ตอนที่ 6
เช้าวันต่อมาหญิงสาวตัวเล็กเตรียมตัวออกไปทำงานตามปกติแต่เมื่อเดินไปยังรถเธอก็พบเข้าใครบางคนที่มายืนรออยู่ก่อนแล้ว
“เธอมาทำอะไรไม่ใช่สิฉันควรจะถามว่าเธอเข้ามาได้ยังไง”
รวิกานต์ยิ้มออกมาน้อยๆพร้อมกับชี้ไปที่รั้วบ้านของเธอทั้งคู่
“นี่ปีนรั้วเข้ามาเหรอน่าจับส่งตำรวจจริงๆ”
“ถ้ารอให้คุณมาเปิดประตูชาตินี้ก็ไม่รู้จะได้เข้าหรือเปล่า”
ละอองดาวมองหน้าคนพูดที่ดูจะไม่ใส่ใจกับการกระทำของตัวเองเลยแม้แต่น้อยด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจแต่เธอก็ทำได้เพียงถอนหายใจแรงๆออกมาเท่านั้นเพราะไม่สามารถทำอะไรคนตัวสูงได้จริงๆ
“เอาล่ะๆช่างเถอะว่าแต่มีอะไรไม่ทราบ”
“มาขอคุณไปส่งทำธุระในเมืองหน่อย”
คนตัวเล็กชำเลืองมองเข้าไปที่บ้านของคนพูดก่อนจะดึงสายตากลับมา
“รถที่บ้านเธอก็มี”
“ก็ไม่อยากขับ”
“เลยจะให้ฉันเป็นสารถีให้ว่างั้น”
“แค่ขอให้ไปส่ง”
“แต่ฉันไม่ได้เข้าเมืองเสียใจด้วย”
พูดจบละอองดาวก็เปิดประตูขึ้นรถทันทีแต่กลับโดนคนที่ยืนอยู่ดึงประตูไว้ไม่ให้ปิด
“เธอฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ”
“ไอ้เราก็กะว่าทำธุระเสร็จจะพาไปกินข้าวกับพี่กรซะหน่อยว๊าๆแย่จัง”
รวิกานต์เอ่ยออกมาอย่างสุดแสนเสียดายก่อนจะยิ้มออกมาแบบกวนๆพร้อมกับโบกมือให้คนในรถช้าๆ
“ไม่เป็นไรไว้โอกาสหน้า”
คนตัวเล็กทำท่าคิดหนักอย่างเห็นได้ชัดจนรวิกานต์ต้องงัดไม้ตายที่เพิ่งนึกได้เมื่อกี้มาใช้
“อย่าคิดมากโอกาสยังมีอีกเยอะ…ถ้าพี่กรไม่เสร็จพี่อรไปซะก่อนนะ”
คนพูดเอ่ยออกมาอย่างขำๆแต่คนฟังนี่สิชักจะหัวเราะตามไม่ออกซะแล้วละอองดาวกระชากประตูรถปิดอย่างแรงก่อนจะลดกระจกลงเพื่อเรียกให้คนที่ยืนอึ้งอยู่ขึ้นรถ
รวิกานต์รีบวิ่งขึ้นรถอย่างเร็วเพราะเกรงว่าหากชักช้าไปมากกว่านี้คนที่จะโดนอัดไม่ใช่อรวรรณแต่คงเป็นเธอแน่ๆ
ระหว่างทางคนขับเอาแต่วุ่นกับการกดรับสายและโทรออกจนคนนั่งข้างๆเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยแต่เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะเหมือนคนขับจะอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้เลื่อนประชุมพูดไม่รู้เรื่องหรือไง!”
นี่เป็นอีกประโยคหนึ่งที่ทำให้รวิกานต์ขนลุกไปทั้งตัวทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงออกมามันดูน่ากลัวขนาดเธอไม่ใช่คนถูกว่าโดยตรงยังรู้สึกหวิวมาขนาดนี้แล้วคนในสายไม่ร้องไห้ไปแล้วหรือนี่
“ถ้าทำไม่ได้ก็เก็บข้าวของออกไปได้เลย”
จบประโยตหญิงสาวตัวเล็กก็กดวางสายก่อนจะโยนมือถือไปไว้เบาะหลังแบบหน้าตาเฉย
“เคลียร์งานเสร็จซะที”
รวิกานต์ยกมือเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาทั้งๆที่แอร์ในรถถือว่าเย็นมากในระดับหนึ่งแต่เพียงได้ยินการเจรจาของคนตัวเล็กก็ทำให้เธอรู้สึกเสียวไปหมดทั้งตัว
“เป็นอะไรนั่งเงียบเชียว”
“เปล่าแค่ไม่อยากให้คุณเสียสมาธิ”
คนฟังหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยินไม่อยากจะเชื่อว่าคนข้างๆจะคิดอย่างนั้นจริงๆ
“ไม่อยากจะเชื่อ”
คนตัวสูงหันไปเป่าปากโล่งอกที่นางยักษ์ได้กลายร่างกลับมาเป็นคนธรรมดาแล้วอย่างน้อยที่สุดเธอก็น่าจะมีชีวิตรอดจากการนั่งรถคันนี้แล้ว
“ว่าแต่คราวหน้าช่วยนัดหรือบอกล่วงหน้าหน่อยนะฉันจะได้เตรียมตัว”
“ก็เห็นคุณออกบ้านซะสายเลยนึกว่าไม่ได้ทำงาน”
“อยู่ไหนฉันก็ทำงานได้…ไม่ได้ลอยไปลอยมาเหมือนใครบางคนหรอก”
“ว่าใคร”
“ไม่ต้องคิดมากว่าให้เธอนั่นแหละอยู่กันแค่นี้ยังไม่รู้อีก”
รวิกานต์แทบจะกระโจนไปบีบคอคนที่ว่าให้เธอแล้วไหนจะรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้นั่นอีกมันน่านักแต่มานั่งคิดดีๆหากเธอทำแบบนั้นคนที่จะถูกสอยให้ร่วงก่อนน่าจะเป็นเธอมากกว่า “พูดเรื่องจริงอึ้งเลยเหรอ”
“เปล่าไม่รู้จะคุยอะไร”
“งั้นเล่าเรื่องพี่ชายเธอมาสิฉันจะได้รู้ว่าคุณกรชอบหรือไม่ชอบอะไร”
ละอองดาวเอ่ยออกมาก่อนจะหันไปอมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง
“ก็ได้…พี่กรชอบสีเขียวแต่ฉันชอบสีฟ้าพี่กรไม่ชอบกินเผ็ดแต่ฉันชอบกินเผ็ดแซบๆยิ่งถูกใจมาก”
คนพูดยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อนึกถึงอาหารจานโปรด
“เธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าฉันอยากรู้แค่เรื่องคุณกร”
“คุณชอบพี่ชายฉันก็ต้องเอาใจฉันด้วยมันเป็นเรื่องที่ถูกที่สุด”
“สิบล้านนี่ยังไม่พออีกเหรอ”
คนตัวเล็กเอ่ยออกมาเบาๆแต่กลับทำให้คนฟังถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
“พอมั้ยอะ”
น้ำเสียงและใบหน้าใสซื่อที่ถูกส่งมาทำเอารวิกานต์แทบอยากจะกระโดดลงรถแต่นั่นเป็นเพียงความคิดเมื่อสิ่งที่เธอทำได้คือการพยักหน้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้คนถามเท่านั้น
“โอเคงั้นต่อเลย”
“ค่ะต่อก็ต่อเอ่อ…พี่กรเป็นคนฉลาดรอบคอบสุขุมนุ่มลึก…”
รวิกานต์ยังพูดไม่จบก็ถูกคนที่นั่งข้างๆพูดแทรกทันที
“แต่ฉันว่าข้อนี้เธอน่าจะตรงข้ามกับพี่ชายหมดเลยนะ”
ละอองดาวหัวเราะชอบใจกับประโยคที่ตัวเองเอ่ยออกมาก่อนจะหันไปเจอกับใบหน้าบูดของคนที่เธอว่าให้
“หลอกด่ากันชัดๆ”
“เรื่องจริงทั้งนั้น”
“ค่ะ!ชายในฝันของคุณดูดีที่ซู๊ด…”
“แน่นอนยะ”
“เค้าถึงว่าความรักทำให้คนตาบอด”
“แล้วอยากตาบอดโดยไม่มีความรักหรือเปล่าล่ะ”
คนฟังถึงกับถอยหลังติดประตูรถเพราะเกรงว่าประโยคที่ได้ยินอาจจะเป็นจริงได้
“เธอนี่ตลกนะ”
“แต่คุณน่ากลัว”
“อยากเห็นที่น่ากลัวกว่านี้มั้ยล่ะ”
รวิกานต์รีบส่ายหน้าทันทีก่อนจะฝืนยิ้มออกมาแบบกล้าๆกลัวๆ
“ถามอะไรหน่อยสิ”
คนตัวสูงเอ่ยออกมาหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน
“อะไร”
“คุณทำไมชอบใช้กำลังจัง”
“ฉันเนื๊ยนะ”
“ก็เอะอะก็ล็อคคอตีเข่ามัดแขนฟันศอก”
คนพูดแทบไม่หายใจเมื่อได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมาเพราะมันคือเรื่องจริงที่เธออยากระบายให้ใครได้ฟังแต่ไม่คิดว่าคนที่เธอเลือกพูดด้วยจะเป็นคนที่กระทำทุกท่าที่เอ่ยออกมากับเธอ
“ฉันจะบอกให้นะว่าเธอเป็นคนแรกและคนเดียวที่ได้เจอของดีแบบนี้”
คนฟังถึงกับอ้าปากค้างนี่เธอควรดีใจใช่มั้ยกับเรื่องที่ได้ยิน
“เธอก็เห็นว่าฉันอยู่บ้านคนเดียวฉันจึงต้องเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเอง”
“คุณทำได้ดีมาก”
“ได้ลองใช้จริงก็กับเธอนี่แหละไว้มาซ้อมมือกันอีกนะ”
“ไม่เอาอะ”
“ก็เธอชมว่าฉันทำดีเธอก็ต้องมาเป็นคู่ซ้อมให้ฉันบ่อยๆสิ”
รวิกานต์ส่ายหน้าไปมาเธอไม่อยากจะคิดว่าหากต้องกลายมาเป็นกระสอบทรายให้คนข้างๆได้ฝึกมือไปตลอดมันจะน่ากลัวมากขนาดไหน
“ที่นี่แหละจอดรออยู่นี่นะเดียวมา”
จู่ๆคนตัวสูงก็เปลี่ยนเรื่องพร้อมกับชี้นิ้วไปที่จอดรถของคอนโดแห่งหนึ่ง
“เธอจะให้ฉันรอในรถเนื๊ยนะ”
“แป๊บเดียวเองไปละ”
พูดจบรวิกานต์ก็วิ่งตัวปลิวออกไปจากรถทันทีทิ้งให้คนตัวเล็กต้องหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่เพียงลำพังในรถผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงคนที่บอกให้รอก็ยังไม่โผล่หัวมาสักทีละอองดาวพยายามหาเพลงฟังเพื่อดับอารมณ์ที่เริ่มจะระอุขึ้นเรื่อยๆไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะสามารถนั่งรอใครได้นานมากขนาดนี้
ละอองดาวก้มลงเก็บของที่ทำหล่นที่พื้นก่อนจะนำขึ้นมาวางไว้ที่เดิมแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาภาพที่เห็นก็ทำให้เธอถึงกับอึ้งทำของร่วงลงพื้นอีกครั้ง…ไม่อยากจะเชื่อ!
คนตัวสูงเดินกลับมายังรถด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าแต่พอก้าวเท้าขึ้นรถเท่านั้นแหละเธอก็พบใบหน้าบูดบึ้งของคนที่รออยู่
“ไปแป๊บเดียวเองไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนี้เลย”
“เกินครึ่งชั่วโมงบ้านเธอเรียกว่าแป๊บเหรอ”
รวิกานต์มองนาฬิกาแว๊บหนึ่งก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่ว่าให้เธอ
“ขอโทษๆเสร็จธุระแล้วเราไปนั่งรอพี่กรที่ร้านอาหารได้เลยนะ”
“แน่ใจนะว่านัดไว้แล้ว”
“ไม่มีพลาด”
คนตัวสูงพูดพร้อมกับดีดนิ้วเสียงดังช่างเป็นท่าทางที่ทำให้คนมองรู้สึกหมั่นไส้ไม่น้อย
ในร้านอาหารสองสาวนั่งรอเวลาอยู่ครู่หนึ่งชายหนุ่มที่นัดไว้ก็เดินทางมาถึงละอองดาวยังยิ้มไม่ทันจะสุดก็ต้องค่อยๆหุบยิ้มลงเพราะใครบางคนที่เดินมากับภาสกรหญิงสาวตัวเล็กหันไปมองหน้าคนที่เป็นตัวการในนัดครั้งนี้เชิงคำถามแต่กลับได้รับเพียงการส่ายหน้าไปมา
“ขอโทษทีที่มาสายสวัสดีครับคุณดาว”
ภาสกรเอ่ยออกมาอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้คนที่มาด้วย
“ขอบคุณค่ะกรสวัสดีค่ะน้องกานต์แล้วก็คุณดาว”
อรวรรณเอ่ยทักทายคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มที่เธอมาด้วย
“นั่งรอกันนานหรือยังครับ”
รวิกานต์ยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะแอบสะกิดคนที่นั่งนิ่งเหมือนโดนสาปให้ได้คืนสติกลับมา
“คุณดาวดูเหนื่อยๆนะครับ”
“อ๋อ…ไม่หรอกค่ะอาจเพราะ…”
หญิงสาวสบตากับคู่อริอย่างเป็นทางการครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองหน้ารวิกานต์
“เพราะต้องไปส่งกานต์หลายที่น่ะตั้งแต่เช้าเป็นสารถีคงจะเหนื่อยแย่”
รวิกานต์พูดออกมาแทนเพราะขืนให้อีกคนพูดคาดว่าวงอาจแตกได้
ภาสกรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะชำเลืองมองไปยังละอองดาวที่วันนี้ดูจะไม่ค่อยยิ้มเอาซะเลยจากนั้นทั้งโต๊ะก็ลงมือสั่งอาหารมาทานโดยมีอรวรรณเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องเมนูเด็ดของร้านนี้และเมื่ออาหารมาเสริฟทุกคนก็ไม่ผิดหวังอย่างที่เจ้าหล่อนคุยจริงๆ
รวิกานต์สะกิดคนที่เอาแต่เขี่ยอาหารในจานไปมาทำอย่างกะเด็กหาของถูกใจไม่เจออย่างนั้นแหละ
“มีอะไร”
“ทำไมไม่กิน”
“ไม่มีอารมณ์”
คนตัวเล็กพูดพร้อมกับมองไปยังชายหญิงคู่ตรงหน้าที่ดูเอาใจกันมากจนเธอแทบอยากจะคว่ำโต๊ะโดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่น่าเอาปูผัดผงกะหรี่เทใส่หน้า
“กินซะหน่อยสิ”
รวิกานต์ยื่นจานที่แกะเปลือกกุ้งเรียบร้อยแล้วให้ละอองดาวก่อนจะสับเปลื่ยนจานของคนตัวเล็กออก
“ฉันไม่กิน”
“ที่นี่ของสดมากนะไม่ลองจะเสียดาย”
“เรื่องของฉัน”
ละอองดาวสะบัดหน้าไปมองทางอื่นแต่ก็ยังแอบมองจานที่วางตรงหน้าเป็นระยะๆรวิกานต์ยิ้มออกมาอย่างรู้ทันก่อนจะจัดอาหารชุดเด็ดลงไปวางที่จานให้คนงอแงต้องรีบหันมาอย่างเร็ว
“เนื้อปูของแท้ไม่มีเปลือกถ้าไม่รีบหม่ำอาจโดนแย่งได้”
คนพูดทำท่าเลียริมฝีปากไปมาจนละอองดาวต้องเอื้อมมือไปจับซ้อมมาทิ่มที่เนื้อปูเอาไว้
“ของฉันอย่าคิดแย่ง”
ท่าทางเด็กหวงของทำเอาคนช่างแกล้งถึงกับหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้นก่อนที่จะรีบปิดปากเพราะเกือบโดนคนตัวเล็กยกปูทั้งตัวมาจิ้มที่หน้า
“น่ารักจังเลยนะคะคู่นี้”
อรวรรณเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ชวนสงสัยก่อนจะหันไปขอความเห็นจากชายหนุ่มที่นั่งมองทั้งสองสาวไม่ต่างไปจากเธอ
“กรก็เห็นด้วยกับอรใช่มั้ยคะ…ว่าคู่นี้เค้าน่ารัก”
ภาสกรไม่ได้ตอบอะไรออกมานอกจากรอยยิ้มที่ดูฝืนๆความจริงเขาก็สังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่างที่ดูเป็นความลับระหว่างละอองดาวกับน้องสาวของเขาแต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะสายตาของเพื่อนบ้านสาวยังคงจับจ้องอยู่ที่เขา…
ส่วนทางด้านคนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังเมามันกับรสชาติของอาหารที่ทั้งสดและอร่อยอย่างที่คนข้างๆเชิญชวนจริงๆจนเธอไม่อยากจะเชื่อเพราะใช่ว่าตัวเองจะไม่เคยลิ้มลองอะไรแบบนี้มาก่อนหากแต่ครั้งนี้มันได้ความรู้สึกที่แตกต่างและดีอย่างไม่น่าเชื่อหรืออาจเป็นเพราะคนที่มาทานด้วยคือคนที่เธอพอใจจึงทำให้มื้อนี้ได้อรรถรสอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน…