ดาวบนพื้นน้ำ
บทที่ ๑ : การเผชิญหน้าของคนเคยคุ้น
กนกพิชญ์มาหยุดยืนที่หน้าประตูโรงเรียน ตัวอักษรสีดำขนาดเขื่องระบุชื่อ “โรงเรียนโนนทรายวิทยา” บนพื้นสีส้มอิฐสดใสทั้งป้ายชื่อโรงเรียนและตลอดแนวรั้ว สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เธอไม่น้อย หญิงสาวยืนมองอยู่ชั่วครู่เพื่อความแน่ใจก่อนตัดสินใจเดินผ่านเข้าไปตามแนวถนนคอนกรีตในโรงเรียน ซึ่งสองข้างถนนขนาบไปด้วยต้นสนสูงใหญ่เรียงตัวเป็นระเบียบตลอดแนวถนนนั้น
หญิงสาวมาหยุดยืนหน้าพระพุทธรูปหล่อนกระพุ่มมือไหว้ระลึกถึงพระพุทธคุณ ก่อนจะเดินต่อไปจนถึงถนนสามแยก ยืนหันรีหันขวางอยู่ชั่วครู่จนกระทั่งมีเด็กนักเรียนหญิงมัธยมปลายหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่ามองแต่งกายเรียบร้อยสุภาพสองคนเดินผ่านมา หญิงสาวจึงเรียกเด็กนักเรียนทั้งคู่เอาไว้
“หนูจ๊ะเดี๋ยวก่อนค่ะ ไม่ทราบว่าห้องธุรการไปทางไหนคะ พอดีครูเป็นครูใหม่มาบรรจุที่นี่ค่ะ”
“สวัสดีค่ะคุณครู ตามพวกหนูมานะคะ ประเดี๋ยวพวกหนูจะพาคุณครูไปห้องธุรการเองค่ะ” เด็กนักเรียนทั้งสองคนกระพุ่มมือไหว้อย่างน่ารักเมื่อทราบว่าหล่อนเป็นครู ก่อนจะเดินนำหน้าเธอไปยังอาคารเรียนสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ทาสีขาวสะอาดตา หญิงสาวเดินตามนักเรียนทั้งสองคนไปด้วยความรู้สึกเอ็นดูยิ่งนัก
“อาคารนี้นะคะคุณครู คุณครูเดินขึ้นไปบนชั้นสองแล้วเลี้ยวขวานะคะ พวกหนูขออนุญาตไปเรียนก่อนนะคะ” เด็กสาวทั้งสองกระพุ่มมือไหว้กนกพิชญ์อีกครั้งหนึ่งก่อนขออนุญาตไปเรียนหนังสือ
กนกพิชญ์พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตก่อนขึ้นบันไดไปบนอาคารด้วยความแน่วแน่ ก่อนเลี้ยวขวาตามที่นักเรียนบอก แผ่นป้ายสีน้ำเงินตัวอักษรสีขาวระบุคำว่า “ห้องธุรการ” ปรากฏอยู่เหนือประตูทางเข้าห้อง หญิงสาวเดินเข้าไปในนั้นและพบกับหญิงสาว รูปร่างผอมเพรียว หน้าตาดี ผมหยิกเป็นลอนสวย กำลังยืนจัดเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงาน เธอจึงสาวเท้าเข้าไปหา
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ กนกพิชญ์ กาญจนวิเศษณ์ มาบรรจุเป็นครูใหม่ที่นี่ค่ะ” เมื่อไปถึงโต๊ะทำงานของหญิงสาวคนดังกล่าว หญิงสาวก็กล่าวแนะนำตัวพร้อมกับพระพุ่มมือไหว้อย่างสำรวม
“สวัสดีค่ะ พี่ชื่อปรารถนานะคะ เรียกว่าพี่ปิ่นก็ได้ค่ะ คาดว่าหนูกนกพิชญ์คงอายุน้อยกว่าพี่ใช่ไหมคะ” ปรารถนามองหญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยสายตาชื่นชม หญิงสาวคนนี้ที่มีรูปโฉมสะคราญตา ทรวดทรงบอบบางอ้อนแอ้นอรชร ผมสีดำขลับยาวสลวยทอดลงไปจรดบั้นเอว ผิวพรรณผุดผ่องขาวเนียนละเอียด ทั้งปาก คอ คิ้ว คาง รับกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว โดยเฉพาะดวงตากลมโตอย่างตาเนื้อทรายน่าหลง ส่งผลให้ดวงหน้าหวานหยดราวภาพเขียนในวรรณคดีไทยเด่นกระจ่างตา ชุดแซกสีขาวสวมทับด้วยเสื้อสูทสีเข้ม ช่วยขับให้เรือนร่างของหล่อนสะพรั่งด้วยวัยสาวยิ่งขึ้น ยิ่งมองปรารถนาก็รู้สึกกนกพิชญ์มีความละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่ตนรู้จักแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
“ค่ะพี่ปิ่น เรียกหนูว่าแพมก็ได้ค่ะ แพมอายุ ๒๓ ปีนี้ค่ะ ว่าแต่พี่จ้องหน้าแพมทำไมหรือคะ หน้าแพมมีอะไรติดอยู่เปล่าคะ” กนกพิชญ์เอ่ยถามครูสาวรุ่นพี่ด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องหน้าเธออย่างไม่วางตา
“อ๋อไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่รูปร่างหน้าตาของน้องแพมมีส่วนคล้ายใครคนหนึ่งที่พี่รู้จักเท่านั้นเองค่ะ เดี๋ยวน้องแพมนั่งรอตรงนี้สักครู่นะคะ พี่จะไปเรียนท่าน ผอ.ให้” พูดจบปรารถนาก็เชื้อเชิญให้กนกพิชญ์นั่งรอที่ชุดโซฟารับแขก ก่อนผลักบานประตูกระจกเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ซึ่งมีป้ายสีดำ เขียนทับด้วยตัวอักษรสีทองว่า “ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน”
ครูปรารถนาหายเข้าไปในห้องนั้นอยู่ชั่วครู่ ก็ออกมากวักมือเรียกกนกพิชญ์เข้าในข้างใน หญิงสาวลุกขึ้นสำรวจการแต่งกายของตนเองให้เรียบร้อยก่อนเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้อำนวยการโรงเรียน
ไอเย็นของเครื่องปรับอากาศลอยมาปะทะจมูกและเนื้อตัวของเธอตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องนี้ หญิงสาวกระพุ่มไหว้ชายสูงวัยท่าทางภูมิฐานในชุดข้าราชการสีกากีซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่
“สวัสดีค่ะท่านผู้อำนวยการ ดิฉันชื่อ กนกพิชญ์ กาญจนวิเศษณ์ มาบรรจุเป็นข้าราชการครูที่นี่ค่ะ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้อย่างสำรวมพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวต่อผู้บังคับบัญชา
“สวัสดีคุณครูกนกพิชญ์ เชิญนั่งๆ” ผู้อำนวยการโรงเรียนผายมือให้กนกพิชญ์นั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับท่านซึ่งเป็นเก้าอี้สำหรับแขก
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวนั่งลงก่อนยื่นเอกสารการบรรจุเข้ารับราชการที่สำนักเขตพื้นที่การศึกษาออกให้เธอไปให้ท่านผู้อำนวยการรับทราบ ท่านผู้อำนวยการรับเอกสารไปพิจารณาก่อนจะแจ้งรายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับโรงเรียนและการปฏิบัติงานที่โรงเรียนให้เธอได้รับทราบ
การรายงานตัวเป็นไปอย่างเรียบร้อย กนกพิชญ์พร้อมกับปรารถนาจึงออกมาจากห้องผู้อำนวยการโรงเรียน
“เดี่ยวพี่จะให้ครูที่อยู่บ้านพักครูพาน้องแพมไปดูบ้านพักนะคะ หนูไปเชิญครูธนัญญามาพบครูหน่อยนะ” ปรารถนาบอกนักเรียนคนหนึ่งให้ไปเรียนเชิญคุณครูธนัญญาเพื่อให้พากนกพิชญ์ไปดูบ้านพักครู
เพียงไม่นานร่างบอบบางของธนัญญาก็เดินเข้ามาในห้องธุรการด้วยท่วงท่าดุจนางพญาในชุดข้าราชการสีกากี เสื้อแขนสั้นพอดีตัวรับกับกระโปรงยาวแค่เข่า สะกดให้กนกพิชญ์มองหล่อนด้วยสายตาชื่นชมก่อนมองซ้ำด้วยความประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายมีใบหน้าที่มีส่วนละม้ายคล้ายตนเองอยู่ไม่น้อย
“นึกออกแล้วว่าน้องแพมหน้าตาเหมือนใคร เหมือนน้องเรย์นี่เอง เหมือนมากๆเลยนะคะเนี่ย ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องกันพี่เชื่อทันทีเลยค่ะ น้องแพมจ๊ะ นี่ครูเรย์ – ธนัญญา ครูที่อยู่บ้านพักเดียวกับหนูค่ะ ส่วนนี่ก็น้องแพม – กนกพิชญ์ จ๊ะน้องเขาเพิ่งมาบรรจุที่นี่ ไหว้พี่เขาสิคะน้องแพม น้องเรย์เขาอายุมากกว่าน้องแพมสองปีค่ะ” เมื่อเห็นธนัญญาเข้ามาในห้อง ปรารถนาก็มองหญิงสาวทั้งคู่ที่มีส่วนละม้ายคล้ายกันอย่างเอ็นดู ก่อนแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน
“สวัสดีค่ะพี่เรย์ ชื่อแพม – กนกพิชญ์นะคะ อายุ ๒๓ ปีนี้ค่ะ” กนกพิชญ์ยกมือไหว้ครูสาวรุ่นพี่ที่มีใบหน้าคล้ายตัวเอง
“สวัสดีค่ะน้องแพม พี่เรย์ – ธนัญญา อายุ ๒๕ ปีจ้า จะมาอยู่บ้านพักใช่ไหมคะ เดี๋ยวพี่พาไปดูนะคะ บ้านหลังที่พี่อยู่มีห้องว่างอยู่สองห้องค่ะ”
ธนัญญารับไหว้ครูสาวรุ่นน้อง ก่อนออกเดินนำหน้าลงจากอาคารดังกล่าวไปตามถนนคอนกรีตที่เธอได้เดินมาเมื่อสักครู่ จนถึงอาคารเรียนชั้นเดียว ครูสาวรุ่นพี่จึงเดินเข้าไปตรงทางเดินเล็กๆที่อยู่ระหว่างอาคารเรียนกับโรงอาหาร โรงอาหารชั้นเดียวเปิดโล่งยาว มีโต๊ะอาหารวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างใน เป็นโรงอาหารที่มีนักเรียนบางตา ร้านรวงก็ทยอยเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านเพราะอยู่ในระหว่างคาบเรียนสุดท้ายแล้ว จนกระทั่งมาได้หยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านบ้านพักครูหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่หลังอาคารเรียนชั้นเดียว บ้านพักครูหลังนั้นเป็นบ้านปูนสองชั้นใต้ถุนโล่งสีขาวสะอาด ทางด้านล่างเปิดโล่งมีห้องน้ำอยู่ทางริม ข้างๆห้องน้ำเป็นบันได้ขึ้นตัวบ้าน
ธนัญญาขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้าน กนกพิชญ์ตามขึ้นไปจนถึงชั้นพักบันไดซึ่งมีระเบียงบ้าน หญิงสาวทอดสายตามองทัศนียภาพที่ถัดจากชั้นพักบันได้นั้น ทุ่งข้าวสีเขียวชอุ่มยาวสุดลูกหูลูกตา รอบด้านมีรั้วลวดหนามที่ดูค่อนข้างแข็งแรง กั้นอาณาเขตระหว่างพื้นที่ของทางโรงเรียนกับท้องทุ่งนา ข้างๆรั้วมีต้นกระถินใหญ่พอที่จะให้ร่มเงาได้ในยามที่อากาศร้อน ธนัญญาหยุดเรียกกนกพิชญ์ให้ตามขึ้นไป ก่อนที่หล่อนจะหยิบกุญแจมาดอกหนึ่งแล้วไขประตูบ้านเข้าไป
“เชิญค่ะน้องแพม มีห้องว่างสองห้องนะคะ ฝั่งซ้ายกับฝั่งขวา น้องแพมเลือกได้เลยนะคะว่าจะอยู่ห้องไหน” ธนัญญาพูดพร้อมกับไขกุญแจทั้งสองห้องให้กนกพิชญ์เข้าไปดูภายในห้องว่างทั้งสองห้องนั้น
เมื่อกนกพิชญ์ขึ้นมาบนชั้นสองก็พบกับห้องพักสี่ห้องที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งละสองห้องโดยมีชานบ้านคั่นกลางระหว่างห้องพักทั้งสองฝั่ง จากนั้นจึงเข้าไปสำรวจภายในห้องว่างห้องหนึ่งทางฝั่งซ้าย ธนัญญาเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศและเพื่อให้มีแสงเข้ามาในห้อง เมื่อแสงแดดยามบ่ายสาดแสงเข้ามา จึงทำให้หญิงสาวเห็นภายในห้องพักแห่งนี้ชัดๆ หยากไย่และฝุ่นจับอยู่ประปราย หญิงสาวเดินไปสำรวจหน้าต่างซึ่งยังอยู่ในสภาพดี จากนั้นจึงเดินไปสำรวจห้องฝั่งขวาความรู้สึกเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนซึ่งมีมากกว่าห้องฝั่งนั้นแม้ว่าธนัญญาจะเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศแล้ว หยากไย่และฝุ่นจับอยู่ทั่วบริเวณห้อง หน้าต่างสองบานไม่สามารถปิดได้ กนกพิชญ์เดินมาที่ห้องฝั่งซ้ายซึ่งสภาพดีกว่าอีกครั้ง ก่อนที่จะตกลงใจเลือกห้องนี้เป็นที่พำนัก
“แพมเลือกห้องฝั่งซ้ายดีกว่าค่ะพี่เรย์ ฝั่งนั้นมันคงจะร้อนน่ะค่ะ”
“น้องแพมมาเหนื่อยๆเข้าไปทานน้ำในห้องพี่ก่อนไหมคะ” ธนัญญาเอ่ยชวนก่อนไขกุญแจและเดินนำหน้าเข้าไปในห้องพักของตนเอง เธอเดินตามอย่างว่าง่าย สายตากวาดไปทั่วบริเวณห้องที่ตกแต่งออกแนวหวานแหววตามสไตล์เจ้าของห้อง เตียงนอนสีชมพู ผ้าปูที่นอน หมอน ตู้เสื่อผ้า ผ้าม่าน พรม ตู้เย็นขนาดเล็ก ตลอดจนของใช้อื่นๆในห้องเป็นลายคิตตี้สีชมพูสดใส หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนสะดุดตากับกรอบรูปสีน้ำทะเลที่มีรูปคู่ที่ธนัญญาถ่ายกับใครคนหนึ่งซึ่งเธอจำเขาได้เสมอแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปี ความสนิทสนมที่คนในรูปแสดงออกต่อกันมันทำให้กนกพิชญ์เดาได้ไม่ยากว่าคนทั้งคู่เป็นคนรักกัน ถ้าคนทั้งคู่เป็นคนรักกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าใครคนนั้นได้ลืมเธอออกไปจากใจหมดสิ้นแล้ว ยิ่งมองกนกพิชญ์ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บลึกๆจนน้ำตาแทบจะรินไหลออกจากตาทั้งที่ภายในหัวใจมันเต็มไปด้วยน้ำตาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
“ทานน้ำค่ะน้องแพม” แก้วน้ำสีชมพูลายโปรดของเจ้าของห้องถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มแสดงไมตรี
“ขอบคุณค่ะ ห้องตรงข้ามพี่เรย์เป็นห้องใครเหรอคะ...” หญิงสาวยิ้มรับไมตรีของอีกฝ่ายก่อนรับแก้วน้ำมาดื่ม ความเย็นของน้ำทำให้จิตใจของกนกพิชญ์เย็นลงก่อนเอ่ยถามถึงเจ้าของห้องอีกห้องที่อยู่ติดกันกับห้องของเธอ
“อ๋อ ห้องของครูเจน ครูพละคนสวยของโรงเรียนเราค่ะ ช่วงนี้ครูเจนพานักเรียนไปแข่งกีฬา ค่ำๆถึงจะกลับค่ะ” น้ำเสียงและใบหน้าของธนัญญาสดใสขึ้นเมื่อเอ่ยถึงปิญารัตน์
“ครูเจนอย่างนั้นเหรอ ชื่อนี้ช่างเหมือนกับคนรักของเธอ หรือว่าครูเจนคนนี้อาจจะเป็นคนเดียวกับคนที่พี่เรย์ถ่ายรูปด้วย...” หญิงสาวได้แต่นึกสงสัยในใจนึกสงสัยในใจ... ทางด้านธนัญญาเมื่อเห็นกนกพิชญ์จ้องมองรูปเธอกับคนรักด้วยแววตาสงสัยก็ไม่กล้าเอ่ยปากอะไรออกมาอีกเพราะกลัวกนกพิชญ์จะรับไม่ได้ที่ตนเองมีคนรักเพสเดียวกัน ต่างๆฝ่ายต่างเงียบเมื่อจมอยู่ในความคิดของตนเอง
“แต่ก่อนยังไง วันนี้ฉันยังเหมือนเดิม
ไม่มีใครมาเพิ่มเติม ทุกอย่างยังคงเหมือนอดีตในวันนั้น
แม้วันนี้...เธอนั้นจะไม่รักกัน
แต่หัวใจฉันคงยังไม่พร้อม...ที่จะก้าวเดินต่อไป” ๑
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของกนกพิชญ์ดังขึ้นทำลายความเงียบ หญิงสาวกดรับสายเมื่อพบว่าคนที่โทรศัพท์เข้ามา คือ นางกาญจนา มารดาของเธอเอง
“แพมอยู่ไหนคะลูก ตอนนี้คุณแม่กับคุณพ่อและน้องพิมพ์กำลังรอหนูอยู่หน้าโรงอาหารนะคะ...” เสียงจากปลายสายดังขึ้นเมื่อเธอกดรับสายแล้ว
“ค่ะคุณแม่ แพมจะลงไปเดี๋ยวค่ะ” หญิงสาวพูดก่อนกดวางสายและลงไปหาบิดามารดาและน้องสาวที่รอเธออยู่หน้าโรงอาหาร
“หนูจะอยู่ที่นี่จริงๆเหรอลูก...” เสียงของผู้เป็นมารดาทักท้วงขึ้น เมื่อเห็นสภาพห้องที่บุตรสาวจะต้องพักอาศัยตลอดระยะเวลาที่มาบรรจุเป็นข้าราชการครูอยู่ที่นี่
“หนูอยู่ได้ค่ะคุณแม่ ให้พี่แจ๋นกับพี่จอยทำความสะอาดสักหน่อยก็อยู่ได้แล้วค่ะ ที่นี่มีครูอยู่หลายคนแพมจะได้ไม่เหงาไงคะ” กนกพิชญ์กอดแขนมารดาอย่างประจบ
“ตามใจหนูแล้วกัน เร็วๆสิแม่แจ๋น แม่จอย ช่วยกันทำความสะอาดจะได้เสร็จไวๆ” นางกาญจนาสั่งการให้คนงานในบ้านช่วยกันทำความสะอาดและตกแต่งห้องพักเสียใหม่ เพียงไม่นานจากห้องพักว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นเขรอะในตอนแรกก็กลับกลายเป็นห้องพักสุดหรูที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครันราวเนรมิต เตียงนอนสีฟ้าใสเข้าชุดกันกับชุดเครื่องนอนสีฟ้าอ่อนลายโดราเอม่อน มุ้งทรงกระโจม ตู้เสื้อผ้า พรมปูพื้นห้อง พรมเช็ดเท้าลายเดียวกัน ชั้นวางหนังสือสีโปรด โทรทัศน์จอแอลซีดีรุ่นใหม่พร้อมชั้นวางสีน้ำทะเล ตลอดจนเครื่องปรับอากาศสีฟ้าจางๆ ตู้เย็นสีเดียวกัน ฯลฯ สร้างความพอใจให้บุตรสาวเป็นอย่างยิ่ง
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ คุณแม่ ขอบคุณค่ะพี่แจ๋นกับพี่จอย ขอบใจนะน้องพิมพ์” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้บิดามารดา ก่อนยิ้มขอบคุณพี่เลี้ยงและน้องสาว
“ยังไงพ่อกับแม่ต้องฝากน้องแพมไว้กับหนูเรย์ด้วยนะคะ ถือซะว่าน้องแพมเป็นน้องสาวหนูอีกคนแล้วกันนะจ๊ะ” กาญจนาพูดกับธนัญญาด้วยความรู้สึกเอ็นดูเพราะอีกฝ่ายมีใบหน้าละม้ายคล้ายบุตรสาวของตนอยู่ไม่น้อย
“ด้วยความยินดีค่ะ” ธนัญญาตอบรับด้วยความรู้สึกยินดี ชีวิตของเธอเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่ได้มีญาติพี่น้องที่ไหนนอกจากแม่ครูซึ่งชุบเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงรู้สึกถูกชะตากับกนกพิชญ์และนึกเอ็นดูราวกับหล่อนเป็นน้องสาวของตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่ขอตัวกลับก่อนนะคะ อยู่ที่นี่อย่าดื้อนะลูก ให้หนูเชื่อฟังพี่ๆเขานะคะ...ให้ใครอยู่เป็นเพื่อนก่อนไหม...” บิดากล่าวกับบุตรสาว ก่อนลูบศีรษะเบาๆ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ แพมอยู่ได้ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“งั้นแม่ไปแล้วนะลูก มีอะไรโทรหาพ่อกับแม่นะคะ”
“ดูแลตัวเองด้วยนะคะพี่แพม พิมพ์คงคิดถึงพี่แพมมากแน่ๆเลยค่ะ” กัญจน์ภัสกอดพี่สาวด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ค่ะ สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่ พี่แจ๋น พี่จอย ไปได้แล้วยายพิมพ์” กนกพิชญ์กระพุ่มมือไหว้ลาบิดามารดา และพี่เลี้ยงกึ่งคนงานในบ้านที่เลี้ยงดูเธอมาแต่เล็ก พร้อมกับลูบศีรษะน้องสาวอย่างเอ็นดู หญิงสาวมองรถตู้ประจำบ้านที่ขับไกลออกไปเรื่อยๆจนลับลับสายตาด้วยความความอาลัยอาวรณ์
“แรกๆก็อย่างนี้แหละค่ะ ตอนพี่เรย์มาอยู่ใหม่ก็เศร้าอย่างนี้เหมือนกัน พี่ยังอยู่ได้มาแล้ว พี่เชื่อว่าน้องแพมต้องอยู่ได้เหมือนกันค่ะ...” เสียงของธนัญญาดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรเพื่อปลอบใจคนไกลบ้านวันแรกอย่างกนกพิชญ์
“ค่ะ แพมต้องอยู่ให้ได้ค่ะ เพื่อเด็กนักเรียนที่แพมรัก” กนกพิชญ์พูดพร้อมกับเดินเคียงคู่ไปกับธนัญญาเพื่อไปยังอาคารเรียน
สายน้ำอันเวิ้งว้างได้เริ่มต้นออกเดินอีกครั้งกับคนพายเรือจ้างลำใหม่ที่ชื่อกนกพิชญ์ !!!
..................................................................................
ค่ำคืนของวันนั้นหลังจากรับประทานอาหารและอาบน้ำชำระเหงื่อไคลเรียบร้อยแล้ว กนกพิชญ์จึงออกมานั่งชมพระจันทร์อยู่ริมระเบียงบ้านพักครูที่อยู่ในโรงเรียนที่เธอเลือกมาบรรจุ ความงามของดวงจันทร์และลมเย็นๆทำให้เธอรู้สึกสดชื่นและมีความสุขยิ่งนัก ดวงจันทร์กลมโตกระจ่างตาทำให้หัวใจของเธอก็ได้หวนหาใครคนหนึ่งซึ่งเมื่อหลายปีก่อนเคยนอนหนุนตักเธอพร้อมกับชี้ชวนให้เธอดูดวงจันทร์หรือไม่ก็นอนนับดาวด้วยกันแต่ค่ำคืนเหล่านั้นมันไม่มีอีกแล้วเมื่อเขาก็ได้หายไปจากชีวิตเธอเสียแล้วและที่สำคัญใครคนนั้นได้ลืมเธอออกไปจากใจหมดสิ้นแล้ว นึกถึงเขาคราใดน้ำตาพาลจะไหลออกมาเสียทุกครั้ง หญิงสาวมองดวงแขผ่านม่านน้ำตาดวงตาพร่าจนเห็นภาพของเขามาอยู่ตรงหน้าแต่พอจะเอื้อมมือคว้าภาพนั้นก็หายวับไป หญิงสาวได้แต่ร้องไห้น้ำตาไหลเงียบๆด้วยความคิดถึงคนที่ยังอยู่ในใจอยู่มิวาย วันนี้หญิงสาวประจักษ์แก่ใจแล้วว่าต่อให้เธอหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็ไม่สามารถหนีหัวใจตัวเองได้เลย...
หลังจากที่ปิญารัตน์กลับมาจากพานักเรียนพาแข่งขันกีฬาในตัวจังหวัด ก็ได้กลับมายังบ้านพักครูขณะที่กำลังขึ้นบันไดบ้าน เงาสลัวๆของร่างๆหนึ่งในชุดนอนกระโปรงสีฟ้าที่กำลังยืนชมพระจันทร์อยู่ที่ระเบียงบ้านทำให้เธอรีบขึ้นไปบันไดไปยืนเคียงข้างก่อนเอ่ยถามออกมาเบาๆ
“วันนี้นึกครึ้มใจอะไรเหรอคะเรย์ถึงออกมาชมจันทร์ได้ ตามปรกติเจนต้องชวนแล้วชวนอีกถึงจะออกมาได้ ชุดนอนวันนี้ก็แปลกจังทำไมเจนไม่เคยเห็นเรย์ใส่เลย” ปิญารัตน์พูดพร้อมกับลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าอย่างรักใคร่แกมเอ็นดูเพราะนึกว่าเป็นธนัญญา
“พี่เจน...” กนกพิชญ์ที่กำลังดื่มด่ำกับพระจันทร์หันมามองคนข้างๆตัวด้วยความตกใจระคนดีใจที่ได้เจอ คนรักที่หายไปจากชีวิตเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันหนอ หล่อนจ้องมองร่างสูงในชุดวอร์มสีเข้มอย่างไม่วางตา
ปิญารัตน์เองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า คือ กนกพิชญ์ รักแรกในใจของเธอ อารามตกใจทำให้ปิญารัตน์นึ่งอึ้งเกินกว่าจะกล่าวคำทักทายใดๆออกไป
“อ้าวเจนกลับมาแล้วเหรอคะ นี่น้องแพม ครูใหม่เพิ่งมาบรรจุวันนี้ค่ะ เป็นไงคะหน้าตาเหมือนเรย์หรือเปล่าเอ่ย...แพมจ๊ะนี่พี่เจน – ปิญารัตน์ ครูพละคนเก่งของเราค่ะ” ธนัญญาได้ยินเสียงของปิญารัตน์ที่กลับมาจากพานักเรียนพาแข่งขันกีฬาในตัวจังหวัด ก็รีบลงมาหาและแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน
“สวัสดีค่ะ ชื่อแพมเหรอเรา หน้าตาเหมือนเรย์มากๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ด้วยความเกรงใจหญิงสาวอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักในปัจจุบัน ปิญารัตน์จึงแกล้งทำเหมือนไม่รู้จักกับกนกพิชญ์ ทั้งๆที่ในใจอยากดึงคนตรงหน้ามากอดให้สมกับความคิดถึง
“สวัสดีค่ะพี่เจน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” กนกพิชญ์กล่าวทักทายเสียงแผ่ว น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วเตรียมจะไหลกลับมาอีกรอบเมื่อคนที่รักแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเธอ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยพร่ำรำพันว่ารักเธอเป็นหนักหนา
“อืม เจนหิวจังค่ะเรย์ มีอะไรทานบ้างไหมคะเนี่ย...” ปิญารัตน์เพียงแต่พยักหน้าแสดงการรับรู้เท่านั้นก่อนหันไปกอดกระชับร่างบางของธนัญญาเอาไว้พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนสุดๆราวกับตั้งใจประชดใครอีกคนหนึ่ง
“ทำอะไรคะเนี่ยเจน น้องแพมก็ยังยืนอยู่ตรงนี้อายน้องบ้างสิคะ” ธนัญญาเบี่ยงตัวหนีก่อนส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้กนกพิชญ์
“อายทำไมล่ะคะ เรารักกันนี่นา เจนว่าน้องแพมเขาเข้าใจ ใช่ไหมคะน้องแพม” ปิญารัตน์ยิ้มระรื่นตรงข้ามกับกนกพิชญ์ที่หน้าถอดสีไม่คิดว่าคน(เคย)รักจะกล้ากอดคนอื่นต่อหน้าต่อตาเธอเช่นนี้
“ค่ะ แพมเข้าใจ....” ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา น้ำตาริ้นที่ขอบตา
“เดี๋ยวเรย์ไปอุ่นกับข้าวให้เจนก่อนนะคะ เจนไปอาบน้ำก่อนนะ อาบเสร็จจะได้ทานเลย” ธนัญญาขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาส่งให้ก่อนเข้าห้องไปเตรียมอาหารให้ปิญารัตน์
“สบายดีไหม...” ปิญารัตน์เอ่ยถามแผ่วเบาราวกระซิบเมื่อยืนอยู่ตามลำพังสองคน
“คะ ?” กนกพิชญ์หันมาถามคนข้างๆด้วยความประหลาดใจ ร่างสูงของเขา คนที่เธอรักสุดใจได้ยืนอยู่ข้างๆเธออยู่ตอนนี้ โดยที่เธอไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะได้มีโอกาสมายืนข้างๆกันอีกครั้ง
“ดีใจจัง ไม่นึกเลยว่าจะได้ดูพระจันทร์ด้วยกันอีก...” ปิญารัตน์พูดแต่สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์กลมโตสีนวลงดงามยิ่งนัก เธอฝันไปใช่ไหมที่ตอนนี้คนที่เธอโหยหามาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมามายืนดูพระจันทร์อยู่ข้างๆ อยากดึงรั้งคนข้างๆมากอดพร้อมบอกว่าเธอคิดถึงมากเพียงใดแต่เธอไม่อาจจะทำได้นอกจากแสดงปฏิกิริยาที่ตรงข้ามกับความรู้สึก...เท่านั้น
“ค่ะ...ก็ตั้งแต่วันที่พี่แจนทิ้งแพมไป...” น้ำเสียงเจือสะอื้นด้วยความปวดร้าวที่แม้วันเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่ความเจ็บปวดก็ไม่จางลงจากใจแม้เพียงเศษเสี้ยว
“บางครั้งคนที่เป็นฝ่ายทิ้ง อาจจะเจ็บกว่าคนที่ถูกทิ้งก็ได้...” พูดจบปิญารัตน์ก็เดินลงบันไดเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย ทิ้งให้กนกพิชญ์ยืนร้องไห้เงียบๆอยู่ตรงนั้น
ความเย็นของสายน้ำทำให้ร่างกายของปิญารัตน์สดชื่น ตรงข้ามกับหัวใจที่ยังรุ่มร้อนด้วยไฟรัก เมื่อเธออาบน้ำเสร็จเธอมาหยุดยืนตรงระเบียงก็ไร้ร่างของกนกพิชญ์ยืนอยู่แล้ว เธอจึงขึ้นไปแต่งตัวที่ห้องพักของตัวเอง
“เดียวดายอ้างว้าง อยู่กับรักที่ต้องไกลห่าง
ค่ำคืนนี้ฉันนอนไม่หลับ หลับตาลงยังคิดถึงเธอ
ตื่นขึ้นมาก็ยังละเมอ เพ้อถึงเธอทุกคืนทุกวัน
*ก็จากเธอมาตั้งนาน แต่ใจฉันก็ยังต้องการ
เหม่อมองฟ้าท่ามกลางแสงจันทร์ อยู่กับเธอเหมือนอย่างวันนั้น
ที่มีเพียงแค่พระจันทร์ ปล่อยดวงดาวที่เป็นพยาน
**ว่าเราสองคนจะเคียงข้างกันเสมอ ฉันและเธอก็ต่างมีคำสัญญา
ถ้าหากดินและฟ้า ยังอยู่คู่กัน ก็จะไม่มีวัน ที่ฉันและเธอห่างไกล
***รักเธอจำได้ขึ้นใจว่าฉันรักเธอ ลมจะหอบเอาหัวใจฉันลอยไป
หาเธอ ไม่ว่าเธอจะอยู่แห่งหนใด คิดถึงเธอ รู้ไหมยว่าฉัน คิดถึงเธอ
รักเธอเสมอ ยังไงก็ไม่เปลี่ยน ไม่เคยคิดเปลี่ยน
จะไม่เหลือที่ว่างให้ใคร รักเธอเกินเผื่อใจ” ๒
เสียงเพลงแผ่วๆเล็ดลอดมาจากห้องข้างๆห้องพักของเธอ เนื้อหาของบทเพลงบาดอารมณ์คนเปิดและคนฟังยิ่งนัก เพลงนี้เมื่อสองปีที่แล้วเคยเป็นเพลงประจำความรักของพวกเธอสองคน ปิญารัตน์ฟังด้วยความรู้สึกเจ็บลึกๆ น้ำตาหลั่งออกมาเงียบๆเมื่อคิดถึงสมัยรักยังหวาน
“ก๊อก ก๊อก ทานข้าวได้แล้วค่ะเจน เจนคะเจน เป็นอะไรรึเปล่า หลับแล้วเหรอคะ” เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงเรียกของธนัญญาดังขึ้น ปิญารัตน์ปล่อยให้เสียงนั้นดังอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ลุกขึ้นเปิด ในใจนึกอยากให้คนที่มาเคาะประตูในเวลานี้เป็นใครอีกคนที่พักอยู่ห้องข้างๆเธอ แต่ในเมื่อมันไม่สามารถเป็นไปได้หญิงสาวจึงรีบปาดน้ำตาให้แห้ง ก่อนเดินไปเปิดประตู
“มาแล้วจ้าโทษทีนะคะที่เปิดช้า ไหนดูสิมีอะไรทานบ้างเอ่ย” ใบหน้ายิ้มระรื่น ทั้งๆที่มันตรงข้ามกับความรู้สึก ก่อนที่ล็อคประตูห้องและตามเข้าไปในห้องคนรัก...
ค่ำคืนนี้เป็นอีกคืนที่ในอ้อมแขนของปิญารัตน์มีร่างของธนัญญาซุกกายหลับใหลอยู่เคียงกาย ร่างสูงใช้มือปาดเหงื่อที่ชื้นอยู่ตามใบหน้าและหน้าผากออกก่อนจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากกลมมน ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกรักคนในอ้อมแขนตรงกันข้ามเธอรู้สึกรัก รักเสียจนไม่อยากจะนึกว่าหากไม่มีคนนี้อยู่เคียงข้างเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร หากแต่หัวใจรักที่ยังผูกพันที่มีให้กับกนกพิชญ์มันทำให้เธอรู้สึกปวดร้าวไม่สร่างซา และยิ่งเจ็บปร่าไปทั้งดวงใจเมื่อคนที่เธอพยายามหนีมาไกลแสนไกลปรากฏตัวขึ้นในวันนี้...
กนพิชญ์นอนหายใจแผ่วด้วยความอ่อนล้าใจบนที่นอนอันหนานุ่ม สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอโทรทัศน์ที่ฉายภาพวีดีโออันเป็นภาพถ่ายรักหวานของเธอกับปิญารัตน์ ซึ่งเขาเป็นคนตัดต่อภาพผ่านโปรแกรม Movie Macker ในวันครบรอบปีที่ ๗ แห่งการคบหาดูในฐานะคนรัก เสียงเพลง รักเกินเผื่อใจ ซึ่งขับร้องโดยศิลปิน อาร์ & อาร์ม ดังคลอขึ้นอย่างหวานซึ้ง โดยที่เธอไม่อาจคาดคิดว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ความรักของเธอสองคนจะจบลง หญิงสาวหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลรินช้าๆกับเสียงหัวใจที่คล้ายๆจะขาดลง ก่อนที่คืนนี้จะเป็นอีกคืนที่เธอจะต้องหลับทั้งน้ำตา
..................................................................................
๑ เพลง : ลมหายใจของเมื่อวาน ศิลปิน : Lipda
๒ เพลง : รักเกินเผื่อใจ ศิลปิน : อาร์ & อาร์ม