ตอนที่ 13
และแล้วก็ได้เวลาเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่เพราะตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาทำงานกับละอองดาว รวิกานต์ก็ได้รับประสบการณ์มากมายถึงแม้บางเรื่องเธอจะไม่อยากได้ก็ตาม
หญิงสาวแอบมองไปยังคนที่ตอนนี้เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนบ้านเป็นเจ้านายอย่างพิจารณาก่อนจะรีบก้มหน้าลงเมื่อคนที่เธอจ้องเหมือนจะรู้สึกตัว
ละอองดาวเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามความจริงเธอไม่ชอบที่จะให้ใครมานั่งทำงานในห้องเดียวกับตัวเองเพราะมันทำให้เธอรู้สึกเสียสมาธิแต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้จัดให้รวิกานต์เข้ามานั่งในนี้ หญิงสาวสลัดความคิดที่แสนสับสนออกจากหัวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาคนที่วันนี้ดูตั้งใจทำงานผิดปกติ
“กินยาผิดมาหรือเปล่าวันนี้”
รวิกานต์เงยหน้าขึ้นมองคนหาเรื่องที่กำลังทำหน้ากวนอารมณ์เธอ
“ฉันเป็นคนขยันแต่แค่ไม่เอาออกมาใช้”
“กล้าพูด”
“มันคือเรื่องจริง”
หญิงสาวตัวเล็กกัดปากเบาๆเพื่อเตือนให้ตัวเองรู้สึกตัวว่าไม่ควรไปเสียเวลาต่อปากต่อคำกับคนแบบนี้เธอจึงเอื้อมมือไปดึงแฟ้มที่คนตรงหน้าถืออยู่มาจัดการปิดและเก็บในที่ของมัน
“ทำอะไรของคุณ”
“ฉันหิว”
ละอองดาวหาได้ตอบในสิ่งที่อีกคนถามแต่เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงสาเหตุที่มายืนตรงนี้คืออะไร
“ก็ไปกินสิ”
“กวนเหรอ”
รวิกานต์ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ
“ก็คุณหิวฉันก็แค่บอกให้คุณไปหาอะไรกินไงเดี๋ยวเป็นกระเพาะนะ”
“นี่ไม่ได้แกล้งโง่ใช่มั้ย”
คนตัวเล็กเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์เสียเธอไม่แน่ใจว่ารวิกานต์กำลังยั่วให้เธอโกรธหรือยัยนี่สมองทึบกันแน่ส่วนทางด้านคนที่ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิดก็ได้แต่ทำหน้างงๆ
“ฉันมาชวนเธอไปกินข้าวชัดพอมั้ย”
คราวนี้ละอองดาวเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำจนคนฟังพยักหน้ารับรู้และเข้าใจ
“ออ”
“ซื่อบื่อ”
พูดจบละอองดาวก็หมุนตัวไปคว้ากระเป๋าที่โต๊ะก่อนจะเดินไปยังประตูรวิกานต์มองการกระทำที่แสนจะรวดเร็วและเอาแต่ใจของคนที่เดินนำออกไปอย่างเซ็งๆตั้งแต่เธอมาทำงานที่นี่ก็เหมือนกับว่าโลกของเธอกำลังถูกคุกคามจากผู้หญิงคนนี้มากขึ้นทุกที
รวิกานต์เดินตามคนตัวเล็กออกจากห้องช้าๆเธอสังเกตเห็นสายตาของพนักงานแต่ละคนที่มองมายังนายสาวและเลยมายังเธอมันดูแปลกๆยังไงพิกลไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะรู้มั้ยนะว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันจุดประเด็นอะไรขึ้นมา
ที่ร้านอาหารละอองดาวมองคนที่ทำท่าไม่สนใจตอนเธอชวนมาทานข้าวแต่พอมาถึงร้านกลับเป็นเธอซะอีกที่กินได้น้อยกว่าคนตรงหน้า
“ค่อยๆกินก็ได้เดี๋ยวก็สำลักหรอก”
พูดยังไม่ทันขาดคำคนที่เอาแต่กินก็สำลักออกมาจริงๆแถมยังคว้าแก้วน้ำเธอไปดื่มอีก
“แก้วฉันนะ”
รวิกานต์เอามือตบที่หน้าอกอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะยกน้ำที่อยู่ในมือขึ้นดื่มอย่างรวดเร็วจากนั้นเจ้าตัวก็ส่งแก้วคืนให้คนที่ดูจะหวงของมากเหลือเกิน
“คนเกือบตายยังจะมาหวงของอีก”
“ฉันไม่ได้หวงทำผิดแทนที่จะขอโทษกลับมาเปลี่ยนประเด็น”
คนพูดเอ่ยออกมาอย่างระอาใจก่อนจะเรียกให้พนักงานมาเติมน้ำ รวิกานต์มองใบหน้าบึ้งตึงนั้นก่อนจะก้มลงกินต่อหญิงสาวรู้สึกแปลกใจตัวเองที่ช่วงนี้เหมือนเธอไม่ค่อยรู้สึกหรือจะเรียกว่าไม่ถือสากับอาการวีนของคนตัวเล็กเลยอาจเพราะเธอรู้ว่าละอองดาวไม่ได้จริงจังอะไรเหมือนอย่างที่แสดงหรือบางทีเธออาจจะชินเพราะได้เห็นอาการแบบนี้เกือบทุกวัน…ใช่แล้วละอองดาวเป็นแบบนี้เสมอหากวันใดที่เจ้าหล่อนยิ้มหรืออารมณ์ดีสิถึงจะแปลก
“เดือนหน้าฉันต้องไปตรวจความเรียบร้อยที่โรงแรม”
รวิกานต์ฟังพร้อมกับทำหน้าสงสัยมันไม่แปลกอะไรหากผู้บริหารจะไปตรวจงานเพราะที่เธอมาทำในตอนนี้เป็นเพียงแค่ออฟฟิคในเมืองหากแต่อีกคนจะมาบอกเธอทำไม
“ออ…ค่ะ”
“เตรียมตัวด้วยนะ”
คนฟังสะบัดหัวแทบหลุดเธอได้ยินอะไรผิดเพี้ยนไปหรือเปล่านะ
“ไม่ต้องมาทำท่าทางแบบนี้ฉันบอกคุณป้าแล้วเตรียมตัวด้วย”
“เดี๋ยวก่อนนะ”
“อะไร”
“คุณบอกคุณแม่แล้ว”
“ใช่”
“แต่คนที่ไปเป็นฉันนะ”
“ถูก…แล้วยังไง”
คนฟังแทบอยากจะกระโดดตบโต๊ะเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกคนพูดแล้วไหนจะหน้าตานิ่งๆที่ทำไม่รู้ไม่ชี้นั่นอีก
“แล้วไง!สาบานได้ว่าคุณไม่รู้”
“เธอเป็นลูกจ้างไม่มีสิทธิปฏิเสธแล้วที่ฉันบอกคุณป้าก็เพื่อให้ท่านสบายใจว่าลูกสาวคนเดียวจะไม่ไปเถลไถลอย่างแน่นอน”
“นี่คุณ!”
“จะเรียกอะไรนักหนาแล้วตอนนี้ฉันอยู่ในฐานะเจ้านายถ้าจะเรียกก็เรียกให้เต็ม”
ละอองดาวเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าจริงจังจนอีกคนไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เธอล่ะเกลียดเหตุผลที่อีกคนยกมาจริงๆไม่ใช่แค่ข้อนี้นะแต่ทุกอย่างที่ผู้หญิงคนนี้พูดเธอไม่เคยจะเถียงได้เลยสักครั้ง
การคุยกันของทั้งสองสาวถูกจับตามองโดยใครบางคนและไม่นานชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นมิตรที่สุดแล้วเดินตรงไปหาเป้าหมาย
“สวัสดีครับคุณดาว”
ธรรมธรเอ่ยทักละอองดาวด้วยรอยยิ้มก่อนจะหุบลงเมื่อหันมาทางหญิงสาวอีกคน
“สวัสดีค่ะ”
ละอองดาวเอ่ยทักตอบออกมาพร้อมกับมองหน้าชายหนุ่มที่ทำท่าทางสนิทสนมกับเธอจนเกินเหตุ
“ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ”
ปากพูดขออนุญาติแต่การกระทำกลับไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเขาลากเก้าอี้มานั่งมารวดเร็ว
“ร้านนี้อร่อยนะครับ”
“ค่ะ”
“มาทานสองคนเหงาแย่เลยถ้ามาอีกเรียกใช้ผมได้นะครับ”
คนพูดยังคงจ้อไม่หยุดจนรวิกานต์อดที่จะหนวกหูไม่ได้ตอนนี้เธอรู้สึกรำคาญผู้ชายคนนี้มากกว่าที่จะกลัวเหมือนอย่างกับวันแรกที่เจอแล้วล่ะสิ
“ว๊า…”
ธรรมธรทำเสียงแสนเสียดายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตัวเล็ก
“เวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วจังนะครับดูสิได้คุยกันแป๊บเดียวผมก็ต้องไปคุยงานต่อแล้วช่วงนี้งานรัดตัวมาก”
คนพูดมองนาฬิกาสลับกับใบหน้าของหญิงสาวที่คุยด้วย
“มื้อนี้ผมขอเลี้ยงนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ละอองดาวพูดออกมาแทบจะทันทีจนคนเสนอทำหน้าเสียเล็กน้อยแต่ชายหนุ่มก็รีบสะบัดใบหน้าหดหู่ออกไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มให้เห็นฟันขาวแทน
“ไม่ได้หรอกครับนานๆเจอกันทีถือว่าเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีของเรา”
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะเชิญคุณธรรมธรไปทำธุระเถอะค่ะ”
ละอองดาวยังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่เธอไม่ชอบที่จะกินของใครฟรีโดยเฉพาะคนที่ดูท่าทางไม่น่าคบแบบชายหนุ่มตรงหน้า
“โถ่คุณดาวครับ”
ธรรมธรทำน้ำเสียงอ้อนพร้อมกับส่งสายตาหวานไปให้คนที่ปฏิเสธ ยิ่งละอองดาวทำเป็นไม่สนก็ยิ่งทำให้เขาเกิดความสนใจในตัวหญิงสาวมากขึ้น อีกอย่างการจะได้เป็นผู้มีอิทธิพลในภูเก็ตมันจะง่ายขึ้นหากเขาได้ละอองดาวมาครอบครอง
“จะอ้วก”
รวิกานต์ตะครุบปากแทบจะทันทีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะตอนนี้เธอได้รับสายตาอาฆาตจากชายหนุ่มคนเดียวในโต๊ะแล้ว
“เป็นอะไรครับ”
ธรรมธรเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆหากแต่ความรู้สึกและอารมณ์ของเขาในตอนนี้กลับฉายชัดในแววตาที่จ้องมองไปยังคนไร้มารยาทที่บังอาจมาขัดจังหวะของตัวเอง
“เอ่อ…”
“แต่ไม่เป็นไรหรอกครับวันนี้ผมอารมณ์ดีมากซะจนจะมองผ่านเรื่องที่คุณทำ…”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ
“ทั้งหมด!”
พูดจบชายหนุ่มก็หันไปให้ความสนใจกับละอองดาวต่อช่างเป็นการกระทำที่ทำได้ดีจนรวิกานต์อดหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆเธอลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงสาวอีกคนที่แสดงใบหน้าชัดเจนว่ารำคาญไอ้คนพูดมากคนนี้ไม่ต่างจากเธอแต่แปลกที่ชายหนุ่มกลับไม่รู้ตัวหรือบางทีรู้ตัวแต่อาจแกล้งโง่ก็เป็นได้
“คุณไม่ต้องลำบากเลี้ยงเราหรอกค่ะ”
รวิกานต์เอ่ยออกมาก่อนจะเดินมาโอบรอบคอหญิงสาวตัวเล็กที่ตอนนี้ดูอึ้งไม่ต่างจากชายหนุ่มอีกคน
“เพราะว่าพี่ดาวเป็นแฟนของฉันฉันเลี้ยงเองได้”
ธรรมธรแทบอยากจะกระชากผู้หญิงอวดดีที่ส่งสายตาเหมือนท้าทายเขาเข้ามาต่อยแต่กลับทำได้เพียงการกำมือแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์เท่านั้น
“อีกอย่างที่เรามากินข้าวกันสองคนนั่นก็เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวพูดง่ายๆก็คือถ้าไม่เกรงใจคนอื่นฉันคงเหมาทั้งร้านนั่งกันแค่สองคนแล้ว”
รวิกานต์ยังไม่ยอมหยุดเธอรู้สึกสะใจที่ได้เห็นใบหน้าเหมือนจะระเบิดของคนขี้อวดเห็นแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“นี่เธอ!”
ธรรมธรคงจะถลาเข้าไปบีบคอคนพูดแล้วหากไม่มีใครอีกคนนั่งอยู่ ครั้งนี้ถือว่าเขาพลาดที่ดูถูกผู้หญิงอย่างรวิกานต์ไว้คราวหน้าเขาจะเอาคืนให้สาสม
“พอได้แล้วค่ะเอาเป็นว่าฉันคงรับความปรารถนาดีของคุณไม่ได้ขอบคุณมาก”
ละอองดาวตัดความรำคาญก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานให้มาเช็กบิลอันที่จริงเธออยากจะลุกเดินออกไปตอนนี้ซะด้วยซ้ำไม่ใช่เพราะชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆหรอกนะแต่เป็นคนที่กอดเธอจากด้านหลังนี้ต่างหาก…
รวิกานต์แอบมองคนที่ยืนนิ่งในลิฟท์โดยไม่พูดอะไรจนเธอดูไม่ออกว่าละอองดาวกำลังคิดอะไรอยู่นั่นล่ะคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของผู้หญิงคนนี้
“หมอนั่นมาจีบคุณเหรอ”
เพื่อทำลายความเงียบรวิกานต์จึงหาเรื่องคุยแต่ทำไมเธอต้องเลือกหัวข้อนี้ด้วยก็ไม่รู้
“หมอไหนไม่มีคนรู้จักเป็นหมอ”
“ไม่เห็นตลกเลย”
“แล้วยิ้มทำไม”
ละอองดาวหันไปมองคนข้างๆที่รีบหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นเธอมองไป
“นิดหนึ่งก็ได้…ว่าแต่อีตาธรรมธรนี่น่ารำคาญนะคุณคงไม่ชอบหรอก”
“รู้ได้ยังไง”
“ท่าทางแบบนั้นน่ารำคาญจะตาย”
“นั่นมันเธอไม่ใช่ฉัน”
ละอองดาวพูดพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆแต่กลับทำให้คนที่ยืนข้างๆเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมา
“อย่าบอกนะว่า…”
ประโยคสุดท้ายเหมือนจะถูกกลืนหายไปเพราะรวิกานต์ไม่อยากจะเอ่ยออกมาให้เปื้อนปาก
“ว่าอะไร”
คนตัวเล็กหันมาอมยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้คนขี้สงสัยท่าทางโรคนี้จะแรงเพราะเธอก็เริ่มสงสัยขึ้นมาบ้าง
“ก็คุณ”
“ฉันทำไม…เธอแหละหึงเหรอ”
คนพูดกระแซะเข้าไปใกล้จนตอนนี้เธอกับรวิกานต์ตัวติดกันมากซะจนมองเห็นใบหน้าที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงของอีกคนอย่างชัดเจน
“บ้า!พูดมั่วอย่าเปลี่ยนเรื่อง”
“เธอต่างหากที่เปลี่ยน”
“เดี๋ยว…ตะกี้เราคุยเรื่องคุณอยู่นะ”
“แล้วที่ฉันถามมันไม่ใช่เรื่องของฉันหรือไง”
ละอองดาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วหวานกว่าปกติก่อนจะยกมือขึ้นไปจับที่หูของคนตัวสูงจนเจ้าตัวสะดุ้งเดินถอยหลังออกมา
“ทำอะไรของคุณ”
“หูเธอแดง”
“แล้วยังไง”
“เคยได้ยินมั้ยว่าอาการหูแดงจะเกิดขึ้นกับคนที่ถูกจับได้เรื่องความรู้สึก”
คนพูดเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะชะเง้อมองไปยังใบหูที่ถูกเจ้าของเอามือมาปิดไว้
“เธอเชื่อใช่มั้ยเนื่ย”
หญิงสาวตัวเล็กเอ่ยออกมาอย่างขำๆก่อนจะเดินออกจากลิฟท์ไปเธอเริ่มแน่ใจในบางเรื่องหากแต่ต้องให้ทุกอย่างเป็นไปในทางของมันอีกไม่นานเรื่องราวคงจะกระจ่างชัดมากขึ้นกว่านี้
ส่วนคนที่รู้ตัวว่าถูกหลอกก็ได้แต่อ้าปากค้างเพราะเธอไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้…หากเปรียบตัวเองกับคนที่เพิ่งเดินไปเธอก็คงเหมือนกับเด็กที่พึ่งเดินได้จะไปสู้อะไรกับคนแก่มากประสบการณ์แบบนั้น