ไม่งั้นฉันจะทำกำไรได้ยังไงล่ะ แต่วันนี้ฉันไม่ได้พกมาสักใบ ชื่อร้านมาชิมกับชิมค่ะคุณแม่ ข้ามสะพานคลองน้ำไหล เลยสี่แยกตลาดไปหน่อยก็เจอแล้ว เดี๋ยวเริ่มขยายสาขาไปทั่วกรุง ถ้ามาตั้งแถวนี้เมื่อไหร่คุณแม่อย่าลืมไปชิมนะคะ” คนฟังมองเธออย่างสนใจ วางมือจากการจัดกระถางและถามตรงๆ
“เธอก็ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง นึกยังไงถึงเป็นทอม”
“อ้าวแม่ก็ ทอมนี่ต้องอยู่เฉยๆ ห้ามทำอะไรเหรอ แล้วจะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าวล่ะ”
แม่เอ็ดเสียงเขียว “อย่ามาย้อนฉัน” เธอหัวเราะตอบและรีบลุกทำตามคำสั่ง ถึงพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งใช้งานเธอไม่ได้หยุด แต่เธอไม่ถือสา เพราะโรงเพาะชำก็เหมือนบ้านหลังที่สองของเธอ เธอสามารถขลุกอยู่กับงานสวนได้เป็นวันอย่างถึกทน ยกเว้นอากาศจะร้อนเกินพิกัดเท่านั้น นี่ก็ใกล้เที่ยง คนสั่งคงเหนื่อย นั่งเหงื่อย้อยเพราะแดดเริ่มเปลี่ยนทิศส่องเข้าโรงเรือนโดยตรง
วรินธรลุกหยิบกระติกน้ำพร้อมแก้วตักส่งให้หญิงสูงวัย ซึ่งดูเหมือนจะเกิดอาการเคืองกับรอยยิ้มระรื่นของเธอ เพราะแกล้งไม่สำเร็จ แถมยังเข้าตัวต้องเหนื่อยร้อนเองอีก
“เราไปศาลาดีกว่า แม่...ของหมอหนึ่งหิวหรือยังคะ ใกล้เที่ยงแล้ว” คำเว้นวรรคสรรพนามทำให้คนฟังหมั่นไส้นัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หล่อนจึงย้ายตัวเองมาในศาลาตามคำบอก วรินธรวางตะกร้าผลไม้จากในครัวตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาใจ พลางสบตา แม่วิจารณ์ว่า
“ดูๆ ไปเธอก็ไม่เหมือนทอมสักเท่าไหร่”
เธอขำ ยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งขึ้นเป็นเครื่องหมายถูก “ฉันไม่ใช่ทอมนี่นา”
“ไม่ใช่ทอมแล้วทำไมชอบกับลูกสาวฉัน”
“อ้าว แม่อยากให้ลูกสาวตัวเองเป็นดี้เหรอคะ” คำตอบจากแม่คือตาเขียวปั๊ดจนเธอหัวเราะ รีบเอ่ยต่อ
“แม่คงยังไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้เค้าไม่ได้มีแต่ทอมกับดี้นะจะบอกให้ เขายังมีเกย์ เลสเบี้ยน ผู้หญิงข้ามเพศ ผู้ชายข้ามเพศ หรือพวกที่เรียกตัวเองว่าไบเซ็กชัวก็มีอีก ไบที่แปลว่าสองอ่ะแม่ ถ้าไตรแปลว่าสาม เตรตะสี่ เพนตะ ห้า... เยอะเข้าก็มัลติเปิล”
แม่ขมวดคิ้วเบรกความไปเรื่อย และกลับถาม “มันต่างกันยังไงที่เธอว่าน่ะ”
วรินธรหัวเราะ ใช้เวลาแจกแจงความหลากหลายทางเพศให้แม่ฟังพอสังเขป คนฟังยังคงขมวดคิ้วไม่หาย “ยังจะมีคิง ควีน เมะ เคะ อดัม เชอรี่ สามย่าน...” แม่รีบถามขัดเพื่อสรุป “แล้วเธอเป็นพวกไหน”
เจอถามตรงๆ คนตอบก็ย้อน “แล้วแม่คิดว่าฉันเป็นพวกไหนล่ะคะ”
“เอ๊ะ ผู้ใหญ่ถาม ทำไมต้องย้อน”
เธอหัวเราะเอิ้ก เลยต้องคิด “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อ๊ะ แม่อย่ามองฉันอย่างงั้น ฉันไม่ได้สับสนเลือกไม่ถูก แต่ก่อนฉันอาจจะสับสนไม่รู้ว่าตัวเองคืออะไร ฉันเคยเป็นผู้หญิงปกติ ฉันเคยชอบผู้หญิง แล้วฉันเคยลองเป็นทอมตัดผมสั้นแบบ...นี้เลย” เธอทำไม้ทำมือ คนฟังเลิกคิ้ว
“เกรียนติดหนังหัวน่ะเหรอ”