Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
บทที่ ๑๑ : ในอ้อมกอดแห่งรัก
ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดครึ้ม แต่ยังคงมีแสงสว่างจากดวงดาวที่ส่องสกาวระยิบระยับแต่งแต้มให้บังเกิดแสงสว่างแก่ท้องนภาในเพลาค่ำเยี่ยงนี้ เจ้าหญิงนลินยุพาในชุดสไบแพรสีเหลืองนวล นุ่งผ้ายกสีทับทิมเหลือบทอง แลดูพระศิริโฉมยิ่งนัก พระนางทรงทรงประทับรับลมที่เฉลียงน้อยหน้าพระตำหนัก สายพระเนตรเหม่อมองไปยังท้องฟ้าซึ่งเป็นคืนเดือนแรมที่ไร้ซึ่งพระจันทร์มาปรากฏให้ยลโฉม พระพักตร์หวานของพระนางเศร้าสร้อยและหมองหม่นยิ่งนัก
“เสวยพระกระยาหารเถิดนะเพคะพระธิดา กระเดี๋ยวจะประชวร” พระพี่เลี้ยงกันตากราบทูลให้พระธิดาเสวยพระกระยาหาร นางมองพระวรกายของเจ้าหญิงนลินยุพาที่ผ่ายผอมลงเพราะมิได้เสวยอันใดนับตั้งแต่เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงประชวรด้วยความกังวลใจ
เจ้าหญิงนลินยุพามิได้ตรัสอันใดออกมา พระอัสสุชลไหลออกมาจากพระเนตรกลมโตสีดำสนิทราวตาเนื้อทรายนั้น น้ำพระเนตรจับกับแสงดาวบนฟ้าส่องประกายระยิบระยับราวกับแสงเพชรจนพระพี่เลี้ยงสังเกตได้
“อย่าทรงกันแสงอีกเลยนะเพคะพระธิดา หม่อมฉันใจจะขาด...” พระพี่เลี้ยงอดที่จะร้องไห้ตามพระธิดาที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มิได้ นางรู้สึกเจ็บปวดมิต่างจากพระธิดานัก พระพี่เลี้ยงกันตาโอบกอดพระวรกายของเจ้าหญิงนลินยุพาเอาไว้ ยิ่งพระธิดาทรงกรรแสงเท่าใด น้ำตาของนางยิ่งรินไหลออกมามิต่างกัน
“เราไม่รู้จะทำอันใดแล้วกันตา มันมืดมนไปหมดแล้ว น้องหญิงโกรธเราเยี่ยงนี้ ทั้งๆที่นางประชวรอยู่แท้ๆแต่เรากลับมิสามารถไปเยี่ยมนางได้” เจ้าหญิงนลินยุพาทรงกรรแสงสะอึกสะอื้น ความรัก ความคิดถึง ความห่วงใยรุมเร้าในพระอุระจนมิอาจจะทำให้พระนางทรงหักพระทัยได้เลย
“ทรงลองส่งพระราชหัตถเลขาถึงพระนางดีฤๅไม่เพคะ ส่งไปพร้อมพวงมาลัยที่พระองค์ทรงกรองด้วยพระองค์เอง บางทีพระนางอาจจะพระทัยอ่อนก็เป็นได้นะเพคะ”
“จริงด้วยสิกันตา เราลืมวิธีนี้ไปเสียสิ้นเลย ขอบใจเจ้ามากนะกันตา” เจ้าหญิงนลินยุพาทรงแย้มสรวลทั้งที่พระอัสสุชลยังอาบพระพักตร์
“ถ้าเยี่ยงนั้นพระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารเสียหน่อยนะเพคะ แล้วค่อยทรงกรองมาลัยและพระอักษรนะเพคะ” พระพี่เลี้ยงกันตาเฝ้าปลอบประโลมและหาเหตุผลต่างๆมาโน้มน้าวพระทัยให้พระธิดาทรงเสวยพระกระยาหาร
“ดีเหมือนกัน เจ้าเตรียมมาเถิดเราจะเสวยจะได้กรองมาลัยงามๆให้นาง”
“เพคะ”
หลังจากนั้นเจ้าหญิงนลินยุพาทรงเสวยพระกระยาหารที่พระพี่เลี้ยงกันตาและนางกำนัลจัดมาถวาย ก่อนที่จะทรงกรองมาลัยด้วยพระองค์เองและทรงพระอักษรเป็นกลอนเพลงยาวเพื่อพระราชทานแด่เจ้าหญิงมณีจันทร์ ผู้มีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาหรืออีกนัยหนึ่งคือนางอันเป็นที่รักของพระองค์ด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าครานี้เจ้าหญิงมณีจันทร์จะทรงอนุญาตให้พระองค์ได้เข้าพบเสียที
...........................................................................
ฟากเจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงกรรแสงด้วยความเสียพระทัย พระพี่เลี้ยงเกสรทอดได้แต่มองด้วยความกังวล พระโอสถหลายขนานที่หมอหลวงที่หมอเทวดาจากทุกสารทิศมิได้ทำให้พระอาการประชวรทุเลาลงได้เลย นางมองพระวรกายที่ซูบผอมและพระพักตร์ซีดเซียวแสนหม่นหมองนั้นด้วยความเวทนาจับใจ พระธิดาของนางพระทัยแข็งยิ่งนัก แม้เจ้าหญิงนลินจักทรงมาเยี่ยมพระอาการประชวรอยู่หลายคราแต่ก็ไม่ทรงอนุญาต นางถอนหายใจก่อนที่จะนำพระโอสถที่หมอหลวงเพิ่งปรุงเสร็จมาถวาย
“เสวยพระโอสถก่อนเพคะพระธิดา”
“ไม่ ! เจ้าก็รู้นี่เกสรว่าเราประชวรด้วยเหตุอันใด”
“หม่อมฉันทราบดีเพคะ แต่ทำไมพระองค์ไม่ทรงให้พระนางเข้าเยี่ยมเล่าเพคะ จักได้ทรงหายประชวรเสียทีเพคะ”
“เราไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้ายเยี่ยงนั้น ทำไมนะเกสร ทำไมเจ้าพี่ทรงทำกับเราเยี่ยงนี้”
“พระนางอาจมีเหตุจำเป็นก็ได้นะเพคะ ทรงทราบพระอุปนิสัยของพระเชษฐามิใช่ฤๅเพคะ ว่าหากต้องประสงค์สิ่งไรแล้วไม่มีคำว่าไม่ได้ มิใช่ฤๅเพคะ”
“แต่......” ขณะที่เจ้าหญิงนลินยุพาทรงรับสั่งอยู่กับพระพี่เลี้ยงเกสร นางกำนัลก็เข้ามาหมอบกราบ
“มีอันใด ไม่เห็นฤๅว่าพระธิดาทรงพระประชวรอยู่” พระพี่เลี้ยงเกสรถามนางกำนัลนางนั้นเบาๆ
“เจ้าหญิงนลินยุพามาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“เราเคยบอกแล้วมิใช่ฤๅว่า เราไม่ให้พระนางพบ”
“แต่พระนางให้นำสิ่งของในพานนี้มาถวายพระธิดาเพคะ” นางกำนัลกราบทูนพร้อมกับยกพานทองขึ้นถวายพระธิดามณีจันทร์
“เราไม่เอา เจ้าเอากลับไปคืนพระนางเถิด แล้วฝากบอกพระนางด้วยว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมาเยี่ยมเราอีก เพราะเราไม่มีวันให้พระนางเข้ามาเด็ดขาด” เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงห้วนอย่างทรงไม่พอไม่ทัย
“เอาวางไว้ตรงนั้นก่อน....แล้วออกไปได้แล้ว” พระพี่เลี้ยงเกสรสั่งให้นางกำนัลวางพานนั้นบนโต๊ะข้างพระที่สีงาช้าง
“เอ่อ....เจ้าค่ะ” นางกำนัลลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจวางพานทองพระราชทานจากเจ้าหญิงนลินยุพาบนโต๊ะข้างพระที่นั้น
“เกสรเราบอกว่าไม่พระพี่เลี้ยงเกสรจึงพานทองดังกล่าวมาให้ทอดพระเนตรตามรับสั่ง พานทองนั้นมีผอบทองคำลงยา พวงมาลัยอันงดงามซึ่งแรกเห็นก็ทรงจำได้ว่าเป็นพวงมาลัยของเจ้าหญิงนลินยุพา และสไบทรงสีฟ้าอ่อนซึ่งมีกลิ่นกายนางติดอยู่จางๆ พระนางทรงเปิดผอบนั้นด้วยพระหัตถ์ที่สั่นระริก พระทัยเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกพระอุระพระนางทรงพบพระราชสาส์นอยู่ในนั้นจึงทรงคลี่ออกอ่านอยากได้ของๆพระนางไง!” เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงตวาดพระพี่เลี้ยงด้วยพระสุรเสียงห้วนแต่ไม่ดังนัก
“โถ่!พระธิดาเพคะ พระองค์ไม่อยากทราบฤๅเพคะว่าเจ้าหญิงนลินยุพาทรงพระราชทานสิ่งใดมาให้พระองค์”
“เอ่อ...เอามาดูก็ได้” พระนางเริ่มลังเลพระทัย ก่อนที่จะให้พระพี่เลี้ยงนำพานทองนั้นมาให้ทอดพระเนตร
“อันตัวพี่นี้เหมือนแมงภู่ผึ้ง มาพบซึ่งเสาวรสอันสดใส
สุดจะห้ามความรักหักฤทัย ยอดดวงใจพี่ละเมอเพ้ออาวรณ์
ถึงต้องง้าวหลาวแหลนสักแสนเล่ม ให้ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน
แต่ต้องตาพาใจอาลัยวอน สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน
ขอวอนองค์เทวัญบนชั้นฟ้า ให้รักข้าเปรมปรีดิ์มีสุขสันต์
ให้รักนี้ไม่มีร้างจางสัมพันธ์ ตราบนิรันดร์มั่นในรักจักภักดี
พี่รักน้องหนักหน่วงเฝ้าหวงแหน ตัวพี่แสนเสน่หามารศรี
ช่วยแย้มเยื้อนพักตรามาพาที ฟังคำพี่เอื้อนเอ่ยเผยคำวอน
จะรักนางมั่นจิตพิศวาส ทุกภพชาติจะไม่ทิ้งมิ่งสมร
จนล่วงลับกัปกัลป์พุทธันดร เป็นคู่ซ้อนพิศวาสทุกชาติไป”
เมื่อสิ้นถ้อยคำรำพันในพระราชสาส์น พระพักตร์หวานก็ซับสีแดงระเรื่อ รอยแย้มสรวลฉายอยู่บนพระพักตร์งามนั้น ความกริ้วมลายหายไปสิ้น ทรงนำพวงมาลัยและสไบแพรมาจรดพระนาสิก สูดดมความหอมละมุนเต็มพระปัปผาสะ ด้วยความอิ่มเอมพระทัยที่เจ้าหญิงนลินยุพาทรงพึงใจพระองค์เยี่ยงเดียวกัน
“เกสร เจ้าให้นางกำนัลไปดูสิว่าเจ้าพี่นลินยุพายังรอเราอยู่ที่หน้าห้องบรรทมฤๅไม่ ถ้ายังทรงรอเราอยู่ก็เชิญเสด็จมาหาเราด้วย”
“เพคะ”
หลังจากนั้นเกสรก็ให้นางกำนัลไป นางพบเจ้าหญิงนลินยุพากำลังพระราชดำเนินไปมาหน้าห้องบรรทมด้วยความกังวลพระทัยก็เดินไปกราบทูล
“ว่าเยี่ยงไร นางรับของๆเรารึไม่” เจ้าหญิงนลินยุพาตรัสถามนางกำนัลด้วยพระสุรเสียงร้อนรน
“พระธิดาทรงกราบทูลเชิญให้พระองค์เข้าเฝ้าได้เพคะ”
“จริงรึนี่ ! กันตาเจ้าได้ยินไหม น้องหญิงให้เราพบแล้ว” เจ้าหญิงนลินยุพาทรงตรัสกับพระพี่เลี้ยงด้วยความยินดีในพระทัย รอยแย้มสรวลปรากฏอยู่บนพระพักตร์งามนั้น
“รีบเสด็จเถิดเพคะ”
จากนั้นนลินยุพาจึงทรงเสด็จเข้าไปในห้องพระบรรทมของเจ้าหญิงมณีจันทร์ พระพี่เลี้ยงและนางกำนัลพากันออกไปจากห้องบรรทมปล่อยให้เจ้าหญิงทั้งสององค์ประทับร่วมกันเพียงลำพัง พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นนางบรรทมอยู่ในพระแท่นบรรจถรณ์โดยหันพระพักตร์ไปอีกทาง
“น้องหญิง เจ้าหันมาพูดกับพี่ก่อนได้ฤๅไม่” ทันทีที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เจ้าหญิงนลินยุพาทรงเอื้อมพระหัตถ์รั้งร่างบางให้หันมาทางพระองค์ ซ้ำยังเปลี่ยนสรรพนามแทนพระองค์จากเราเป็นพี่เสียอย่างนั้น
“หม่อมฉันไม่มีอันใดจักพูดกับพระองค์เพคะ” เจ้าหญิงมณีจันทร์ตอบกลับมาเสียงเย็น จนพระองค์พระทัยฝ่อไปไม่น้อย
“อ้าว ที่น้องให้พี่เข้าเยี่ยมไม่ใช่เพราะให้อภัยพี่แล้วมิใช่ฤๅ” ทรงประทับนั่งบนพระแท่นบรรทมสีชมพูหวานขนาดใหญ่นั้นก่อนจะออกแรงรั้งร่างบางมาไว้ในอ้อมกอด
“ว้าย ! ทรงปล่อยหม่อมฉันเดี่ยวนี้นะเพคะ ถึงหม่อมฉันจะให้อภัยแต่หม่อมฉันจะให้อภัยแต่หม่อมฉันยังไม่หายโกรธนี่เพคะ”
เจ้าหญิงมณีจันทร์ร้องเสียงหลง พยายามขยับตัวออกจากการกอดรัดของพระเชษฐภคินี เพราะขืนอยู่ใกล้นานๆจะพาลใจอ่อนกันพอดี เพราะอันที่จริงพระนางหายกริ้วตั้งแต่ได้อ่านกลอนเพลงยาวนั้นแล้วแต่ยังทรงไม่หายงอนเนื่องจากยังอยากให้พระนางตามงอนง้อนั่นเอง
“จักให้พี่ทำเยี่ยงใด เจ้าจึงจะหายโกรธ” ทรงอ้อนด้วยพระสุรเสียงหวาน ขณะที่พยายามจะเบียดพระองค์เข้าหาร่างบางนั้นอย่างแสนโหยหา
“พระองค์ไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้นเพคะ ทรงเสด็จไปหาเสด็จพี่อติรัณณ์ถิดเพคะ ไม่ต้องมาสนพระทัยหม่อมฉัน” รับสั่งไปแล้วเจ้าหญิงมณีจันทร์ก็เสียพระทัยไม่น้อย หากเจ้าหญิงนลินยุพาทรงตัดสินพระทัยทิ้งพระองค์กลับพระตำหนักไปจริงๆ คนที่เสียพระทัยก็คงไม่แคล้วเป็นพระองค์เอง แต่ครั้นได้ยินรับสั่งของพระเชษฐภคินีก็พระทัยชื้นขึ้น
“พี่จะไปหาพระองค์ด้วยเหตุใดในเมื่อพี่ไม่เคยพึงใจพระองค์เลย พี่พึงใจน้องผู้เดียว พึงใจตั้งแต่วันแรกที่ได้พบหน้าเจ้า พี่สัญญาว่าจักมิทำให้น้องต้องเจ็บอีกเพราะน้องเจ็บพี่ก็ยิ่งเจ็บกว่าหลายเท่านัก”
“หม่อมฉันมิได้เจ็บและไม่ได้พึงใจเจ้าพี่เพคะ”พระนางตรัสออกไปทั้งๆพระพักตร์แดงซ่านด้วยความขวยเขิน
“แล้วที่เจ้าประชวร มิใช่เพราะพี่ดอกรึ”
“เอ่อ....แล้วเหตุอันใดพระองค์ต้องนำพวงมาลัยที่หม่อมฉันกรองถวาย ถวายต่อให้เจ้าพี่อติรัณณ์ล่ะเพคะ” พระนางไม่ทรงตอบคำถามนั้นแต่เสไปเรื่องอื่นก่อนจะก้มพระพักตร์ซบไปที่พระถันนุ่มนิ่มนั้นบังเกิดให้ความรู้สึกหวามไหวในพระทัยของทั้งสององค์
“ก็เจ้าพี่อติรัณณ์ทรงต้องพระประสงค์และทรงเอ่ยปากขอหลายรอบ พี่เองก็มิอาจจะขัดพระประสงค์ได้”
“เป็นเยี่ยงนี้ฤๅเพคะ”
“ใช่ เสด็จพี่อติรัณณ์ทรงต้องพระประสงค์พวงมาลัยนั้นโดยสำคัญผิดไปว่าพี่เป็นคนกรอง พี่จะอธิบายเยี่ยงไรก็มิทรงฟัง พี่ไม่ได้เต็มใจยกให้เสียหน่อย น้องอย่าโกรธพี่เลยนะ”
เจ้าหญิงนลินยุพาทรงเล่าความจริงทุกอย่างออกมา ส่วนเจ้าหญิงมณีจันทร์ก็ตั้งใจฟังนิ่ง พอจะเข้าใจนางอันเป็นที่รักขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะเจ้าชายอติรัณณ์ พระเชษฐาของพระองค์นั้นหากต้องประสงค์สิ่งใดแล้วต้องได้ตามนั้นเสมอ
“เจ้าหายโกรธพี่ได้ฤๅไม่มณีจันทร์ พี่รักเจ้านะ รักมากจริงๆ”
“หม่อมฉันก็รักพระองค์เพคะ รักมากเหลือเกิน...”
จบรับสั่งของเจ้าหญิงมณีจันทร์ เจ้าหญิงนลินยุพาก็ทรงรั้งร่างบางหอมกรุ่นให้นอนราบลงไปกับพระแท่นบรรจถรณ์อันหนานุ่มตามด้วยพระวรกายบอบบางของพระองค์ที่ทาบทับตามลงมาและพระโอษฐ์รูปกระจับดั่งสีใบไม้อ่อนที่ประกบกลีบปากบาง ก่อนที่เจ้าหญิงมณีจันทร์จะได้ทันร้องประท้วง ทรงบดเคล้าริมฝีพระโอษฐ์ของพระองค์อย่างแสนโหยหาเรียกร้องต้องการ จนเจ้าหญิงมณีจันทร์แทบจะหายใจหายคอไม่ทัน
“น้องหญิงของพี่ ไยเนื้อตัวน้องถึงได้หอมหวานยิ่งนัก หวานเสียจนพี่รักหลงเจ้าจนหัวปักหัวปำไปหมดแล้ว” รับสั่งจบก็ทรงก้มลงไปจุมพิตริมฝีพระโอษฐ์บางอีก
“น้องหญิง น้องหายโกรธพี่แล้วนะคนดี” ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมาเล็กน้อย รับสั่งถามทั้งที่พระโอษฐ์ยังคลอเคลียอยู่กับพระโอษฐ์บาง
“เพคะ หม่อมฉันหายโกรธแล้วเพคะ” พระขนิษฐาตอบกลับด้วยพระสุรเสียงสั่นอย่างทรงขวยเขิน ก็จะมิให้เป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ในเมื่อตอนนี้พระหัตถ์ขาวเนียนกำลังซุกซนลูบไล้เคล้นคลึงอยู่บนพระถันอวบอิ่มและพระวรกายของพระองค์ พระเนตรสีนิลของพระเชษฐภคินีก็ฉาบไว้ด้วยประกายปรารถนาเต็มเปี่ยม จนในที่สุดทั้งสององค์ก็ตกอยู่ในห้วงสิเน่หาและร่วมอภิรมย์สมปองกัน
“พระพายชายพัดบุปผชาติ เกสรสาดหอมกลบตรลบห้อง
ริ้วริ้วปลิวชายสไบกรอง พระจันทร์ผันผยองอยู่ยับยับ
พระอาทิตย์ชิงดวงพระจันทร์เด่น ดาวกระเด็นใกล้เดือนดาราดับ
จุมพิษหวานซ่านใจไหวระยับ กอดประทับชวนกระสันรันจวญใจ
เรื่อยเรื่อยเหล่าภุมรินต่างบินว่อน เกลือกเกสรบัวทองอันผ่องใส
ต่างลิ้มรสกลิ่นสุคนธ์ปะปนไป สองดวงใจจ่อจิตสนิทกาย
อัศจรรย์บันดาลเป็นฝอยฝน ดวงอุบลชื่นแช่มแย้มขยาย
ที่ห่อหุ้มกลีบกล้ำก็จำคลาย คลี่ระบายบานแบ่งรับแสงจันทร์
ภุมรินบินร้องเที่ยวเร่ร่อน แทรกไซ้เกสรโกสุมสวรรค์
สองสมสอดคล้องทำนองกัน เกษมสันต์หรรษาในราตรี
.........................................................................................