ตอนที่ 3. Seeing You Again
งานจัดแสดงสินค้าเครื่องประดับและอัญมณี เมืองทองธานี กรุงเทพฯ
เรียกได้ว่าเป็นการจัดแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่อลังการงานหนึ่ง เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยดีสำหรับผู้ค้าและผู้ขายในวงการอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งการจัดแสดงสินค้าในแบบเดียวกันนี้จะถูกจัดขึ้นทั่วโลกโดยสถานที่ในการจัดแสดงนั้น ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามทวีปต่างๆ แต่ถ้าพูดถึงในแถบเอเซียแล้ว งานที่จัดแสดงในประเทศไทยถือว่าโดดเด่นติดอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้
วันนี้เป็นงานเปิดตัววันแรกของการจัดแสดง และค่ำนี้ก็มีการจัดเลี้ยงอาหารแบบบุฟเฟ่เฉพาะสำหรับแขกเหรื่อในงาน ซึ่งก็ล้วนเป็นนักธุรกิจทั้งในและนอกประเทศโดยทั้งสิ้น โดยตามกำหนดการที่มี หลังจากการรับประทานอาหารกันเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะเข้าสู่งานแสดงบนเวทีเพื่อให้ผู้ร่วมงานได้รับความสำราญเล็กๆ น้อยๆ หลังจากการเดินชมงาน หรือเจรจาธุรกิจกันมาแล้วตลอดทั้งวัน
บทเพลงแรกบนเวทีถูกขับขานโดยนักร้องสาวเสียงคุณภาพคนหนึ่งที่คินสิตาคุ้นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้...หญิงสาวยืนหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยงนั้นโดยลำพัง เธอไม่ชอบงานแบบนี้สักเท่าไหร่ และไม่ค่อยคุ้นเคยกับการพบปะพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักดูไม่ค่อยออกหรือไม่ค่อยจะเปิดเผยกันตรงๆ ว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องการอะไร สำหรับเรื่องนี้ต้องยกให้วาคิม รายนั้นจะถนัดและคล่องเสียจนคินสิตายังอดทึ่งไม่ได้ ซึ่งก็เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งและหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ และที่คินสิตายังต้องอยู่ร่วมงานในค่ำคืนนี้ก็เพราะพี่ชายของเธอบอกว่าต้องอยู่ แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลมากกว่านั้น...เมื่อสักครู่ใหญ่ๆ เธอยอมให้วาคิมพาเดินไปทั่วงาน 'มีคนสองสามคนที่พี่อยากให้เรารู้จักเอาไว้' พี่ชายเธอว่าอย่างนั้น แต่แล้วคินสิตาก็แทบจะรู้จักคนไปทั้งงานเพราะดูเหมือนว่าพี่ชายของเธอช่างกว้างขวางเสียเหลือเกิน กว่าเธอจะปลีกตัวออกมาได้ หญิงสาวก็แทบจะต้องคุกเข่าลงไปอ้อนวอนวาคิมให้เลิกพาเธอไปแนะนำใครต่อใครให้รู้จักเสียที...หญิงสาวยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจรดริมฝีปาก กวาดตามองไปรอบห้องซึ่งจัดแต่งไว้อย่างหรูหราพอที่จะอวดแขกบ้านแขกเมืองได้ หลายคนกำลังสนใจกับการแสดงบนเวที บ้างก็จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรส รวมถึงพี่ชายของเธอด้วย...คินสิตาส่ายหน้าและหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นดังนั้น...ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนงานถึงจะเลิกนะนี่...หญิงสาวถามตัวเองอย่างเบื่อๆ และรู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง...
"คุณคิน...แอบมาอยู่ตรงนี้นี่เอง...ให้พี่ตามหาเสียทั่วเลยนะคะเนี่ย" ศศินาผู้ช่วยของเธอเดินเข้ามาทักแถมต่อว่ากรายๆ
"ไม่ค่อยชอบงานแบบนี้น่ะค่ะ...ว่าแต่มีอะไรเหรอ...พี่ศศิ" คินสิตาตอบกลับ
"ดูบนเวทีสิคะ...แฟชั่นโชว์เครื่องประดับที่เข้ารอบสิบเซ็ตสุดท้ายกำลังจะเริ่มค่ะ...ศศิว่าแล้ว ว่าคุณคินต้องลืมแน่ ถึงได้มาบอกนี่ล่ะ" หญิงสาวมองตามไปที่เวทีก็เห็นจริงตามที่ผู้ช่วยของเธอบอก เหล่านางแบบหุ่นบาง แต่ละคนช่างดูสูงเพรียวสะโอดสะอง ทุกคนแต่งกายด้วยชุดราตรีหลากสีสัน และแน่นอนว่าต่างก็ประดับประดาเนื้อตัวด้วยเครื่องประดับที่ส่องประกายวูบวาบวิบวับ แต่ละชิ้นล้วนถูกออกแบบให้มีความวิจิตรงดงาม และทรงคุณค่า สมราคาของเพชรและอัญมณีที่ใช้ในการประดิษฐิ์ประดอย
"และที่สำคัญงานที่บริษัทเราส่งเข้าประกวดน่ะ ได้เข้ารอบด้วยนะ...ก็ทับทิมเซ็ตล่าสุดที่คุณคินออกแบบไงคะ...ที่คุณคิมน่ะเธอให้นิยามว่า 'เกียรติยศชั่วนิรันดริ์...ทับทิมสยาม...ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา'...นั่นยังไงล่ะคะ" ศศินาบอกอย่างตื่นเต้น และนั่นทำให้คินสิตาเองชักจะเริ่มสนใจงานในวันนี้ขึ้นมาบ้าง
"เดี๋ยวเค้าจะประกาศผลตอนใกล้ๆ งานเลิกล่ะค่ะ...ตื่นเต้นจังเลย" ผู้ช่วยของเธอทำท่าทางราวกับว่าได้รางวัลชนะเลิศแล้วยังไงยังงั้น
"พี่ศศิรู้หรือเปล่าคะว่างานของเราจะโชว์คิวที่เท่าไหร่" คินสิตาถาม
"เมื่อตะกี้พี่ไปถามคนคุมเวทีมาแล้ว...ของเราอยู่คิวที่ห้าค่ะ" ศศินาตอบตามที่ได้รู้มา คินสิตาพยักหน้ารับน้อยๆ ว่ารับทราบตามนั้น
ด้านบนเวที เหล่านางแบบยังคงพาเหรดกันออกมาวาดลีลาได้สมกับที่เป็นนางแบบมืออาชีพ อวดโฉมโชว์ความงามทั้งเรือนร่างและเครื่องประดับที่พวกหล่อนสวมใส่...
"อุ้ย...นั่นไงคะ...มาแล้วๆ ...โอ้โห...ชุดทับทิมของเราสวยมากๆ เลยนะคะ ดูสิ...เล่นไฟดีกว่าตอนที่โชว์ไว้ในบู๊ทเสียอีก...อย่างนี้ก็มีลุ้นล่ะ...ว่ามั้ยคะคุณคิน" ศศินาหันไปพยักเพยิดกับคนที่ยืนเงียบมาตลอดซึ่งเธอก็กำลังจดจ้องชมผลงานการออกแบบของตัวเองอยู่เช่นกัน
"คอสตูมของเขาใช้ได้นะ จัดชุดได้เข้ากับนางแบบ เลยช่วยส่งให้งานของเราดูเด่นขึ้นมาเยอะเลย" หญิงสาวพูดหากสายตาไม่ได้คลาดไปจากนางแบบบนเวทีแต่อย่างใด
"เห็นด้วยค่ะ...นางแบบก็สวย...คนที่เพิ่งเดินเข้าไปน่ะน้องแพนเค้ก...นั่นคุณแอนนา...คนนี้เพิ่งแต่งงานไปเองค่ะ...แล้วคนที่กำกังเดินออกมานี่ก็ คุณเก๋ ชลลดา เจ้าของบู๊ทที่อยู่ถัดเราไปสองบล็อคไงคะ" ผู้ช่วยสาวของเธอยังคงให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องแบบคนที่รู้ลึกรู้จริง คินสิตาได้แต่ยืนนิ่งทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี ทั้งสองดูการแสดงแบบด้วยกันจนกระทั่งจบ ต่อจากนั้นก็มีการแสดงคั่นอีกสองสามรายการ ก่อนที่พิธีกรจะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่บนเวทีอีกครั้ง เมื่อกล่าวขอบคุณสปอนเซอร์ และคณะกรรมการในการจัดงานครั้งนี้เสร็จ ก็มาถึงช่วงเวลาที่รอคอย...การประกาศผลการออกแบบเครื่องประดับยอดเยี่ยมแห่งปี...
-----------------------
"พี่คิน...พี่คินคะ รอด้วยค่ะ..." ร่างสูงชะงักแล้วหันไปตามเสียงเรียกอย่างตื่นเต้นนั้น แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าเจ้าของเสียงคือสาวสวยในเดรสสั้นเหนือเข่าสีดำ และเจ้าของใบหน้าขาวใสไร้ตำหนินั่นคินสิตาจำได้ดี
"ฟ้า...มาทำอะไรที่นี่" คินสิตาทักตอบ เธอไม่ได้เจอกับฟ้าใสมากว่าสองปีแล้ว นับจากหนสุดท้ายที่เจอกันที่ฝรั่งเศสก่อนที่ฟ้าใสจะเดินทางกลับมาประเทศไทย
"ฟ้ามางานกับคุณลุงเมฆน่ะค่ะ พี่คินจำคุณลุงของฟ้าได้มั้ยคะ ตอนนี้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ แล้วก็มาเป็นประธานในงานคืนนี้ด้วย" ฟ้าใสบอกอย่างกระตือรือร้น "ว่าแต่พี่คินนั่นล่ะ เดินเร็วชะมัด ฟ้าวิ่งตามมาตั้งแต่ในงานแล้วนะคะ ว่าจะคอยแสดงความยินดีกับนักออกแบบเครื่องประดับหน้าใหม่ซักหน่อย แต่พอลงจากเวทีก็หาตัวไม่เจอเลย เห็นอีกทีก็เดินออกจากงานมาซะแล้ว...จะรีบไปไหนเอ่ย มีนัดหรือคะ" สาวสวยพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้
"เปล่าจ้ะ พี่แค่รู้สึกเหนื่อย ก็เลยอยากกลับไปพักผ่อน" คินสิตาตอบอย่างที่รู้สึกจริงๆ
"ทำงานหนักเกินไปน่ะสิคะ...ฟ้าว่าอย่าเพิ่งกลับบ้านเลยค่ะ ไปพักสมองกันดีกว่า รับรองว่าพี่คินต้องหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เราไปนั่งฟังเพลงเพราะๆ กันนะคะ ฟ้ารู้จักอยู่ร้านนึง...บรรยากาศดีมากเลยค่ะ" ฟ้าใสเอ่ยชวน
"แต่วันนี้พี่เพลียมากจริงๆ พี่ว่า..."
"น๊าาา...ไปเถอะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังจะปฏิเสธฟ้าอีกหรือคะ ถือซะว่าเป็นการฉลองรางวัลที่เพิ่งได้มาด้วย...นะคะ" โดนอ้อนเข้าแบบนี้ คินสิตาเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกปัดได้อย่างไรอีก จึงได้แต่พยักหน้ายินยอมไปเท่านั้นเองฟ้าใสยิ้มกว้างแสดงความดีใจอย่างเปิดเผย
"ขอบคุณค่ะ..ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ พี่คินน่ะ" หล่อนเขย่งปลายเท้าขึ้นมาหอมแก้มคนตัวสูงกว่า แล้วก็ถือโอกาสนั้นเกาะแขนข้างหนึ่งไว้ไม่ยอมปล่อย ฟ้าใสทำอย่างนี้เสมอเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ ตามประสาของคนที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัย
"ไปรถพี่คินนะคะ ฟ้ามากับรถของคุณลุงน่ะ เดี๋ยวฟ้าขอโทรศัพท์บอกคุณลุงซักครู่นะคะ" ดังนั้นหลังจากฟ้าใสกดวางสายแล้ว คินสิตาจึงเดินนำหล่อนไปที่ลานจอดรถ เมื่อเข้านั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว ฟ้าใสก็บอกจุดหมายปลายทางให้เจ้าของรถทราบ คินสิตาก็ออกรถแล้วมุ่งตรงไปยังผับแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ก็คงไม่เสียหายอะไรนักหรอกนะ...เธอคิด...ออกไปเที่ยวบ้างก็ดี ที่สำคัญผับนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของเธออีกด้วย...ส่วนฟ้าใสเองก็เคยเป็นคนที่คุ้นเคยกันมาก่อน แม้จะไม่ได้สานต่อสัมพันธ์กันในแบบคนรักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคบหากันในลักษณะอื่นไม่ได้ คินสิตาเชื่ออย่างนั้น สาวสวยไฮโซคนนี้ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นคนที่รักสนุกไปวันๆ เอาสาระอะไรด้วยไม่ได้ แต่คินสิตารู้ว่าเนื้อแท้แล้วหล่อนเป็นคนจริงใจตรงไปตรงมา พูดจาด้วยรู้เรื่อง และพื้นนิสัยมีจิตใจที่ดีคนหนึ่งทีเดียว
-----------------------
เย็นย่ำของวันต่อมา...ณ บ้านหรูขนาดกลาง ชานเมือง กรุงเทพ...
พรรษมนต์นั่งไขว่ห้างอยู่ตามลำพังที่เก้าอี้สนามในสวนหน้าบ้าน ฝนที่ตกหนักมาตลอดทั้งบ่ายนั้นเพิ่งจะหยุดไปเมื่อครู่ก่อนนี้เอง กลุ่มเมฆทึบทึมยังปรากฏเป็นริ้วรอยอยู่ทั่วฟ้า หญิงสาวกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่รบกวนเธอมาแล้วตลอดทั้งวัน เธอขับรถออกจากบ้านด้วยจิตใจที่วุ่นวายสับสน เธอขับไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้จุดหมายปลายทางในตอนแรก
"คุณอยู่ที่ไหนน่ะแพท..." เสียงสามีของเธอถามมา เมื่อเธอกดปุ่มรับสายบนมือถือ
"ฉันกำลังจะไปบ้านแม่ค่ะ...คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ" หญิงสาวกรอกเสียงตอบไปเนือยๆ
"นี่ลูกไม่สบาย คุณปล่อยให้แกอยู่กับพี่เลี้ยงตามลำพังอีกแล้วหรือ" อีกฝ่ายแสดงความไม่พอใจในน้ำเสียงอย่างชัดเจน
"ฉันต้องมาทำธุระแถวบ้านแม่ ก็แค่อยากจะแวะเยี่ยมท่านหน่อย อีกอย่างตาพีทก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก วิ่งเล่นได้แล้วด้วยซ้ำไปตอนที่ฉันออกมาน่ะ แต่ถ้าคุณเสร็จธุระแล้ว จะรีบกลับไปดูแลลูกบ้างก็ดีนะคะ" เธอโต้กลับไปบ้าง บอกให้รู้เป็นนัยว่า เธอเองก็พร้อมหากเขาคิดจะหาเรื่องกัน
"ไม่เอาน่าแพท อย่ามาแดกดันกันดีกว่า...งานผมยุ่งมากแค่ไหน คุณก็รู้ดีนะ...ผมขอโทษที่ใส่อารมณ์กับคุณ ผมแค่เป็นห่วงลูกมากก็เท่านั้นเอง" ชายหนุ่มเสียงอ่อนลง เมื่อเห็นว่าภรรยาเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง
"พาสคะ..ถึงฉันจะเป็นเมียที่ไม่ได้ความเท่าไหร่ แต่ฉันคงไม่ได้เป็นแม่ที่เลวนักหรอก ฉันเองก็รักและเป็นห่วงลูกไม่น้อยไปกว่าคุณเหมือนกัน แค่นี้ก่อนนะคะ ฉันขับรถอยู่" พรรษมนต์รวบรัดตัดบท แล้วรีบวางสายทันที
หญิงสาวนึกถึงเรื่องที่คุยกับสามีเมื่อช่วงบ่าย แต่ก็รู้ดีว่าพาสกรไม่ได้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เธอต้องรู้สึกกระวนกระวายใจ จนต้องพาตัวเองออกมาอยู่ที่นี่ เมื่อคิดมาถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกละอายใจ ความจริงเธอควรจะอยู่กับลูก และทำหน้าที่นายหญิงที่ดีของบ้าน พาสกรเป็นนักธุรกิจหนุ่มอนาคตไกล มุ่งมั่นและหมกมุ่นกับงานมาก ซึ่งบางทีมันดูจะมากจนเกินไปด้วยซ้ำ เธอเข้าใจดีเรื่องไต่เต้าสู่ความสำเร็จ วงศ์ตระกูลกับทรัพย์สมบัติมักเป็นเงื่อนไขหลักที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกในการเลือกคู่ครอง อย่างเช่นกรณีของหล่อนเป็นต้น แม้เธอจะต่อต้านแนวคิดทำนองนี้อยู่มากแถมยังรักอิสระเป็นชีวิตจิตใจ แต่ด้วยคำอ้อนวอนของบิดา มารดา รวมทั้งบุคลิกเปี่ยมเสน่ห์ของพาสกร ทำให้เธอโอนอ่อนยอมคบหากับเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานในที่สุด ถึงเขาจะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับงาน แต่โดยรวมเขาก็ดีกับเธอ เพียบพร้อมทั้งวุฒิภาวะและความรับผิดชอบ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้เธอจึงต้องละทิ้งความต้องการของส่วนลึกในหัวใจ ละทิ้งตัวตนที่แท้จริง เธอจำเป็นต้องละทิ้ง...คนคนหนึ่ง...หนึ่งเดียวในหัวใจเธอ
เธอหยิบหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมือมาจากบ้านของตัวเองขึ้นมาดู แต่แล้วก็รีบพับเก็บไปเสียอย่างนั้น
"บ้าจริง..." เธอพึมพำ "นี่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่นะ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องคิดถึงเรื่องนี้อีกเลย" แต่ความรู้สึกในใจของเธอบอกว่าไม่จริง มันยังมีอะไรบางอย่างที่เธอต้องการจะรู้ และเธอจะต้องได้คำตอบ เพราะนั่นคือสิ่งที่ยังคงค้างคาใจเธอมาตลอด เธอเปิดหนังสือพิมพ์อีกครั้ง พลิกไปยังหน้าข่าวสังคมธุรกิจ เธอทอดสายตาดูที่หัวข้อข่าวนั้นเป็นรอบที่สิบแล้วเห็นจะได้
"แพท นี่มันจะค่ำมืดแล้วนะลูก จะทานข้าวด้วยกันก่อนมั้ย หรือว่าต้องกลับไปทานที่บ้านโน้น" พรรษมนต์ไม่ทันสังเกตว่ามารดาตามออกมาตั้งแต่เมื่อไร
"หนูกำลังจะกลับพอดีเลยค่ะคุณแม่ เป็นห่วงตาพีทด้วย คงเริ่มจะงอแงแล้วล่ะค่ะป่านนี้" คุณนายพริ้งเพรายิ้มตอบ
"ดีแล้วล่ะลูก อย่างนี้ล่ะนะคนเป็นแม่ ก็ต้องห่วงลูกเป็นธรรมดา พูดถึงตาพีทแล้วก็คิดถึง ไม่ได้เจอมาหลายอาทิตย์แล้วนะ" หญิงสาวพยักหน้ารับ
"งั้นหนูกลับก่อนนะคะแม่ แล้ววันหลังจะพาตาพีทมาเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่...สวัสดีค่ะ" เธอกล่าวลามารดาแล้วรีบเดินไปที่รถ สตาร์ทเครื่องได้ก็ขับออกไปทันที
พริ้งเพรามองตามลูกสาวไปในแววตาแสดงความห่วงใย เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางหมกมุ่นของลูกสาว ก็รู้ได้ในทันทีว่าพรรษมนต์ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจ แต่ก็ยังไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย หากเป็นเรื่องภายในครอบครัวลูกสาวของเธอก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการแก้ปัญหาเอาเอง หรือถ้าลูกสาวต้องการความช่วยเหลือก็คงจะร้องขอมาเองนั่นล่ะ...นางคิดพลางหมุนตัวเตรียมเดินเข้าบ้านแต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่ถูกวางทิ้งเอาไว้...
'คินสิตา - คว้ารางวัลนักออกแบบเครื่องประดับหน้าใหม่ของวงการ'
หัวข้อและภาพประกอบจากข่าวที่เห็นทำให้คุณนายพริ้งเพราต้องขมวดคิ้วมุ่น นางจำได้ดีว่าคนในข่าวนี้คือเพื่อนของพรรษมนต์ หรือจะเรียกว่าอดีตคนรักของลูกสาวเธอดีนะ เธอเองนั้นแทบช็อคเมื่อลูกสาวสารภาพว่าแท้ที่จริงแล้วผู้หญิงท่าทางห้าวๆ ที่ลูกสาวพามาบ้านสองสามครั้งคนนี้มีความสัมพันธ์กับลูกสาวตัวเองอย่างไร แต่ที่สุดแล้วนางก็พร้อมที่จะเข้าใจและทำใจให้ยอมรับในสิ่งที่ลูกเลือกที่จะเป็นได้ ซึ่งต่างกับสามีของเธอโดยสิ้นเชิง รายนั้นรับรู้ด้วยอาการโกรธเกรี้ยว บังคับให้ลูกสาวเลิกคบกับคินสิตาและยกเลิกแผนการที่เตรียมจะไปเรียนต่อที่เมืองนอกโดยทันที อีกทั้งยังเร่งรัดให้แต่งงานกับผู้ชายที่เลือกเอาไว้ให้และนางเองก็ไม่อาจจะคัดค้านได้เลย
ท่าทีของพรรษมนต์ทำให้นางหนักใจยิ่งนัก จากที่เคยคิดว่าลูกสาวของเธอแค่หลงผิดไปชั่วครั้งชั่วคราวนั้น มาในวันนี้อาการเหมือนคนจมทุกข์ของลูกสาวที่นางเห็น ทำให้ต้องย้อนคิดว่าที่ผ่านมานางและสามีทำร้ายจิตใจของพรรษมนต์มากเกินไปหรือเปล่า พริ้งเพราถอนหายใจไปพร้อมกับสายลมที่พัดโชยมาเพียงแผ่วๆ ยามใกล้ค่ำนั้น
-----------------------
มีต่อในเม้นที่ 1 นะคะ