web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 39
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 32
Total: 32

ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ 14  (อ่าน 3595 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
ตอนที่ 14
« เมื่อ: 07 มกราคม 2014 เวลา 18:35:53 »
ตอนที่ 14

   วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ดูท่าทางทุกคนจะยุ่งมากกว่าวันอื่นๆอาจเพราะการประชุมในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแต่กลับแตกต่างจากเธอที่ดูเหมือนกับคนไม่มีอะไรทำจนบางครั้งก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของใครหลายๆคนแต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อเธอได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของเจ้าของที่นี่ ไม่ใช่ด้วยการประจบเจ้านายเก่งแต่เพราะเธอมักจะถูกจับกระเตงไปไหนมาไหนกับละอองดาวอยู่บ่อยๆ เรื่องจริงใครจะรู้บ้างว่าความขมขื่นข้างในของเธอมากมายขนาดไหนนับวันยัยนั่นยิ่งครอบงำชีวิตเธอมากขึ้นทุกทีแต่เธอจะมีปัญญาทำอะไรได้ในเมื่อคำว่า ”สัญญาสิบล้าน”ค้ำคออยู่
   “หลับในอยู่หรือเปล่า”
   เสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้คนฟังถึงกับขนลุกก่อนจะค่อยๆเบี่ยงตัวไปด้านที่ไม่มีคนจากนั้นจึงหันไปมองคนที่ยืนยิ้มอยู่
   “กลัวฉันเหรอ”
   ละอองดาวพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วนรอยยิ้มจนคนมองอดแปลกใจไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนไปอารมณ์ดีมาจากไหน
   “เปล่า”
   “แล้วขยับไปทำไมทางนั้น”
   รวิกานต์มองหน้าคนพูดพร้อมกับแอบถอนหายใจเบาๆไม่รู้ว่าเรื่องมันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนแต่พอมารู้ตัวอีกทีคนข้างๆก็เอาตัวมาวนเวียนเข้าใกล้เธอแบบนี้อยู่บ่อยๆ
   “เปล่าซะหน่อย”
   “อืม…เดี๋ยวประชุมรู้แล้วใช่มั้ย”
   จู่ๆคนตัวเล็กก็เปลี่ยนเรื่องจนคนฟังตามแทบไม่ทันแต่เธอก็คิดว่ายังดีกว่าคุยกันเรื่องเดิม
   “ค่ะ”
   “แล้วรู้มั้ยว่าวันนี้เรามีแขกเข้ามาคุยงาน”
   รวิกานต์ส่ายหัวช้าๆพร้อมกับทำหน้าสงสัย
   “เธอนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ”
   ละอองดาวเอ่ยออกมาพร้อมกับทำหน้าบึ้งจนคนมองถึงกลับต้องหลบสายตาส่วนคนช่างแกล้งก็ได้แต่แอบอมยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ช่วงนี้หญิงสาวก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบแกล้งรวิกานต์อยู่บ่อยๆ รู้แค่ว่าทำแล้วเธอรู้สึกมีความสุขมากถึงมากที่สุด…เข้าขั้นโรคจิตนิดๆหรือเปล่านะ

   ในห้องประชุมทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมโดนเฉพาะคนที่เป็นเจ้านาย รวิกานต์แอบชำเลืองมองละอองดาวอยู่บ่อยครั้งสีหน้าที่ดูจริงจังบวกกับไหวพริบที่อีกคนมีมันทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวต้องรีบหุบยิ้มลงเพราะเกรงว่าหากใครมาเห็นเข้าอาจคิดว่าเธอบ้าได้เพราะการประชุมที่ดูเครียดขนาดนี้คงไม่มีใครยิ้มออก
   ส่วนทางด้านของละอองดาวที่อยู่ในโหมดเคร่งเครียดจนทำให้พนักงานทุกคนรู้สึกเกร็งกันไปหมด…จะว่าไปหัวข้อการสนทนามันก็ไม่ได้หนักมากขนาดนั้นแต่สำหรับหญิงสาวตัวเล็กที่แบกรับภาระทุกอย่างไว้เธอต้องทำให้มันออกมาดีที่สุดเพราะหากพลาดแม้แต่นิดเดียวทุกอย่างก็จะยุ่งยากมากขึ้น หญิงสาวยกแฟ้มที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาอ่านก่อนจะแอบมองไปยังใครบางคนที่เอาแต่จ้องเธอ
   “คุณดาวคะมีคนมาขอพบค่ะ”
   เลขาสาวเดินเข้ามากระซิบเจ้านายเบาๆก่อนจะเดินออกไป ละอองดาวก้มมองนาฬิกาพร้อมกับเลื่อนมือไปปิดแฟ้มตรงหน้า
   “เอาเป็นว่าวันนี้ให้ทุกคนไปทำการบ้านกันมานะคะ เดี๋ยวฉันจะเรียกคุยอีกทีแต่ถ้าครั้งหน้ายังไม่ได้ข้อสรุปบอกไว้เลยนะว่าโดนเป็นรายบุคคลแน่”
   จบประโยคคนพูดก็ค่อยๆยิ้มออกมาแต่แทนที่จะทำให้คนที่มองมารู้สึกดีขึ้นกลับทำให้ทุกคนต่างพากันขวัญผวามากกว่าเดิมขนาดรวิกานต์เองยังรับรู้ถึงความสยองที่คนพูดสื่อออกมาได้เลย

   ละอองดาวส่งยิ้มให้กับคนที่มารอในห้องก่อนจะหันไปเรียกให้คนที่เดินตามหาเก้าอี้มานั่งฟังด้วย รวิกานต์มองไปยังแขกที่อีกคนเชิญมาด้วยความรู้สึกแปลกใจนี่ขนาดอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆพี่ชายเธอยังไม่คิดจะบอกเลยสักคำ
   “สวัสดีครับคุณดาว”
   ภาสกรเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนานกี่วันแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอหน้าเพื่อนบ้านสาวพอมาเจอก็อยู่ในฐานะลูกค้าซะงั้นและอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวตัวเล็กอย่างละอองดาวจะสามารถดูแลธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ได้และท่าทางจะทำได้ดีมากซะด้วย
   “สวัสดีค่ะคุณกรไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
   ทั้งสองคนต่างส่งยิ้มให้แก่กันโดยไม่มีใครสนใจคนที่สามอย่างรวิกานต์เลย หญิงสาวได้แต่มองอย่างหมั่นไส้ก่อนจะกระแทกเก้าอี้ลงกับพื้นอย่างลืมตัว
   “ระวังหน่อยสิกานต์”
   ชายหนุ่มหันมาดุน้องสาวที่ทำท่าทางเสียมารยาทก่อนหันกลับมายังหญิงสาวคนเดิม
   “ขอโทษแทนกานต์ด้วยนะครับ”
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะเด็กอยู่ก็อย่างนี้แหละ”   
   ละอองดาวชายตาไปมองคนทำเสียงดังแป๊บหนึ่งก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ภาสกรอีกครั้ง
   “มาคุยงานกันดีกว่านะคะเสร็จแล้วจะได้ไปกินข้าวกัน”
   “ได้ครับงั้นวันนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเองนะครับ”
   “ได้ยังไงคะดาวเป็นเจ้าบ้าน”
   “ให้ผมเลี้ยงเถอะนะครับถือซะว่าตอบแทนที่คุณดาวช่วยดูแลยัยกานต์”
   “แต่ดาวว่า…”
   “ไม่มีคำว่าแต่แล้วนะครับตามนี้เลย”
   “เผด็จการเหมือนกันนะคะเนื่ย”
   คนพูดเอ่ยออกมาแบบไม่จริงจังนัก
   “แล้วอนุญาตมั้ยครับ”
   ละอองดาวหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนจะมองสบตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า
   “แบบนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะค่ะแต่ว่ามื้อหน้าต้องให้ดาวเป็นเจ้ามือนะคะ”
   ภาสกรยิ้มรับอย่างเต็มใจถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแม้จะเป็นแค่การกินข้าวก็ตามแต่มันก็ทำให้เขามีข้ออ้างที่จะเข้ามาที่นี่อีก
   จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มคุยงานกันต่อเท่าที่รวิกานต์จับใจความได้ก็คือพี่ชายเธอจะมาช่วยสร้างโรงแรมที่มีแผนจะขยายให้ใหญ่ขึ้นจากนี้ไปเธอคงได้มีโอกาสได้เจอพี่ชายบ่อยขึ้นเพราะเท่าที่เห็นงานนี้ภาสกรคงจะลงมาดูแลงานด้วยตัวเอง
   “งานใหญ่เหมือนกันนะครับผมขอเอาโครงสร้างไปดูก่อนแล้วกันนะครับ”
   “ได้สิคะอยากได้อะไรอีกก็บอกดาวมาเลย”
   “ขอบคุณครับงานนี้ผมจะทำให้ดีที่สุดจะไม่ทำให้คุณดาวผิดหวังอย่างแน่นอน”
   “ดาวต่างหากที่ต้องขอบคุณแล้วก็ฝากด้วยนะคะ”
   เอาอีกแล้วคนทั้งคู่ต่างแลกรอยยิ้มและแววตาที่แสนหวานให้แก่กัน…ว่าแต่ตอนนี้มีใครมองเห็นเธอบ้างมั้ยนะ

   ในร้านอาหารรวิกานต์ก็ยังคงเป็นอากาศที่ไร้คนสนใจขนาดพี่ชายของตัวเองแท้ๆยังเมินหน้าไปทางอื่นแล้วจะชวนเธอมาด้วยทำไม
   “กุ้งคั่วเกลือที่นี่อร่อยมากเลยนะคะต้องลอง”
   ละอองดาวเอ่ยออกมาพร้อมกับตักกุ้งตัวโตให้ชายหนุ่มที่นั่งยิ้มมองมาจะว่าเธอตักให้ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกเพราะชายหนุ่มก็ขยันตักใส่จานของเธอจนจะล้นอยู่แล้ว
   “อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างเลยนะครับ”
   “ใช่ค่ะถ้าติดใจมาอีกได้นะคะ”
   “ติดใจสิครับต้องมาอีกแน่งั้นผมชวนคุณดาวล่วงหน้าเลยล่ะกันนะครับ”
   “เอาอย่างนั้นเลยเหรอค่ะ”
   “ครับถ้าคุณดาวไม่รังเกียจ”
   ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังจนคนมองอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
   “ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ”
   ภาสกรเอ่ยออกมาอย่างอายๆก่อนจะก้มลงมองสำรวจตัวเอง
   “ไม่หรอกค่ะเพียงแต่ไม่คิดว่าคุณกรจะทำหน้าจริงจังมากขนาดนี้”
   “ผมจริงจังนะครับ”
   ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นก่อนจะค่อยๆปรับสีหน้าให้ดูสบายขึ้นเพราะรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองจะรุกหนักเกินไป
   “ขอโทษครับผมคงไม่กวนคุณดาวขนาดนั้น”
   ละอองดาวมองใบหน้าที่ดูเศร้าๆของภาสกรอย่างนึกสงสารจากนั้นหญิงสาวจึงเอื้อมมือไปตักปลาใส่จานของชายหนุ่มพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้
   “เอาเป็นว่าถ้าผ่านมาก็แวะรับดาวด้วยนะคะ”
   เท่านั้นแหละรอยยิ้มก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มทันที
   “ขอบคุณครับ”
   “ขอบคุณเช่นกันค่ะ”
   หญิงสาวตัวเล็กยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดีเธอรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับผู้ชายที่แสนดีคนนี้ หญิงสาวก้มลงกินข้าวต่อก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการมากินข้าวครั้งนี้ไม่ได้มากันแค่สองคน
   ละอองดาวหันไปมองคนที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเหมือนคนตายอดตายอยากพร้อมกับส่ายหัวให้กับภาพที่เห็นเป็นพี่น้องที่แตกต่างกันจริงๆ
   หลังจากกินข้าวเสร็จภาสกรจึงขอตัวแยกไปทำธุระต่อแต่ก่อนจะไปเขาก็ยังทำหน้าที่สุภาพบุรุษได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายโดยการเดินไปส่งสาวๆที่รถ
   “ขับรถดีๆนะครับ”
   “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะไว้คราวหน้าดาวขอเป็นเจ้ามือบ้าง”
   ชายหนุ่มหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนจะหันไปลูบหัวน้องสาวตัวแสบที่วันนี้ดูเงียบผิดนิสัย
   “พี่ไปก่อนนะอย่าก่อเรื่องล่ะ”
   “พี่กร!”
   รวิกานต์ปัดมือพี่ชายออกก่อนจะเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของรถ
   “ผมไปก่อนนะครับ”
   “เดี่ยวค่ะ”
   ละอองดาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มที่กำลังจะแยกตัวออกไป
   “ครับ”
   “อาทิตย์หน้าดาวต้องไปดูงานที่โรงแรมถ้าคุณกรว่างก็เชิญได้นะคะ”
   “ได้เหรอครับ”
   “ได้สิค่ะเห็นของจริงน่าจะดีกว่าดูแค่รูป”
   คนพูดเอ่ยออกมาอย่างมีเหตุผลจนชายหนุ่มนึกคล้อยตาม
   “น่าสนใจมากครับ”
   “ถ้าว่างก็เชิญนะคะกานต์ก็ไปจะได้ไม่เหงา”
   ภาสกรมองไปทางน้องสาวที่เริ่มทำหน้าบูดก่อนจะหันกลับมาหาหญิงสาวที่คุยด้วยชายหนุ่มยิ้มกว้างอกมาทันทีอันที่จริงไม่ต้องมีเรื่องงานเขาก็อยากไปอยู่แล้วยิ่งหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนชวนด้วยแล้วมีหรือที่เขาจะพลาด
   “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ บาย”
   ละอองดาวส่งยิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินขึ้นรถไป ภาสกรมองตามรถที่แล่นออกไปด้วยหัวใจที่พองโต วันนี้เพื่อนบ้านสาวทำให้อาหารกลางวันธรรมดาๆของเขากลายเป็นมื้อที่แสนพิเศษได้อย่างง่ายดาย…อิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจจริงๆ

ภายในรถละอองดาวแอบชำเลืองมองคนที่นั่งข้างๆอยู่หลายครั้ง หญิงสาวรู้สึกแปลกใจกับท่าทางที่ดูเงียบผิดปกติของอีกคนจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
   “ลืมเอาปากมาหรือไงเงียบเชียว”
   รวิกานต์ละสายตาจากหน้าจอมือถือก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่ถามจากนั้นจึงหันกลับมาที่เดิม
   “ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง”
   คนพูดเริ่มรู้สึกอารมณ์เสียเมื่อไม่ได้รับการตอบรับกลับมา หญิงสาวตัวเล็กเอื้อมมือไปกระชากมือถือที่คนข้างๆให้ความสนใจมากกว่าเธอจากนั้นก็จัดการโยนมันทิ้งไปเบาะหลัง
   “ทำอะไรของคุณ”
   “ไม่เห็นเหรองั้นเดี๋ยวฉันจอดรถแล้วจะทำให้ดูอีกรอบ”
   คนพูดมองกระจกข้างก่อนจะค่อยๆเลี้ยวเข้าข้างทาง
   “ไม่ต้องๆ”
   รวิกานต์ตะโกนออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวจนทำให้คนขับรถถึงกับหันไปมองด้วยความไม่พอใจ
   “ขอโทษค่ะ”
   “เธอนี่ก้าวร้าวขึ้นทุกวัน”
   ประโยคนี้รวิกานต์อยากเถียงใจจะขาดแต่เธอก็ทำไม่ได้เพราะถึงจะพูดหรือทำอะไรไปเธอก็ไม่มีทางชนะคนที่เลห์เหลี่ยมแพรวพราวแบบนี้ได้
   “แต่ก็เอาเถอะ…อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ว่าเธอยังเอาปากมาอยู่”
   ละอองดาวเอ่ยออกมาอย่างปลงๆ
   “แล้วเมื่อไหร่เธอจะขับรถให้ฉันนั่งซะทีลืมไปหรือเปล่าว่าฉันเป็นเจ้านาย”
   “ก็ฉันไม่ค่อยถนัดแต่ถ้าอยากให้ขับจริงๆก็ได้นะ”
   “ต้องอย่างนี้สิ”
   “แต่ขอเป็นมอเตอร์ไซค์แล้วกันนะรับรองเด็กแว๊นยังอาย”
   รวิกานต์เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มเปื่ยมไปด้วยความภูมิใจแต่คนฟังนี่สิแทบอยากจะดึงพวงมาลัยออกมาปาใส่หน้าคนพูด…ตกลงเธอจะพึ่งอะไรยัยนี่ไม่ได้เลยใช่มั้ย
   “ฉันจะบ้าตายกับเธอจริงๆ”
   ละอองดาวเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายมันชัดเจนมากซะจนรวิกานต์อดที่จะน้อยใจไม่ได้บางครั้งเธอก็นึกเปรียบเทียบตัวเองกับภาสกรทุกอย่างระหว่างตัวเธอกับพี่ชายมันดูตรงข้ามกันมากซะจนไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดมาเป็นพี่น้องกัน…ต้องโทษแม่ที่มอบสิ่งดีๆให้พี่ชายเธอหมดจนไม่เหลือมาถึงเธอเลยสักอย่าง…เธอเคยคุยกับมารดาเรื่องนี้ท่านก็บอกว่าอันที่จริงเก็บเธอได้จากถังขยะหน้าบ้านพูดแค่นั้นแล้วก็เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มช่างเป็นการปลอบที่เธอคิดไม่ถึงแต่แม่เธอก็ทำสำเร็จเพราะตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่เคยบ่นเรื่องนี้อีกเลย




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.