ตอนที่ 7
เสียงเคาะประตูทำให้หญิงสาวที่หลับอยู่ต้องสะดุ้งตื่นก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าสายมากแล้วแต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับรวิกานต์เพราะปกติเธอก็ตื่นสายอยู่แล้วและที่สำคัญไม่มีใครในบ้านที่จะคิดปลุกเธอสักวันแต่วันนี้กลับมีคนมาเคาะเรียกเสียงดังเป็นระยะๆจนเธอนึกแปลกใจและเมื่อเปิดประตูหญิงสาวก็ต้องยกมือขยี้ตาอยู่หลายครั้งก่อนจะจ้องมองคนตรงหน้าให้ชัดๆ
“มาทำอะไรเนื่ย”
หญิงสาวตัวเล็กยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ
“เข้ามาทำไม”
“เธอยังเคยปีนรั้วเข้าบ้านฉันเลย”
“มันคนละอย่างกัน”
ละอองดาวชายสายตาไปมองคนพูดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสำรวจภายในห้องต่อ
“คุณป้าไม่เห็นว่าอะไรยังฝากฉันปลุกเธอด้วยเลย”
“แม่ก็รู้เห็นเป็นใจเหรอเนื๊ยไม่อยากจะเชื่อ”
“เอาล่ะรีบอาบน้ำแต่งตัวสิจะได้ลงไปคุยกัน”
คนพูดนั่งลงที่เตียงช้าๆก่อนจะหันไปสั่งการคนที่ยังทำหน้ามึนเดินตามเธออย่างกับเด็ก
“เข้ามาขนาดนี้คุยเลยก็ได้มั้ง”
ประโยคประชดประชันแทบถูกกลืนลงคอเมื่อคนพูดหันไปเห็นสายตาของคนที่นั่งอยู่คนตัวสูงจึงรีบหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทันที
ละอองดาวมองสำรวจห้องของคนที่เพิ่งไปอาบน้ำก่อนจะลุกไปหยิบรูปที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงมาดูจะว่าไปรวิกานต์ก็หน้าตาคล้ายภาสกรเหมือนกันแต่ก็แปลกที่ตอนเจอกันครั้งแรกเธอกลับไม่รู้สึกคุ้นเคยแต่อย่างใดทั้งๆที่สองพี่น้องดูคมเข้มไม่ต่างกันหญิงสาววางกรอบรูปในมือลงก่อนจะหยิบอีกอันขึ้นมาผู้หญิงคนนี้เหมือนคนที่เธอเจอเมื่อวันไปส่งรวิกานต์ทำธุระแต่มันจะไม่มีอะไรสะดุดใจเธอเลยถ้าคนในรูปไม่ใช่บุคคลที่กระโดดหอมแก้มเจ้าของห้องนี้
“ทำอะไร”
“เปล่า”
คนตัวเล็กตอบกลับมาก่อนจะวางของในมือลงที่เดิมจากนั้นจึงเดินกลับมานั่งที่เตียง
“หลักฐานคามือยังจะปฏิเสธอีก”
รวิกานต์เอ่ยออกมาก่อนจะเดินไปนั่งที่หน้ากระจก
“แค่ดูเฉยๆไม่ได้จะขโมยซะหน่อย”
ละอองดาวเอ่ยแก้ตัวก่อนจะหันไปมองคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ถ้ารูปพี่กรต้องไปหาอีกห้องหนึ่งห้องนี้มีแต่รูปคู่”
“นี่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้จะขโมย”
คนพูดเอ่ยออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงก่อนจะเดินตรงไปยังคนที่นั่งอมยิ้มอยู่ที่หน้ากระจก
“เสร็จหรือยังชักช้าจริง!”
รวิกานต์หยุดเช็ดผมที่เปียกก่อนจะหันไปมองคนที่มาพูดข่มขู่ข้างหูเธอ
“อยากให้เสร็จไวๆใช่มั้ยอะ…”
คนพูดยัดผ้าใส่มือคนที่ยืนอยู่ก่อนจะเอียงหัวไปให้
“ไม่มีทาง”
เวลาผ่านไปไม่นานรวิกานต์ก็จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยก่อนจะเอื้อมไปหยิบผ้าในมือละอองดาวเอาไปตากส่วนทางด้านคนตัวเล็กก็ออกอาการโมโหตัวเองอยู่ไม่น้อยทั้งๆที่ยืนยันนั่งยันแถมนอนยันว่าไม่ทำแต่สุดท้ายเป็นไงล่ะเธอนี่แหละที่ทั้งเช็ดทั้งเอาไดร์มาเป่าผมให้จนแห้งแถมยังมัดจุกให้อีก…มันน่ามั้ยล่ะ
“นั่งเหม่ออยู่ได้ลงไปกันเถอะ”
เจ้าของห้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่นั่งทำหน้าบูดอยู่แต่ไม่ทันคิดว่าอีกคนจะหันกลับมาจึงเป็นเหตุให้ใบหน้าของคนทั้งคู่อยู่ในระยะประชิดทำเอารวิกานต์ตกใจจนไม่กล้าขยับตัวเพราะเกรงว่าคนตรงหน้าอาจเข้าใจผิดแล้วจับเธอทุ่มลงกับพื้นส่วนละอองดาวก็ตกใจไม่แพ้กันหัวใจของหญิงสาวเร่งจังหวะเร็วและแรงขึ้นอย่างอัตโนมัติเรื่องนั้นยังไม่แปลกเท่าความรู้สึกบางอย่างมันกำลังบอก…ว่าเธอพบความแตกต่างของสองพี่น้องนี้แล้ว
เสียงเคาะประตูทำให้ทั้งสองสาวต้องผละออกจากกันก่อนจะหันไปมองยังคนที่เปิดประตูเข้ามา
“ทำอะไรกันอยู่จ๊ะสองสาวเงียบเชียว”
“แม่!”
“ก็แม่นะสิจะให้เป็นใคร”
ศศิวิมลเอ่ยตอบออกมาก่อนจะหันไปมองแขกที่ยืนทำหน้านิ่งไม่พูดไม่จา
“แกล้งอะไรพี่เค้าหรือเปล่า”
“โหแม่เห็นกานต์เป็นคนแบบไหนกัน”
“ก็แบบนั้นแหละถึงได้ถาม…ป่ะหนูดาวเราลงไปข้างล่างกันดีกว่า”
ละอองดาวยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะเดินไปควงแขนคนพูดเดินออกจากห้องไป
“คนวัยเดียวกันเค้าคุยกันแบบนี้เอง”
รวิกานต์บ่นออกมาเบาๆก่อนจะรีบยกมือขึ้นทำท่ารูดซิปปากเพราะคนที่เธอพาดพิงถึงทั้งสองคนกำลังหันมาจ้องหน้าเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ทั้งสามคนนั่งทานข้าวเช้าด้วยกันโดยมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปมาระหว่างแม่ของเธอและแขกที่มาบ้านรวิกานต์ได้แต่นั่งฟังเพราะไม่รู้จะแทรกประโยคไหนได้
“หนูดาวคุยสนุกจังว่างๆเรามาคุยกันใหม่นะ”
“คุยกับคุณป้าก็ได้ความรู้มากเลยค่ะแบบนี้ดาวคงต้องขออนุญาตมาบ่อยๆแล้ว”
“ได้สิจ๊ะบ้านนี้ยินดีต้อนรับหนูดาวเสมอถ้าป้าไม่อยู่ก็มาคุยกับกานต์ได้”
“เกี่ยวไรกับกานต์ล่ะแม่”
“เงียบไปเลยลูกคนนี้”
รวิกานต์มองหน้าคนพูดก่อนจะหันไปทำหน้าบูดใส่คนที่เอาแต่ยิ้มทำหน้าเป็นนางเอกข้างๆแม่เธอหญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะก้มลงกินข้าวต้มต่อคงไม่มีใครรู้หรอกว่ายัยตัวเล็กนี่น่ากลัวขนาดไหน
เมื่อกินข้าวอิ่มแล้วทั้งสองสาวจึงออกมานั่งคุยกันที่หน้าบ้านโดยมีละอองดาวเป็นตัวตั้งตัวตี
“ยังไม่กลับอีกเหรอ”
รวิกานต์เอ่ยออกมาก่อนจะนั่งฝั่งตรงข้ามของคนตัวเล็ก
“ไล่แขกเหรอ”
“เปล่าก็เห็นคุณมานานแล้วกลัวเบื่อ”
“ฉันหรือเธอที่เบื่อ”
ละอองเอ่ยออกมาอย่างรู้ทันจนคนตัวสูงต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่น
“ฉันก็ไม่ได้อยากมานักหรอกถ้าไม่มีธุระด่วน”
“เรื่องอะไร”
“ฉันรู้ว่าคุณกรจะขึ้นเหนือ”
“ห๊า!ไม่อยากจะเชื่อ”
รวิกานต์เอ่ยออกมาอย่างแปลกใจกับประโยคที่ได้ยินจนคนพูดอดทำหน้าสงสัยไม่ได้
“แปลกตรงไหนแค่พี่เธอจะขึ้นเหนือ”
“ไม่ได้แปลกใจเรื่องนั้นแต่แปลกที่คุณรู้เรื่องนี้”
คนตัวเล็กยิ้มออกมาพร้อมกับทำท่ายืดอกแบบภูมิใจ
“แสนรู้จริงๆ”
พูดจบรวิกานต์ก็ได้กระถางดอกไม้ที่ตั้งกลางโต๊ะเป็นรางวัลดีนะที่เธอเอามือคว้าได้ทันไม่งั้นหัวเธอคงได้อาบเลือดเป็นแน่ที่สำคัญนึกขอบคุณมารดาที่เลือกใช้กระถางเล็กไม่งั้นล่ะก็…ได้แตกทั้งของทั้งหน้าแน่ๆ
“ยังมีอะไรจะพูดมั้ย”
รวิกานต์ส่ายหน้าไปมาก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเป็นผู้ฟังที่ดี
“ฉันอยากไปกับคุณกร”
“อะไรนะ!”
“เธอต้องทำให้ฉันไปด้วยให้ได้”
“ห๊า!”
“แค่นี้แหละเย็นนี้เจอกันเตรียมกระเป๋าด้วยล่ะ”
พูดจบคนตัวเล็กก็เดินกลับบ้านไปทิ้งภาระปัญหาและความงุนงงไว้ให้คนข้างหลังรวิกานต์มองตามแผ่นหลังนั้นอย่างจนใจนับวันเธอยิ่งเหมือนทาสเข้าไปทุกที
ภาสกรจัดของไว้ในรถเตรียมตัวเดินทางแต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อจู่ๆน้องสาวที่ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจงานพวกนี้ขอไปด้วยแล้วไหนจะขอพาใครบางคนเดินทางไปด้วยอีกแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับรู้สึกดีซะอีกที่มีละอองดาวนั่งรถไปด้วย
และแล้วการเดินทางก็มาถึงเมื่อทั้งสี่คนเดินทางโดยเครื่องบินลงที่สนามบินเชียงใหม่จากนั้นก็เช่ารถขับต่อไปอำเภอแม่ริม
“อีกซัก2ชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มผ่านกระจกให้กับหญิงสาวตัวเล็กที่นั่งตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบๆ
“ไกลเหมือนกันนะเนื๊ย”
รวิกานต์เอ่ยออกมาพร้อมกับมองออกไปนอกกระจก
“นี่ถือว่าใกล้แล้วนะ”
“คุณกรต้องมาดูงานเองอย่างนี้ตลอดเลยเหรอคะ”
ละอองดาวหันมาถามคนขับที่ดูอารมณ์ดีตลอดเวลา
“ครับเรื่องแบบนี้สำคัญถ้าพลาดบริษัทก็จะแย่ไปด้วย”
ละอองดาวยิ้มรับกับประโยคที่ได้ยินเธอพอจะรู้มาบ้างว่าครอบครัวของชายหนุ่มเปิดบริษัทเกี่ยวกับการก่อสร้างเธอยังเคยได้ยินชื่อมาบ้างโดยเฉพาะผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่เป็นขวัญใจสาวๆอย่างภาสกร
เมื่อเดินทางมาถึงยังที่พักภาสกรและอรวรรณจึงแยกไปดูงานปล่อยให้ละอองดาวและรวิกานต์เดินเอาของไปเก็บกันเอง
“เต้นท์”
รวิกานต์พยักหน้ารับก่อนจะเดินเอาของไปโยนทิ้งข้างใน
“ที่นี่ไม่มีบ้านพักเหรอ”
หญิงสาวตัวเล็กเอ่ยถามออกมาพร้อมกับหมุนตัวไปรอบๆก็พบแต่ต้นไม้ใบหญ้า
“ถ้ามีเค้าคงไม่มาทำรีสอร์ทหรอกจริงมั้ย”
“ทำไมเธอไม่บอกฉัน”
ละอองดาวเดินเข้าไปผลักคนที่ยืนลอยหน้าลอยตาชื่นชมธรรมชาติโดยไม่สนใจเธอ
“ว่ายังไงทำไมไม่บอกฉัน”
“ก็นึกว่ารู้แล้ว”
“ใครจะไปตรัสรู้ได้ล่ะยะ”
รวิกานต์ล้วงมือถือขึ้นมาก่อนจะจัดการถ่ายรูปวิวอย่างหลงใหล
“อย่าเมินหน้าหนีฉัน”
คนตัวเล็กกระชากมือถือออกจากมือรวิกานต์ก่อนจะหย่อนลงกระเป๋าของตัวเอง
“ทำอะไรของคุณ”
“ยึดมือถือ”
“ทำอย่างกับเด็กเอามานี่”
รวิกานต์เดินเข้าไปประชิดตัวก่อนจะเอื้อมมือไปล้วงกระเป๋าคนที่แย่งของเธอไปทั้งสองสาวยื้อแย่งของกันไปมาแต่หากท่าทางที่คนอื่นมองมามันกลับเหมือนการกอดรัดกันมากกว่าภาสกรอึ้งกับภาพที่เห็นจนพูดไม่ออกหากมีแต่อรวรรณเท่านั้นที่ยิ้มได้และกระแอมเสียงดังออกมา
“คงไม่ได้มาขัดจังหวะอะไรนะคะ”
อรวรรณเอ่ยออกมาพร้อมกับดึงแขนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆให้เดินเข้าไปหาทั้งสองสาว
“หวานกันตลอดเลยนะคะคู่นี้”
“อะไรนะ!”
รวิกานต์กับละอองดาวเอ่ยออกมาแทบจะพร้อมกันก่อนจะค่อยๆก้มมองสำรวจตัวเองจนเข้าใจสิ่งที่อีกคนพูดจึงรีบเด้งตัวออกจากกันทันที
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”
“ใช่ๆเราสองคนแค่…”
ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรผู้หวังดีอย่างอรวรรณก็ช่วยเคลียร์เรื่องให้อย่างใจดี
“ไม่ต้องอธิบายหรอกคะเราสองคนเข้าใจดีเดี๋ยวนี้ใครก็รับได้ทั้งนั้นจริงมั้ยคะกร”
ชายหนุ่มได้แต่ฝืนยิ้มออกมาก่อนจะโดนเพื่อนสาวลากตัวให้ไปช่วยขนของที่รถ
ละอองดาวมองคนที่เพิ่งเดินจากไปอย่างหัวเสียก่อนจะหันมาหาคนที่ทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดในครั้งนี้
“เพราะเธอคนเดียว”
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“นี่ขนาดไม่ได้ทำนะ”
“เอ้าคุณทำไมไม่คิดว่าเป็นความผิดตัวเองบ้าง”
“ฉันผิดตรงไหน”
“ก็…ตะกี้ถ้าคุณไม่ขโมยมือถือฉันไปมันก็ไม่เกิดเรื่อง”
คนตัวเล็กย่างเท้าเข้าไปหาคนพูดอย่างเร็วก่อนจะเอื้อมมือไปบิดจมูกอีกคนอย่างแรง
“โอ๊ย!เจ็บนะ”
รวิกานต์ปัดมืออีกคนออกก่อนจะใช้มือคลึงที่จมูกตัวเองเบาๆ
“ทำอะไรของคุณ”
“เธอจะได้รู้ว่าห้ามเถียงฉัน”
“นี่เกิดสมัยฮิตเลอร์หรือเปล่าเนื่ยเผด็จการชะมัด”
ละอองดาวชี้หน้าคนพูดเป็นเชิงปรามให้หยุดวิจารณ์เธอไม่งั้นอาจโดนดีอีกและได้ผลเมื่อรวิกานต์รับรู้ถึงสัญณาณอันตรายที่กำลังก่อตัวขึ้นเธอจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำให้มากที่สุด
“ก็แค่นี้ต่อไปจะทำยังไงดีล่ะ”
คนพูดทำหน้าเศร้าก่อนจะย่อตัวนั่งลงกับพื้นดิน
“คืนนี้มีงานเลี้ยงเล็กๆ”
รวิกานต์เอ่ยออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้างๆคนตัวเล็กพร้อมกับหันไปสบตา
“แล้วยังไง”
“ต้องมีดื่ม”
“อะไรของเธอ”
คนตัวสูงยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของละอองดาวเบาๆก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างสะใจในแผนการของตัวเองแต่เพียงไม่นานคนตัวเล็กก็จัดการล็อคคอพร้อมกับบีบจมูกคนเจ้าแผนการอย่างแรงและนานมากซะจนรวิกานต์คิดว่าตัวเองอาจตายได้ทุกขณะส่วนทางด้านละอองดาวก็ไม่คิดจะปล่อยอีกคนไปง่ายๆเพราะยัยบ้านี่บอกให้เธอจัดการเผด็จศึกภาสกรซะคืนนี้…ดูพูดเข้า!มันน่าฆ่าให้ตายจริงๆ