เสียงเอะอะโวยวายของคนงานที่กำลังทะเลาะกันดังมากระทบหูของคนที่กำลังจะเดินเข้าไปในไร่ทำให้เจ้าตัวต้องเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังต้นเสียงทันที
“มีอะไรกัน!”
เสียงจากผู้มาใหม่ดังขึ้นเพียงแค่ประโยคเดียวแต่กลับทำให้เสียงของชายหนุ่มทั้งวงเงียบได้อย่างน่าประหลาดโดยเฉพาะคนก่อเรื่องทั้งสองที่ตอนนี้เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาทั่วใบหน้า
“ตอนนี้เวลางานไม่ใช่เหรอทำไมถึงได้มาอยู่แถวนี้กัน”
คนพูดมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองก่อนจะหันไปจ้องหน้าคนทั้งกลุ่มสลับกันไปมาและเพียงไม่นานการสลายตัวอย่างรวดเร็วก็เกิดขึ้น
“นายสองคนอยู่นี่ก่อน”
คนถูกเรียกค่อยๆหันมาเผชิญหน้ากับคนที่รั้งตัวเองไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลก่อนจะยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาไหว้
“ผมขอโทษครับนายหญิงผม ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ”
“ผมก็ต้องขอโทษด้วยครับผมจะไม่ทำอีกแล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสองยกมือที่สั่นเทาขึ้นไหว้คนที่ตัวเองเรียกว่านายหญิงด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความกลัว
“เอาเป็นว่าวันนี้ฉันจะยังไม่ไล่พวกนายออกแต่ถ้ามีครั้งหน้าอีกเตรียมไสหัวไปได้เลย”
พูดจบนายหญิงของไร่ก็เดินจากไปทันที สองคนนั้นโชคดีที่วันนี้เธอรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หทัยภัทรเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างสะใจเพราะอีกไม่กี่วันเธอกำลังจะได้ทำเรื่องที่รอคอยมานานแสนนานนั่นคือการ “ควักหัวใจของคนทรยศออกมาขยี้” ด้วยมือของเธอเอง
สองพ่อลูกมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ทั้งสองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขนาดนี้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวของบริษัททรุดลงอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครคาดคิด
“พ่อไม่อยากทำแบบนี้เลย”
ทรงวุฒิเอ่ยพร้อมกับการถอนหายใจออกมาเสียงดังไม่อยากจะเชื่อว่าหนทางในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้มีเพียงทางออกเดียวและทำให้เขาหนักใจอย่างที่สุด
“มัทรู้ค่ะแต่ถ้ามันคือทางออกที่ดีที่สุดเราก็ต้องทำ”
มัทนาส่งยิ้มน้อยๆให้แก่บิดาพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะที่หลังมือคนคิดมาก
“พ่อไม่ต้องห่วงนะคะมัทจะทำให้ดีที่สุด”
“พ่อขอบใจลูกมากนะ”
“มัทยอมทำทุกทางเพื่อรักษาสมบัติของคุณแม่ค่ะแต่มัทก็อดสงสัยไม่ได้”
คนพูดลุกขึ้นไปยืนริมหน้าต่างด้วยแววตาที่เจือปนไปด้วยความสงสัยมากมาย
“คนที่มาช่วยเราเค้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่แทนที่จะเอาหุ้นเป็นหลักประกันแต่กลับเลือกที่จะให้มัทไปช่วยงาน แปลก…”
มัทนาพยายามค้นหาคำตอบหลายๆทางแต่ก็คิดไม่ตกแต่ก็คงอีกไม่นานเพราะถึงยังไงเธอก็ต้องไปเป็นหลักประกันให้กับเงินก้อนโตที่มีผู้หวังดีเสนอช่วยกู้สถานการณ์ของบริษัท เมื่อถึงเวลานั้นเธอคงจะได้รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงซะที
ทรงวุฒิได้แต่มองบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงเขาไม่รู้ว่าหทัยภัทรกำลังเล่นอะไรอยู่ถึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วยแต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือเธอจำเขาไม่ได้ สายตาที่มองมามีแต่ความว่างเปล่าเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่เคยมีความรู้สึกดีๆให้แก่กันซึ่งนั่นทำให้หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวดไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาเจอกับคนรักเก่าอีกครั้ง…ความรักที่นานมาแล้วแต่ยังคงฝังแน่นในใจ
และแล้วก็ถึงวันเดินทาง หญิงสาวเดินไปรอบๆบ้านเพื่อเก็บความทรงจำดีๆเอาไว้ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะมีโอกาสได้กลับมาอีกเมื่อไหร่เพราะเงินตั้งมากมายขนาดนั้นไม่รู้ว่าทำงานทั้งชาติจะถึงครึ่งหรือเปล่า
“เตรียมตัวแล้วเหรอลูก”
“ค่ะ”
“พ่อสัญญาว่าจะไปรับลูกกลับมาขอเวลาพ่อหน่อยนะ”
ทรงวุฒิดึงตัวบุตรสาวเข้ามากอดไม่รู้อีกนานแค่ไหนที่จะได้เจอกันเพราะในสัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามให้มัทนาติดต่อกลับมายังบ้านจนกว่าจะหาเงินมาคืนได้ครบ
เสียงแตรรถดังสนั่นทั่วบ้านจนสองพ่อลูกต้องรีบเดินไปดูก็พบกับรถกระบะเก่าๆสีเขียวจอดอยู่หน้าบ้าน จากนั้นก็มีหญิงสาวเจ้าของรถผมสั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆเหมือนผู้ชายแล้วไหนจะใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบดำๆดูสกปรกจนมัทนาถึงกับไม่กล้าเดินเข้าไปเฉียดใกล้
“มองแบบนี้มีปัญหาหรือไง”
มัทนามองคนที่กระแทกเสียงพูดด้วยความรู้สึกไม่พอใจก่อนจะเมินหน้าหนีไปทางอื่นเพราะไม่อยากจะทำให้เรื่องมันบานปลายดูจากท่าทางแล้วอีกฝ่ายก็ดูแรงมากพอสมควร
“คุณเป็นใคร”
ทรงวุฒิเอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักคนๆนี้แน่ๆ
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณเอาเป็นว่าฉันแค่มารับยัยหน้าจืดนี่เท่านั้น”
“นี่เธอคุณพ่อฉันถามดีๆนะทำไมไร้มารยาทแบบนี้”
ปาลิตามองสองพ่อลูกตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยิ้มเยาะออกมาแล้วเดินกลับไปที่รถ
“ฉันให้เวลาสองนาทีถ้ายังไม่รีบขึ้นรถก็เตรียมไปเป็นขอทานได้เลย”
“เธอ!”
“มัทอย่าลูก”
ทรงวุฒิดึงแขนบุตรสาวที่กำลังจะเดินเข้าไปเอาเรื่องอีกฝ่ายเอาไว้จากนั้นก็มองหน้าลูกสาวแสนรักอย่างอาลัยอาวรณ์
“จำไว้ให้ดีนะมัทพ่อจะต้องไปรับลูกให้ได้แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้นมัทต้องอดทนไม่ใช่แค่เพื่อเราแต่เพื่อคนข้างหลังที่เค้าต้องพึ่งเรา”
“ค่ะมัทจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเราทุกคน”
พูดจบมัทนาก็เดินไปที่รถทันทีเธอกลัวว่าจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้หากยังมองหน้าบิดาอยู่แบบนี้ ครั้งก่อนจำใจห่างกันเพราะเธอต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแต่ตอนนั้นยังมีกำหนดเวลาและสามารถบินกลับมาอยู่บ่อยๆแต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันเพราะเธอมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวนี้เลย
ภายในรถมีแต่ความเงียบมัทนารู้สึกว่าคนข้างๆดูจะไม่เป็นมิตรกับเธอเอาเสียเลยทั้งสีหน้า แววตาแล้วไหนจะท่าทางที่เหมือนอยากจะหักคอเธอนั่นอีกไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคนไม่เคยเห็นหน้ากันจะสามารถเกลียดกันได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ
“ฉันชื่อมัทนาเรียกว่ามัทก็ได้นะพี่ชื่ออะไรเหรอ”
มัทนาเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมาเธอคิดว่าหากได้พูดคุยกันอาจทำให้คนข้างๆลดความเกลียดขี้หน้าเธอลงได้บ้าง
“ฉันมีแต่พี่สาวไม่มีน้อง”
นั่นประไร…คำตอบแรกก็ทำเอาคนถามถึงกับใจฝ่อมากขึ้นไปอีก หญิงสาวตัวสูงถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะพยายามส่งยิ้มเป็นมิตรไปให้คนหน้าบึ้งที่ตอนนี้เพิ่มความหน้าหงิกไปอีกระดับ
“งั้นมัทควรจะเรียกคุณว่าอะไรดีค่ะ”
คนถูกถามกระทืบเบรคเต็มแรงจนรถปัดแต่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะสนใจจากนั้นก็หันไปมองหน้าคนพูดมากด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรำคาญ
“เรียกฉันว่าตาแต่ถ้าไม่มีอะไรจำเป็นก็ไม่ต้องมาทัก”
พูดจบปาลิตาก็เหยียบคันเร่งออกตัวอย่างเร็วจนคนที่นั่งอยู่ถึงกับเอามือกุมที่หัวใจด้วยความตกใจท่าทางการผูกมิตรของเธอจะล้มเหลวเพราะสิ่งที่ได้รับตอบกลับมามันร้ายแรงจนเกือบถึงชีวิตก็ว่าได้
เมื่อมาถึงยังจุดหมายก็เป็นเวลาเช้าตรู่ มัทนาเดินตามคนที่พามาด้วยความสงบและพยายามให้เงียบที่สุดเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าโมโหขึ้นมาอีกไม่อย่างนั้นเธออาจจะตายได้เพราะตอนนี้สองเท้าของเธอได้ก้าวมาเหยียบยังถิ่นของอีกคนอย่างเต็มตัวแล้ว
หญิงสาวอดทึ่งกับบรรยากาศที่แสนดีและเงียบสงบของสถานที่นี้ไม่ได้ ก่อนจะหันไปเห็นป้ายชื่อของไร่แห่งนี้
“ไร่หทัยภัทร”
มัทนาต้องร้องอ๋อในใจเพราะชื่อไร่คือชื่อเดียวกับบุคคลที่เข้ามาช่วยบริษัทของเธอกับบิดาไม่รู้ว่าเจ้าของชื่อจะเป็นอย่างไรแต่ขอแค่ไม่เป็นเหมือนคนที่มารับเธอก็พอ
“มาแล้วเหรอ”
เสียงทักทายของใครบางคนทำให้คนที่กำลังเพลินกับการมองวิวทิวทัศน์ต้องหันไปมองยังเจ้าของเสียง
“ต้องรีบมาสิคะตาคิดถึงพี่หทัยจะแย่”
มัทนามองคนโหดที่ตอนแรกแทบจะกินหัวเธอไหงตอนนี้กลับมาทำท่าทางอ่อนปวกเปียกอย่างกับแมวอ้อนเจ้าของแบบนี้
“ขับรถเร็วอีกล่ะสิ”
“ไม่ค่ะตาเชื่อฟังพี่หทัย”
“แน่นะ”
“แน่ค่ะ”
ปาลิตาหัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนจะจับมือพี่สาวสุดที่รักมากุมไว้ ใครจะไปกล้าบอกว่าเธอฝ่าฝืนคำสั่งที่คนตรงหน้าคอยย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามขับรถเร็วล่ะ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้อยากขัดแต่จะทำอย่างไรได้เมื่อความคิดถึงคนตรงหน้ามันมีมากมายเหลือเกิน
มัทนาเมินหน้าไปทางอื่นเธอพอจะรู้แล้วว่าคนที่มารับเธอทำไมถึงได้เหยียบคันเร่งอยู่ตลอดเวลาไม่มีแตะเบรคเลยแม้แต่น้อยที่แท้ก็…
“มัทนาใช่มั้ย”
คนถูกเรียกหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะยกมือไหว้คนที่เรียกเธอ
“สวัสดีค่ะคุณหทัยภัทร”
“สวัสดี”
“ฉันให้คนจัดบ้านให้เธอข้างหลังแล้วหวังว่าคงจะอยู่ได้นะ”
“ที่จริงตาว่าน่าจะให้อยู่รวมกับพวกคนงานก็ได้นะคะไม่น่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
“เอาของไปเก็บได้ล่ะ สิบโมงมาเจอฉันที่บ้านหลังใหญ่”
พูดจบหทัยภัทรก็หมุนตัวกลับเข้าบ้านทันทีโดยมียัยโหดห้อยตามติดไปด้วย
มัทนาถอนหายใจออกมาแรงๆเธอพอจะเข้าใจล่ะว่าทำไมปาลิตาถึงได้ไม่ชอบหน้าเธอตั้งแต่แรกเจอคงเพราะกลัวเธอจะไปแย่งคนรักละสิท่า…ให้ตายเถอะนี่เธอกำลังก่อศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่สินะ
หทัยภัทรหันกลับไปมองตามหลังของคนที่กำลังเดินไปหลังบ้าน ไม่คิดว่าเด็กนี่จะมีหน้าตาคล้ายกับคนที่ทิ้งเธอไปมากขนาดนี้แต่นั่นก็ไม่ได้บีบหัวใจของเธอมากเท่าส่วนที่เหมือนผู้หญิงสารเลวคนนั้นถึงจะมีไม่มากแต่มันก็ชัดเจนจนทำให้เธอแทบไม่อยากจะมองหน้า
“พี่หทัยไหวมั้ยคะ”
คนถูกถามหันไปมองหน้าคนข้างๆที่ได้ชื่อว่าเป็นคนในครอบครัวแม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่เธอก็รักปาลิตาเหมือนกับน้องสาวแท้ๆก็ไม่ปาน
“พี่ไม่เป็นไร”
“ถ้าพี่หทัยไม่ไหวบอกตานะคะเดี๋ยวตาจัดการยัยหน้าอ่อนนั่นเอง”
“ไม่เป็นไรเรื่องนี้พี่คงต้องลงมือเอง”
คนพูดเชิดหน้าขึ้นเธอเสียเวลากับคำว่าเจ็บปวดมานานเกินไปแล้วต่อไปนี้คงได้เวลาเอาคืนและยัดเยียดความเจ็บที่เคยเป็นของเธอให้คนอื่นบ้าง