ดาวบนพื้นน้ำ
บทที่ ๓ : ใจภักดิ์...ใจปอง
พอสิ้นสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน เสียงต่างๆก็ดังขึ้นเป็นปรกติทุกวัน เสียงอ่านทำนองเสนาะอย่างพร้อมเพรียงดังมาจากห้องเรียนที่กนกพิชญ์กำลังสอนอยู่ เสียงบอกทำความเคารพดังขึ้นหลังจากที่ท่องคำประพันธ์จบลงแล้ว ก่อนที่เสียงดังโครมครามของโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกยกขึ้นวางซ้อนกันเพื่อทำความสะอาดห้องเรียน
กนกพิชญ์เก็บอุปกรณ์การสอนไว้ในชั้นวางของภายในห้องเรียน หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวออกไปห้อง พยับฝนมืดทะมึนอยู่บนฟากฟ้า เสียงฟ้าร้องครืนๆอยู่ไกลๆ ลมแรงพัดกรรโชกอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้าเมฆ
สีดำเคลื่อนเข้ามาปกคลุมจนมืดมัวทั่วท้องฟ้า เพียงไม่นานก็กระหน่ำลงมาอย่างหนาเม็ด จู่ๆร่างของหญิงสาวคนคุ้นตาถือร่มสีชมพูเดินตรงมาที่เธอ
“แพม...เรย์สอนอยู่ห้องไหน!!” ปิญารัตน์เอ่ยถามเป็นประโยคแรกที่มาถึงอย่างร้อนใจ
“ห้อง ม.๕/๒ ค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมชี้ไม้ชี้มือไปยังห้องเรียนที่ธนัญญากำลังสอนอยู่ อีกฝ่ายเพียงแต่พยักหน้ารับแล้วเดินต่อไปยังห้องนั้น
ภาพของปิญารัตน์และธนัญญาซึ่งเดินกางร่มคันเดียวกัน เดินเคียงคู่ผ่านเลยเธอไปยังโรงจอดรถยนต์ของคณาจารย์และขับออกไปจากโรงเรียนไวปานพายุ บาดลึกเข้ามาในความรู้สึกของหญิงสาว เธอเดินฝ่าสายฝนออกไปจากอาคารเรียนอย่างเหม่อลอยพลางร้องไห้ปานใจจะขาด ร่างบอบบางของหญิงสาวเย็นยิ่งกว่าน้ำฝน ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความเหน็บหนาว
ระยะทางจากอาคารเรียนไปยังบ้านพักครูที่เคยใกล้ กลับรู้สึกเหมือนไกลนับกิโลเมตร หญิงสาวค่อยๆเดินช้าๆจนมาถึงบ้านพักครูในที่สุด เธอค่อยๆพาตัวเองขึ้นไปบนชั้นสองของตัวบ้าน ไปนั่งจ่อมจมอยู่หน้าห้อง ไม่มีแรงแม้แต่จะไขกุญแจเปิดเข้าไปภายใน
เย็นมากแล้วหยาดฝนซาเม็ดลง กนกพิชญ์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น พระอาทิตย์ค่อยๆลับทิวไม้ลงไปรำไร ทั่วบริเวณบ้านเงียบสงัด พอตะวันลับแสง เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงมมาจากราวป่า เสียงกบเสียงเขียดดังเซ็งแซ่มาจากท้องทุ่งนา
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มดังขึ้นมาจากใต้ถุนบ้านพักครู หญิงสาวพยายามยันกายลุกขึ้นแต่ทว่าไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับกายได้แต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นต่อไป ร่างสูงของปิญารัตน์เดินขึ้นมาข้างบนบ้าง หญิงสาวตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
“แพมเป็นอะไร ทำไมตัวเปียกอย่างนี้” ปิญารัตน์พูดพร้อมกับดึงร่างบอบบางของกนกพิชญ์ให้ยืนขึ้น อีกฝ่ายซวนเซจะหกล้ม ปิญารัตน์จึงโอบกอดเอาไว้เพื่อกันมิให้หล่อนล้มลง
“แพมไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ ปล่อยแพมเถอะค่ะ แพมจะเข้าห้อง” แม้อุ่นไอจากคนตัวสูงจะเป็นสัมผัสที่เธอโหยหามานานแต่ต้องห้ามใจเอาไว้ ดันร่างสูงให้ห่างออกไป
“แล้วนี่แพมทานอะไรหรือยัง พี่ซื้อข้าวมันไก่มา ทานด้วยกันนะคะ” ครูสาวรุ่นพี่ปล่อยร่างบางแต่โดยดี พร้อมยื่นกล่องข้าวมันไก่สองกล่องมาตรงหน้าเธอ
“พี่เจนเก็บไว้ทานกับพี่เรย์เถอะค่ะ แพมขอตัว” หล่อนพูดตัดพ้อก่อนไขกุญแจเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูล็อคกลอนอย่างรวดเร็ว
“แพม...วันนี้เรย์ไม่อยู่ ข้าวกล่องนี้ พี่ตั้งใจซื้อมาฝากแพม เดี๋ยวพี่จะใส่จานรอนะ”
เสียงปิญารัตน์ดังลอดเข้ามาในห้อง กนกพิชญ์ทำทีเป็นไม่ใสใจแล้วนำกางเกงขาสั้นสีน้ำทะเล เสื้อกล้ามสีฟ้าจางๆออกมาจากตู้เสื้อผ้า เดินลงไปอาบน้ำสระผมที่ชั้นล่างออกตัวบ้าน
เมื่อเธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จขึ้นมาบนบ้านก็พบว่า ปิญารัตน์ได้นั่งรอเธออยู่หน้าโต๊ะญี่ปุ่น ซึ่งบนโต๊ะมีจานข้าวมันไก่หน้าตาน่ารับประทานวางอยู่สองจาน มีถ้วยใส่น้ำซุปใสควันกรุ่นอยู่ตรงกลาง กระตุ้นต่อมหิวของกนกพิชญ์ยิ่งนัก หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเบาๆ ก่อนที่จะเดินเลยไปยังห้องของตัวเอง
“แพม ทานข้าวก่อนสิคะ ข้าวมันไก่หนังเยอะๆ ของโปรดแพมเลยนะคะ” ปิญารัตน์พูดพร้อมกับรินน้ำผลไม้ใส่แก้ว
“แพมไม่หิวหรอกค่ะ พี่เจนทานไปเถอะค่ะ...” ตอบไปอย่างนั้น ทั้งที่ความความจริงรู้สึกหิวมิใช่น้อยแต่เธอไม่อยากอยู่ใกล้ปิญารัตน์นานๆ เพราะรู้ดีว่าในเวลานี้เขาไม่ใช่คนรักของเธอแล้ว
“แพมรังเกียจพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร แพมเข้าห้องเถอะ” พูดพร้อมตักข้าวรับประทานเงียบๆ แปลกทั้งๆรสชาติของข้าวมันไก่นั้นแสนอร่อยแต่เธอกลับรู้สึกเฝื่อนลิ้นเหลือเกิน
“ไหนดูสิคะ จะอร่อยหรือเปล่า” ท่าทางน่าสงสารของปิญารัตน์ทำให้กนกพิชญ์พูดพร้อมกับนั่งลงตักข้าวมันไก่ใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เพื่อเอาใจคนซื้อมา
“อร่อยหรือเปล่าคะ”
“อร่อยค่ะ แค่กๆ”
“ทานน้ำค่ะ”
ปิญารัตน์ยื่นแก้วน้ำมาให้กนกพิชญ์ หญิงสาวมือไปรับ ปลายนิ้วสัมผัสกันเล็กน้อยสร้างความขวยเขินให้กับทั้งคู่ ปิญารัตน์ขยับมือออกไป กนกพิชญ์จึงได้สติยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ทั้งคู่ต่างรับประทานอาหารเคล้าแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาและเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ดังระงม โดยมิได้พูดจากันอีก เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ จึงช่วยกันเก็บถ้วยจานไปล้างที่อ่างล้างข้างๆโรงอาหาร
หลังจากล้างจานเสร็จเรียบร้อย ปิญารัตน์ก็ออกมาชมท้องฟ้ายามค่ำบริเวณระเบียงชั้นพักบันไดของตัวบ้าน ท้องฟ้าคืนนี้มีเมฆมาก เหลือเพียงดาวบางดวงเท่านั้นที่พยับเมฆมิได้เข้าเคลื่อนบดบัง กลิ่นดอกไม้ป่าระรวยความหอมตามสายลมเอื่อยเป็นครั้งคราว
“แพม คืนให้พี่นะคะ” กนกพิชญ์หยิบสร้อยคอทองคำขาวประดับจี้รูปตัวอักษร JP ไขว้กัน ในกล่องของขวัญปริศนายื่นมาตรงหน้าปิญารัตน์ พร้อมยัดสร้อยคอเส้นนั้นใส่มือของหญิงสาว
“คืนพี่ทำไม พี่ตั้งใจซื้อให้แพมจริงๆ พี่ซื้อไว้นานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสจะให้สักที” พูดพร้อมคืนสร้อยเส้นนั้นใส่มือหญิงสาว
“เนื่องในโอกาสอะไร และฐานะอะไรคะ แพมว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ แพมวางไว้ตรงนี้นะคะ ถ้าพี่จะไม่เอาคืนก็ตามใจพี่เถอะค่ะ” กนกพิชญ์พูดพร้อมนำสร้อยคอเส้นนั้นใส่กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มและนำไปวางไว้ตรงมุมบันไดซึ่งมีความกว้างมากพอที่จะวางสิ่งของได้
“พี่ซื้อไว้ในวันที่พี่ได้รับเงินเดือนแรก ในวันที่พี่มีเงินมากพอที่จะซื้อหาของขวัญที่มีค่าให้กับคนที่พี่รัก และคนๆนั้น ก็คือ แพม” ปิญารัตน์พูดพร้อมรั้งเรือนร่างบอบบางของกนกพิชญ์มาไว้ในอ้อมแขนของตนเอง ความรักความเสน่หาที่มีอยู่มิเคยหายไปไหน ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่วันที่กนกพิชญ์มาปรากฎตัวที่นี่
“ที่ผ่านมาแพมรอพี่เสมอ แพมไม่มีเคยมีใครนอกจากพี่ ถึงแม้ว่า...” อ้อมกอดอุ่นของคนตัวสูงทำให้เธอรู้สึกคล้ายๆการรอคอยสิ้นสุดลง แต่เมื่อนึกถึงรูปภาพใบนั้นที่มารดานำมาให้ดู ความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านเข้ามา ความรู้สึกที่ถูกคนรักหักหลังมันช่างทรมานยิ่งนัก
“ถึงแม้ว่าอะไรคะ” คนร่างสูงถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักไปก็รีบถามด้วยความอยากรู้ สายตาของทั้งสองคนสบกันนิ่ง
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ถ้าพี่รักแพมจริง แล้วพี่เรย์ล่ะคะ อย่าบอกนะว่าพี่ไม่ได้รักพี่เรย์ พี่เจนปล่อยแพมเถอะค่ะ ใครเห็นเข้ามันจะไม่ดี และอีกอย่างตอนนี้คนที่เป็นแฟนของพี่ คือ พี่เรย์ ไม่ใช่แพม” กนกพิชญ์ผละออกจากอ้อมแขนอุ่นและเดินขึ้นไปยังห้องพักของเธอ เธอไม่สิทธิ์อยู่ในอ้อมแขนนี้อีกแล้ว เพราะเจ้าของของเขาไม่ใช่เธออีกต่อไป
ปิญารัตน์ได้แต่มองกนกพิชญ์อยู่ตรงนั้น มิกล้ารั้งเอาไว้ ถึงแม้ว่าภายในใจอยากจะทำอย่างนั้น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มทำให้หญิงสาวได้สติ ใช่สินะ คนรักของเธอในเวลานี้ คือ ธนัญญา มิใช่กนกพิชญ์
แต่ทำไมภายในหัวใจมันถึงได้เรียกร้องโหยหาถึงเพียงนี้หนอ ถ้าจะถามว่าหัวใจเธอรักใคร เสียงหัวใจมันตอบมาอย่างไม่ลังเลเลยว่า กนกพิชญ์ แต่ธนัญญาผู้แสนดีนั่นเล่า ใช่ว่าเธอจะไม่รัก ตรงกันข้าม หัวใจอีกด้วนมันก็ตะโกนๆซ้ำไปซ้ำมาว่า เธอรักธนัญญา ปิญารัตน์เบนสายตาไปยังท้องทุ่งนาไกลสุดลูกหุลูกตา เหตุใดหนอ หัวใจของเธอจึงตกอยู่ในสภาวะรักพี่เสียดายน้องเช่นนี้
“ข้าพเจ้ารักภัควลัญชญ์๑ ด้วยใจภักดิ์ แต่รักทัณฑิกาด้วยใจปอง” เสียงของบุรุษผู้องอาจลอยมาจากไหนสักแห่ง ฉับพลันนั้นปิญารัตน์รู้สึกตัวเบาโหวงราวอยู่ในห้วงอวกาศล่องลอยเคว้งคว้าง ภาพท้องทุ่งนาท่ามกลางแสงสลัวค่อยๆเปลี่ยนเป็นความมืดสนิทแล้วกลับกลายเป็นแสงจ้า ก่อนที่ภาพห้องนอนของใครบางคนจะปรากฏ !!!!
..............................................................
๑ ภัควลัญชญ์ อ่านว่า พัก-วะ-ลัน