ดาวบนพื้นน้ำ
บทที่ ๕ : พิษรัก
กนกพิชญ์นอนหลับลงไปหลังจากที่ปิญารัตน์ออกจากห้องไปแล้ว ด้วยพิษไข้จึงทำให้หญิงสาวหลับยาวจนถึงเวลาค่ำมากแล้ว มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีมืออุ่นๆของใครสักคนมาลูบที่ศีรษะของเธอเบาๆ มันอบอุ่นและรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ผ่านมือข้างนั้น...มือของพี่เจน
“ขอโทษนะแพม พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตื่น แพมเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง แล้วหิวไหม อยากทานอะไรหรือเปล่า พี่จะได้ไปทำให้” ปิญารัตน์กระวีกระวาดทำท่าจะลุกออกไปทำอาหารให้หญิงสาวแต่เธอกลับคว้ามือของเขาเอาไว้แล้วกล่าวปฏิเสธ
“แพมไม่หิวหรอกค่ะ พี่เจนล่ะคะหิวไหมคะ”
“พี่ไม่หิวเลย พี่คงทานอะไรไม่ลงหรอก พี่เป็นห่วงแพม”
“พี่เจนเป็นห่วงแพมขนาดนั้นเลยเหรอคะ” กนกพิชญ์ถาม แม้จะรู้ดีว่าปิญารัตน์ไม่ได้รักเธอแล้ว แต่สำหรับเธอนั้น...ไม่มีวันไหนเลยที่เธอจะไม่รักเขา
“พี่เป็นห่วงแพมมากกว่าห่วงตัวเองซะอีก หายไวๆนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่ยังเป็นห่วงแพม แม้ว่าแพมจะรู้ว่าไม่มีวันที่เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่แพมก็ยังรักพี่เจนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แพมขอโทษนะคะที่แพมยังลืมพี่เจนไม่ได้ อย่าบอกให้แพมเลิกรักพี่เจนเลยนะคะ ตอนนี้แพมยังทำใจไม่ได้ แต่แพมสัญญานะคะว่าสักวันแพมจะเลิกรัก และคิดกับพี่เจนแค่เพื่อนร่วมงาน แพมสัญญา...” กนกพิชญ์เสียงสั่นเครือน้ำตาไหลอาบใบหน้างาม ปิญารัตน์ใช้มือเช็ดน้ำตาของหญิงสาวจากแก้มอิ่มเบาๆ
“ถึงแม้ตัวของพี่จะเป็นของใคร แต่หัวใจของพี่ยังคงเป็นของแพมเสมอ ตั้งแต่วันนั้น...วันที่เราเจอกันครั้งแรก”
“ถ้าอย่างนั้นแพมขอกอดพี่เจนได้ไหมคะ...ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
ปิญารัตน์พยักหน้ารับแทนคำตอบ กนกพิชญ์จึงค่อยๆโผเข้ากอดเขาแล้วซบหน้าลงที่อกอุ่นเหมือนที่เคยทำตอนเป็นคนรัก มันช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน เป็นความสุขที่เธอไม่เคยลืมรสสัมผัสนี้ แต่ครั้นนึกถึงว่าอีกไม่กี่นาทีก็ต้องออกจากอ้อมกอดอุ่นของเขา หญิงสาวก็ใจหายวาบอยากยื้อเวลาให้เดินช้าลงอีกสักนิดเธอจะได้อยู่ในอ้อมกอดที่โหยหามาตลอดระยะเวลาสองปีนี้นานๆ
ปิญารัตน์จับไหล่ของกนกพิชญ์แล้วดันร่างของหญิงสาวออกจากอ้อมอกของตัวเอง หญิงสาวมองหน้าของหญิงด้วยแววตาหวานซึ้งโหยหา มือบางค่อยๆเชยใบหน้าของหญิงสาวขึ้นก่อนจะค่อยๆจุมพิตเข้าที่ริมฝีปากอิ่มของเธอ ลมหายใจของทั้งคู่พ่นออกมาแรงตามจังหวะการเต้นของหัวใจ กนกพิชญ์ไม่ขัดขืนรอยจูบนั้น เธอโอนอ่อนผ่อนตามร่างกายให้เป็นไปดั่งอารมณ์ที่กำลังอ่อนไหว ร่างของคนทั้งสองกอดกันแนบแน่นปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอารมณ์สเน่หาที่ก่อตัวขึ้น...
.....................................................................................
ยามนั้นเป็นเพลาดึกดื่นค่อนคืนแล้ว พระจันทร์เสี้ยวสีเงินแขวนอยู่บนผืนฟ้า แสงอันสลัวรางสาดส่องลงมาที่ชั้นพักบันไดภายในบ้านสีขาวหลังหนึ่งในภาคอีสานตอนล่าง สองร่างโอบกอดกันท่ามกลางแสงจันทร์นวล ดอกไม้ป่าส่งกลิ่นหอมละมุนรวยระรินมาตามสายลม แสงสว่างจากจันทราแม้เพียงสลัวๆแต่กลับให้ใบหน้าของทั้งคู่กระจ่างชัดยิ่งนัก
เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ปิญารัตน์ผละออกจากอ้อมแขนอุ่นแต่ยังมิวายใช้มืออีกข้างโอบเอวของสาวเจ้าเอาไว้ ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป่ากางเกงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สีหน้าของหญิงสาวสลดวูบเมื่อชื่อของธนัญญาโชว์หราอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์
“ใครโทรมาคะ ทำไมไม่รับสาย” น้ำเสียงหวานเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดสายทิ้ง
“เรย์โทรมาจ๊ะ” ตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ถ้าอย่างนั้นพี่เจนก็รับสายพี่เรย์สิคะ แพมขอตัวไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า...” พูดจบก็แกะมือที่โอบเอวเธอเอาไว้ ก่อนเดินขึ้นไปยังตัวบ้านแล้วเข้าห้องของตนเอง
“ฮัลโหล...” เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง ปิญารัตน์กดรับสายด้วยน้ำเสียงสั่น
“เจนหลับแล้วเหรอคะ ทำไมรับสายช้าจัง” ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เกรงว่าเสียงโทรศัพท์ยามวิกาลของเธอจะรบกวนคนรัก
“ยังไม่นอนหรอกจ๊ะ”
“ชมจันทร์อีกแล้วใช่ไหมคะ แล้วน้องแพมล่ะคะ เรย์ไม่อยู่ฝากดูแลน้องสาวเรย์ด้วยนะคะ...”
“แพมเข้าห้องนอนตั้งแต่หัวค่ำจ๊ะ แล้วทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ วันอาทิตย์เรย์ก็จะกลับแล้ว...แต่ตอนนี้ดึกแล้วเข้าห้องนอนได้แล้วนะคะ อยู่ตรงระเบียงคนเดียวอันตรายออกค่ะ”
“รับทราบครับผม ถ้าอย่างนั้นเจนเข้านอนแล้วนะ ฝันดีจ๊ะเรย์”
“ฝันดีค่ะเจน”
ปลายสายวางไปแล้ว ปิญารัตน์จึงเดินขึ้นมาบนบ้าน มือบางเคาะไปที่ประตูห้องเบาๆ กนกพิชญ์ที่ยังนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียงเอามือปิดหูทันที น้ำตาไหลอาบแก้มนวล เจ้าของของเขาใกล้จะกลับมาแล้วสินะ สิ่งที่เธอควรจะทำ คือ ตัดใจใช่ไหม...
เมื่อกนกพิชญ์ไม่ได้ออกมาเปิดประตูให้ ปิญารัตน์จึงเปิดประตูเข้าห้องของตนเองอย่างหงอยเหงา ความรู้สึกผิดเกาะกินจนปวดร้าวไปทั้งหัวใจ....
..................................................................................