บทที่ ยี่สิบสี่ Twinkle Twinkle Little Star
กานต์ชนิตกลับบ้านในตอนบ่ายแก่ พบแม่ของหมอหนึ่งกำลังทำกับข้าว แม่จึงถามถึงอาการ เธอจึงเล่าให้ฟังว่าไม่มีปัญหาอะไร ร่างกายปกติดี แค่ความทรงจำยังไม่กลับมา คนถามรับฟังก็ย่นหัวคิ้วตามด้วยคำบ่น เธอรับฟังด้วยสีหน้าสุภาพอดทนจนจบ เธอจึงได้โอกาสถามถึงพาย แม่บุ้ยปากไปทางห้องนอนแขกและบอกว่าหลับกลางวัน เธอเลิกคิ้ว คนอย่างพายน่ะหรือจะหลับกลางวัน
“คงจะเป็นคนเมืองไม่เคยทำงานออกแดด ใช้ช่วยจัดกระถางนิดๆ หน่อยๆ ก็เหนื่อยซะแล้ว”
กานต์ชนิตยิ้มแหะ นี่แม่ของหมอหนึ่งใช้งานหล่อนระดับไหนกันถึงทำให้คนถึกอย่างกับลาต้องรีบขอตัวไปนอนพักผ่อน แม่ตักแกงใส่ถ้วยและปิดฝา ยกใส่ตะกร้าและส่งให้เธอ เธองุนงงว่าอะไร
“เอาไปให้บ้านหมอรสหน่อย วันนี้อุตส่าห์เป็นธุระให้ตั้งหลายอย่าง”
“หมอรสยังไม่กลับบ้านหรอกค่ะ เมื่อครู่นี้บอกว่าจะอยู่ทำงานที่โรงพยาบาลต่อ”
“หมอรสขยันจัง ไม่เป็นไรนี่เป็นอาหารสำหรับคุณลุงหมอก็ได้”
ใคร? คุณลุงหมอ?
แม่ทำหน้าเอือมกับความจำเสื่อมของเธอและเล่าต่อ “คุณลุงหมอก็คุณพ่อของหมอรสไง เธอสุขภาพไม่ค่อยดีจึงพักฟื้นอยู่บ้าน แกงนี่ดีต่อคนเป็นโรคไตด้วยนะ คุณลุงหมอรับประทานได้”
เธอพยักหน้าหงึกๆ รับฟังความรู้ใหม่ และรับตะกร้ามาอุ้มไว้ มองแม่ที่หันไปง่วนทำกับข้าว ก็ชะเง้อมองประตูห้องรับแขก นี่ได้โอกาสแล้วที่จะได้เข้าไปในบ้านหมอรส วรินธรมัวทำอะไรอยู่
เธอหยุดหน้าห้องหล่อนและลองเคาะประตู ก็พบกับความเงียบ จึงเดินไปดูที่หน้าต่างห้องที่รูดม่านปิดสนิทจนมองไม่เห็นภายใน ลองเคาะกระจกเรียกอีกที ก็เงียบเหมือนเช่นเดิม เอ...หรือว่าหล่อนจะไม่อยู่
แม่เดินออกจากประตูหน้าบ้านเห็นเธอเข้าก็ร้อง “อ้าวหนึ่ง ยังไม่ไปอีก เดี๋ยวแกงก็เย็นหมดหรอกลูกคนนี้ แล้วฝากถามไถ่อาการลุงหมอด้วยนะลูก ช่วงนี้แม่ไม่ค่อยได้เข้าไปคุยเลย”
กานต์ชนิตก็เลยต้องรีบเดินข้ามสนามไปยังประตูรั้วของบ้านข้างๆ มีนายทวารในชุดซาฟารีหนึ่งคนยื่นหน้าออกมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็รีบก้มหัวเปิดประตูให้เธอเข้าไปได้โดยง่าย เขาไม่ได้เดินตามเธอมาคงเพราะเห็นว่าเป็นอินทนิลคนที่ไว้ใจได้ล่ะมั้ง
อาณาบริเวณรอบบ้านของรสสุคนธ์ค่อนข้างกว้างใหญ่ มีทั้งสนามหญ้า แปลงดอกไม้ ซุ้มสวนไม้เลื้อยซุ้มหนึ่ง และบ่อปลาขนาดย่อมเห็นไกลๆ อีกมุมหนึ่ง ล้อมอาคารสีขาวขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางเอาไว้ นี่มันบ้านคนหรือปราสาทกันล่ะหนอ เธอเดินถึงลานน้ำพุหน้าบ้าน จึงได้เห็นนายหนุ่มชุดซาฟารีเป็นคนที่สอง เขายืนกลมกลืนใต้ต้นปาล์มใกล้โรงจอดรถ ยืนเงียบๆ แม้จะเห็นเธอแล้วแต่ก็ไม่ทัก เพียงแค่จับจ้องอย่างไม่คลาดสายตาทำให้คนถูกมองกลืนน้ำลายเอื๊อก รู้สึกถึงความไม่เป็นส่วนตัวอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเดินถึงประตูหน้าบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่า เธอก็พบนายทวารอีกสองนาย คราวนี้เธอรีบถาม
“ไม่ทราบว่าคุณลุงหมออยู่ไหมคะ คุณแม่ฝากอาหารมาให้...”
เขารีบผายมือ “เชิญทางนี้ครับ” และเดินนำ จนกระทั่งเธอพบกับผู้หญิงรูปร่างอวบแต่งกายรัดกุมในชุดแม่ครัวคนหนึ่ง หล่อนเห็นหน้าเธอก็ร้อง “อ๊าว คุณหนึ่งเหรอคะ วันนี้คุณหมอรสไม่อยู่ค่า”
เจอความเป็นกันเองแบบนั้น เธอก็ดีใจราวกับได้พบสิ่งมีชีวิตในโลกกว้าง “ฉันทราบแล้วค่ะ เพิ่งแยกจากหมอรสเมื่อกี้นี้เอง นี่อาหารคุณแม่ฝากให้ลุงหมอค่ะ”
“อ้อ นี่ก็ใกล้ได้เวลาอาหารแล้ว เดี๋ยวท่านคงลงมาค่ะ”
กานต์ชนิตร้องอ้อ นึกเสียดายแทนวรินธร หล่อนไปอยู่ไหนเนี่ย ระหว่างรอเธอจึงฆ่าเวลาด้วยการเดินเล่นในห้องรับแขกอันกว้างใหญ่ของบ้าน มีรูปประดับโชว์ตามมุมต่างๆ เป็นภาพวงศาคณาญาติของหมอรสเยอะจนจำหน้าไม่ได้ว่าใครเป็นใคร รู้แต่พวกเขาล้วนมียศมีศรีมีตำแหน่งหน้าที่การงานชั้นสูงกันทั้งนั้น ดูผู้ดี และดูร่ำรวย
หมอรสคงจะเป็นลูกสาวคนเดียว และชายในรูปนี้คือคุณลุงหมอที่ว่า
“มาพบคุณพ่อเหรอ” เสียงทักทำให้เธอหันกลับหลัง หมอรสนั่นเอง คงจะกลับจากที่ทำงาน ในแววตามีรอยยิ้มดีใจ เธอรู้หรอกน่ะว่าการที่เธอมาเหยียบถึงบ้านหล่อนทำให้หล่อนดีใจ
“จำหน้าคุณพ่อได้หรือเปล่า” หล่อนถามอีก เธอจึงส่ายหน้าตามจริง และตอบอธิบายต่อ
“แม่ฝากแกงจืดมาให้ค่ะ บอกว่าดีสำหรับคนเป็นโรคไต”
หมอหน้าขรึมลงไปและพยักหน้า “ฝากขอบคุณคุณอาด้วยนะ นี่อีกเดี๋ยวคุณพ่อคงลงมา...”
“คุณหมอรสคะ คุณหมอท่านเป็นอะไรไม่ทราบค่ะ อาเจียนแล้วก็หายใจไม่ออก”
เท่านั้น หมอขมวดคิ้ว รีบก้าวยาวๆ ขึ้นไปชั้นสองทันที พลางซักถามเรื่องอาหารการกินจากแม่บ้านร่างอวบ เธอไม่ได้ตามขึ้นไปเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และได้รู้ว่าภาระทางบ้านของหมอนั้นใช่น้อย เมื่อเดินออกมานอกตัวบ้าน นายทวารคนหนึ่งจึงเอ่ยปากถาม
“คุณหนึ่งจะกลับแล้วเหรอครับ ไม่อยู่รอคุณหมอก่อนเหรอครับ”
เขาค่อนข้างสูงวัยกว่าลูกน้องทั่วไปของหมอรส และจากท่าทางของเขาทำให้เธอรู้ว่าเขารู้ความเป็นไปของหมอรสไม่น้อย จึงทำให้เธอหันไปคุยด้วย
“ฉันไม่รู้จะอยู่ทำไมนี่คะ เป็นห่วงเหมือนกันว่าคุณลุงหมอจะเป็นอะไรมากไหม”
“ระยะหลังนี่อาการท่านไม่ค่อยดีครับ ท่านเคยเปลี่ยนไตไปเมื่อห้าปีที่แล้ว และไตนั้นก็เริ่มเสื่อมสภาพ ช่วงนี้คุณหมอรสจึงต้องเทียวมาดูอาการท่านบ่อย คงจะเหนื่อยไม่น้อย ทั้งงานโรงพยาบาลทั้งภาระทางบ้าน”
สายตาที่เขามองเธอนั้นคงต้องการจะบอกเพิ่มอีกอย่างว่า ทั้งเรื่องยุ่งๆ ของเธอด้วย เธอยิ้มฝืนๆ ให้เขา
“ฉันแค่แวะมาค่ะ คงช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก”
“คุณช่วยได้มากกว่าที่คุณคิดครับ กระผมทราบมาว่าคุณได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะ ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยังครับ”
กานต์ชนิตไม่ค่อยชอบสายตาคาดคั้นปนกล่าวหาของเขาเท่าใด แต่เธอก็มีมารยาทเกินกว่าจะขัดอะไร จึงพยักหน้าว่าดีแล้ว ถ้าเป็นวรินธรสิคงได้แกว่งปากโต้กลับไปสักอย่างหนึ่ง เอ...ถ้าเป็นวรินธรคงจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ
“ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้มากระยะนี้ สงสัยก็แต่อาการคุณลุงหมอ จะมีทางดีขึ้นบ้างหรือเปล่าคะ”
“ต้องเปลี่ยนไตใหม่เท่านั้นครับ แต่ท่านอายุมากแล้วอาจจะยากสักหน่อย และยากยิ่งกว่าคือหาไตที่เข้ากันได้กับร่างกายของท่าน ครั้งที่แล้วก็ได้มาราวปาฏิหาริย์”
กานต์ชนิตร้องอ้อๆ รีบจดจำข้อมูลเตรียมไปบอกใครอีกคนทันที พอดีกับร่างสูงๆ ของหมอเดินลงมาจากบันได พวกเธอจึงหันกลับไป หมอเดินเข้ามาทักชายตรงข้ามเธอ “มาไวจังนะสุวิทย์ ทางศูนย์อวัยวะว่าไงบ้าง”
เขาส่ายหน้า และยื่นเอกสารแฟ้มหนึ่งให้คนถาม “แต่มีความคืบหน้าจากแลปครับ คงจะเป็นเรื่องดีสำหรับเรา”
รสสุคนธ์พลิกอ่านเอกสารแวบหนึ่ง พลางพยักหน้า โบกมือว่าไปได้แล้ว เขาจึงผงกหัวและเดินจากไป เมื่อหล่อนเห็นหน้าเธอจึงถอนหายใจเฮ้อ
“พี่นึกว่าหนึ่งจะกลับไปแล้ว”
กานต์ชนิตนึกในใจว่าก็อยากกลับเหมือนกันแหละ “พอดีเจอคุณ...สุวิทย์คนนั้น ก็เลยได้คุยกันค่ะ”
“เธอจำสุวิทย์ได้เหรอ”
“ฮึ จำไม่ได้ ก็คุณเพิ่งเรียกชื่อเขาว่าสุวิทย์ไง”
รสสุคนธ์ยิ้มออกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หล่อนกลับบ้าน สายตาหล่อนหวานนักเวลาทอดมองเธอ เธอพยายามบังคับเท้าไม่ให้ก้าวถอยหลังเพราะคิดว่าอย่างน้อยตอนนี้หล่อนก็ต้องการกำลังใจจากอินทนิล เธอฝืนยิ้มแป้นแล้นโชว์ไปก่อนก็ได้
“พ่อฉัน อาการทรุดหนักลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะยื้อไปได้ถึงเมื่อไหร่” หล่อนเปรยอย่างกังวล
“คุณสุวิทย์บอกว่าลุงหมอต้องการไตใหม่”
รสสุคนธ์พยักหน้า “ถ้าไตของฉันใช้ได้ก็ดีน่ะสิ” อันนี้กานต์ชนิตเข้าใจ เนื้อเยื่อของรสสุคนธ์คงจะเข้ากันไม่ได้กับเนื้อเยื่อของลุงหมอ “นี่ขนาดพวกฉันเป็นหมอกันทั้งตระกูลนะ ยังไม่สามารถหาไตดีๆ ให้พ่อได้เลย คนทั่วไป คนไม่มีเงินคงแย่กว่านี้หลายเท่า”
นี่คืออีกมุมของหล่อนที่เธอเพิ่งเคยได้พบเห็น จะว่าไปหล่อนก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ และดูน่าสงสาร ต้องทำอะไรต่ออะไรด้วยตัวคนเดียว
“ไตเทียมสิ เขาไม่ผลิตกันเหรอคะ ได้ยินว่ามีคนประดิษฐ์หัวใจเทียม”
หมอเลิกคิ้ว สบตาเธอยิ้มๆ “ลิ้นหัวใจเทียมรึเปล่า หมอหนึ่ง”
กานต์ชนิตเก้อและดีดนิ้วเปาะ “ใช่ล่ะ ลิ้นหัวใจเทียม”
“ฉันเชื่อน่าว่าเธอความจำเสื่อมจริง”
เธอยิ้มแห้ง ก้าวเดินลงบันไดออกไปยังสวนหน้าบ้าน รสสุคนธ์ชูแฟ้มงานในมือ “ความทรงจำของเธออาจจะกลับมาเป็นห้วงๆ พี่เคยเล่าให้หนึ่งฟังเรื่องงานวิจัยนี่ จากศูนย์วิจัยอวัยวะเทียมแห่งหนึ่ง เขากำลังพยายามประดิษฐ์ไตเทียมให้พ่อของฉัน และบางทีฉันอาจจะไม่ต้องรอใครบริจาคไตก็ได้ ข้อมูลในนี้บอกว่าใกล้ความจริงแล้ว และคงจะเป็นไตเทียมที่ไม่ต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันมากนัก”
เธอร้องอ้อ ทำท่าว่ารู้เรื่อง รับฟังศัพท์ทางการแพทย์ต่อไปอีกยาวยืด จนกระทั่งสายตาไวเห็นใบหน้าใครบางคนตรงมุมตึกของบ้าน เจ้าของหน้าทะเล้นโบกมือให้เธอ พร้อมกับหายวับไปกับซอกเสา
ว่าแล้วว่าคนอย่างวรินธรไม่มีทางจะอ่อนแอปวกเปียกขอนอนพัก นี่มารยาใส่แม่ของหมอหนึ่งเอาไว้แล้วย่องออกมาสำรวจบ้านหมอรสล่ะสิ หล่อนนี่ทำไมถึงชอบทำตัวเสี่ยงนักนะ เหลือบมองหมอรสที่ชี้ชมบางอย่างในรายงาน เธอทำหน้าโง่ใส่จนคนพูดหยุด เริ่มรู้แล้วว่าเธอไม่รู้เรื่อง
“ช่างมันเถอะ” หล่อนปิดแฟ้มฉับ แบมือของตนเองยื่นมาเบื้องหน้าเธอ
“อะไรเหรอ” กานต์ชนิตถาม
ดวงตาที่แสนเผด็จการตอนนี้อ่อนแสงลง เวลาที่หล่อนพูดน้ำเสียงอ้อนๆ “ขอกำลังใจหน่อย”
กานต์ชนิตมองเส้นลายมืออย่างลังเล เส้นหัวใจแยกเป็นสองแฉก อยากจะทำตัวเสแสร้งเป็นยาบำบัดความเครียดให้หมอรสเหมือนกัน แต่เธอแสดงละครไม่เก่งเท่าอีกคนหนึ่งหรอก เธอว่าเธอคิดอย่างไรควรแสดงออกไปอย่างนั้นจะดีกว่า จึงล้วงกระเป๋าหยิบลูกอมวางบนมือหล่อน แล้วอธิบายต่ออย่างเป็นหลักวิชาการ
“น้ำตาลจะให้พลังงาน พลังงานจะทำให้มีกำลัง อมไปยิ้มไปเดี๋ยวใจก็ดีเองค่ะ ฉันต้องขอตัวไปก่อนนะ” จากนั้นรีบหันหลังออกเดิน มือเย็นข้างที่ไม่มีลูกอมคีบต้นแขนเธอหมับจนสะดุ้ง
“เดี๋ยว” เห็นหน้าบึ้งตึงของหล่อนก็รู้ได้เลยว่าอารมณ์หล่อนปะทุใหม่อีกแล้ว
“ทำไมเธอชอบยั่วโมโหฉันนัก”
“ฉันเปล่า...”
“แค่จับมือเฉยๆ เธอก็ทำไม่ได้หรือไง ทีกับผู้หญิงคนนั้น...”
กานต์ชนิตชี้ไปด้านหลังรสสุคนธ์แล้วตะโกน “อ๊าว คุณลุงหมอออกมาได้ยังไง”
รสสุคนธ์หันกลับไปมองทันที กานต์ชนิตสบช่องบิดแขนออกโดยไว แล้วรีบวิ่งหนีกลับบ้าน ฝ่ายหลังจึงรู้ตัวว่าโดนเธอหลอก ได้แต่สบถคำด่าอยู่คนเดียว
ก้าวเข้าสู่บริเวณบ้านตัวเองได้ กานต์ชนิตก็โล่งใจ เหลียวซ้ายแลขวามองหาตัวดีอยู่ไหนกันนะ ยัยบ้ายังไม่รู้จักเข็ด นี่ถ้าลูกน้องหมอรสเห็นหล่อนขึ้นมาจะว่ายังไง กานต์ชนิตจึงได้เห็นใบหน้าแฉล้มเสนอหน้าอยู่กับแม่ของหมอหนึ่งในครัวนี่เอง ดูท่าแล้วจะเริ่มเข้ากันได้ดีไม่น้อย ทั้งที่เมื่อเช้ายังก่อสงครามเย็นจนเครียดกันไปทั้งบ้าน ช่วงเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง วรินธรก็เปลี่ยนใจอคติให้กลับมาดีได้แล้ว ยอมรับล่ะว่าหล่อนมีความสามารถพิเศษด้านนี้ เรื่องหว่านเสน่ห์ใครๆ ไม่ว่าสาวเล็กสาวใหญ่
“หนึ่ง มายืนลับๆ ล่อๆ อะไรตรงนี้” เสียงฟ้าผ่าเรียกสายตาคนในครัวหันมองหน้าบ้าน กานต์ชนิตหันมองพ่อของหมอหนึ่งด้านหลัง แก้ตัวว่า “เปล่าลับล่อนะคะ”
“ก็เข้าบ้านสิ แล้วนี่ออกไปไหนมา”
แม่ได้ยินดังนั้นจึงตอบให้ “ใช้ให้เอาแกงไปให้คุณลุงหมอมา ลุงหมอเป็นยังไงบ้างลูก อาการดีขึ้นหรือยัง”
เธอตอบทันควัน “อาการทรุดหนักเลยค่ะ”
คนถามจึงตาโต ทำให้เธอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกเขาฟังอีกครั้ง แอบมองเห็นวรินธรยืนจัดโต๊ะกินข้าวไกลๆ และหล่อนกำลังก้มหน้าซ่อนยิ้มขำ นี่หล่อนต้องแอบหัวเราะเยาะเย้ยเธอแน่ๆ
“น่าสงสารหมอรสนะ นี่ถ้าคุณนายยังอยู่ก็ดีน่ะสิ...” คนเป็นแม่รำพึงและพูดถึงครอบครัวของรสสุคนธ์ระหว่างอาหารเย็น คนที่ต่อบทสนทนาก็คือพ่อ ส่วนสองคนที่เหลือนั้นนั่งกินเงียบๆ เก็บข้อมูลไม่ให้ตกหล่นราวกับเม็ดข้าวบนช้อนเลยทีเดียว...
......................................................................................
ค่ำนั้นเธอทั้งคู่ยังคงถูกจับแยก กานต์ชนิตอยากคุยกับวรินธรเรื่องอีกฝ่ายไปสืบในบ้านนู้นอยู่เหมือนกัน แต่ติดสายตาขวางๆ ของพ่อหมอหนึ่งดักไว้ เธอจึงต้องเข้าห้องนอนอย่างจำใจ
ตกดึกได้ยินเสียงตึกตักบริเวณระเบียง กานต์ชนิตนอนนิ่งไม่ได้หลับ จึงลืมตาโพลง มองฝ่าความมืดหาต้นเสียง พลันก็ได้ยินเสียงเคาะเป็นจังหวะ คล้ายรหัสเคาะที่พวกเพื่อนของพายมักจะเคาะก่อนเปิดประตูห้อง เธอจึงรีบลุกขึ้นเปิดประตูระเบียง มองซ้ายขวาจนเห็นเงาตะคุ่มยืนแนบประตูกระจกด้านนอก แสงสะท้อนฟันสีขาวเป็นระเบียบที่ส่งยิ้มให้อย่างร่าเริง
“เธอชักจะเป็นงานแล้วสิ”
ไม่รู้ทำไมเธอหมั่นไส้คนพูด หากขณะเดียวกันก็ดีใจ “มาก็ดีแล้ว มีเรื่องจะถาม”
หล่อนเลิกคิ้ว ทำตามคำชักชวนจากเธอ นั่งลงบนเก้าอี้ยาวโค้งมนบนระเบียง เมื่อนั่งแล้วจะเอนได้มุมมองเห็นท้องฟ้าเกลื่อนดาวโดยไม่ต้องแหงนหน้ามากนัก
“หมอหนึ่งคงจะชอบดูดาว” เธอเปรย ทิ้งเรื่องสืบเรื่องสืบราวไปก่อน
วรินธรนั่งลงข้างกัน เอนหลังไขว่ห้างอย่างสบายใจ “ฉันว่าคนอย่างหมอหนึ่งคงไม่ได้ดูคนเดียว พี่หมอรสคงมาดูด้วยเป็นประจำ”
“รู้ได้ยังไง” เธอออกจะทึ่งกับคำพูดหล่อน แต่คำตอบกลับชวนขำ
“เดา”
ก็อดไม่ได้จะขยับขาเตะแข้งหล่อนสักที หล่อนขยับหลบทันเสียด้วย
“พี่หมอรสออกจะน่ารักน่าสงสาร เธอไม่คิดอย่างนั้นบ้างเหรอ”
สายตาวิบวับทำให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเรื่องเมื่อเย็น “ไม่สำเร็จหรอกนะพาย”
วรินธรหัวเราะ เธอจึงเสริม “ฉันสงสารหมอรสอยู่เหมือนกัน แวบหนึ่งยังคิดว่าควรแกล้งทำดีกับหล่อนหน่อย เพราะถ้าหมอหนึ่งมาเห็นฉันทำงี้ใส่หมอรส เธอคงเสียใจ...”
“แล้วทำไมเปลี่ยนใจ”
“ก็... ไม่รู้สิ ฉันคงยังกลัวหมอรสอยู่มั้ง ฉันฝืนทำไม่รอด แล้วถ้าเกิดหมอรสรู้ว่าฉันแกล้งทำ เดี๋ยวก็โมโหอาละวาดขึ้นมาอีก ฉันว่าหมอรสเจ้าอารมณ์ไปนิด ทำให้ฉันไม่อยากยุ่ง”
“ถึงยุ่งไปหมอรสก็ไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก ออกจะร้ากรัก”
คำว่ารักของพายชวนกระตุกส่วนล่างนัก
“คุยตั้งนานสองนาน ตกลงสืบอะไรคืบหน้าได้บ้างไหม”
“ฮึแล้วเธอแอบหนีเข้าบ้านหมอตั้งนาน ไม่สืบอะไรได้บ้างเหรอ”
“ฉันก็ถามเธอ เผื่อว่าจะเจอข้อมูลเดียวกัน”
กานต์ชนิตเหนื่อยกับการโยกโย้จริงๆ จึงถอนหายใจ และเล่าเรื่องที่รู้มาอย่างตรงไปตรงมา เมื่อฟังจบอีกฝ่ายก็พยักหน้า สีหน้าไม่แปลกใจอย่างนี้แสดงว่าหล่อนพอจะรู้อยู่แล้ว
“จากนิสัยพ่อของหมอรส เขาคงเร่งสั่งลูกน้องให้หาไตใหม่ให้เขาเร็วที่สุด” วรินธรบอก
“อย่าบอกว่าเธอแอบเข้าห้องนอนเขาด้วย”
“เปล่า ฉันดูโหวงเฮ้งจากรูปถ่ายในบ้าน” รอยยิ้มกวนประสาทแบบนี้ เธอรู้ทันทีว่าหล่อนอำ
“ฉันไม่จำเป็นต้องทำตัวเสี่ยงทุกเวลาหรอกน่า คนเรามันก็มีสายสืบทางอื่นกันบ้าง”
กานต์ชนิตร้องฮึในลำคอ “แล้วที่แอบเข้าบ้านหมอมาเฟียนี่ไม่เรียกเสี่ยงใช่ไหม”
หล่อนยักไหล่ยิ้มๆ เธอจึงถามต่อ “ข้อมูลจากเพื่อนร่วมทีมของเธอน่ะเหรอ”
การไม่ตอบก็เหมือนคำตอบ กานต์ชนิตต้องระงับความกังวลและเป็นห่วงวรินธรไว้ในใจ เพราะคนดื้อแบบหล่อน ห้ามไปก็เปลืองน้ำลาย ละสายตาดูดาวให้สบายใจดีกว่า
วรินธรเงียบและมองฟ้าเช่นเดียวกัน ทีแรกเธอคิดว่าหล่อนจะหลับ กลับไม่ใช่ หล่อนจ้องเบื้องบนอย่างจับสังเกต ไร้อาการเหม่อลอย มันเป็นลักษณะของคนที่กำลังพบสิ่งที่สนใจจนเกิดสมาธิ
“มองอะไรเนี่ยพาย”
สายตาสีน้ำตาลวาวทองเหล่มองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะจ้องฟ้าต่อ ชี้นิ้วอธิบาย “มองดาวเทียม”
เธอมองบ้าง ยังงงว่าไหนล่ะดาวเทียม “จุดขาวๆ ที่กะพริบแวบๆ น่ะ ที่เคลื่อนได้ เห็นรึเปล่า ใกล้กลุ่มดาวจระเข้”
“กระบวยน่ะเหรอ”
คราวนี้หล่อนส่งยิ้มทางสายตาบอกถึงความชอบใจ และชี้ฟ้าต่อ “ใช่ สูงขึ้นไปอีกหน่อย มีจุดๆ กะพริบ”
“อ้อ เห็นแล้ว ไม่เคยรู้นะว่ามันเป็นดาวเทียม”
“ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าเธอก็ดูดาวเป็น”
กานต์ชนิตจึงได้ทีอวด “ท้องฟ้าก็อยู่ใกล้แค่นี้ เห็นอยู่ทุกวัน ไม่สังเกตก็เกินไป”
แว่วเสียงหัวเราะ “ทำไมรู้สึกเหมือนโดนว่า”
“พวกร้อนตัวก็อย่างนี้”
หล่อนเหล่ตา ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ฉันไม่ค่อยมีเวลาดูท้องฟ้าที่ใกล้แค่นี้และเห็นอยู่ทุกวันหรอก บางวันก็มัวแต่สนใจงานจนไม่ได้มองอะไร”
“ไม่ต้องบอกก็รู้” บางทีการกวนประสาทก็สร้างความสำราญใจเล็กๆ และการได้เห็นรอยยิ้มสนุกของวรินธร ก็สร้างความผ่อนคลายจนเธอนึกอยากเล่าเรื่องให้หล่อนฟัง
“มีช่วงหนึ่งฉันนั่งดูมันทั้งคืน ช่วงที่เขาประกาศว่าจะมีฝนดาวตกน่ะ ดูถึงเช้าแล้วก็ไปหลับในห้องเรียน โดนอาจารย์ลงโทษด้วย แล้วฉันก็แกล้งปวดท้องเพื่อจะไปนอนหลับต่อที่ห้องพยาบาล”
“เธอเนี่ยนะ แกล้งโกหกครู”
เธอยิ้มมุมปาก “ก็ฉันอยากดูดาวอีกในคืนต่อไป ถ้าฉันไม่เก็บแรงไว้ ฉันจะดูได้ยังไง เคยถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยนะ แล้วสอดไว้ในหนังสือคู่มือดูดาว ตอนนี้ไม่รู้ไปเก็บอยู่มุมไหนของบ้านบ้าง”
“แหม เจอแฟนพันธุ์แท้อย่างนี้ต้องทดสอบกันหน่อยแล้ว”
กานต์ชนิตยักไหล่เลียนแบบ เป็นทำนองว่าเชิญได้เลย ซึ่งวรินธรไม่รอช้าจะยิงคำถามใส่ คำถามที่ทำให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายก็ชื่นชอบการชมดาวไม่น้อย และยังรู้ลึกรู้จริงอีกด้วย เพราะนอกจากระบบสุริยะ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ เนบิวลาทั้งหลายแล้ว หล่อนยังโม้ไปถึงเรื่องดาวนิวตรอน หลุมดำ การเกิดดับของดวงดาว จนน้ำลายแตกฟอง
“ดาวนิวตรอนหนึ่งช้อนชาหนักเป็นพันล้านตันเชียวนะ”
“นี่เธอไม่มีคนจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังหรือไง ทำอย่างกับเก็บกด”
หล่อนจึงได้รู้ตัว “เอ้อ ก็เห็นเธอฟังได้ฟังดี นึกว่าชอบ”
“ชอบน่ะก็ชอบ...”
“เอองั้นฟังต่อ”
กานต์ชนิตอ้าปากค้าง ฟังเสียงจ้อต่อไม่หยุด ก็เพิ่งเคยเห็นคนที่ดูบงการไปหมดทุกเรื่องอย่างวรินธร จะมีมุมเด็กๆ ให้เห็นสักที หล่อนขี้เล่นแต่หล่อนดูร้ายกาจ เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นมุมไร้เดียงสาทำให้ไม่อยากขัดใจ พาดแขนไปกับพนักพิง พลางหันหน้าเข้าหาหล่อนน้อยๆ
เวลาล่วงเลยยาวนานเท่าใดไม่ทราบ รู้เพียงคนจ้อเริ่มพลังหมด ตาปรือเอนหัวซบพนักพิง “กานต์หลับหรือยัง”
“ยัง”
“ทำไมฉันกล่อมเธอนอนไม่สำเร็จสักทีล่ะเนี่ย”
เธอขำ “ไม่ยักรู้นะว่าที่พูดมากเล่านั่นนี่ คือจะกล่อมฉันหลับ”
“ก็ใช่น่ะสิ รู้รึเปล่า ฉันทำงี้กับน้องสาวฉันทีไร หลับปุ๋ยอย่างไวเลย”
หล่อนชอบขึ้นประโยคว่ารู้หรือเปล่า เธอเหนื่อยจะตอบว่าไม่รู้ นี่ก็อีกเรื่อง มีน้องสาวด้วยเหรอ เธอก็เพิ่งรู้ ยังไม่ทันถาม คนที่อวดตัวเองว่ากล่อมคนอื่นนอนได้ กลับไถลศีรษะจนพิงไหล่เธอ
กานต์ชนิตหันมองพลางขยับบิดตัวอีกนิด ให้ศีรษะนั้นหล่นลงบนตักเบาๆ หล่อนปรือตามองนิดหน่อย สักครู่ก็ขดตัวเก็บขาพาดเก้าอี้ยาว เธอจึงไล้เส้นผมหล่อนและลูบให้จนคนนอนหลับตาอีกครั้ง และเหมือนจะเข้าสู่ภวังค์หลับในที่สุด กานต์ชนิตบอกตัวเองว่าเธอเองก็คงจะไม่รอด ตาปรือเหมือนกัน ไถลตัวกับเก้าอี้เอนอีกนิด จึงเผลอหลับตามกัน
......................................................................................
ปิแอร์ก้าวลงจากรถยนต์ตามหลังพอล เบื้องหน้าคือร้านอาหารหรูติดแม่น้ำ การที่เขาทำตัวติดหนึบราวกับเป็นเพื่อนซี้ของพอลแต่ชาติก่อนอยู่หลายวัน ก็ทำให้วันนี้พอลไว้ใจเขามากพอจะพามาเจรจาธุรกิจด้วย
และทำให้ปิแอร์ได้รู้ว่า หน้าที่ของพอลในวันนี้คือเป็นเด็กส่งเอกสาร เป็นจดหมายฉบับหนึ่งในมือ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นแทบระงับตัวเองให้สงบไม่ไหว คือคนที่พอลนัดพบวันนี้ต่างหาก
เขาคืออาสิน
พอลจับมือทักทายกับอาสิน “พอดีพวกผมจะไปตีกอล์ฟ พ่อก็เลยฝากเอกสารสำคัญมาให้คุณที่นี่ก่อน นี่เพื่อนของผมครับ ปิแอร์”
ปิแอร์แกล้งเดินช้าก่อนจะปั้นหน้ายิ้มสบตาอาสินราวกับเพิ่งเคยพบ สายตาของอาสินเจือความระแวงวูบหนึ่ง อย่างที่เขาอ่านออกว่าอาสินไม่ต้องการคนนอก ปิแอร์คิดว่าเขาคงต้องทำตัวสบายๆ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่อย่างนั้นไอ้หมอนี่ได้ตามสืบประวัติปิแอร์แน่
พอลเป็นคนช่างพูด ปิแอร์จึงเลือกบทสนทนาเรื่องกอล์ฟคุยกับเขา และดึงอาสินร่วมวงกัน ทำเหมือนคนไม่คิดอะไร ไม่เคยสงสัยอะไร เป็นแค่พนักงานธรรมดาคนหนึ่ง พูดถึงคุณกันเกรา หัวหน้าของเขา จากนั้นขอตัวไปเล่นกอล์ฟในตอนบ่าย เขาใช้เวลาระหว่างเล่นกดข้อความหาเพื่อน ...อาสินได้รับจม.จากพ่อของพอล หาวิธีให้รู้ข้อความในจม.ให้ที...
ยางโทนตอบกลับมา ...เดี๋ยวสนฉัตรจัดการ...
ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเพื่อนซี้แล้ว เขาจึงได้ขับรถเข้าออฟฟิศ
“ไง” ยางโทนทักเมื่อเขาก้าวเข้าห้อง “วันนี้คุณปิแอร์หล่อเฟี้ยวไปเลยนะครับ”
เจฟหัวเราะ นั่งลงบนเก้าอี้ล้อเลื่อน “ไหนแกดึงข้อมูลออกจากกล่องได้ถึงไหนแล้ว ไอ้สนจัดการตามจม.นั่นหรือยัง”
“ใจเย็นๆ ได้ไหมครับเพื่อน ทีละเรื่อง”
เจฟถอนหายใจระบายความตึงเครียด ยางโทนคลิกหาข้อมูลแฟ้มหนึ่งและผายมือ “เอาเรื่องข้อมูลจาก กล่องที่พวกแกขโมยจากหมอได้ก่อน”
เจฟตั้งหน้าตั้งตาอ่านอยู่นาน “นี่มันเอกสารอะไร”
“เอกสารงานวิจัย” โทนยานคางตอบ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เจฟตวัดสายตามองเพื่อน “วิจัยเกี่ยวกับ?”
“นวัตกรรมอวัยวะเทียม”
คนฟังเลิกคิ้ว นึกเชื่อมโยงข้อมูลทุกอย่างที่รู้มาไม่ออก “หมายถึงผลิตอวัยวะเทียม เพื่อมนุษย์?”
“ทำนองนั้น เขาวิจัยหลายอย่าง ขาเทียม แขนเทียม กะโหลกเทียม กระดูกเทียม หรือแม้กระทั่งอวัยวะภายในอย่าง ปอด หัวใจ ไต ตับ กระเพาะอาหารก็มีการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อกับวัสดุสังเคราะห์ประเภทหนึ่ง...”
ยางโทนร่ายยาวตามประสาคนไม่ค่อยเจอใครให้เล่าเรื่อง เจฟกุมหัวรีบโบกมือและสรุป “คือมันผลิตไปทุกอย่างว่างั้นเถอะ ก็ดีแล้วนี่ แล้วทำไมถึงต้องวิจัยแบบลับๆ ล่อๆ แลปอย่างนี้ไม่ต้องเอาไว้ใต้ดินก็ได้นี่นา”
ยางโทนยิ้ม “นั่นแหละที่น่าสงสัย ฉันก็สงสัย” เขาลากเก้าอี้เลื่อนไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง กดคีย์บอร์ดชั่วครู่ หน้าจอก็ปรากฏข้อมูลบางอย่าง ซึ่งเจฟเคยได้ดูมาแล้ว มันเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งจากเซฟตี้บ๊อกซ์ของอีเว้นท์ดีเทคทีฟ ก่อนที่มันจะถูกขโมยไป ข้อมูลส่วนนี้กระท่อนกระแท่นคาดเดาไม่ถูก
“ฉันพยายามปะติดปะต่อเอกสารจากโฮลแลป มันยากนิดหน่อย แกก็รู้ว่าสมองดร.โฮลยิ่งกว่าลิ้นชักสิบแปดล็อก แกกลัวใครล้วงเจอ ก็เลยแยกส่วนข้อมูลออกจากัน ไม่ให้เรียงลำดับจับใจความได้ง่าย แต่ทีนี้พอเรารู้เรื่องงานวิจัยอวัยวะเทียม ฉันก็เลยพอจะเดาได้... เช่นงานวิจัยชิ้นนี้ เป็นเอกสารแนบของการผลิตไตเทียม บอกถึงปัญหาต่างๆ ที่พบ สรุปความว่าพวกเขายังผลิตไตไม่ได้ หรือทำได้แต่มีปัญหา ใช้กับคนจริงไม่ได้ เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ เอกสารแนบคือรายละเอียดของข้อบกพร่อง”
เจฟมองอย่างสนใจและวิจารณ์ต่อ “ที่มีปัญหาล้วนแล้วแต่เป็นอวัยวะภายใน แกเห็นไหม”
“แกเคยเรียนหมอนี่ ข้างนอกกับข้างในอันไหนทำง่ายกว่ากันล่ะ”
ใบหน้ากวนๆ ของคนถาม ทำให้เขารู้ทันทีว่ามันคิดลึก ก็เลยศอกใส่กลับหนึ่งที ยางโทนหลบทันและหัวเราะ เสียงข้อความเข้า ยางโทนรับข้อความจากสนฉัตรและหันมาบอก
“ไอ้สนบอกว่าเป็นข้อความนัดหมาย” เจฟรอฟังต่อ ขณะที่ยางโทนขมวดคิ้ว หยิบดินสอออกมาแปลรหัสจากข้อความของสนฉัตร เจฟรีบมองดู เพราะการส่งเป็นรหัสลับหมายถึงข้อมูลสำคัญไม่อยากให้รั่วไหล
“เป็นวันเวลา สถานที่ มันคือการส่งมอบของสำคัญ”
เจฟคีย์พิกัดดาวเทียมที่ยางโทนเขียนใส่กระดาษใส่คอมพิวเตอร์ ใช้เวลาไม่นานจึงปรากฏสถานที่
เป็นบ้านหลังหนึ่ง ที่เจฟใช้เวลาไม่นานก็รู้ว่าบ้านใคร เพราะเขาเคยแอบต้อมๆ มองๆ ตามเพื่อนสาวตัวแสบของเขามาแล้วหนหนึ่ง
“บ้านหมอรส”
“ส่งมอบอะไร ไอ้สนบอกไหม”
ยางโทนส่ายหน้า “ข้อความคงจะไม่บอกอะไรมากนัก แต่เวลาคือวันมะรืนนี้”
“งั้นคงต้องบอกไอ้พาย” พร้อมกับล้วงหามือถือ แว่วเสียงยางโทนหัวเราะหึๆ “ถ้ามันจะรับสายแกล่ะนะ แกว่ามันมีแฟนแล้วลืมเพื่อนหรือเปล่าวะ”
เจฟอ้าปากเหวอ “แกโทรหามันแล้วเหรอ”
“โทรมาหลายรอบแล้ว มันคงไม่สะดวกรับสาย นี่ได้ข่าวว่าได้รับการต้อนรับเข้าบ้านอย่างดี เปิดตัวกับพ่อกับแม่อย่างเป็นทางการแล้วว่ะ อีกหน่อยคงได้ลั่นระฆังวิวาห์”
เจฟเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะอมยิ้ม “ถึงรอบนี้มันจะทำตัวบ้าเกินไปหน่อย แต่ฉันยังมั่นใจว่ามันกลัวการผูกมัดอยู่ ฉันถามอะไรมันมันยังปฏิเสธเสียงแข็งอยู่เลย”
“เอออันนี้จริง ฉันถามมันก็ไม่บอกเหมือนกัน พวกหลอกตัวเองไม่ยอมรับความจริง” ยางโทนได้ทีรีบนินทาต่อไม่ยั้ง แว่วเสียงข้อความอีกครั้ง ยางโทนก็ประกาศ “ส่งมอบไตเทียม”
ทำเอาสองหนุ่มหันมาสบตากัน ก็ไหนว่านวัตกรรมมีปัญหา ใช้กับคนจริงไม่ได้ แล้วเอาไตที่ไหนมาส่ง
“คราวก่อนแกบอกว่าพ่อหมอหนึ่งป่วยรึเปล่า ป่วยเป็นอะไร”
“เออก็เพราะเรื่องนี้ ฉันเลยโทรถามมันไง แต่เดาไม่ยากหรอกนะว่าป่วยเป็นโรคอะไร แต่ฉันว่ากลิ่นไม่ดีเท่าไหร่”
เจฟครุ่นคิดพักใหญ่ จึงตัดสินใจกดมือถือโทรหาเพื่อนรักอีกครั้ง และแล้วอีกฝ่ายก็กดรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
เสียงไม่คุ้นเคยทำให้เจฟตาโต สบตายางโทนว่าไม่ชอบมาพากล ควรแกะรอยตามสายโดยด่วน ยางโทนรีบกดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ทันที พลางบอกเพื่อนให้ถ่วงเวลาไว้ก่อน
“เอ้อ ไม่ทราบว่าผมโทรมาผิดเบอร์หรือเปล่า”
ปลายสายเสียงขรึม “จะขอสายใครคะ”
เจฟงงหนัก ได้ยินเสียงใครอีกคนไกลๆ ได้ยินไม่ถนัดนัก “ขอสาย...น้ำชาครับ”
“เออฉันเอง น้ำชา” เสียงเพื่อนรักกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับหันกลับไปแว๊ดใครบางคนด้านหลัง “เธอถือวิสาสะรับโทรศัพท์ฉันได้ยังไง เฮ๊ย ไม่มีมารยาท”
“ว่าไง ฉันยังไม่ได้ดื่มน้ำชา” มันย้ำรหัสความปลอดภัยอีกครั้ง ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะด้านหลัง เจฟรู้ทันทีว่าใครกันที่รับสายในคราวแรก โบกมือให้ยางโทนว่าไม่ต้องสืบอะไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว ทำเอาเขาทำหน้างง
“ใครรับสายอ่ะพาย หมอหนึ่งเหรอ”
แว่วเสียงถอนหายใจพร้อมสบถ และปิดประตูดังปัง “เออ” เสียงก้องๆ ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาในห้องน้ำ
“ถึงแกจะชอบหล่อนขนาดไหนก็ไม่ควรให้รู้ความลับมากขนาดนี้นะ” เจฟเตือนเรียบๆ
“ฉันรู้ แกอย่าสนใจเรื่องนั้นเลย ฉันระวังตัวอยู่แล้วน่า”
เจฟไม่ชอบใจนัก แต่เพราะรู้จักนิสัยเพื่อนดี ลองได้ปฏิเสธเสียงแข็งอย่างนี้ ล้วงไปก็เหนื่อย ว่าแต่ว่ามันไม่ยักกะปฏิเสธเรื่องชอบหมอหนึ่งแฮะ เจฟดึงความสนใจกลับมาเรื่องสำคัญก่อน จึงเล่าเรื่องที่คุยกับยางโทนเมื่อครู่ให้อีกฝ่ายฟัง
“ไม่ผิดหรอก พ่อของหมอรสเป็นโรคไต และต้องการไตอย่างด่วนที่สุด”
“งั้นแกควรโผล่ไปป้วนเปี้ยนแถวนั้น ตามเวลานัด”
“ไปให้โดนเชือดเหรอวะ” เสียงกวนประสาททำเจฟขมวดคิ้วจนได้
“เออ สละเวลาสวีตกับแม่สาวคุณหมอไปทำงานสักหน่อยเถอะ”
“เฮ๊ย ฉันเปล่า...”
เจฟหัวเราะหึ วรินธรทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ แต่ก็ไม่ได้ค้านอะไรต่อ “นี่ไอ้พาย ตะกี้แกเพิ่งยอมรับกับฉันว่าชอบหมอหนึ่ง”
“อย่ามั่ว ฉันไม่ได้พูดสักคำ”
“ก็แล้วที่เอาตัวไปเสี่ยงตายใกล้ๆ ศัตรู ไม่ใช่เพื่อหล่อนเหรอ”
วรินธรถอนหายใจ เสียงเครียดขึ้นอย่างที่คนฟังรู้ว่านี่ไม่ใช่การกะล่อน “ฉันเสี่ยงตายเพื่อใครคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่หมอหนึ่ง แกรู้ไว้เท่านี้ก็พอ เอาไว้ฉันหาข้อพิสูจน์ได้เมื่อไหร่ ฉันจะเล่าให้แกฟัง”
“เอ๊ะ ยังทำตัวลึกลับไม่เลิก”
“เออๆ ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำให้มันลึกลับ อยากเล่าให้ฟังใจจะขาดแล้วเนี่ย ประสาทจะกิน”
“แล้วทำไมไม่เล่าวะ...”
“เฮ๊ย แค่นี้ก่อน ยัยตัวดีทำอะไรเสียงดังข้างนอกไม่รู้ เดี๋ยวมะรืนฉันจะบอกข่าวเรื่องส่งมอบไตให้รู้ ไปละ”
เจฟอึ้งกับการตัดสายของเพื่อน แล้วหงุดหงิดอยู่คนเดียว ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของยางโทน ที่ส่งมาบอกว่ากรุณาเล่าเรื่องให้ฟังหน่อย มันอยากรู้...
............................................................................................ จบบทที่ ยี่สิบสี่ Twinkle Twinkle Little Star