ดาวบนพื้นน้ำ
บทที่ ๗ : ที่ยังเต้นนั้น...มันไม่ใช่หัวใจ
ดวงตะวันลับขอบฟ้าเมื่อความมืดมิดแห่งรัตติกาลค่อยๆคืบคลานเข้ามาบดบังท้องฟ้า ดวงจันทร์ทำหน้าที่ส่องแสงกระจ่างให้ความสว่างเย็นแทนที่ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลาลับท้องนภา
กนกพิชญ์หอบข้าวของพะรุงพะรังลงจากรถจักรยานยนต์คันเก่งของครูปรารถนา หญิงสาวยืนมองอยู่หน้าบ้านโดยที่ยังไม่ยอมเข้าไปในบ้าน
“น้องแพมมายืนตากน้ำค้างอะไรตรงนี้คะ เดี๋ยวไข้ก็กลับมาอีกหรอก เข้าบ้านซะไป๊” เสียงครูปรารถนาดังมาจากรถจักรยานยนต์ของเธอ
“แพมเข้าบ้านเดี๋ยวนี้แหละค่ะพี่ปิ่น สวัสดีค่ะวันจันทร์เจอกันนะคะ” พูดจบกนกพิชญ์ก็เดินเข้าไปในบ้าน สายตาของหญิงสาวสะดุดเข้ากับรถยนต์คันงามของปิญารัตน์ที่จอดไว้ใต้ถุนบ้าน ‘พี่เจนไม่ได้กลับบ้านหรอกเหรอ’ หญิงสาวคิดในใจก่อนหอบข้าวของขึ้นบันไดเพื่อไปยังชั้นบนของบ้าน
เงาตะคุ่มๆของร่างๆหนึ่ง ยืนอยู่หน้าระเบียงบนชั้นพักบันได หญิงสาวรับรู้ได้ทันทีว่าร่างๆนั้น คือ ปิญารัตน์
“พี่เจนไม่ได้กลับบ้านเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าปิญารัตน์เรียบร้อยแล้ว
“พี่อยู่เป็นเพื่อนแพม พี่เป็นห่วงไม่อยากให้แพมอยู่คนเดียว”
“ขอบคุณนะคะ แล้วพี่ทานอะไรหรือยังคะ”
“พี่รอทานพร้อมแพม”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ แพมซื้อของกินมาเยอะแยะเลย” พูดจบกนกพิชญ์ก็ขึ้นไปยังชั้นบนของตัวบ้าน หากแต่ปิญารัตน์ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ตามขึ้นมาด้วย
“พี่เจนคะ ทานข้าวกันเถอะค่ะ แพมรู้สึกหิวมากๆเลยค่ะตอนนี้” เสียงเรียกดังมาจากข้างบนบ้าน ทำให้ปิญารัตน์ได้สติหลุดออกจากภวังค์เดินตามขึ้นมาทันที
“ไหนดูสิคะแพมซื้ออะไรบ้าง โห...ท่าทางน่าทานทั้งนั้นเลยค่ะ ‘แกงเขียวหวานไก่’ ฝีมือพี่จะสู้ได้หรือเปล่าคะนี่” ปิญารัตน์เดินมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นซี่งกนกพิชญ์กำลังแกะถุงกับข้าวใส่ถ้วยเคียงคู่แกงเขียวหวานไก่ฝีมือปิญารัตน์
“สู้ได้สิคะ แกงเขียวหวานไก่ฝีมือพี่เจนอร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ” กนกพิชญ์พูดหลังจากแกงเขียวหวานไก่รับใส่จานข้าวของเธอแล้วตักเข้าปากพร้อมข้าวสวยซึ่งหุงจากข้าวหอมมะลิพันธุ์ดีซึ่งปิญารัตน์นำมาจากบ้านในต่างจังหวัด ในขณะที่ปิญารัตน์นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นกนกพิชญ์กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่เธอปรุง
“พี่ดีใจที่แพมชอบ ว่าแต่แพมยังไม่บอกพี่เลยว่าซื้ออะไรมาบ้าง”
“มัสมั่นไก่ พะแนงหมู ต้มกะทิสายบัว แล้วก็แกงขี้เหล็กใส่หอยขมค่ะ แพมซื้อมาแต่ของที่พี่เจนชอบทั้งนั้นเลยค่ะ ไม่รู้ทำไมนะคะทั้งๆที่ตอนซื้อแพมยังนึกว่าจะต้องทานคนเดียวแต่แพมก็ยังซื้อ...” ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสในตอนแรกก่อนจะเจือไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือในตอนท้ายของประโยค...
“ทานคนเดียวที่ไหนกันคะ พี่นั่งทานอยู่ด้วยทั้งคน ขอบคุณนะคะที่ยังจำได้ว่าพี่ชอบทานอะไร” ปิญารัตน์พูดพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“แพมก็ขอบคุณพี่เจนนะคะที่ทำแกงเขียวหวานไก่ให้แพมทาน ทั้งๆที่ไม่ชอบทาน แปลกนะคะชอบทำแต่ไม่ชอบทาน” กนกพิชญ์พูดกระเซ้าปิญารัตน์ด้วยน้ำเสียงและท่าทางน่าเอ็นดู
“ที่พี่ทำแกงเขียวไก่บ่อยๆเพราะแพมชอบทานหรอกค่ะ ไม่ใช่เหตุผลอื่น...”
“รีบๆทานกันเถอะค่ะเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียรสหมด”
“คร้าบ ทานเดี๋ยวนี้แหละคร้าบ จะทานให้หมดเกลี้ยงทั้งอาหารทั้งคนซื้อเลย...” พูดพร้อมหัวเราะออกมาเสียงสดใส
“พี่เจนพูดอะไรไม่รู้...” กนกพิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย
อาหารมื้อเย็นมื้อนี้ ช่างอวลไปด้วยความสุข กนกพิชญ์รู้สึกดีใจยิ่งนักที่ได้ทานข้าวหญิงสาวอันเป็นที่รักเหมือนเช่นเคย ใบหน้าของปิญารัตน์ฉาบไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน...
ในค่ำคืนนั้นที่จันทร์สาดแสงส่องสว่างอาบทาไปทั่วบริเวณ ปิญารัตน์ผู้หลงใหลในความงามแห่งจันทรากำลังยืนชมความงดงามของธรรมชาติผ่านทางระเบียงชั้นพักบันไดเช่นเดียวกับทุกคืนวันเพ็ญที่ผ่านมา
‘ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่ยังเป็นห่วงแพม แม้ว่าแพมจะรู้ว่าไม่มีวันที่เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่แพมก็ยังรักพี่เจนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...’ เสียงของกนกพิชญ์เมื่อคืนวานดังเข้ามาในความคิด ทำให้หญิงสาวเผลอยิ้มให้กับดวงจันทร์
“จันทร์คืนนี้เห็นจะงามกว่าคืนไหนๆ พี่เจนถึงได้ชื่นชมอยู่เป็นนานสองนาน”
“ดวงเดือนบนท้องนภางดงามยิ่ง แต่มิงามเท่าดวงจันทร์ที่อยู่ข้างๆพี่ดอกเจ้า” เสียงของบุรุษเพศแว่วหวานแต่หนักแน่นทรงพลังอำนาจลอยมาจากไหนสักแห่ง กนกพิชญ์ฟังด้วยความประหลาดใจ ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่น
“พี่เจนพูดว่าอะไรนะคะ ภาษาโบร๊าณโบราณ”
“พูดอะไรเหรอแพม พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย...” ปิญารัตน์ละสายตาจากจันทรา มาถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด
“ถ้าอย่างนั้นแพมว่า เราไปนอนกันเถอะค่ะ พรุ่งนี้พี่เจนต้องขับรถกลับบ้านแต่เช้า แพมเองก็ง่วงเต็มทีแล้วค่ะ”
พูดจบกนกพิชญ์กนกพิชญ์ก็เดินเข้าห้องตนเองทันที ปิญารัตน์ยืนมองอย่างงงหนักเข้าไปใหญ่แต่ไม่ทันได้ไต่ถาม อีกฝ่ายก็เข้าห้องปิดประตูบลงกลอนอย่างแน่นหนาเสียแล้ว หญิงสาวจึงได้แต่เดินเข้าห้องตนเองอย่างไม่เข้าใจในกิริยาที่เปลี่ยนอย่างฉับพลันของกนกพิชญ์...
เมื่อเข้าห้องเรียบร้อยแล้วกนกพิชญ์ก็เดินตรงไปยังเตียงนอน ก่อนจะดึงผ้าห่มลายโปรดขึ้นมาห่มและล้มตัวลงเตรียมก้าวสู้ห้วงนิทรา ความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะหลับ ภาพของธนัญญาก็ลอยเข้ามาในกระแสสำนึก ‘แพมขอแค่วันนี้วันสุดท้ายนะคะพี่เรย์ หลังจากวันนี้ไปแพมจะอยู่ห่างๆจากพี่เจนแพมสัญญาค่ะ’
ทางด้านปิญารัตน์แม้จะข่มตาอย่างไรก็ไม่มีทีท่าจะหลับได้โดยง่ายเลย ในสมองของเธอยังคงมีภาพของหญิงไทยโบราณหน้าตางดงามราวนางในวรรณคดีไทยนามว่า ‘ภัควลัญชญ์’ ติดตรึงอยู่ร่ำไป...
.......................................................................
รถประจำทางสีฟ้าแล่นมาจอดที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าย่านชานเมือง ในเวลาโพล้เพล้แล้ว ธนัญญาลงจากรถคันดังกล่าวแล้วเดินเข้าไปข้างในอาคารสองชั้นซึ่งมีสภาพค่อยข้างเก่า สีขาวของตัวอาคารหลุดร่อนไปตามกาลเวลาด้วยความรู้สึกร้อนใจ พื้นที่ด้านหน้ากว้างขวางพอที่จะให้เด็กๆมาวิ่งเล่นได้ ทางด้านหนึ่งของสนามมีเครื่องเล่นเด็กที่ดูจากสภาพแล้วเก่าไม่น้อยกว่าตัวอาคารสักเท่าไหร่ บรรยากาศโดยรอบชวนหดหู่ยิ่งนักในความรู้สึกของหญิงสาว
“มาแล้วเหรอจ๊ะน้องเรย์ แม่ครูธัญทิพย์กำลังรอหนูอยู่ข้างในจ๊ะ” หญิงวัยประมาณหกสิบปีที่รวบผมสีดอกเลาจึงกลางศีรษะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความกังวล
“สวัสดีค่ะแม่ครูเดือนฉาย แม่ครูธัญทิพย์เป็นอย่างไรบ้างคะ” ธนัญญาพนมมือไหว้หญิงสูงวัย ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“อาการไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หนูรีบไปดูเถอะจ๊ะ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวนะคะแม่ครู”
ภายในห้องที่ขนาดไม่ใหญ่นัก ฝาผนังสีกระดำกระด่าง ร่างของหญิงวัยเดียวกับแม่ครูเดือนฉายร่างกายผ่ายผอมกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนขนาดเล็ก
“แม่ครู...” ธนัญญาเดินไปข้างในแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียง มือบางค่อยๆจับมือเหี่ยวย่นของหญิงสูงวัยมากุมเอาไว้ น้ำตาของหญิงสาวค่อยๆไหลรินออกมาช้าๆ แม่ครูของเธอเจ็บหนักถึงเพียงนี้แต่เธอกลับไม่มีเวลามาเฝ้าไข้
“น้องเรย์...ลางานลาการมาทำไม แม่ครูไม่ได้เจ็บหนักเสียหน่อย เสียเวลาทำงานหมดเลยลูก” เสียงแม่ครูดังขึ้นแผ่วๆ พร้อมกับค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ “แล้วนั่นร้องไห้ทำไม...”
“หนูเป็นห่วงแม่ครูค่ะ แม่ครูเจ็บป่วยแบบนี้ หนูผิดเองที่ไม่มีเวลามาดูแล” พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ไม่ใช่ความผิดของหนูหรอกจ๊ะลูก เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกจ๊ะ”
“แม่ครูอย่าพูดอย่างนี้สิคะ หนูรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลยค่ะ”
“มาเหนื่อยๆ ไปกินน้ำกินท่า หาข้าวหาปลากินซะไป๊ อย่ามาห่วงแม่ครูเลย”
“แต่หนู...”
“ไปเถอะน้องเรย์เดี๋ยวทางนี้แม่ครูดูแลเอง” แม่ครูเดือนฉายเดินเข้ามาพอดี ธนัญญาจีงเดินออกไปจากห้องพักของแม่ครูธัญทิพย์
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย ธนัญญาก็ถือหนังสือเล่มหนึ่งที่ยืมมาจากกนกพิชญ์มานั่งอ่านบนเก้าอี้ข้างๆเตียงซึ่งขณะนี้แม่ครูธัญทิพย์นอนหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ยา
‘น้ำตาเทียน (หรือฉันเองที่ผิด)’ โดย ทอถักอักษรา ชื่อเรื่องแปลกและนามปากกาไม่คุ้นหู ทำให้ธนัญญาพลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาภายในเล่มอย่างสนใจ หญิงสาวอ่านมาถึงครึ่งเรื่องความง่วงงุนก็เริ่มแผ่เข้ามาเกินจะทนทานไหว แต่แล้วกระดาษแผ่นๆไม่ใหญ่นักที่แทรกอยู่กลางหน้ากระดาษกลับทำให้เธอหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง น้ำตาแห่งความเจ็บช้ำๆไหลอาบแก้มนวลทันทีที่เห็นกระดาษแผ่นนั้น หญิงสาวรู้สึกประหนึ่งว่าสิ่งที่ยังเต้นอยู่ภายในร่างกาย มันไม่ใช่หัวใจอีกต่อไป เพราะหัวใจของเธอมันได้แหลกสลายไม่มีชิ้นดีแล้ว...
...................................................................................................