รักลวง
บทที่ ๙ : เงานั้นที่ตึกเรียน
กลิ่นแอมโมเนียฉุนกึกที่จ่ออยู่ตรงปลายจมูกทำให้ป๋องแป้งลืมตาตื่นขึ้นมา หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเธอเองกำลังนอนอยู่บนเตียงสีขาวภายในห้องๆหนึ่ง และพบมีนานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงกำลังใช้สำลีชุบแอมโมเนียมาจ่อที่ปลาจมูกของเธอ
“ฟื้นแล้วเหรอป๋องแป้ง เธอสลบไปตั้งนาน ฉันเป็นห่วงแทบแย่” มีนาลุกขึ้นมาประคองป๋องแป้งลงจากเตียง ที่นี่เป็นอาคารพยาบาลของมหาวิทยาลัยนั่นเอง
“มีนากี่โมงแล้ว ฉันจะรีบไปแข่งกีฬา”ลงจากเตียงได้ป๋องแป้งก็เอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ไม่ทันแล้วป๋องแป้ง ตอนนี้เที่ยงตรง เลยเวลาแข่งขันมานานแล้ว อาจารย์ผู้ฝึกซ้อมและพี่น้ำปั่นได้ให้คนอื่นแข่งแทนเธอแล้ว ไปหาอะไรทานกันเถอะ แล้วค่อยบอกฉันว่ามีเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
“ไม่ทันแล้วจริงๆเหรอ...” ป๋องแป้งค่อยๆทรุดตัวลงนั่งไปบนเตียงอีกครั้ง น้ำตาแห่งความเสียใจค่อยๆไหลอาบแก้มนวล นานนับเดือนที่เธอเพียรฝึกซ้อมกีฬาเพื่อจะมาแข่งขันในวันนี้ แต่แล้วความหวังมันกลับพังลงไปเพราะวิญญาณตนนั้น วิญญาณที่สิงสถิตย์อยู่ในห้องน้ำบนชั้นสองของอาคารเรียนตึกมนุษยศาสตร์ตนเดียวแท้ๆ ป๋องแป้งวิ่งออกมาจากอาคารพยาบาลเพื่อไปยังตึกเรียนดังกล่าว เธอหยุดหน้าอาคารเพียงครู่แล้ววิ่งขึ้นไปบนอาคารด้วยความโกรธ
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะพลอยนิล เธอทำลายความฝันของฉันพังไปหมดแล้ว ออกมาสิ ออกมา” ป๋องแป้งตะโกนทั้งน้ำตาแต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกจากตัวเองที่ยืนอยู่ภายในห้องน้ำแห่งนี้
“ป๋องแป้งใจเย็นๆ ไปกันเถอะ” มีนาตามเข้ามาแล้วพาป๋องแป้งออกไปจากห้องน้ำ ลงไปนั่งสงบสติอารมณ์ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้หน้าอาคารเรียน เมื่อลับร่างของหญิงสาวทั้งสองคนแล้ว ภายในห้องน้ำดังกล่าวได้ปรากฏเงาของใครสักคนยืนอยู่หน้ากระจกภายในห้องน้ำนั้น
“ป๋องแป้งไหวไหมแก รออยู่ตรงนี้ก่อนอย่าไปไหนนะ เดี๋ยวฉันจะหาซื้ออะไรมาให้เธอทานรองท้องก่อน” พูดจบมีนาก็รีบวิ่งไปยังบริษัทจำลองซึ่งเป็นร้านขายสินค้าขนาดย่อมของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ
“มีนาแล้วเธอไม่ไปแข่งกีฬาเหรอ” ป๋องแป้งถามหลังจากดื่มน้ำหวานเย็นเฉียบที่มีนาซื้อมาจนอารมณ์เย็นลงแล้ว
“ไม่ได้ไปหรอกจ๊ะ เธอเป็นลมเสียอย่างนี้ ถ้าฉันไปแข่งกีฬาแล้วใครจะดูแลเธอ ไหนๆเธอก็ไม่ได้แข่งแล้วก็ไม่ต้องแข่งทั้งสองคนนี่แหละ”
“มีนา...ฉันขอโทษที่ทำให้แกไม่ได้แข่งกีฬาไปด้วยเลย”
“คิดมากทำไมกัน ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ฉันทนเห็นเธอเสียใจอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกป๋องแป้ง เอาล่ะเราไปหาอะไรทานที่โรงอาหารกันเถอะ ฉันหิวจะแย่แล้ว”
“จ๊ะ ไปกันเถอะ”
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยในยามนี้คลาคล่ำไปด้วยนักกีฬาจากมหาวิทยาลัยต่างๆซึ่งมาแข่งขันกีฬาที่มหาวิทยาลัยของเธอ ป๋องแป้งกับมีนาเดินไปนั่งยังโต๊ะว่างโต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ริมสุดของโรงอาหาร
“ทานอะไรดีป๋องแป้ง เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้” มีนาพูดพร้อมกุลีกุจอจะไปซื้ออาหารมาให้
“ไม่เป็นไรหรอกมีนา ไปด้วยกันนี่แหละ”
“ข้าวคลุกกะปิจานหนึ่งค่ะป้า” ป๋องแป้งร้องบอกป้าคนขายอาหาร เมื่อมายืนอยู่หน้าร้านอาหารเจ้าประจำเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ใส่หัวหอมใช่ไหมจ๊ะหนูป๋องแป้ง เอานี่ป้าแถมให้เยอะๆเลย สำหรับนักกีฬาคนเก่งอย่างหนู”
“ขอบคุณค่ะ” ป๋องแป้งกล่าวขอบคุณพร้อมกับเดินถือจานอาหารไปนั่งรอมีนาที่โต๊ะ
“ข้าวคลุกกะปิ น่าทานจังเลยป๋องแป้ง” มีนาพูดขึ้นขณะเดินถือจานข้าวมันไก่มาวางที่โต๊ะ
“ถ้าเธออยากทานแลกกันก็ได้ เอาไหมมีนา”
“ไม่เอาหรอก เธอทานไปเถอะ” พูดจบมีนาก็รับประทานข้าวมันไก่ที่ซื้อมาอย่างหิวโหย
“สงสัยจะหิวจริงๆ เดี๋ยวฉันไปซื้อน้ำดีกว่า เอาน้ำนางเอกเหมือนเดิมใช่ไหมแก”
“จ๊ะ ขอบใจมากนะ”
น้ำส้มคั้นแก้วใหญ่ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้ามีนา หญิงสาวรีบคว้ามาดื่มอย่างกระหาย แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปมองปรากฏว่าคนนั้นๆไม่ใช่ป่องแป้ง แต่เป็นปุญนิศา สาวหล่อนักบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยนั่นเอง
“ขอโทษนะคะ ฉันนึกว่าคุณเป็นเพื่อนของฉัน เลยนำน้ำของคุณมาดื่ม เดี๋ยวเพื่อนฉันมา คุณก็ดื่มของฉันแทนก็แล้วกันนะคะ”
“ไม่เป็นไรฮะ พอดีน้ำแก้วนี้เราซื้อมาฝากคุณ ดื่มเถอะฮะแล้วตอนบ่ายโมงเรามีแข่งบาสไปดูด้วยนะฮะ เราไปล่ะ” พูดจบสาวหล่อร่างสูงก็เดินออกไปจากโรงอาหาร ทิ้งให้มีนามองตามอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะดื่มน้ำต่อ
“รอนานจนไปซื้อน้ำมาเองเลยเหรอมีนา ฉันแค่ไปซื้อของกินมาเพิ่มแค่นั้นเอง” ป๋องแป้งพูดพร้อมวางถาดใส่น้ำส้มคั้นสองแก้ว และจานส้มตำหน้าตาจัดจ้านมาวางไว้แล้วหยิบทั้งแก้วน้ำและจานส้มตำไว้ตรงกลางโต๊ะ
“เอ่อ...ป๋องแป้ง ทานข้าวเสร็จเราไปดูเขาแข่งบาสดีไหมแก”
“นึกยังไงถึงอยากไปดูล่ะมีนา” ป๋องแป้งถามขณะรับประทานส้มตำจานนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
“ก็ เอ่อ... ไหนๆเราก็ไม่ได้แข่งแล้วไม่ใช่เหรอ ไปดูคนอื่นจะเป็นไรไปจริงไหม”
“ไม่ใช่เพราะอยากไปดูสาวหล่อนักบาสที่ซื้อน้ำมาฝากแกหรอกเหรอ จึงทำให้แกอยากไปดูเขาแข่งบาสน่ะ” ป๋องแป้งถามยิ้มๆก่อนตักข้าวรับประทาน
“เอาจากไหนมาพูด เปล่าสักหน่อย”
“ไม่ต้องปิดฉันหรอกมีนารีบๆทานสิ เดี๋ยวจะไปดูการแข่งขันบาสเกตบอลไม่ทันหรอก”
“จ๊ะ”
ป๋องแป้งกับมีนาไปชมการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลข้างๆสนาม พวงแก้มของมีนาแดงเป็นลูกตำลึงสุกกับรอยยิ้มหวานๆที่ปุญนิศานักบาสเกตบอลหน้าใสขยันส่งมาให้
“ยายมีนา เธอมาดูการแข่งขันหรือมาดูนักกีฬากันแน่ เธอชอบเขาใช่ไหมล่ะ” เสียงใสๆของป๋องแป้งที่ดังขึ้นทำให้แก้มของมีนายิ่งแดงเข้าไปใหญ่
“เปล่าสักหน่อย คิดมากแล้วป๋องแป้ง กลับกันเถอะกีฬาจบแล้ว” พูดจบมีนาก็เดินลงไปจากอัฒจันทร์
“รอด้วยสิมีนา” ป๋องแป้งเดินตามมีนาออกไปจากโรงยิมแต่ไม่พบมีนาแล้ว
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วในเวลานี้ แสงไฟที่ประดับประดาตามจุดต่างๆสว่างไสวยิ่งนัก ป๋องแป้งสอดส่ายสายตามองหามีนาแต่ไม่พบแต่อย่างใด
“หายไปไหนไวเสียจริงเพื่อนฉัน”
“หนูป๋องแป้งมองหาใครจ๊ะ” วีรากานต์สืบเท้าเข้าไปหาเมื่อพบว่าป๋องแป้งหันซ้ายหันขวาเหมือนตามหาใครสักคน
“มองหามีนาค่ะน้าเพลง! ลงมาก่อนแป๊ปเดียวแท้ๆ แต่หายไปไหนไวจังค่ะ”
“มีนาไปรอที่รถแล้วจ๊ะ ไปกันเถอะ”
“ค่ะ” ป๋องแป้งเดินตามวีรากานต์ไปที่รถยนต์
ขณะนั้นเวลาทุ่มกว่าๆ วีรากานต์ได้ขับรถยนต์ผ่านอาคารเรียนของคณะมนุษยศาตร์ สายตาของเขามองไปทั่วทั้งตึกที่เคยเรียนเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา แต่แล้วก็มาสะดุดที่ทางเดินชั้นสอง ซึ่งขณะนั้นมีไฟเปิดอยู่ที่บริเวณห้องน้ำ มีไฟส่องสว่างออกมาจากกระจกห้องน้ำ เป็นกระจกด้านบนของห้องน้ำคิดว่าแม่บ้านลืมปิดไฟ ฉับพลันสายตาของเขาเห็นอะไรไหวๆอยู่บริเวณกระจกที่เปิดไฟ ก็คิดว่าเป็นใบไม้เพราะหน้าตึกมีต้นโศกต้นใหญ่อยู่ พอมองดูดีๆก็พบว่าเงาที่เห็นนั้นเป็นลักษณะหัวคน เป็นลักษณะผมยาวๆแบบนักศึกษาผู้หญิง เงาหัวนั้นย้ายไปย้ายมาระหว่างกระจกบานที่ ๑ กับกระจกบานที่ ๒ กระจกนั้นอยู่สูงเกินกว่าหัวใครจะขึ้นไปถึง ระหว่างกระจกบานที่ ๑ กับกระจกบานที่ ๒ มีประตูกั้นอยู่ ไม่มีทางเป็นไปได้จะมีใครเดินผ่านไปผ่านมาได้เร็วขนาดนั้น
“พลอยนิล...โผล่มาอีกแล้วฮือๆๆๆๆ” ป๋องแป้งร้องไห้โฮออกมาด้วยความหวาดกลัว มิใช่แค่วีรากานต์ที่เห็น ป๋องแป้งก็เห็นเช่นเดียวกัน
“หนูป๋องแป้งว่าอะไรนะ ใครโผล่มา” วีรากานต์ถามด้วยน้ำเสียงห้วน ป๋องแป้งรู้จักชื่อนี้ได้อย่างไร
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะน้าเพลง ยายป๋องแป้งคงตกใจกับเหตุการณ์เมื่อเช้านะค่ะ”
“เหตุการณ์อะไร หนูป๋องแป้งเห็นอะไร”
“แป้งเห็นจริงๆนะคะ เมื่อเช้าก่อนที่แป้งจะหมดสติ แป้งเข้าไปเก็บลูกขนไก่ที่ตกอยู่ในห้องน้ำที่ปิดตาย แป้งพยายามเอื้อมมือไปคว้า สิ่งที่ได้มาไม่ใช่ลูกขนไก่แต่เป็นรองเท้าคัตชูสีดำ พร้อมๆกับที่วิญญาณของพลอยนิลโผล่มาหลอกค่ะ” ป๋องแป้งเล่าเหตุการณ์ที่เธอพบเจอทั้งน้ำตา
“น้าเชื่อว่าหนูป๋องแป้งเห็นจริงๆ แต่วิญญาณที่หนูเห็นไม่ใช่พลอยนิลแน่ๆน้ามั่นใจ!!”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไรคะ ในเมื่อพี่น้ำปั่นเล่าตำนานของตึกคณะมาแบบนี้นี่คะ”
“บางทีตำนานที่ถ่ายทอดกันมามันอาจไม่ถูกต้องเสมอไป...” วีรากานต์ด้วยน้ำเสียงแผ่วคล้ายพูดกับตนเองมากกว่า
หลังจากนั้นสามคนบนรถยนต์คันดังกล่าวก็นั่งเงียบจมอยู่กับความคิดของตนเอง ป๋องแป้งนึกหวาดกลัวกับดวงวิญญาณที่ตามหลอกหลอนเธอไม่เว้นแม้แต่ช่วงกลางวัน ในขณะที่มีนาเองกำลังนั่งยิ้มเพราะนึกถึงใบหน้าใสๆของสาวหล่อนามว่าปุญนิศา ส่วนตัววีรากานต์กำลังนึกถึงตำนานที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของตึกคณะมนุษยศาสตร์ซึ่งเธอเคยเรียนเมื่อหลายปีก่อน ‘ดวงวิญญาณดังกล่าวจะเป็นพลอยนิลไปได้อย่างไร ในเมื่อ...’
“น้าเพลงคะ ไปทานข้าวกันดีกว่า ป่านนี้ป้าอิ่มคงเตรียมอาหารไว้รอแล้ว ไปกันเถอะป๋องแป้ง ฉันหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย” เสียงใสๆของมีนาดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิด เมื่อเขาขับรถยนต์มาจอดที่โรงจอดรถแล้ว
“จ๊ะ” ป๋องแป้งเดินตามมีนาไปอย่างว่าง่ายในขณะที่วีรากานต์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
“น้าเพลงคะ น้าเพลง” เสียงเรียกของมีนาดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้วีรากานต์รีบลงจากรถล็อคประตูแล้วตาลงไปทันที
“เตรียมหอนอนใหม่ให้หนูป๋องแป้งหรือยังคะป้าอิ่ม” วีรากานต์ถามขึ้นขณะเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร
“ป้าเตรียมไว้เรียบร้อยพร้อมย้ายข้าวของให้เสร็จสรรพแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจจ๊ะป้า แล้ววันนี้มีอะไรทานบ้างคะ”
“ของโปรดคุณหนูทั้งนั้นเลยค่ะ , ไปนังอินทร์ไปยกสำรับมาให้คุณๆได้รับประทาน”
ประโยคหลังป้าอิ่มบอกกับอินทุภา จากนั้นอีกไม่กี่นาทีอินทุภากับหญิงสาวสองสามคนก็ยกอาหารสี่ห้าอย่างในชามเซรามิกลายเถาประณีตสวยงามมาจัดเรียงบนโต๊ะอย่างดี ทั้งหมดล้วนสวยงามและน่ารับประทานอย่างยิ่ง หญิงสาวทั้งสามรับประทานอาการอย่างเงียบๆ ไม่ได้สนทนากันเท่าไหร่นักเพราะต่างก็จมอยู่กับความคิดของตนเอง...
.......................................................................................