เช้าอีกวันของการใช้ชีวิตในไร่หทัยภัทร วันนี้เชื่อได้ว่าอาจเป็นศึกหนักยิ่งกว่าเมื่อวานเพราะคนสอนงานที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรที่สุดดันมาเกิดอุบัติเหตุจนไม่สามารถมาสอนงานเธอต่อได้ มัทนาเงยหน้าขึ้นมองบ้านหลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายเพราะคนต่อไปที่จะมาสอนงานให้เธอคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…
“ยืนบื้ออยู่ได้มาถึงแล้วก็รีบเข้าไปสิ!”
มาแล้วไง เจ้าของน้ำเสียงวีนๆเหวี่ยงๆที่ไม่ต้องหันไปมองก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร มัทนาทำได้เพียงเดินเข้าไปตามที่อีกคนบอกเท่านั้นก็เธอเป็นแค่คนงานนี่นาจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้
ปาลิตาเดินกระแทกไหล่ของคนที่เธอไล่ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ยิ่งเห็นหน้าของคนๆนี้เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่ถูกชะตา
หทัยภัทรมองคนที่เดินตามปาลิตาเข้ามาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยิ้มน้อยๆออกมา เมื่อวานเกิดเรื่องซะก่อนเธอจึงไม่ทันสังเกตสารรูปของอีกฝ่ายว่ามันน่าสมเพชขนาดไหนแต่ถึงจะเห็นวันนี้ก็ไม่สายไปนี่นา
“ดูดีนะ”
คนถูกชมขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยก่อนจะก้มมองตัวเองตามที่สายตาของอีกฝ่ายมองมา
“เมื่อวานไม่ได้สังเกตเลยไม่ได้ชมเลย”
นายหญิงของไร่หยิบหมวดขึ้นสวมก่อนจะเดินนำทั้งสองสาวไปที่ประตู
“ชุดเก่าๆขาดๆแบบนี้ฉันว่ามันเหมาะกับเธอมากกว่าชุดแพงๆมียี่ห้อนั่นอีก”
หทัยภัทรพูดออกมาโดยที่ไม่หันไปมองคนที่คุยด้วยแต่เธอพอจะนึกหน้าของอีกฝ่ายออกว่ามันจะบูดบึ้งและไม่พอใจมากขนาดไหนแบบนั้นแหละที่เธอต้องการ
มัทนามองตามทางที่รถแล่นมาอย่างแปลกใจวันนี้เธอคงไม่ได้เข้าไร่เพราะเส้นทางที่มามันไม่ใช่ทางเข้า หญิงสาวมองไปรอบๆก่อนจะหันไปจ๊ะเอ๋กับคนหน้านิ่งที่กำลังจ้องเธออยู่
“วันนี้ไม่ให้ไปตัดองุ่นหรอกฉันว่างานนั้นมันไม่เหมาะกับเธอ”
หทัยภัทรเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ในสิ่งที่อีกคนกำลังสงสัย นายหญิงของไร่ยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะชี้ไปยังอีกฝั่งหนึ่งของไร่
“เราจะไปท้ายไร่”
“ท่าทางจะไกลเหมือนกันนะคะ”
“ไกลสิฉันถึงให้เธอติดรถมาไง เธอน่าจะขอบคุณฉันซักหน่อยนะ”
“เอ่อ ขอบคุณค่ะ”
มัทนาเอ่ยขอบคุณอย่างงงๆแต่เธอก็ไม่อยากขัดหากเรื่องนี้ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีเธอก็ควรดีใจด้วย หทัยภัทรจะได้ไม่ต้องจ้องแต่จะกินหัวเธอ
“ว่าแต่เราจะไปทำอะไรกันที่ท้ายไร่คะ”
“ไปถึงก็รู้”
คนพูดเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเลห์จนมัทนาเริ่มรู้สึกหวั่นใจท่าทางศึกครั้งนี้จะใหญ่หลวงนัก
เมื่อมาถึงยังจุดหมายมัทนาก็พบว่ามันเป็นงานที่หนักเอาการจริงๆแต่ที่หนักไม่ใช่การใช้สมองนะแต่เป็นการใช้แรงงานต่างหากดูสิกองเป็นภูเขาไฟฟูจิเชียวทั้งภาพทั้งกลิ่นชวนให้คนที่เพิ่งเคยมาถึงกับวิ่งออกไปอาเจียนข้างนอก
“อึก...อึก...อุก...อุ”
มัทนาพยายามกลั้นบางสิ่งที่กำลังตีย้อนออกมาจากท้องของตัวเองขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอแต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่สายตาก้มไปเจอกับบางอย่างที่ติดอยู่ที่เท้าการอดกลั้นทุกอย่างก็จบลงทันที
“อุ…แหวะ...”
ทั้งเสียงและท่าทางของคนมาใหม่เรียกความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดีแต่ตอนนี้มัทนาคงไม่สนอะไรอีกแล้วเมื่อสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือเธอกำลังจะเป็นลม…
หทัยภัทรยืนมองคนที่อยู่ๆก็วิ่งไปอ้วกและเพียงไม่กี่อึดใจก็เป็นลมล้มพับไปกองกับพื้นอย่างสะใจ นี่ถ้าใครบางคนได้มาเห็นสภาพลูกสาวของตัวเองในเวลานี้คงจะร้อนใจน่าดูแต่ยังก่อนตอนนี้ยังเป็นแค่น้ำจิ้มเพราะของจริงยังมีอีกเยอะ นายหญิงของไรหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปของคนที่นอนอยู่ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ถ้าคุณเห็นลูกของตัวเองในสภาพแบบนี้คุณจะรู้สึกยังไงนะ”
หญิงสาวรีบหุบยิ้มทันทีก่อนจะเก็บเจ้าเครื่องจิ๋วลงกระเป๋าเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังมีคนเดินเข้ามา
“ได้แล้วครับนายหญิง”
“ดี”
คนพูดจ้องหน้าคนที่ยังคงหลับสบายอยู่ก่อนจะยื่นมือไปรับถังน้ำมา
“เอามานี่”
“ให้ผมเช็ดให้มั้ยครับ”
“ไม่ต้อง! เอามาแล้วก็ไปได้แล้ว”
คนถูกสั่งส่งถังน้ำให้แบบงงๆก่อนจะเดินออกไปอย่างเร็วเพราะเริ่มเห็นความเกรี้ยวกราดในดวงตาของนายสาวแล้วถ้าขืนอยู่อาจโดนหางเลขไปด้วย
หทัยภัทรมองถังน้ำและผ้าที่แช่อยู่ก่อนจะค่อยๆหยิบผ้าขึ้นมาแล้วจัดการปาทิ้งไปที่อื่นจากนั้นไม่นานน้ำในถังก็ถูกราดลงบนใบหน้าของคนที่นอนอยู่จนเกลี้ยงพร้อมกับการร้องโวยวายออกมาของเจ้าตัว
“อะไรกันเนี้ย!”
มัทนาตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับกระชากมือของคนที่บังอาจเอาน้ำมาราดหน้าเธอจนเปียกไปหมด
“ปล่อยนะเธอจะทำอะไร”
“คุณนั่นแหละทำอะไร รู้มั้ยว่าทำแบบนี้มัทอาจจะสำลักน้ำตายได้”
“แล้วตายมั้ยล่ะ”
“นี่คุณ!”
“ทำไม”
คนเกือบตายมองคนพูดที่ดูจะไม่ใส่ใจกับชีวิตของเธอเลยสักนิดแล้วไหนจะท่าทางลอยหน้าลอยตานั่นอีกมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกโกรธเพิ่มมากขึ้น
“แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้วเหม็นสาป”
หทัยภัทรพูดขึ้นพร้อมกับการมองคนตรงหน้าด้วยสายตาดูถูก
“นั่นสินะเหม็นจริงๆด้วย”
มัทนาก้มลงดมตัวเองช้าๆก่อนจะเงยหน้าไปมองคนที่ว่าให้ตัวเอง
“รู้ก็ปล่อยสิ!”
“ปล่อย”
“ใช่ปล่อย! ภาษาคนง่ายๆไม่เข้าใจหรือไง”
“ออ ได้ค่ะ”
พูดจบแทนที่มัทนาจะปล่อยมือตามคำสั่งแต่เธอกลับดึงตัวหทัยภัทรเข้ามาใกล้ก่อนจะจัดการกอดรัดอีกฝ่ายเอาไว้
“ยัยบ้า! ปล่อยฉันนะ”
หทัยภัทรดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดที่แน่นหนาอยู่นานแต่ก็ไม่ได้ผลเมื่อเธอยิ่งดิ้นเจ้าของอ้อมกอดก็ยิ่งรัดตัวเธอแน่นขึ้น
“ก็ปล่อยอยู่นี่ไงคะ”
“แบบนี้เรียกว่าปล่อยบ้านเธอสิ”
“ก็ใช่สิคะ มัทกำลังปล่อยกลิ่นให้กับคุณหทัยภัทรอยู่ไงคะ เอ…นี่เราคุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่าคะ”
คนพูดหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนจะทำการปล่อยในแบบฉบับของตัวเองต่อ
“ก็ได้”
ในเมื่อพูดดีๆกันไม่รู้เรื่องหทัยภัทรก็เลือกที่จะหยุดพูดพร้อมกับหยุดดิ้นแล้วหันไปจ้องหน้าคนที่กำลังหัวเราะไม่หยุด
มัทนาค่อยๆหยุดการหัวเราะก่อนจะมองหน้าคนที่จ้องหน้าเธออยู่ ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะอายุห่างกับเธอตั้งสิบห้าปีหากเธอไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงพี่หญิงสาวที่แก่กว่าเธอสักสี่ห้าปี ความลืมตัวทำให้มัทนาเผลอปล่อยมือที่จับอีกคนออกเพื่อนำมาลูบไล้ที่ใบหน้างามเหมือนดังต้องมนต์สะกดจากนั้นเจ้าตัวก็ค่อยๆขยับหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นอย่าลืมตัวจนตอนนี้ใบหน้าของเธอทั้งสองอยู่ห่างกันแค่เพียงคืบและก่อนที่มัทนาจะสามารถช่วงชิงเรียวปากอวบอิ่มนั้นมาครอบครองได้ก่อนกลับกลายเป็นว่าหทัยภัทรโน้มหน้าเข้ามาพร้อมกับ…กับ…
“โอ๊ย!”
เสียงโหยหวนดังขึ้นเมื่อสิ่งที่เธอกำลังเคลิ้มเป็นได้แค่เพียงฝันเพราะเหตุการณ์ที่แท้จริงก็คือเธอถูกหทัยภัทรกัดจมูกอย่างแรงจนตอนนี้รู้สึกชาไปหมดและเธอก็ทำได้เพียงเอามือปิดไว้เท่านั้น
“คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี้ย”
“ฉันควรจะถามเธอมากกว่านะว่าตะกี้คิดจะทำอะไร”
“มัทแค่แหย่เล่นแต่คุณเอาจริงเลยนะ”
“ใช่! ถ้าเธอไม่หลุดไปซะก่อน”
ได้ยินดังนั้นมัทนาถึงกับลุกขึ้นเดินถอยหลังออกมาเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
“จำไว้สิ! ว่าเธอเป็นแค่ลูกหนี้ไม่มีสิทธิ์จะตอบโต้อะไรฉันทั้งนั้น”
หทัยภัทรหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดรอยเปี้อนที่เสื้อผ้าของตัวเองจากนั้นก็โยนผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยทิ้ง
“อย่าเอาของสกปรกมาแปดเปี้อนฉันอีก เจียมตัวและท่องเอาไว้ว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกัน”
มัทนามองหน้าคนพูดครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงพื้น เธอไม่มีอะไรจะแก้ตัวเพราะการเหยียดหยาบด้วยคำพูดครั้งนี้มันเป็นเรื่องจริงทุกประการดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดคือต้องทำใจยอมรับ
“เอาล่ะรีบไปทำงานกันเถอะเสียเวลามามากแล้ว”
พูดจบนายหญิงของไร่ก็เดินนำหน้าไปก่อน หทัยภัทรกำมือตัวเองไว้แน่นในเวลานี้เธอกำลังเป็นต่ออย่างมากแต่ทำไมหัวใจของเธอถึงต้องไปสะดุดกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใบหน้าของคนที่เดินตามมาหรือเธอกำลังเห็นเงาสะท้อนของใครบางคนอยู่ในนั้นถึงทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวได้มากมายขนาดนี้
ปาลิตายืนมองพี่สาวที่เอาแต่ชะเง้อมองไปหน้าบ้านอยู่ตลอดเวลาเหมือนกำลังรออะไรสักอย่างจนเธออดที่จะเดินเข้าไปถามไม่ได้
“มองอะไรเหรอพี่นรี”
นรีรัตน์หันไปมองคนที่จู่ๆก็เดินเข้ามาอย่างตกใจก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือมาอ่านเหมือนกับไม่สนใจในสิ่งที่อีกคนถาม
“เป็นอะไรคนถามก็ไม่ตอบ”
“พี่กำลังจะอ่านหนังสือ”
“แต่ตาเห็นว่าพี่นรีกำลังทำท่าเหมือนกับรอใคร”
คนสงสัยเอ่ยเสียงแข็งพร้อมกับจ้องหน้าพี่สาวเหมือนกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ
“เปล๊า พี่จะรอใครได้”
“นั่นนะสิ รอใครกันนะ”
ปาลิตาพยายามมองเข้าไปให้ลึกในดวงตาของคนข้างๆเพื่อหาคำตอบแต่กลับถูกคนที่ดูเหมือนมีความลับยกนิ้วเกือบจิ้มที่ลูกตาของเธอเท่านั้นแหละเธอจึงต้องล่าถอยออกมาพร้อมกับเอามือปิดที่ตาของตัวเองเอาไว้
“เจ็บนะ”
“ยังไม่ได้จิ้ม”
“ก็บอกก่อนจะได้ไม่ทำไง”
“เพี้ยนจริงๆนะเรา”
“พี่นั่นแหละเพี้ยน นัดใครไว้ไม่บอกน้อง”
“บอกว่าเปล่า ว่าแต่พี่หทัยไปไหนไม่เห็นตั้งแต่เช้า”
เมื่อได้จังหวะนรีรัตน์ก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันทีและก็ได้ผลเมื่อคนข้างๆทำหน้าหงิกทันทีเมื่อได้ยินคำถามนี้
“ทำไมทำหน้าแบบนี้”
“ก็พี่หทัยน่ะสิไม่รู้ทำไมต้องลงไปคุมยัยหน้าจืดด้วยตัวเองตาบอกจะดูให้ก็ไม่เอา”
“พี่หทัยเนี้ยนะ”
“ใช่อะดิ”
คนพูดหันไปทำหน้างอใส่พี่สาวของตัวเองก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น
“พี่นรินต้องรีบๆหายนะ พี่หทัยจะได้อยู่ห่างๆจากยัยหน้าจืดนั่น”
“เป็นห่วงพี่หทัยเหรอ”
“ใช่สิทั้งห่วงทั้ง…”
ปาลิตารีบเอามือปิดปากตัวเองก่อนที่จะหลุดประโยคสำคัญออกมา
“ทั้งอะไร”
“เปล่า เปล่าพี่นรีพักเถอะตาไม่กวนแล้ว”
พูดจบปาลิตาก็รีบเดินไปทันทีก่อนที่จะหลุดอะไรไปมากกว่านี้ ใช่ว่าเธออยากปิดบังแต่ยังไม่พร้อมต่างหากเอาไว้ถึงเวลาที่เหมาะสมซะก่อน วันนั้นเธอเชื่อว่าถ้าพี่หทัยของเธอได้รับรู้ต้องไม่มีวันปฏิเสธเธอแน่ๆ
ปาลิตามองน้องสาวที่เพิ่งเดินออกไปด้วยความกังวล ทำไมเธอจะไม่รู้ถึงความรู้สึกของคนที่เพิ่งออกไปและเธอก็รู้ว่าหทัยภัทรรักเธอกับปาลิตาเหมือนน้องสาวแค่น้องสาวเท่านั้นคิดแล้วก็อดสงสารปาลิตาไม่ได้ หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับความคิดที่กำลังลอยไปหาใครอีกคน…คนมาใหม่ที่เปรียบเสมือนศัตรูแต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงคำว่าเกลียดเลยแม้แต่น้อย