ตอนที่ 14
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ดูท่าทางทุกคนจะยุ่งมากกว่าวันอื่นๆอาจเพราะการประชุมในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแต่กลับแตกต่างจากเธอที่ดูเหมือนกับคนไม่มีอะไรทำจนบางครั้งก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของใครหลายๆคนแต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อเธอได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของเจ้าของที่นี่ ไม่ใช่ด้วยการประจบเจ้านายเก่งแต่เพราะเธอมักจะถูกจับกระเตงไปไหนมาไหนกับละอองดาวอยู่บ่อยๆ เรื่องจริงใครจะรู้บ้างว่าความขมขื่นข้างในของเธอมากมายขนาดไหนนับวันยัยนั่นยิ่งครอบงำชีวิตเธอมากขึ้นทุกทีแต่เธอจะมีปัญญาทำอะไรได้ในเมื่อคำว่า ”สัญญาสิบล้าน”ค้ำคออยู่
“หลับในอยู่หรือเปล่า”
เสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้คนฟังถึงกับขนลุกก่อนจะค่อยๆเบี่ยงตัวไปด้านที่ไม่มีคนจากนั้นจึงหันไปมองคนที่ยืนยิ้มอยู่
“กลัวฉันเหรอ”
ละอองดาวพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วนรอยยิ้มจนคนมองอดแปลกใจไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนไปอารมณ์ดีมาจากไหน
“เปล่า”
“แล้วขยับไปทำไมทางนั้น”
รวิกานต์มองหน้าคนพูดพร้อมกับแอบถอนหายใจเบาๆไม่รู้ว่าเรื่องมันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนแต่พอมารู้ตัวอีกทีคนข้างๆก็เอาตัวมาวนเวียนเข้าใกล้เธอแบบนี้อยู่บ่อยๆ
“เปล่าซะหน่อย”
“อืม…เดี๋ยวประชุมรู้แล้วใช่มั้ย”
จู่ๆคนตัวเล็กก็เปลี่ยนเรื่องจนคนฟังตามแทบไม่ทันแต่เธอก็คิดว่ายังดีกว่าคุยกันเรื่องเดิม
“ค่ะ”
“แล้วรู้มั้ยว่าวันนี้เรามีแขกเข้ามาคุยงาน”
รวิกานต์ส่ายหัวช้าๆพร้อมกับทำหน้าสงสัย
“เธอนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ”
ละอองดาวเอ่ยออกมาพร้อมกับทำหน้าบึ้งจนคนมองถึงกลับต้องหลบสายตาส่วนคนช่างแกล้งก็ได้แต่แอบอมยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ช่วงนี้หญิงสาวก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบแกล้งรวิกานต์อยู่บ่อยๆ รู้แค่ว่าทำแล้วเธอรู้สึกมีความสุขมากถึงมากที่สุด…เข้าขั้นโรคจิตนิดๆหรือเปล่านะ
ในห้องประชุมทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมโดนเฉพาะคนที่เป็นเจ้านาย รวิกานต์แอบชำเลืองมองละอองดาวอยู่บ่อยครั้งสีหน้าที่ดูจริงจังบวกกับไหวพริบที่อีกคนมีมันทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวต้องรีบหุบยิ้มลงเพราะเกรงว่าหากใครมาเห็นเข้าอาจคิดว่าเธอบ้าได้เพราะการประชุมที่ดูเครียดขนาดนี้คงไม่มีใครยิ้มออก
ส่วนทางด้านของละอองดาวที่อยู่ในโหมดเคร่งเครียดจนทำให้พนักงานทุกคนรู้สึกเกร็งกันไปหมด…จะว่าไปหัวข้อการสนทนามันก็ไม่ได้หนักมากขนาดนั้นแต่สำหรับหญิงสาวตัวเล็กที่แบกรับภาระทุกอย่างไว้เธอต้องทำให้มันออกมาดีที่สุดเพราะหากพลาดแม้แต่นิดเดียวทุกอย่างก็จะยุ่งยากมากขึ้น หญิงสาวยกแฟ้มที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาอ่านก่อนจะแอบมองไปยังใครบางคนที่เอาแต่จ้องเธอ
“คุณดาวคะมีคนมาขอพบค่ะ”
เลขาสาวเดินเข้ามากระซิบเจ้านายเบาๆก่อนจะเดินออกไป ละอองดาวก้มมองนาฬิกาพร้อมกับเลื่อนมือไปปิดแฟ้มตรงหน้า
“เอาเป็นว่าวันนี้ให้ทุกคนไปทำการบ้านกันมานะคะ เดี๋ยวฉันจะเรียกคุยอีกทีแต่ถ้าครั้งหน้ายังไม่ได้ข้อสรุปบอกไว้เลยนะว่าโดนเป็นรายบุคคลแน่”
จบประโยคคนพูดก็ค่อยๆยิ้มออกมาแต่แทนที่จะทำให้คนที่มองมารู้สึกดีขึ้นกลับทำให้ทุกคนต่างพากันขวัญผวามากกว่าเดิมขนาดรวิกานต์เองยังรับรู้ถึงความสยองที่คนพูดสื่อออกมาได้เลย
ละอองดาวส่งยิ้มให้กับคนที่มารอในห้องก่อนจะหันไปเรียกให้คนที่เดินตามหาเก้าอี้มานั่งฟังด้วย รวิกานต์มองไปยังแขกที่อีกคนเชิญมาด้วยความรู้สึกแปลกใจนี่ขนาดอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆพี่ชายเธอยังไม่คิดจะบอกเลยสักคำ
“สวัสดีครับคุณดาว”
ภาสกรเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนานกี่วันแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอหน้าเพื่อนบ้านสาวพอมาเจอก็อยู่ในฐานะลูกค้าซะงั้นและอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวตัวเล็กอย่างละอองดาวจะสามารถดูแลธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ได้และท่าทางจะทำได้ดีมากซะด้วย
“สวัสดีค่ะคุณกรไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
ทั้งสองคนต่างส่งยิ้มให้แก่กันโดยไม่มีใครสนใจคนที่สามอย่างรวิกานต์เลย หญิงสาวได้แต่มองอย่างหมั่นไส้ก่อนจะกระแทกเก้าอี้ลงกับพื้นอย่างลืมตัว
“ระวังหน่อยสิกานต์”
ชายหนุ่มหันมาดุน้องสาวที่ทำท่าทางเสียมารยาทก่อนหันกลับมายังหญิงสาวคนเดิม
“ขอโทษแทนกานต์ด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะเด็กอยู่ก็อย่างนี้แหละ”
ละอองดาวชายตาไปมองคนทำเสียงดังแป๊บหนึ่งก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ภาสกรอีกครั้ง
“มาคุยงานกันดีกว่านะคะเสร็จแล้วจะได้ไปกินข้าวกัน”
“ได้ครับงั้นวันนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเองนะครับ”
“ได้ยังไงคะดาวเป็นเจ้าบ้าน”
“ให้ผมเลี้ยงเถอะนะครับถือซะว่าตอบแทนที่คุณดาวช่วยดูแลยัยกานต์”
“แต่ดาวว่า…”
“ไม่มีคำว่าแต่แล้วนะครับตามนี้เลย”
“เผด็จการเหมือนกันนะคะเนื่ย”
คนพูดเอ่ยออกมาแบบไม่จริงจังนัก
“แล้วอนุญาตมั้ยครับ”
ละอองดาวหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนจะมองสบตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“แบบนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะค่ะแต่ว่ามื้อหน้าต้องให้ดาวเป็นเจ้ามือนะคะ”
ภาสกรยิ้มรับอย่างเต็มใจถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแม้จะเป็นแค่การกินข้าวก็ตามแต่มันก็ทำให้เขามีข้ออ้างที่จะเข้ามาที่นี่อีก
จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มคุยงานกันต่อเท่าที่รวิกานต์จับใจความได้ก็คือพี่ชายเธอจะมาช่วยสร้างโรงแรมที่มีแผนจะขยายให้ใหญ่ขึ้นจากนี้ไปเธอคงได้มีโอกาสได้เจอพี่ชายบ่อยขึ้นเพราะเท่าที่เห็นงานนี้ภาสกรคงจะลงมาดูแลงานด้วยตัวเอง
“งานใหญ่เหมือนกันนะครับผมขอเอาโครงสร้างไปดูก่อนแล้วกันนะครับ”
“ได้สิคะอยากได้อะไรอีกก็บอกดาวมาเลย”
“ขอบคุณครับงานนี้ผมจะทำให้ดีที่สุดจะไม่ทำให้คุณดาวผิดหวังอย่างแน่นอน”
“ดาวต่างหากที่ต้องขอบคุณแล้วก็ฝากด้วยนะคะ”
เอาอีกแล้วคนทั้งคู่ต่างแลกรอยยิ้มและแววตาที่แสนหวานให้แก่กัน…ว่าแต่ตอนนี้มีใครมองเห็นเธอบ้างมั้ยนะ
ในร้านอาหารรวิกานต์ก็ยังคงเป็นอากาศที่ไร้คนสนใจขนาดพี่ชายของตัวเองแท้ๆยังเมินหน้าไปทางอื่นแล้วจะชวนเธอมาด้วยทำไม
“กุ้งคั่วเกลือที่นี่อร่อยมากเลยนะคะต้องลอง”
ละอองดาวเอ่ยออกมาพร้อมกับตักกุ้งตัวโตให้ชายหนุ่มที่นั่งยิ้มมองมาจะว่าเธอตักให้ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกเพราะชายหนุ่มก็ขยันตักใส่จานของเธอจนจะล้นอยู่แล้ว
“อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะถ้าติดใจมาอีกได้นะคะ”
“ติดใจสิครับต้องมาอีกแน่งั้นผมชวนคุณดาวล่วงหน้าเลยล่ะกันนะครับ”
“เอาอย่างนั้นเลยเหรอค่ะ”
“ครับถ้าคุณดาวไม่รังเกียจ”
ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังจนคนมองอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ”
ภาสกรเอ่ยออกมาอย่างอายๆก่อนจะก้มลงมองสำรวจตัวเอง
“ไม่หรอกค่ะเพียงแต่ไม่คิดว่าคุณกรจะทำหน้าจริงจังมากขนาดนี้”
“ผมจริงจังนะครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นก่อนจะค่อยๆปรับสีหน้าให้ดูสบายขึ้นเพราะรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองจะรุกหนักเกินไป
“ขอโทษครับผมคงไม่กวนคุณดาวขนาดนั้น”
ละอองดาวมองใบหน้าที่ดูเศร้าๆของภาสกรอย่างนึกสงสารจากนั้นหญิงสาวจึงเอื้อมมือไปตักปลาใส่จานของชายหนุ่มพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้
“เอาเป็นว่าถ้าผ่านมาก็แวะรับดาวด้วยนะคะ”
เท่านั้นแหละรอยยิ้มก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มทันที
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณเช่นกันค่ะ”
หญิงสาวตัวเล็กยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดีเธอรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับผู้ชายที่แสนดีคนนี้ หญิงสาวก้มลงกินข้าวต่อก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการมากินข้าวครั้งนี้ไม่ได้มากันแค่สองคน
ละอองดาวหันไปมองคนที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเหมือนคนตายอดตายอยากพร้อมกับส่ายหัวให้กับภาพที่เห็นเป็นพี่น้องที่แตกต่างกันจริงๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จภาสกรจึงขอตัวแยกไปทำธุระต่อแต่ก่อนจะไปเขาก็ยังทำหน้าที่สุภาพบุรุษได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายโดยการเดินไปส่งสาวๆที่รถ
“ขับรถดีๆนะครับ”
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะไว้คราวหน้าดาวขอเป็นเจ้ามือบ้าง”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนจะหันไปลูบหัวน้องสาวตัวแสบที่วันนี้ดูเงียบผิดนิสัย
“พี่ไปก่อนนะอย่าก่อเรื่องล่ะ”
“พี่กร!”
รวิกานต์ปัดมือพี่ชายออกก่อนจะเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของรถ
“ผมไปก่อนนะครับ”
“เดี่ยวค่ะ”
ละอองดาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มที่กำลังจะแยกตัวออกไป
“ครับ”
“อาทิตย์หน้าดาวต้องไปดูงานที่โรงแรมถ้าคุณกรว่างก็เชิญได้นะคะ”
“ได้เหรอครับ”
“ได้สิค่ะเห็นของจริงน่าจะดีกว่าดูแค่รูป”
คนพูดเอ่ยออกมาอย่างมีเหตุผลจนชายหนุ่มนึกคล้อยตาม
“น่าสนใจมากครับ”
“ถ้าว่างก็เชิญนะคะกานต์ก็ไปจะได้ไม่เหงา”
ภาสกรมองไปทางน้องสาวที่เริ่มทำหน้าบูดก่อนจะหันกลับมาหาหญิงสาวที่คุยด้วยชายหนุ่มยิ้มกว้างอกมาทันทีอันที่จริงไม่ต้องมีเรื่องงานเขาก็อยากไปอยู่แล้วยิ่งหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนชวนด้วยแล้วมีหรือที่เขาจะพลาด
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ บาย”
ละอองดาวส่งยิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินขึ้นรถไป ภาสกรมองตามรถที่แล่นออกไปด้วยหัวใจที่พองโต วันนี้เพื่อนบ้านสาวทำให้อาหารกลางวันธรรมดาๆของเขากลายเป็นมื้อที่แสนพิเศษได้อย่างง่ายดาย…อิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจจริงๆ
ภายในรถละอองดาวแอบชำเลืองมองคนที่นั่งข้างๆอยู่หลายครั้ง หญิงสาวรู้สึกแปลกใจกับท่าทางที่ดูเงียบผิดปกติของอีกคนจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“ลืมเอาปากมาหรือไงเงียบเชียว”
รวิกานต์ละสายตาจากหน้าจอมือถือก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่ถามจากนั้นจึงหันกลับมาที่เดิม
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง”
คนพูดเริ่มรู้สึกอารมณ์เสียเมื่อไม่ได้รับการตอบรับกลับมา หญิงสาวตัวเล็กเอื้อมมือไปกระชากมือถือที่คนข้างๆให้ความสนใจมากกว่าเธอจากนั้นก็จัดการโยนมันทิ้งไปเบาะหลัง
“ทำอะไรของคุณ”
“ไม่เห็นเหรองั้นเดี๋ยวฉันจอดรถแล้วจะทำให้ดูอีกรอบ”
คนพูดมองกระจกข้างก่อนจะค่อยๆเลี้ยวเข้าข้างทาง
“ไม่ต้องๆ”
รวิกานต์ตะโกนออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวจนทำให้คนขับรถถึงกับหันไปมองด้วยความไม่พอใจ
“ขอโทษค่ะ”
“เธอนี่ก้าวร้าวขึ้นทุกวัน”
ประโยคนี้รวิกานต์อยากเถียงใจจะขาดแต่เธอก็ทำไม่ได้เพราะถึงจะพูดหรือทำอะไรไปเธอก็ไม่มีทางชนะคนที่เลห์เหลี่ยมแพรวพราวแบบนี้ได้
“แต่ก็เอาเถอะ…อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ว่าเธอยังเอาปากมาอยู่”
ละอองดาวเอ่ยออกมาอย่างปลงๆ
“แล้วเมื่อไหร่เธอจะขับรถให้ฉันนั่งซะทีลืมไปหรือเปล่าว่าฉันเป็นเจ้านาย”
“ก็ฉันไม่ค่อยถนัดแต่ถ้าอยากให้ขับจริงๆก็ได้นะ”
“ต้องอย่างนี้สิ”
“แต่ขอเป็นมอเตอร์ไซค์แล้วกันนะรับรองเด็กแว๊นยังอาย”
รวิกานต์เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มเปื่ยมไปด้วยความภูมิใจแต่คนฟังนี่สิแทบอยากจะดึงพวงมาลัยออกมาปาใส่หน้าคนพูด…ตกลงเธอจะพึ่งอะไรยัยนี่ไม่ได้เลยใช่มั้ย
“ฉันจะบ้าตายกับเธอจริงๆ”
ละอองดาวเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายมันชัดเจนมากซะจนรวิกานต์อดที่จะน้อยใจไม่ได้บางครั้งเธอก็นึกเปรียบเทียบตัวเองกับภาสกรทุกอย่างระหว่างตัวเธอกับพี่ชายมันดูตรงข้ามกันมากซะจนไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดมาเป็นพี่น้องกัน…ต้องโทษแม่ที่มอบสิ่งดีๆให้พี่ชายเธอหมดจนไม่เหลือมาถึงเธอเลยสักอย่าง…เธอเคยคุยกับมารดาเรื่องนี้ท่านก็บอกว่าอันที่จริงเก็บเธอได้จากถังขยะหน้าบ้านพูดแค่นั้นแล้วก็เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มช่างเป็นการปลอบที่เธอคิดไม่ถึงแต่แม่เธอก็ทำสำเร็จเพราะตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่เคยบ่นเรื่องนี้อีกเลย