web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 5
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 55
Total: 55

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเก้า The Things You Are To Me  (อ่าน 3669 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเก้า The Things You Are To Me
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:50:25 »
บทที่ ยี่สิบเก้า The Things You Are To Me

รถไฟชั้นสามกำลังพาเราสองคนออกสู่ชนบท จะไปบ้านพาย บ้านพายอยู่จังหวัดอะไรน่ะเหรอ เธอไม่รู้หรอก ไม่เคยถามและหล่อนก็ไม่เคยเล่า

คิดถึงตรงนี้ กานต์ชนิตก็ลืมตามองภายในตู้รถไฟเบื้องหน้า ผู้โดยสารไม่แน่นมาก บ้างก็นั่งบ้างก็แผ่ตัวนอนไปกับเก้าอี้ มีน้อยคนจะเดินผ่านไปมา ข้างนอกหน้าต่างคือทิวทัศน์อันมืดมิด เห็นแสงไฟเป็นจุดไกลน้อยจุด รู้ทันทีว่ากำลังแล่นผ่านทุ่งหญ้าป่าเขาที่ไม่ใช่ย่านชุมชนอาศัย ขยับตัวเพียงนิดหันมองใบหน้าคนด้านหลัง เธอแทบคลอเคลียริมฝีปากอีกฝ่ายได้ เพราะมันใกล้สายตาเธอเท่านี้เอง ความอุ่นแผ่จากเนื้อตัวหล่อนชวนให้เธอพิงใบหน้าซบลงซอกคอหล่อนอย่างเดิม

ท่านั่งของวรินธรไม่น่าสบายนักหรอก หล่อนนั่งเอนหลังพิงมุมระหว่างพนักเก้าอี้กับผนังตู้รถไฟ ศีรษะซบไปทางหน้าต่าง สายตาเธอไล่มองท่อนแขนเรียวยาวโอบกระหวัดประคองกัน มองขาตนเองที่ทอดเคียงไปกับเรียวขาของพายในกางเกงผ้าซึ่งต้องแยกออกเว้นพื้นเธอให้เธอนั่งแล้วเกร็งหนีบเธอไว้ไม่ให้หล่นจากเก้าอี้ แทนที่จะได้นั่งสบายปกติ ไม่ต้องเกร็งแขนเกร็งขาอย่างนี้ แต่คงเพราะหล่อนง่วงมากจึงได้หลับหนีความเมื่อย ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ พายคงระบมเนื้อตัวไม่ต่างจากที่เธอระบมแผลบนหลังนักหรอก

เธอไม่เคยคิดจะชอบผู้หญิงด้วยกัน แทบไม่เคยจินตนาการถึงด้วยซ้ำไป

จนกระทั่งตอนนี้

บางทีอาจจะไม่ใช่เพศ อาจจะเป็นเพียงตัวบุคคลที่จะบอกว่าสามารถปกป้องดูแลกันได้หรือเปล่า จะทุ่มเทพยายามให้กันแค่ไหน ถ้าใครตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเธอ อยู่ในอ้อมแขนคนอย่างพาย..อย่างตอนนี้ ถ้าไม่หลงรักหล่อน ยินยอมให้เตะสักสามป้าบ อาจจะมีคนเถียงและอยากยกเท้ามาเตะเธอสามป้าบก็ได้ เพราะเขาคงคิดว่าผู้หญิงอย่างพายไม่เห็นนิสัยดีตรงไหน ลึกลับไม่เหมือนคนปกติ แล้วก็บู๊เว่อร์เป็นนินจา โอเค เธอไม่เถียง ถ้าแบบนั้นก็แล้วแต่เขา สเป๊กคนเราย่อมแตกต่างกันได้

กานต์ชนิตยิ้มกับตนเอง ทำยังไงได้ล่ะ ก็หลงรักไปแล้ว ก็ไม่เคยคิดอีกนั่นแหละ ว่าจะหลงรักใครได้เพิ่มขึ้นทุกวัน ยิ่งเจอกันยิ่งอยู่ด้วยกัน มันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ถ้าเธอเป็นคนธรรมดาก็คงจะดี ไม่เป็นตัวประหลาดวับๆ แวมๆ เปลี่ยนสถานะเป็นวิญญาณหน้าตาเฉย แต่ก็ดันเป็นแบบไม่สุด โดนตีก็ดันเจ็บตัวได้เหมือนคนปกติอีกต่างหาก สร้างภาระแทนที่จะแบ่งเบาเอาจนได้

“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงใกล้หูดังขึ้น กานต์ชนิตดับความคิดเลื่อนลอย มองแววตาปรือเหมือนคนเพิ่งตื่นแวบหนึ่งก็หันหน้ากลับมา

“อืม ตอนนี้กี่โมงเหรอพาย”

“ไม่รู้สิ” วรินธรขยับมือเป็นการบอกว่าเพราะมือเธอบังนาฬิกาเอาไว้จะรู้เวลาได้ยังไง กานต์ชนิตยืดตัวเพื่อให้อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าบ้าง แต่วรินธรบอกว่า “ไม่ต้องขยับหรอก กำลังสบายเลย ตัวเธอไม่เย็นแล้วกานต์ เริ่มอุ่นแล้ว”

วรินธรงึมงำบอกและโน้มตัวเอนพิงกันเหมือนเดิม เสียงลมหายใจผ่อนคลายทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโล่งใจ หากจะมีสิ่งใดทำลายความเข้มแข็งของพายได้ คงจะเป็นเรื่องนี้

“หลับต่อไหม” เธอถาม อีกคนร้องอืมแต่กลับถามต่อ “เธอทุเลาเจ็บแผลหรือยัง”

“ถ้าเธอไม่ทักไม่ถามถึงมันก็ไม่รู้สึกเจ็บ”

คนฟังหัวเราะในลำคอ “โอเค งั้นฉันจะไม่ถาม”

กานต์ชนิตรู้สึกแปลกใจในน้ำเสียงอ่อนระโหย หันไปเพื่อทาบหลังมือกับหน้าผากและซอกคอของหล่อน รับรู้ได้ทันทีว่าตัวรุมๆ ที่แก้มเริ่มเห็นรอยม่วงจางๆ จากการต่อสู้ ผสมกับความแดงเรื่อของพิษไข้ กานต์ชนิตถอนหายใจคงเพราะเจ็บตัวฟกช้ำแล้วยังตัวเปียกชื้นเป็นเวลานาน เธอจับเสื้อเชิ้ตขาวบางของหล่อนก็โล่งใจว่ามันหายชื้นแล้ว แต่ความบางนั้นอาจเป็นสาเหตุทำให้หล่อนเป็นอย่างนี้ เธอฝืนความเจ็บบนหลังถอดเสื้อคลุมออก

“ทำอะไร ถอดทำไม” คนเริ่มไข้ยืดตัวตรงอย่างไม่เห็นด้วย

“เอาน่า ใส่ไว้” เธอคลุมเสื้อบนตัวอีกฝ่าย พยายามยัดแขนของวรินธรเข้าแขนเสื้อให้แต่วรินธรไม่ค่อยให้ความร่วมมือนัก

“ใส่ทำไม แล้วเธอล่ะ อากาศเย็นนะกานต์ เดี๋ยวจะหนาว”

กานต์ชนิตจ้องตาคนพูดนิ่ง “ใส่ไว้” วรินธรเงียบ ยอมให้แขนไหลเข้าเสื้อโดยง่าย เมื่อเรียบร้อยกานต์ชนิตจึงเอื้อมมือดึงกระจกหน้าต่างลงปิดกันไอน้ำฝนเข้า หันกลับมามองแววตาอ่อนใจ

“อุ่นรึเปล่า” กานต์ชนิตถามเบาๆ

วรินธรถอนหายใจพลางพยักหน้า คนมองได้แต่ยิ้มพลางเอนตัวพิงหล่อนไว้เหมือนเดิม สักครู่วรินธรจึงยกแขนกอดเธอแน่นเข้าเปี่ยมความรู้สึก “ขอบใจ คนบ้า ไม่กลัวหนาวตายก็ตามใจ”

“ไม่กลัวหรอก มีคนกอดอยู่นี่ทั้งคนนี่”

วรินธรเขกหัวเธอเบาๆ ป๊อกหนึ่ง “ตัวยุ่ง”

“จ้า คนเก่ง ถ้าเธอตัวร้อนขึ้นมาฉันจะสมน้ำหน้าให้”

“ไม่ร้อนหรอก ระดับนี้แล้ว” หล่อนอวดพลางประทับความอุ่นนุ่มจูบลงบนขมับของเธอหนึ่งที แล้วอย่างนี้เธอจะรู้สึกหนาวได้อย่างไร แค่หมั่นไส้ยังทำไม่ลง

เวลาผ่านไปเธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับ และเธอเองก็คงยังไม่หลับง่ายๆ เธอจึงเริ่มถาม

“บ้านของเธออยู่ที่ไหนเหรอ”

วรินธรตอบชื่อจังหวัดหนึ่งไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก และนับเวลาที่ออกเดินทางจนขณะนี้ คงเหลืออีกไม่ใกล้ไม่ไกล “แต่ว่าอาจจะต้องลำบากหาทางเข้าไปในหมู่บ้านเพราะเราจะถึงตอนดึกมาก ตอนเช้าๆ อาจจะมีรถโดยสารจากสถานีรถไฟออกไปได้”

“อืม แค่ไม่ต้องเดินก็พอใจแล้ว”

“ถึงบ้านแล้วเราคงมีของกินอร่อยๆ มีที่นอนอุ่นๆ มีห้องน้ำสะอาดให้อาบสบายตัว ไม่ต้องทนลำบากอย่างนี้นะกานต์” คำบรรยายเรียกรอยยิ้มให้เธอ ให้เธอได้เคลิ้มจินตนาการฝันถึงหนทางดีๆ ข้างหน้า

“ดีจัง อีกไกลไหมนะหืม”

“ไม่ไกลเลย หลับอีกตื่นเดียวก็จะถึงสถานีบ้านฉันแล้ว” วรินธรกำลังพยายามกล่อมเธอหลับ หล่อนรู้ตัวหรือเปล่าว่าหล่อนเป็นคนน่ารักที่แสนจะอบอุ่น น่าหลงใหลเพียงใด

กานต์ชนิตยิ้มอย่างเป็นสุข แต่เธอไม่ได้เคลิ้ม อาจเพราะมีเรื่องสำคัญคอยรบกวนใจ

“พาย”

“หืม”

“เธอเคยอ่อนแอบ้างไหม...” กานต์ชนิตกำลังนึกถึงน้ำตาของพาย น้ำตาของคนที่เธอคิดว่าเข้มแข็งไม่กลัวอะไรแม้ว่าจะหนักหนาแค่ไหน “อ่อนแอแบบว่าไม่รู้จะทำยังไงดี หาทางแก้ปัญหาไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟาย ทำตัวไร้สาระ ไร้แก่นสารน่ะ”

“กำลังจะถามอะไรฉันเหรอกานต์”

“ฉันแค่...” นั่นสินะ เธอจะถามอะไรกันนะ เธออยากรู้อะไรกันล่ะ “แค่อยากรู้เฉยๆ มั้ง”

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปเหมือนไม่อยากตอบ ถ้าเกิดจะไม่ตอบ เธอก็ไม่ถามก็ได้ กำลังจะอ้าปากบอกว่าช่างมัน วรินธรชิงพูดตอบเสียก่อน

“คงเคยเมื่อสมัยเด็ก ฉันคงงอแงหิวนมบ้าง”

กานต์ชนิตค่อยยิ้มออก กลัวจะไปกระทบบางสิ่งสำคัญของหล่อนเข้า แต่กวนแบบนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย

“เอาแบบว่าหย่านมแล้วสิ แบบจำความได้แล้ว สมัยเธออายุสักกี่ขวบดีนะ”

“สี่ขวบเหรอ”

“อืม สี่ขวบก็ได้”

“สี่ขวบ คือตอนแม่แท้ๆ ของฉันตาย”

คนถามสะอึก เหล่ตามองคนด้านหลังว่านี่โกรธแล้วเอาคืนเรื่องเธอละลาบละล้วงหล่อนหรือเปล่า พอเห็นสีหน้าขำจึงได้เข้าใจว่าโดนแกล้ง “ยัยบ้า” เธองึมงำ

วรินธรส่งเสียงคิกคัก “แม่ฉันตายใครก็รู้ เพราะไม่ได้ตายคนเดียว ตอนนั้นตึกแถวในเมืองเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ลุกลามหลายคูหา ครอบครัวฉันมีกิจการที่นั่น ตอนเกิดเหตุ พ่อแม่และฉันอยู่ในตึกนั้นด้วย เพราะไฟลุกลามอย่างเร็วและแม่ฉันหนีออกมาไม่ทัน ท่านจึงเสียชีวิต”

ก็น่าอยู่หรอกที่หล่อนจะไม่อยากตอบคำถามเธอ ฟังดูเป็นเรื่องสะเทือนใจไม่น้อย

“แล้วเธอกับพ่อเธอล่ะ”

“พ่อฉันไม่ตาย อุ้มฉันออกมาทัน”

“งั้นโชคดีเหลือเกินที่เธอรอด และพ่อเธอก็รอดด้วย”

วรินธรเงียบอีกครั้ง คราวนี้เธอได้ยินเสียงฮึในลำคอราวกับประชดประชัน อะไรอีกหนอ... หากวรินธรไม่เปิดโอกาสให้เธอถาม

“หลังจากแม่ไม่อยู่ ฉันก็ร้องไห้ฟูมฟายตามประสาเด็ก แต่สักพักก็ทำใจได้”

กานต์ชนิตเกือบลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่ถามอะไร การที่วรินธรลากเธอกลับมาประเด็นเดิมคงเพราะไม่อยากเอ่ยถึงประเด็นนั้นแน่ เธอตามใจหล่อนก็แล้วกัน เธอไม่ใช่คนชอบซักไซ้ให้คนอึดอัดหรือคุ้ยดูแผลของใครว่าหายดีหรือยัง

“อืม ดีแล้วล่ะ แล้ว...แค่ตอนสี่ขวบเหรอ ตอนโตเป็นวัยรุ่นล่ะ ร้องไห้บ้างไหม”

“เธอถามฉันเพื่อหาจุดอ่อนของฉันหรือกานต์”

คำกล่าวหามาอีกจนได้ “ฉันถามเพราะชวนคุยต่างหากเล่า”

วรินธรครางหืม คำแก้ต่างเธอไม่ขึ้น เธอรู้ดี “นึกว่าเธอเพราะเห็นฉันร้องไห้เมื่อกลางวันซะอีก”

กานต์ชนิตถอนหายใจ “แสนรู้จัง ถ้าเธอไม่อยากตอบฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา”

วรินธรบีบมือเธอเบาๆ “ฉันเป็นมนุษย์นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีเสียใจเสียดายบ้างไม่ได้เหรอ”

“ก็เพราะอย่างนี้ฉันเลยถามเธอ เพื่อให้รู้สึกว่าเธอเป็นมนุษย์ปกติไง”

วรินธรยิ้มขำ “โดยการถามว่าฉันร้องไห้ตอนไหนบ้างอ่ะนะ ตลกจริง”

“ตลกตรงไหน ตอบมาเถอะน่า อย่านอกเรื่อง” เสียงเธอเริ่มบูดเพราะกำลังจนมุม อีกฝ่ายก็ดันหัวเราะขำล้อเลียนเธออีกนี่

“โอเค เพื่อดับความประสาทคนบางคน ฉันตอบก็ได้ เฮ้อ ปกติไม่เคยแฉหรอกนะเรื่องแบบนี้ เพราะยังไงซะเธอก็ไม่มีวันปากโป้งบอกใครต่อได้อยู่ดี” คนฟังยิ้มกริ่ม กางหูอย่างตั้งใจ

“อีกทีคงตอนหกขวบที่พ่อฉันตาย” นั่นไง ทำให้สะอึกอีกจนได้ วรินธรไม่ได้ขยายความเรื่องพ่อต่อถึงรายละเอียด เธอแอบเป็นห่วงความรู้สึกพายในตอนนั้น จะเป็นอย่างไรกับการสูญเสียพ่อและแม่ในเวลาไล่ๆ กันตั้งแต่เด็ก ใช่สิ่งเหล่านั้นหรือไม่ที่ผลักดันให้หล่อนต้องเข็มแข็ง

“อย่างที่เคยเล่าให้เธอฟัง ฉันยังมีลุงกับป้าของฉันที่ช่วยรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ก็เรียกเขาว่าพ่อและแม่แทน พวกเขาไม่มีลูก พอมีฉันก็ดีใจ รักและเอ็นดูเหมือนลูกคนหนึ่ง การที่ฉันอยากพาเธอกลับบ้านก็เพราะพ่อของฉันอาจจะตอบคำถามเธอได้ เขาไม่ใช่หมอผี แต่เขาเคยบวชเป็นพระ”

เธอร้องอ้อๆ จำได้ล่ะ หมั่นไส้รำไรที่ถูกแซวเรื่องหมอผี อีกฝ่ายเล่าต่อ

“อีกทีที่รู้สึกว่าอ่อนแอก็ตอนมอต้น อายุสิบห้าได้”

อืม อายุสิบห้ามีอะไรให้ร้องไห้กันหนอ กานต์ชนิตแอบนึกหาสาเหตุ “คงไม่มีใครตายอีกแล้วใช่ป่ะ ฉันหวังว่าเธอจะมีปัญหาเรื่องความรักมากกว่า”

คนฟังหัวเราะ “เออไม่มีใครตายแล้ว... ไม่ใช่เรื่องความรักน้ำเน่าอย่างที่เธอจินตนาการแน่นอน ตอนนั้นฉันมีปัญหาเรื่องเก่าๆ เรื่องเดิมๆ ที่ฉันเคยสงสัย แล้วบังเอิญพบความจริงที่ไม่สวยเท่าไหร่เข้า ฉันผิดหวังก็เลยเสียใจ พอจะเรียนรู้วิธีร้องไห้แบบสวยๆ กับเค้าได้บ้าง ก็เลยไม่กระจองอแงจนได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน แล้วก็โชคดีที่เจอเจฟพอดี แทนที่จะได้เศร้าคนเดียว ก็เลยมีเพื่อนให้ร่วมวง”

กานต์ชนิตร้องอ้อๆ ก่อนจะเงียบไป นึกสงสัยอีกหลายคำถามตามมา คนเล่าเองก็คงจมกับความคิดจึงไม่ได้พูดอะไรกันต่อ

“แล้วเธอก็อินเลิฟกับเจฟ แล้วก็ร้องไห้ในตอนอายุสิบเจ็ด หรือเปล่า” จนกระทั่งเธอแหย่ขึ้นใหม่ หล่อนจึงได้ตื่นจากภวังค์ หัวเราะหึๆ

“เดาถูกแต่ถูกไม่หมด ฉันร้องไห้ตอนอายุสิบเจ็ดแต่ไม่ได้อินเลิฟกับเจฟ”

“ร้องทำไมอีกล่ะทีนี้ จะว่าไปเธอก็เหมือนคนปกติเนอะ ก็เสียใจได้เหมือนคนปกติ ฉันคิดว่าเธอจะเก็กทำตัวเก่งตลอดเวลาซะอีก”

วรินธรขำ “ขอบคุณที่จริงใจนะกานต์”

“ฉันจริงใจกับเธอเสมอแหละ”

“ทำไมฉันรู้สึกวันนี้เธอกวนประสาทจัง”

“สงสัยเป็นโรคติดต่อ”

วรินธรอมยิ้ม กระชับกอดโยกตัวกานต์ชนิตเบาๆ ราวกับกำลังปลอบขวัญเธอ เธอไม่ได้ตกใจอะไรสักหน่อยนี่นา กานต์ชนิตเหลียวมองคนด้านหลัง พอสบตากันหล่อนก็บอก “ฉันร้องไห้เพราะลั่นไกปืนยิงคนตายเป็นครั้งแรก”

กานต์ชนิตเกือบครางเสียงหลงออกมา หากว่าไม่ถูกสายตานิ่งตรึงไว้เสียก่อน ถ้อยคำกับความนิ่งเย็นประเภทนี้มันทำให้ชวนผวาในด้านมืดของคนคนหนึ่ง และภาพในโรงหลอมครั้งนั้นก็ปรากฏขึ้นเหมือนประกายแฟลช ในช่วงที่พายยกไขควงขึ้นเสียบอกชายคนหนึ่งจนสิ้นชีวิต เธอไม่ปฏิเสธว่าหล่อนดูน่ากลัวขึ้นมา แต่ว่ามันก็แวบเดียว แวบเดียวแค่เธอกะพริบตา ความรู้สึกอย่างอื่นก็เข้าแทนที่จนทำให้เธอยกมือแตะแก้มอุ่นเบาๆ

“โธ่พาย...”

วรินธรหลับตาลงและกอดเธอแน่นกว่าเดิม “จะสงสารฉันทำไม เรื่องมันผ่านไปตั้งสิบปีแล้ว”

กานต์ชนิตส่ายหน้า รู้ดีกว่าอีกฝ่ายยังฝังใจและหวั่นไหว ถึงแม้จะผ่านไปนานเท่าใดก็ยังติดแน่นในความทรงจำ

“เธอนี่น้า ชอบมีแต่เรื่องให้ฉันสะอึกได้ทุกรอบเลย”

“ก็ใครใช้ให้ถามเรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะหือ มันก็สะเทือนขวัญอย่างนี้แหละ”

เพราะอย่างนี้เหรอถึงได้ปลอบขวัญเธอก่อนจะตอบ “ไม่ตอบซะก็ได้ ถ้ามันลำบากใจเธอ”

“ก็ใครกันที่อยากรู้” วรินธรงึมงำที่ไหล่เธอ ยิ่งทำให้คนฟังแห้งเหี่ยว หล่อนกำลังทำตัวเหมือนหมาหงอยที่น่าสงสาร เธอจะทำอย่างไรปลุกปลอบใจอีกฝ่ายให้ร่าเริงเหมือนเดิมดีหนอ

“งั้นฉันจะไม่ถามเธอแล้ว ฉันอุตส่าห์จะถามเพื่อให้ตัวเองสบายใจแล้วเชียว” คนอย่างหล่อนเป็นดังคาดจริงๆ ถ้าไม่เจอเรื่องหนักหนาคงไม่ร้องไห้ง่ายๆ

“สบายใจเถอะ ต่อจากนั้นฉันก็ไม่ได้ร้องฟูมฟายอีก มีอีกทีตอนป้าฉันเสีย แต่เราเตรียมใจกันแล้วจึงทำใจไม่ยากนัก จนกระทั่งเมื่อวาน ใหม่ล่าสุด”

ยิ่งวรินธรพูดเธอรู้สึกยิ่งแย่ เพราะเรื่องนั้นนั่นแหละที่ทำให้ไม่สบายใจที่สุด เธอกำลังกลายเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับหล่อน เมื่อนึกถึงสถานะของตนเองขณะนี้ เธอไม่อาจให้คำมั่นสัญญาหล่อนได้เลย ว่าจะอยู่กับหล่อนได้ตลอด ไม่ทำให้หล่อนต้องเสียน้ำตาอีก กานต์ชนิตเศร้าใจเหลือเกิน

รถไฟจอดที่สถานีเล็กๆ ในชนบท วรินธรบอกเธอว่าเราต้องลงสถานีหน้าเพราะเข้าสู่อำเภออันเป็นบ้านเกิดของหล่อนแล้ว

ทว่าหนทางไม่เคยราบรื่น กานต์ชนิตเห็นอย่างที่วรินธรเห็น ชานชาลาอันมีเพียงหลอดไฟเล็กสาดส่อง มีชายในชุดซาฟารีกลุ่มใหญ่ยืนคอยท่า กวาดสายตาวอกแวกส่องไปทั่วขบวน วรินธรหลบศีรษะแทรกระหว่างซอกมุมทันที เมื่อพวกนั้นทำท่าจะก้าวขึ้นบนรถเพื่อสำรวจอย่างละเอียด วรินธรจึงฉุดมือเธอขึ้น กระซิบรัวเร็ว “เราต้องลงสถานีนี้แล้ว”

..................................................................................

วรินธรพากานต์ชนิตหลบในป่าหญ้า รอคอยจนรถไฟออก ทีแรกเธอจะออกจากโพรงหญ้าแต่ดันเห็นชายซาฟารีอีกคนยืนเตร็ดเตร่อยู่อีกคน เราจึงต้องหลบในนี้กันต่อ

เสียงฟ้าร้องคำรามเบื้องบนทำให้ชายผู้นั้นแหงนมอง และเดินหลบฝนโปรยปรายเข้าไปในอาคารสถานีหลังเล็ก พูดคุยกับนายสถานีไม่กี่คำ เขาก็โบกมือลาและขับรถสีทึมออกไป

วรินธรดึงมือกานต์ชนิตออกจากโพรงหญ้ามืด พากันหลบฝนชิดกำแพงด้านหลังของอาคาร โชคดีที่ชายคายื่นยาวช่วยบังฝนให้ได้ พวกเธอจึงไม่เปียกโชกไปกว่านี้ วรินธรหันมองคนข้างกัน พยายามระงับอาการปากสั่นเพราะความหนาวด้วยการกัดฟันแน่น โอบพยุงกานต์ชนิตแนบตัวเพื่อถ่ายเทความอบอุ่น “พายตัวเธอร้อนจัง”

วรินธรส่งยิ้ม “สัตว์เลือดอุ่นก็อย่างนี้แหละ”

กานต์ชนิตขมวดคิ้วว่าไม่ใช่ เธอรู้ถึงความกังวลของอีกฝ่ายดี จึงเหลียวมองด้านใน รถเที่ยวนั้นคงจะเป็นรอบสุดท้ายของคืนนี้ นายสถานีจึงได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ปิดโทรทัศน์และสวมเสื้อกันหนาวคลุมกาย หยิบกุญแจดังกรุ๊งกริ๊งซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นของรถคันเก่าคันเดียวที่จอดอยู่บนลานหินกรวด เขาจัดการปิดล็อกประตูไม้ด้วยแม่กุญแจอันหนา จากนั้นเดินทางออกไปด้วยรถยนต์คันดังกล่าว

วรินธรกุมมืออีกคนเดินไปหยุดหน้าประตู จากนั้นมองหาอุปกรณ์ช่วยเหลือทั่วตัวด้วยสายตาพร่ามึน เธอกำลังจะแย่ แต่ว่าเธอจะวูบไปตอนนี้ไม่ได้ ลมทำท่าจะโชยแรง ยืนข้างนอกคงไม่พ้นโดนฝนสาด จึงกัดริมฝีปากล่างเรียกสติ พบกล่องเครื่องมือวางใต้ม้านั่งตัวหนึ่ง โชคยังเป็นของเธอ

เธอใช้เวลาไม่นานจัดการแม่กุญแจจนหลุดออก ก้าวเข้าไปภายในได้ในที่สุด กานต์ชนิตดูคล่องแคล่วกว่าท่าทางเหมือนไม่เจ็บปวดแผลอีกต่อไป เธอดีใจที่หล่อนแข็งแรงขึ้น แต่ไม่ดีใจที่ตัวเองย่ำแย่จนเมื่อหาที่นั่งบนพื้นในมุมหนึ่งได้ ก็เอนหลังพิงผนังห้องหลับตาหลบหนีความมึนล้าในหัวสมอง มีมืออุ่นๆ คอยลูบแขนเธอขึ้นๆ ลงๆ ดึงตัวเธอให้เอนนอน เธอสะดุ้งกับพื้นเย็นเยียบ ชักแขนขาขดเข้าหาตัวคุดคู้ สติสัมปชัญญะล่องลอยหายไปในดินแดนแห่งความฝัน ฝันที่หากมีสติเป็นเครื่องป้องกันไว้ จะไม่มีทางแวบเข้ามาในมโนสำนึกได้เลย หากเธอกำลังโดนรุมด้วยพิษไข้ ครั้งนี้จึงยากหนักหนาจะห้ามปราม

...

เธอเห็นชายคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นคนมีอารมณ์ขัน ช่างเจรจาและสรรหามุกมาหยอกล้อเธอ คนที่เล่นกับเธอได้ทั้งวันโดยไม่เหนื่อย ยอมให้นั่งตักเอนพิงกายฟังนิทานจนหลับไป ชายผู้แข็งแรงผึ่งผายที่เธอเคยขี่คอเขาหยิบกิ่งไม้สูงบนต้นคนนั้น วันนี้เขาเปลี่ยนไป

เจ็ดวันเท่านั้นหลังจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้ตึกแถว ชายผู้นั้นกำลังร้องไห้จนตัวโยนในงานวันเผาศพของแม่ เขาร้องอย่างบ้าคลั่ง มือไม้ปัดป่ายจนข้าวของในบ้านพังเสียหาย จนลุงอ๊อดต้องแยกเขาไว้ในห้องหนึ่ง และไม่ปล่อยให้เธอเข้าใกล้

“อ๊ะเก๋าเป็นอะไรเหรอลุงอ๊อด พายเข้าไปหาอ๊ะเก๋าได้ไหม”

ลุงอ๊อดลูบหัวเธอด้วยสีหน้าเศร้าหมองและอึดอัดใจ “ตอนนี้ยังไม่ได้ อ๊ะเก๋าเสียใจเรื่องแม่ของพายมาก เพราะอ๊ะเก๋ารักแม่พายมากไงล่ะ”

“พายก็รักแม่” เธอร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุด สะอึกสะอื้นกอดคุณลุงข้างๆ “พายอยากเจอแม่อีกครั้งจัง พายอยากเจออ๊ะเก๋าด้วย เมื่อไหร่อ๊ะเก๋าจะออกมาหาพาย”

“รออีกสักพัก เดี๋ยวอ๊ะเก๋าก็ออกมา นะ เชื่อลุงอ๊อด”

ลุงอ๊อดมักปลอบอย่างนี้และลูบหัวปลอบใจเสมอ พวกเราทำได้เพียงรอ รอคอยให้อ๊ะเก๋ากลับเป็นคนเดิม การรอคอยที่ไม่เคยสิ้นสุด เพราะเขาไม่มีวันกลับเป็นคนเดิมอีกแล้ว

เวลาเย็นที่แสงกำลังจะลับลาจากขอบฟ้าของวันหนึ่ง ใต้ต้นไม้ครึ้มต้นใหญ่ใกล้ลำธารหลังบ้าน จำได้ว่าใกล้ค่ำเธอไม่ควรออกนอกบ้าน ใครๆ ก็บอกว่าอันตราย เธอจึงกอดตุ๊กตาเป็ดไว้แน่น เธออยากไปที่ลำธาร เผื่อว่าอ๊ะเก๋าจะอยู่ที่นั่นเพราะเห็นเขาเดินเข้ามาในสวน แต่ว่าก็กลัวโดนลุงอ๊อดดุถ้ากลับช้า

อย่างไรก็ตามความรู้สึกโหยหาพ่อ อยากพบหน้าเขามีมากกว่า ตั้งแต่เขาเปลี่ยนไปเธอไม่ค่อยได้เจอเขาเลย ไม่เคยได้เล่นกับเขาอย่างที่แล้วมาอีกด้วย เด็กหญิงจึงก้าวต่อไปตามทางเดินแคบล้อมด้วยโพรงหญ้าสูง และแล้วเธอก็พบเขา แต่ว่าช่างแปลกเหลือเกินที่อ๊ะเก๋าพยายามปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูงใหญ่ต้นนั้น จนกระทั่งหยุดยืนบนกิ่งใหญ่กิ่งหนึ่ง พาดเชือกกำหนาซึ่งแบกขึ้นมาด้วยกันลงบนกิ่งนั้น เธอเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ และหยุดใต้ต้นไม้ห่างเขาไปนิดหน่อย

เขาสะดุ้งเมื่อเห็นเธอ

“อ๊ะเก๋ากำลังทำอะไร”

อ๊ะเก๋าไม่ตอบคำถาม เอาแต่ร้องไห้ เธอไม่เข้าใจเลย “ร้องไห้ทำไมคะ” เธอรู้เพียงว่าเขากำลังเศร้า อ๊ะเก๋าซึมเศร้าและชวนให้เธอร้องไห้ตาม เขาส่ายหน้าไล่เธอกลับเข้าไปในบ้าน ตัวเขาพยายามพาดเชือกต่อจนเป็นบ่วง

“พายกลับเข้าบ้านไปซะลูก”

“อ๊ะเก๋าจะทำอะไร... ทำอะไรคะ”

“กลับไป... กลับเข้าบ้านไปสิพาย”

“พายขึ้นไปด้วย พายจะไปกับอ๊ะเก๋าด้วย”

“กลับไปซะ พ่อสั่งให้กลับไป!” คำตะคอกทำให้เธอตกใจสะดุ้ง และร้องไห้อย่างหนัก กอดเป็ดน้อยแน่น รู้สึกกลัวอย่างที่สุด เธอรู้ว่าพ่อกำลังจะหนีเธอ แม้ไม่รู้จะหนีอย่างไรแต่เธอรู้สึกเช่นนั้น เขากำลังจะไป “อ๊ะเก๋าทำอะไร ฮือๆ”

คำถามนั้นยังติดตรึงในใจ ภาพสะท้อนของกลุ่มคนมากมายส่องไฟฉายและตะโกนโหวกเหวก ดึงตัวชายบนต้นไม้ลงมาอย่างยากลำบากเพราะเขาต่อต้านอย่างหนัก เขาขัดใจ แค้นเคืองใจจนตีอกชกหัว คุกเข่าร้องไห้ซบหน้าไปกับพื้นดินอย่างไม่อาย เขาตะโกนบอกใครต่อไปว่า ให้ปล่อยเขา ปล่อยเขาไปเถิด เขาทนอยู่ต่อไม่ได้อีกแล้ว

ไม่มีใครตอบคำถามเธอสักคน ทุกอย่างเลือนผ่านไปวันแล้ววันเล่า ให้เธอติดกับคำถามเดิมเสมอ ว่าอ๊ะเก๋ากำลังทำอะไร...

...

กานต์ชนิตลุกลี้ลุกลนหาเสื้อผ้าเก่าที่นายสถานีพอจะวางทิ้งไว้อยู่บ้างตามม้านั่ง ตามชั้นไม้วางของ และค้นพบกระดาษลังบริเวณซอกตู้เหล็ก จึงรีบดึงออกมาทั้งหมดเพื่อปูพื้นให้อุ่นที่สุดสำหรับคนป่วยไข้ขึ้น เธอพยุงตัววรินธรนอนลงและห่มเสื้อผ้าทั้งหมดเพิ่มความอบอุ่นให้ จากนั้นลุกไปค้นหายาในตู้ยาสามัญประจำบ้านบนผนัง เธอขอแค่ยาลดไข้ธรรมดาเท่านั้น มีบ้างไหมนะ ขอให้พายสักเม็ดสองเม็ด ให้หล่อนผ่านคืนนี้ไปได้ด้วยเถิด

กานต์ชนิตพบซองยาในที่สุด จึงรีบกรอกใส่ปากสั่นกึกๆ ของคนนอน บังคับให้กลืนลงไปจนสำเร็จ ทว่าไม่ได้ช่วยลดไข้ให้หล่อนในทันที หล่อนยังคงเพ้ออย่างหนัก

“อ๊ะเก๋า... อ๊ะเก๋า”

กานต์ชนิตจับใจความได้เพียงชื่อใครคนหนึ่งเท่านั้น เธอก็ลุกขึ้นใหม่ หาเศษผ้าชิ้นเล็กหาน้ำสะอาดเช็ดตัวหล่อนอย่างที่เคยทำมา ด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ชักไปเสียก่อนเพราะตัวพายร้อนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ร้อนจนลำแขนเธอที่รองต้นคอหล่อนอยู่นั้นมีรอยแดงเป็นปื้น และเธอรับรู้ถึงไอร้อนจากใบหน้าผ่าวเรื่อของหล่อนได้ชัดเจน ริมฝีปากสีแดงจัดพึมพำไม่เป็นคำ

“ทำอะไร ทำ... กำลัง ทำอะไรคะ...”

“พาย พาย” กานต์ชนิตพยายามเขย่าคนนอนเรียกสติ แต่เหมือนว่าไม่ได้ผลแม้แต่น้อย หล่อนยังคงร้องเรียกใครบางคนให้กลับมา และถามคำถามซ้ำเดิม จนกานต์ชนิตระงับความเป็นห่วงไม่ไหว แต่เธอก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ สองแขนโอบกอดร่างอีกฝ่ายไว้แน่น

“ฉันกำลังช่วยเธอนี่ไง ทำให้เธอไข้ลดไงพาย”

“พายไปด้วย พายจะไปด้วย...”

“อย่าเพ้อได้ไหม ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว!” เธอตะโกนใส่อีกฝ่ายพร้อมกับน้ำตาไหลริน นี่ไงล่ะกานต์ชนิต เธอถามพายว่าเคยไหม อ่อนแอร้องไห้งอแงเพราะไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง เธอกำลังเผชิญอยู่กับตัวเดี๋ยวนี้แหละ

กานต์ชนิตมองรอบตัวอันมืดสลัว ค่ำคืนนี้ไม่มีแม้แสงจันทร์คอยนำทาง เธอควรทำอย่างไรดีหนอ ท่านนาครี ท่านเจ้าที่ ฉันควรทำอย่างไรคะ

กานต์ชนิตหลับตาพยายามนึกหาคำตอบ หากคงมีอะไรดลใจเธอสักอย่าง เสียงกระซิบจากสถานที่ไกลแสนไกลเตือนใจเธอว่า หากจิตฟุ้งซ่าน มองไม่เห็นแม้กระทั่งว่าตัวเองกำลังยืนตรงไหน แล้วจะเดินต่อไปเพื่อหาทางออกได้อย่างไร

กานต์ชนิตฉุกใจทันใด จริงด้วยสินะเธอต้องหยุดวิ่งวนไปมาเสียก่อน มองให้รู้จนเห็นชัดว่าอะไรคือซ้ายขวาหน้าหลัง ความสงบเงียบดั่งสายน้ำไหลรินตามลำธารกลับคืนสู่ตัวเธอ มอบแสงสว่างแห่งปัญญาสว่างวาบ วินาทีนั้นเธอจึงคิดออก

เธอจำได้แล้วว่าเธอไม่แค่เพียงเช็ดตัวให้พายเท่านั้นหล่อนก็หาย เธอต้องตั้งจิตอธิษฐาน กานต์ชนิตวางฝ่ามือลงบนหน้าผากร้อนของคนบนตักพลางหลับตาเข้าสู่ภวังค์สมาธิ และจิตตั้งมั่นตั้งใจขอซึมซับความร้อนจากร่างกายนั้นออกมา ขอให้ความร้อนนั้นผ่านสู่มือเธอและร่างกายเธอแทนด้วยเถิด บรรเทาอาการทุกข์ทรมานรุ่มร้อนให้จางหาย ทำให้ผู้หญิงคนนี้จะกลับมาเป็นปกติ

......................................................................................

อุ่น อุ่นจริงหนอ

วรินธรเห็นแสงสว่างพาดส่องนวลตา และได้ยินเสียงนกคุยกันเจื้อยแจ้วไม่ไกล คงพากันบินล้อเล่นลมยามเช้า หาอาหารกินเสร็จแล้วล่ะสิท่า นกอะไรหนอ เกาะอยู่กิ่งไหน เสียงน้ำค้างตกเปาะแปะแทรกเข้ามา เมื่อคืนคงฝนตกหนัก เธอได้กลิ่นความชื้นแทรกในอากาศ สดชื่นจนทนไม่ไหวสั่งตัวเองให้ลืมตาปริบๆ

ไม่ใช่เพียงแสงแดดยามเช้าเท่านั้นหรอกที่สาดส่องกระทบใบหน้าเธอให้ต้องหรี่ตา ยังมีความปวดเนื้อปวดตัวแล่นเข้ามาให้สำนึกถึงความจริงว่าเมื่อวานเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง

วรินธรครางในลำคอพลางขยับตัว จากนั้นขมวดคิ้วและเงยหน้า นั่นกานต์ชนิตใช่หรือเปล่า กำลังนอนกอดเธอใช่ไหม กานต์ชนิตขดตัวโอบล้อมเธอไว้ ดึงศีรษะเธอหนุนแขนหล่อนส่วนหัวหล่อนหนุนกองหนังสือและกระดาษลังสูงจนน่าเมื่อยคอ มันเป็นท่าของใครก็ตามที่ต้องการรักษาความอบอุ่นให้ได้มากที่สุด เหมือนแม่ไก่ที่กางปีกให้ลูกเจี๊ยบเข้าสู่อ้อมกอด

ก็แปลกดี ก่อนหน้านี้เธอเป็นฝ่ายช่วยกานต์กอดหล่อนไว้จนตัวอุ่น มาตอนนี้เป็นกานต์ที่ต้องกอดเธอไว้ให้เธออุ่นแทน เราคงจะมีหน้าที่ต้องดูแลกันและกัน ตราบเท่าที่เรามีกันและกันทุกอย่างในโลกนี้ก็ดูง่ายและสว่างไสว

วรินธรหลุบสายตาต่ำสูดรับความอิ่มเอิบใจเพียงลำพัง หากมีเสียงกระซิบเล็กๆ คอยสะกิดให้กลัว เธอรู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่เหมือนชาวบ้านเขา หล่อนเหมือนแฟนตาซี ถ้าเธอเหมือนคนปกติ เธอคงกลัวแล้ววิ่งหนี แต่นี่เธอเป็นเธอ...ยิ่งกลัวเท่าไหร่ก็ยิ่งวิ่งเข้าหา นานวันก็วิ่งไล่จับไม่อยากปล่อยหายไปไหน และทำลืมความจริงทั้งหลายกองไว้ใต้ฝ่าเท้า

สองมือของวรินธรโอบเอวกานต์ชนิตแน่น ซุกใบหน้าเข้าหาทรวงอกอุ่นจนอีกฝ่ายตื่นและขยับตัวตกใจ

“พาย...” วรินธรเงยหน้าหยิบหน้ากากแห่งรอยยิ้มสวมใส่

“หนาวเหรอ” กานต์ชนิตถามอย่างห่วงใย แตะหลังมือบนหน้าผากเธอและทาบลงบนคอ “ดีจังเธอไข้ลดแล้ว”

“กานต์ยังเจ็บแผลที่หลังอยู่ไหม” เธอถามบ้างพลางยันตัวลุกขึ้น ความมึนเมื่อยล้าตามติดราวกับเพื่อนยาก อย่างไรก็ตามยังดีกว่าไร้สติแบบเมื่อคืน ได้ยาคลายกล้ามเนื้อสักหน่อยหรือได้พักผ่อนหลับยาวๆ อีกนิด ก็คงเข้าที่

กานต์ชนิตลุกตามและจับเสื้อเก่าหลายตัวคลุมไหล่ให้เธอพลางตอบ “ไม่ค่อยเจ็บแล้ว แล้วเธอล่ะ ปวดหัวอีกไหม”

วรินธรรู้ว่าตัวเองหน้าซีดคงจะปิดหล่อนไม่มิด จึงส่งยิ้มให้กำลังใจ

“คงจะมีเพลียบ้างนิดหน่อย ก็เมื่อคืนก่อนไม่หลับไม่นอน เอาแต่ทำอย่างอื่นนี่นะ”

คนฟังตาโตแก้มเริ่มขึ้นสี “เออกวนกันได้แบบนี้ ฉันค่อยรู้สึกว่าเธอไข้ลดแล้วจริงๆ”

ก็แปลกที่กานต์ชนิตเป็นผี แต่เวลาเขินทำไมหน้าแดงได้ก็ไม่ทราบ ไม่มีหัวใจไว้เต้นสักหน่อย เธอไม่ได้ถามคำถามชวนปวดหัวนั้นเพราะรู้ดีว่าไม่มีใครรู้คำตอบ ทำเป็นบิดซ้ายบิดขวาสำรวจรอบตัวเป็นครั้งแรก ปากก็พึมพำ

“เธอสบายสิไม่ได้ใช้ร่างกายตัวเอง พอเสร็จกิจเธอก็สละร่างเริงร่าต่อได้...อู๊ย” มือไวยื่นมาบิดท้องเธอจนต้องงอแล้วเลิกล้อเปลี่ยนเป็นโอดครวญแทน “กานต์อ่า ทำร้ายคนที่ยอมแบกเธอจนขาสั่นแขนสั่นแบบนี้ได้ยังไง”

“เธอก็กวนประสาทคนที่อุตส่าห์ทำให้ไข้เธอลดอยู่ค่อนคืนได้ยังไง”

วรินธรยิ้มร่าเริง เพิ่งรู้ว่าการกวนประสาทกันตอนเช้าจะสร้างกำลังใจได้ด้วย เธออ้อยอิ่งมองคนตรงหน้าอยู่พักใหญ่ ไม่อยากลุกแต่คงต้องลุก ตรงนี้ไม่ค่อยเหมาะสำหรับการนั่งมองตานานๆ เท่าใด ใกล้บ้านเธอแล้วด้วย เธออดใจไว้สักพักดีกว่า

คิดได้อย่างนั้นคนที่คิดว่าตัวเองกระฉับกระเฉงก็ลุกขึ้นยืนทันใด แล้วก็ทิ้งตัวดิ่งวูบทันทีเหมือนกัน ร้อนถึงอีกคนต้องลุกขึ้นประคองตัวเธอไว้กะทันหัน

“พายยย เธอคิดว่าเธอเป็นคนเหล็กหรือไง” คำแว๊ดสามารถไล่ความมึนงงได้ชะงัก เธอหันมองและส่งยิ้มแห้งให้กานต์ชนิต ยอมจับแขนหล่อนไว้แน่นรับรู้ถึงสภาพร่างกายอ่อนล้าของตน

“อ่า ขอโทษ”

กานต์ชนิตถอนหายใจ “จะเอาอะไรหืม บอกฉัน”

“ไม่ได้จะเอาอะไร แค่จะกลับบ้านไง”

“ค่อยๆ กลับก็ได้ บ้านไม่หายหรอกน่า” อีกฝ่ายประคองเธอและกดไหล่ให้นั่งบนเก้าอี้ ก็พอดีกับเสียงก๊อกแก็กตรงประตูเรียกสายตาทั้งคู่ตวัดมอง

พลันร่างผู้มาใหม่ก็ปรากฏ...

เขาคือนายสถานีในชุดกากีคนละคนกับเมื่อวาน สีหน้าท่าทางตกใจเมื่อเห็นใครแปลกปลอมนั่งอยู่ภายใน

“หนูเป็นใครทำไมอยู่ในนี้” ถามแล้วคงนึกได้ว่าแม่กุญแจด้านหน้าหายไป เขาจึงตาโต “หรือว่าเป็นขโมย!”

วรินธรหน้าเหวอเหลียวมองกานต์ชนิตที่ยกมือส่ายปฏิเสธ พายส่ายหน้าให้เป็นการบอกว่า ...เขาไม่เห็นเธอ เขาเห็นฉัน... กานต์ชนิตจึงร้องเอ้อ เกาหัวแก้เก้อ

วรินธรยิ้มเล็กๆ มองชายร่างสันทัดถลึงตามองหาอาวุธผู้ช่วย เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

“ฉันเปล่าเป็นขโมยคุณน้า ฉันเห็นประตูไม่ได้ล็อกก็เลยเข้ามาหลบฝนในนี้ตอนใกล้รุ่ง กะว่าเช้าค่อยหารถเข้าไปในอำเภอ”

คุณน้าที่ไม่ได้เป็นญาติฝ่ายไหนของเธอชะงักมือถือไม้กวาด มองกันอย่างวัดใจ

“จริงเหรอ”




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบเก้า The Things You Are To Me(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:51:51 »
(ต่อ)

“สภาพของฉันเนี่ยเหมือนคนร้ายเหรอน้า เนี่ยตากฝนด้วย เมื่อคืนก็เลยขอยาพาราฯ บนตู้นั่นกินแก้ไข้ ฉันขออนุญาตทีหลัง น้าอย่าว่ากันน้า ถือว่าเห็นใจกันเถอะ” พูดไปยกมือไหว้ท่วมหัว กานต์ชนิตได้แต่ส่งสายตาสงสัย พายรู้ได้ยังไงว่าเมื่อคืนหยิบยาอะไรจากไหนให้กิน

วรินธรส่งสายตากลับเป็นทำนองว่า เรื่องนั้นไม่ได้ยากเกินความคาดเดา

สภาพของเธอคงโทรมจริงๆ หัวยุ่งไม่เป็นทรง หน้าตาแดงบ้างม่วงบ้าง เสื้อผ้าหลากสีใส่ทับซ้อนกันเข้าไปและมีกลิ่นชื้นจากผ้าอับอีกด้วย คงมีก็แต่ท่าทางยืดตัวตรงดูมีสติครบถ้วนช่วยลดทอนความเป็นคนจรจัดในสายตาคนมองได้บ้าง เธอรู้สึกว่าเขาลดความระแวงลง เปลี่ยนเป็นเห็นใจในไม่ช้า วรินธรจึงยิ้มอย่างขอบคุณ

“ป่วยด้วยเหรอหนู รู้ไหมเสื้อที่ใส่น่ะมันผ้าขี้ริ้วถอดออกเอานี่ดีกว่า” เขาไขกุญแจตู้เหล็กพลางส่งเสื้อกันหนาวผ้าร่มสีขาวมีตราเทศบาลเมืองและชื่อนายกเทศมนตรีส่งให้ ดูก็รู้ว่าเป็นของแจกและมีสำรองติดเผื่อไว้ในสำนักงาน “แล้วเป็นยังไงมาไง เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวออกเดินทางอะไรมืดๆ ค่ำๆ หือ มาจากรถไฟรอบไหน”

เขาเริ่มต้นนั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามและสัมภาษณ์ วรินธรลื่นไหลตามไอเดียโกหกเท่าที่จะนึกได้ นายสถานีวัยกลางคนผู้นี้เป็นคนดีและมองโลกในแง่บวก เขาเชื่อคำพูดเธอง่ายดาย แถมยังส่งยาพาราให้เพิ่มอีกสองเม็ด สั่งให้กินเดี๋ยวนั้นอีกด้วย

“อีกเดี๋ยวจะมีรถสองแถววิ่งมา น่าจะเจ็ดโมง เนี่ยก็ใกล้แล้ว หนูติดรถเขาไปลงในตลาด แล้วแวะสถานีอนามัยก่อนอันดับแรกนะ ยื่นแค่บัตรประชาชนก็ได้แล้วไม่ต้องเสียตังค่ายาด้วย ไหนเราบอกว่าจะไปไหนนะ”

วรินธรนิ่งอึดใจ จึงตอบชื่อหมู่บ้านเคียงข้างของหมู่บ้านตัวเองอีกที เพราะคิดแล้วว่าการไปหมู่บ้านนั้น จะต้องผ่านหมู่บ้านของเธอก่อน

“งั้นดีเลย หาหมอเสร็จแล้วเดินเลยไปหัวโค้ง มีรถสองแถวต่อไปบ้านหนูได้ มีตังติดตัวบ้างหรือเปล่าฮึ”

วรินธรพยักหน้าตบกระเป๋าพร้อมส่งสายตาขอบคุณในน้ำใจไมตรีซึ่งเธอไม่ค่อยพบเจอบ่อยนัก รู้สึกว่าตั้งแต่มีกานต์ชนิตเธอจะพบสิ่งเหล่านี้บ่อยขึ้น อาจเพราะหล่อนดึงดูดคนประเภทเดียวกับหล่อนเข้าหาตัว หรือไม่ก็เพราะมีหล่อน เธอจึงมีเวลาสำรวจสิ่งดีรอบกายกับเขาบ้างก็ไม่รู้ “ฉันไม่ค่อยได้กลับบ้านนาน ก็ลงสถานีผิด นี่ถ้าไม่ได้คุณน้าฉันคงแย่ ขอบคุณมากๆ เลยจ้ะ”

คุณน้ารับไหว้ร้องไม่เป็นไร “เออรถมาแล้วหนูรีบไปเถอะ เสร็จแล้วไปต่อรถเข้าหมู่บ้านตรงข้ามตลาดนะ อย่าเดินไปหลังตลาดล่ะ เดี๋ยวหลงอีก”

ก่อนจากลากันเขายังอุตส่าห์เล่าให้คนขับรถฟังว่าเธอกำลังป่วยและต้องการไปสถานีอนามัย ขอร้องให้เขาช่วยวนรถไปจอดส่งหน้าสถานีอนามัยด้วย วรินธรยกมือไหว้ ถามชื่อนามสกุลเขาและจดจำไว้ไม่ลืม

.............................................................................. จบบทที่ ยี่สิบเก้า The Things You Are To Me





ถึงตอนล่าสุดสักที
เฮ้อเหนื่อย
จะบอกว่าสำหรับใครที่ชอบเขียนตอนยาวๆ เว็บนี้มันจำกัดความยาวด้วยนะคะ เลยเป็นสาเหตุให้เราต้องแปะเกินไปในความเห็นที่หนึ่ง เพราะแต่ละตอนของเรายาวเกินลิมิตของเว็บล่ะ

เราลงไว้ในเด็กดีด้วยนะ บางคนอาจจะคิดว่าฟอร์มของเด็กดีอ่านง่ายกว่า ก็เข้าไปลิ้งค์นี้ http://writer.dek-d.com/leninazure/story/view.php?id=914122

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.