รักลวง
บทที่ ๗ : เสียงเพรียก...ยามรัตติกาล
“เอ้ก อี้ เอ้ก เอ้กกกกกกก”
เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณดังเข้าโสตประสาททำให้ป๋องแป้งค่อยๆลืมตาขึ้นมา หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง มองไปยังบริเวณข้างเตียงที่วีรากานต์นอนอยู่เมื่อคืน แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ที่นอน หมอน ผ้าห่มถูกพับไว้ในตู้เสื้อผ้าเรียบร้อย
หญิงสาวจึงกวาดสายตาไปรอบๆห้องของผู้เป็นน้าสาวของเพื่อนสนิท ภายในหอนอนของวีรากานต์ ตกแต่งคล้ายห้องนอนของหญิงไทยโบราณ มีเตียงนอนแบบโบราณสลักลายไทยสวยงาม ผ้าปูที่นอนสีน้ำทะเลที่เธอกำลังนั่งอยู่ โต๊ะเครื่องแป้ง คันฉ่อง ฉากปักลายนกยูงรำแพนเป็นต้น เสื้อผ้าที่ใช้แล้วพับเรียบร้อยในตะกร้าผ้าสีเบจ แสดงถึงความมีระเบียบของเจ้าของห้อง
สายตาของหล่อนไปหยุดอยู่ที่รูปใบหนึ่งบนโต๊ะข้างๆเตียง ภาพของหญิงสาวแรกแย้มในชุดนักศึกษาที่อยู่ตรงหน้า สะดุดตาของป๋องแป้งยิ่งนัก เธอมีผิวขาวนวล วงหน้ารูปไข่มีแก้มนิดๆ เปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด คิ้วเรียวดวงตาสองชั้นอวลไปด้วยความหวัง จมูกโด่งพองาม ผมยาวสีดำสลวยช่วยขับผิวขาวนวลให้ดูเด่นตา คล้ายมีมนต์สะกดให้เธอมิอาจละสายตาไปจากภาพใบนั้นได้
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก เจ้าของห้องแต่งกายเรียบง่ายแต่ดูดี ด้วยกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อคอปกสีฟ้าอ่อนพาดบ่าด้วยผ้าขนหนูสีครามเดินออกมาจากห้องน้ำ เขานำผ้าเช็ดตัวไปตากไว้บนราวใกล้ๆตะกร้าเสื้อผ้า แล้วเดินมาหาป๋องแป้งซี่งนั่งนิ่งบนเตียงของเขา
“หนูป๋องแป้งตื่นแล้วเหรอคะไปอาบน้ำสิจ๊ะ ทานข้าวเสร็จน้าจะพาไปเที่ยวน้ำตกซึ่งงดงามที่สุดในแถบนี้”
ไร้เสียงตอบจากสาวเจ้า วีรากานต์มองตามสายตาของหญิงสาวก็พบว่าสายตาของเจ้าหล่อน มองไปยังรูปของคนรักของเธอ
“หนูป๋องแป้ง!”
“คะ เมื่อกี้น้าเพลงว่าอะไรเหรอคะ”
“น้าบอกว่าเช้านี้หลังทานข้าวเสร็จ น้าจะพาหนูป๋องแป้งกับยายมีนาไปเที่ยวน้ำตกจ๊ะ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นแป้งขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” พูดจบป๋องแป้งก็เดินออกไปจากห้องของวีรากานต์
ป๋องแป้งเดินใจลอยมาอยู่ที่หอนอนของตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หญิงสาวยืนอยู่กลางหอนอนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆได้สติกวาดสายตามองไปยังรอบๆห้องของตนเองด้วยความหวาดหวั่น แต่ไม่พบสิ่งใดผิดปรกติประกอบกับแสงทองของดวงตะวันที่สาดส่องไปทั่วห้องจึงทำให้ป๋องแป้งคลายความรู้สึกหวาดกลัวลงไปมากทีเดียว หญิงสาวเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้าเดินไปเข้าห้องน้ำภายในหอนอนของตนเอง
ความเย็นฉ่ำของสายน้ำทำให้ป๋องแป้งรู้สึกสดชื่นขึ้น หญิงสาวพันกายด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอเลือกเสื้อตัวยาวสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงขาสั้นสีดำสนิทมาสวม ก่อนมาแต่งตัวที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วออกไปจากหอนอน
เช้าวันนี้ป๋องแป้งรับประทานอาหารร่วมกับวีรากานต์และมีนาอย่างเอร็ดอร่อย อาหารรสชาติเยี่ยมประกอบกับบรรยากาศดีๆของเรือนไทยหลังงามทำให้ป๋องแป้งดื่มด่ำกับอาหารมื้อนี้ยิ่งนัก
“ประเดี๋ยวป้าอิ่มไปเตรียมอาหารเที่ยงใส่ตระกร้าไว้ให้เพลงหน่อยนะคะ พอดีเพลงจะพาสองสาวไปเที่ยวน้ำตก ส่วนอาหารค่ำเราจะทานมาจากร้านอาหารที่นั่นเลย” วีรากานต์กล่าวกับป้าอิ่มหลังจากอิ่มหนำกับอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว
“จะดีเหรอคะ เมื่อไม่นานมานี้มีนักศึกษาคนหนึ่งหายไปจากน้ำตก ป่านนี้ยังตามหาตัวไม่พบเลย ป้าเกรงว่าถ้าไปเที่ยวในเวลานี้อาจจะไม่ปลอดภัยนะเจ้าคะ” ป้าอิ่มเอ่ยทักด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าอิ่ม หน้านี้ไม่ใช่หน้าน้ำหลาก น้ำไม่เชี่ยวหรอกค่ะ” วีรากานต์แย้งออกไป เธอไม่อยากเปลี่ยนใจกะทันหัน เมื่อหันไปเห็นแววตาตื่นเต้นที่จะได้ไปท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติของหญิงสาวทั้งสองคน
“แต่ป้าว่า...”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าอิ่ม แป้งอยากไป ยายมีนาก็อยากไป พวกเราจะระมัดระวังตัวให้ดีค่ะ พาพวกเราไปเถอะนะคะน้าเพลง” ป่องแป้งเอ่ยขึ้นมาด้วยความอยากไป สายตาของหญิงสาวมองไปทางวีรากานต์ด้วยแววตาวิงวอน
“ไม่ต้องห่วงนะคะป้าอิ่ม เพลงจะดูแลหลานๆเอง หนูป๋องแป้งกับยายมีนาไปเตรียมเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนคนละชุดเถอะจ๊ะ เดี๋ยวน้าไปรอที่ข้างล่างนะ”
“ถ้าอย่างนั้นดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวป้าจะไปเตรียมอาหารไว้ให้” พูดจบป้าอิ่มก็เดินลงไปจากเรือนไปยังเรือนครัวเพื่อเตรียมอาหารให้หญิงสาวทั้งสามคนได้รับประทานที่น้ำตก
วีรากานต์เดินไปยังห้องของตนเอง เพื่อเตรียมเสื้อผ้าไว้ผลัดเปลี่ยนหลังจากเที่ยวน้ำตกแล้ว ก่อนที่จะเดินลงไปจากเรือนด้วยใจคอที่ไม่สู้จะดีนัก ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อคำเตือนของป้าอิ่ม แต่สายตาวิงวอนของเพื่อนสนิทของหลานสาวทำให้เขาไม่อาจทำให้ผิดหวังได้
“คุณหนูคะ อาหารเที่ยงค่ะ” ป้าอิ่มถือตะกร้าอาหารมายื่นให้ สีหน้าและแววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“ขอบคุณค่ะ ป้าอิ่มอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ เพลงดูแลหลานๆได้จริงๆนะคะ” วีรากานต์เอื้อมมือไปรับ พร้อมกับนำอาหารตะกร้าใบนั้นไปไว้ที่หลังกระบะรถยนต์สี่ประตูคันเก่งของตนเอง
“ป้าเป็นห่วงนี่คะ ดูแลตัวเองดีๆนะคะ” ป้าอิ่มย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
ชั่วครู่มีนากับป๋องแป้งก็เดินลงมาจากเรือนพร้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมคนละใบ ในขณะที่ตัวเขาเองมีเพียงถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้น
ป๋องแป้งกับมีนาเดินขึ้นไปนั่งยังที่นั่งประจำตำแหน่งของตนเอง วีรากานต์หันมาโบกไม้โบกมือให้แม่นมชรา ก่อนขับรถยนต์ออกไปจากบริเวณบ้าน ท่ามกลางสายตาที่เป็นห่วงยิ่งนักของป้าอิ่ม...
...........................................................................
ป๋องแป้งยืนเด่นบนยอดที่สูงที่สุดของภูเขา ธรรมชาติบนภูเขาและเบื้องล่างโดยรอบงดงามมาก ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันแสดวิเศษในความรู้สึกของป่องแป้ง
เธอมองลงไปเบื้องล่าง เห็นเรือกสวนไร่นาเขียวชอุ่มเพราะความอุดมสมบูรณ์ของดิน หลังจากนั้นจึงพากันเดินลงจากยอดเขา ลัดเลาะไปตามสุมทุมพุ่มไม้และซอกหิน
สองข้างทางเล็กๆที่สองสาวและหนึ่งสาวหล่อเดินอยู่นั้น ดอกไม้ป่าหลากสีชูช่อบานสะพรั่ง ผีเสื้อบินตอมขวักไขว่ นกหลายชนิดส่งเสียงร้องอยู่บนต้นไม้ใหญ่ บ้างโผผินไปมา พวกเขาเดินไม่เร็วนักเพราะทางเดินสูงชันและขรุขระ บางครั้งทางก็ลาดต่ำมีก้อนหินโผล่ขึ้นมาระเกะระกะตะปุ่มตะป่ำจึงต้องค่อยๆเดิน
ไม่ช้าได้ยินเสียงน้ำตกดังซ่าๆมาแต่ไกล อากาศเริ่มเย็นและชื้นขึ้น ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาประสานกันเป็นร่มครึ้ม มีเถาวัลย์ขึ้นพันจนมองไม่เห็นลำต้น พอเลี้ยวโค้งก็เห็นลำธารซึ่งมีน้ำใสสะอาดไหลเซาะโขดหินคดเคี้ยวไปมาระหว่างสุมทุมพุ่มไม้ สาวสามเดินเลียบไปตามริมธารน้ำ เสียงน้ำตกดังใกล้เข้ามาทุกที อากาศก็เย็นและชื้นขึ้นเป็นลำดับ
ครู่ใหญ่ก็มาถึงหน้าผาสูงชัน ที่ในเวลานี้ว่างเปล่าไร้ผู้คนมาเที่ยวชมความงาม เนื่องจากข่าวการหายตัวไปของนักศึกษาสถาบันชื่อดังในจังหวัดนี้
ธารน้ำแห่งนี้มีสายน้ำไหลตกลงมากระทบลานหินเบื้องล่างแตกกระเซ็นเป็นฟองฝอย มีเสียงซ่าๆอยู่ตลอดเวลา น้ำนั้นไหลลงจากลานหินระเรื่อยไปตามลำธารซึ่งมีลักษณะกว้างทางต้นน้ำแล้วค่อยแคบเข้าตอนปลาย บางแห่งแยกกันเป็นหลายสาย น้ำในสำธารใสจนมองเห็นท้องธารประดับประดาด้วยกรวดทราย และหินก้อนเล็กใหญ่หลากสีแลดูงดงามราวภาพฝัน
ฝูงปลาแหวกว่ายทวนน้ำขึ้นไปเป็นกลุ่ม กลีบดอกไม้ป่าร่วงโรยลง ลอยตามกระแสน้ำท้องธารที่ใดตื้นเขินก็ไปติดค้าง ลอยปริ่มน้ำวกวนอยู่ตรงนั้นราวกับใครมาโปรยปรายไว้ ผีเสื้อสีเหลืองพากันมาเกาะหุบปีกนิ่ง บ้างก็บินตามกันเป็นแถวลดเลี้ยวไปตามผิวน้ำและซอกโขดหิน เห็นเงาของมันไหวๆอยู่ในน้ำที่ใสปานกระจก เสียงนกและแมลงต่างๆร้องประสานกันอยู่ในป่ารอบบริเวณนั้น ฟังไพเราะเหมือนเสียงดนตรีหลายชนิดประสานกัน
ป๋องแป้งยืนตะลึงชมความงดงามของธรรมชาติด้วยความรู้สึกเป็นสุข ไม่ต่างจากวีรากานต์และมีนา เพราะทั้งคู่ไม่ค่อยได้มาที่นี่กันบ่อยนัก เพราะระยะทางค่อนข้างไกลและการงาน การเรียนรัดตัวเสียจนไม่ค่อยได้มีเวลามาที่นี่กันนัก ขณะที่สองน้าหลานกำลังยืนนิ่งชมทัศนียภาพอันงดงาม ป๋องแป้งเดินลงไปล้างมือล้างไม้ในธารน้ำ ฝั่งลำธารตรงนั้นค่อนข้างชัน ทำให้หญิงสาวลื่นไถลลงไป โชคดีที่วีรากานต์รีบกระโจนเข้าไปคว้าเรือนร่างบอบบางมาไว้ในอ้อมแขนของตนเองได้ทันก่อนที่หญิงสาวจะตกลงไปธารน้ำ
“เป็นอย่างไรบ้างหนูป๋องแป้ง เจ็บตรงไหนหรือเปล่าจ๊ะ” วีรากานต์ถามด้วยน้ำเสียงหวานเจือไปด้วยความห่วงใย กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อกายสาวในอ้อมแขนลอยมาปะทะจมูก ทำให้หัวใจของสตรีไทยนิสัยบุรุษเต้นผิดจังหวะไปจากเดิม
“แป้งไม่เจ็บหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะน้าเพลง” ป่องแป้งผละตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นของคนตัวสูง ใบหน้าของหล่อนแดงระเรื่อด้วยความสะเทิ้นอาย
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วจ๊ะหนูป๋องแป้ง” วีรากานต์พูดก่อนเดินลุยน้ำขึ้นไปเล่นน้ำบนลานหินที่น้ำไหลตกลงมาสาวหล่อหน้าใสลงไปแหวกว่ายธารน้ำเคล้าคลอกับฝูงปลาอย่างเพลินเพลิด
ทุกคนต่างก็แสวงหาความสุขสำราญจากความงามของธรรมชาติตามอัธยาศัยของตน มีนาค่อยๆเดินลุยลงลำธารตรงที่ตื้นๆแล้วเลือกเก็บก้อนหินที่มีสีและรูปร่างสวยๆ ในขณะที่ป๋องแป้งนั่งมองเหล่าผีเสื้อสีเหลืองที่เกาะผิวน้ำหุบปีกนิ่งอย่างสำราญใจ....
“หิวกันหรือยัง มานั่งทานอาหารที่ใต้ต้นไม้นี้เถอะเด็กๆ”
วีรากานต์ที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำเดินไปปูเสื่อที่นำมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมธารน้ำ สาวหล่อหน้าหวานหยิบกล่องอาหารและกระติกน้ำออกมาจากตะกร้า มีนากับป๋องแป้งกำลังหิวเลยเดินมาล้อมวงบนเทื่อที่วีรากานต์ปูไว้ แล้วรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย คุยไปรับประทานอาหารไปจนอิ่มและช่วยกันเก็บเศษอาหารใส่ถุงเพื่อไม่ให้บริเวณน้ำตกที่งดงามนั้นสกปรก
เมื่อจัดการกับเรื่องอาหารเสร็จสรรพแล้ว เมฆฝนก็ตั้งเค้ามืดครึ้มและแผ่กระจายมาอย่างรวดเร็วเพราะแรงลม แล้วฝนก็ตกลงมา ทุกคนช่วยกันเก็บสัมภาระแล้วพากันเข้าไปหลบฝนอยู่ใต้ชะง่อนหิน ใต้ชะง่อนหินนี้เหมือนห้องใหญ่ที่มีหลังคาเป็นแผ่นหินยื่นออกมาคุ้มฝน ทำให้ทุกคนปลอดภัย ต่างมองดูสายฝนที่โปรยปรายให้ความชุ่มฉ่ำแก่สิ่งที่มีชีวิตทั้งมวลในโลก ให้ความชุ่มเย็นแก่ดินอันเป็นแหล่งความอุดมสมบูรณ์แห่งพืชพันธ์ธัญญาหาร
“ฉันมีความสุขเหลือเกินมีนา ที่มีธรรมชาติงดงามเช่นนี้ไว้ให้เราชม” ป๋องแป้งพึมพำอย่างสุขใจ
“ถ้าเราทุกคนช่วยกันรักษาไว้ ธรรมชาติก็คงงดงามอยู่เช่นนี้ตลอดไป” มีนาพูดขึ้นสายตาเหม่อมองไปยังหยาดน้ำฝนที่ไหลรินลงมาจากฟากฟ้า
“ถ้าหนูป๋องแป้งกับยายมีนาชอบ ไว้น้าจะพามาบ่อยๆก็แล้วกัน” วีรากานต์พุดพร้อมส่งสายตาหวานฉ่ำไปให้แป้งแป้ง ทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้างุดเพื่อเก็บซ่อนความเขินอาย ในขณะที่มีนามองภาพนั้นแล้วอมยิ้มอย่างสุขใจ เธออยากให้น้าสาวและเพื่อนสนิทรักกันอยู่แล้ว ถ้าคนที่เธอรักทั้งสองคนมีความสุข เธอก็มีความสุขไปด้วย
ทุกคนต่างนิ่งเงียบจมอยู่กับความคิดของตนเอง ได้ยินแต่เสียงน้ำตกเคล้ากับเสียงฝน รอเวลาฝนหยุดตก แล้วจะได้กลับบ้านด้วยความเบิกบานใจ...
.............................................................................
พระอาทิตย์ตกดินไปเนิ่นนาน แต่ป๋องแป้งยังคงนั่งทอดสายตาเหม่อมองฝ่าความมืดออกไปภายนอกชานของเรือนไทย เสียงหรีดหริ่งเรไรที่ร้องระงมเคยเป็นดั่งเสียงดนตรีที่ขับกล่อมให้เธอได้หลับไหลอย่างมีความสุข แต่ความสุขนั้นไม่มีอีกแล้วเหลือเพียงความหวาดกลัวยามแสงตะวันโรยรา
ยามรัตติกาลที่ความมืดเงื้อมเงาเข้าครอบคลุมทุกอาณาบริเวณ ริ้วเมฆลอยคล้อยจนเข้าบดบังแสงแห่งดวงจันทราไว้สิ้น อีกทั้งอากาศเย็นสบายบวกกับความเหน็ดเหนื่อยจากการไปท่องเที่ยวธารน้ำเมื่อตอนกลางวันทำให้ป๋องแป้งนอนนิ่งบนเก้าอี้โยกไม่ได้ยินเสียงสวบสาบที่ดังมามาแต่ไกล และค่อยๆใกล้เข้ามาทุกขณะ
“ป๋องแป้ง!!!”
“คะ”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้ป๋องแป้งเผลอขานรับเพราะคิดว่าเป็นมีนา เนิ่นนานแต่เจ้าของเสียงก็ยังไม่เดินอยู่ตรงหน้าของเธอ หญิงสาวจึงเหลียวหลังไปดูแต่ปรากฏว่าบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่สักคน แล้วเสียงเรียกเมื่อครู่มาได้อย่างไร ใครกันที่เรียกเธอ ความหวาดกลัวทำให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเตรียมพร้อมจะออกวิ่งเข้าไปในเรือน
“หนูป๋องแป้งจะไปไหน ทำไมหน้าตาตื่นขนาดนี้” วีรากานต์ที่เดินมามีหลัง เอ่ยทักเสียงดังเมื่อเห็นท่าทางตื่นกลัวของป๋องแป้ง
“น้าเพลงคะ คือว่า แป้ง...” ตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“มีอะไรหรือเปล่าหนูป๋องแป้ง ทานนมอุ่นๆก่อนแล้วค่อยเล่าให้น้าฟังก็ได้” วีรากานต์พูดด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วยความห่วงใย พร้อมวางแก้วนมอุ่นๆไว้บนโต๊ะเล็กตรงหน้าป๋องแป้ง
หญิงสาวจึงนั่งลงที่เดิม แล้วยกแก้วนมขึ้นจิบช้าๆเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของน้าสาวของเพื่อนสนิท ความห่วงใยของเขาค่อยๆแทรกซึมสู่หัวใจของเธอทีละนิด
“ว่าอย่างไรล่ะหนูป๋องแป้ง เล่าให้น้าฟังได้หรือไม่ว่าหนูเป็นอะไร”
“แป้งได้ยินเสียงใครก็ไม่รู้มาร้องเรียกค่ะ พอหันไปดูก็ไม่มีใครแล้ว” ป๋องแป้งตอบด้วยน้ำเสียงสั่น
“ไม่มีอะไรหรอกแป้ง อย่าคิดมากเลย แกอาจจะหูแว่วไปก็ได้ คืนนี้ถ้าแกไม่สบายใจที่นอนหอนอนนั้น ก็มานอนที่หอนอนของฉัน หรือจะนอนที่หอนอนของน้าเพลงอีกสักคืนก็ได้” มีนาเดินออกมาสมทบหลังจากทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้ว
“อาจจะเป็นเหมือนที่ยายมีนาพูดก็ได้นะหนูป๋องแป้ง บางทีหนูอาจจะหูแว่วจริงๆก็ได้ คืนนี้น้าว่าหนูสองคนไปนอนกันเถอะจ๊ะ พรุ่งนี้ต้องไปแข่งกีฬากันแต่เช้า” วีรากานต์พูดตัดบทเพื่อให้หญิงสาวทั้งคู่สบายใจ ทั้งๆที่ในใจของเขานั้นรู้ดีว่าป๋องแป้งไม่ได้หูแว่วไปเองอย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นป๋องแป้งขอตัวไปนอนก่อนนะคะน้าเพลง ไปกันเถอะมีนา คืนนี้ขอฉันนอนที่หอนอนของแกด้วยนะ” พูดจบป่องแป้งก็ชักขวนมีนาให้เข้านอน โดยไม่รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังตามเธอไปด้วยเพราะการขานรับของเธอนั่นเอง...
ตกกลางดึกคืนนั้น ในขณะที่ป่องแป้งนอนหลับบนเตียงเดียวกันกับมีนา เธอก็ได้ยินเสียงเกาดังแกรกๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเสียงเกาของมีนาก็ได้ จึงหลับต่อไปพอหลับๆไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงพลิกตัวไปมาเหมือนคนนอนกระสับกระส่าย และเสียงเกาแกรกๆก็ดังขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวจึงได้พลิกตัวหันไปมอง
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า คือ เธอเห็นว่าตรงที่ปลายเตียง มีหญิงชรารูปร่างแปลกๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมเสื้อคอกระเช้าสีขาว นุ่งผ้าถุงสีดำ นั่งยองๆอยู่ปลายเตียง ลักษณะใบหน้าของหญิงชราคนนั้นยับย่นยู่ยี่ ตามเนื้อตัวเป็นตุ่มๆพองๆ ไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่ราบเรียบเลย จึงได้รู้ว่าเสียงเกานั้นมาจากการใช้เล็บยาวๆสีเขียวปนม่วงเกาตามเนื้อตัวของตนเอง มิหนำซ้ำหญิงชราไม่ได้นั่งยองๆเปล่าๆยังแลบลิ้นยาวเป็นเมตรมาเลียตรงปลายเท้าของเธอด้วย
ป๋องแป้งจึงนอนคลุมโปงเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นภาพนั้น พยายามข่มตาแต่ยังไงก็ไม่หลับ สักพักเสียงเกาค่อยๆหายไป จึงค่อยๆโผล่หน้าจากผ้าห่มขึ้นมามองแต่ปรากฏว่า ร่างของหญิงชราดังกล่าวได้หายไปแล้ว!!!
ป๋องแป้งจึงค่อยๆผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากการที่นอนหลับไม่เต็มที่ตลอดระยะเวลาสองคืนที่ผ่านมา แม้ความกลัวจะมีมากจนทำให้เธอครองสติแทบไม่อยู่ แต่ด้วยความที่ร่างกายต้องการพักผ่อนจึงทำให้หญิงสาวหลับไปอย่างง่ายดาย...
......................................................................