ตอนที่ 5
หญิงสาวตัวสูงเข้าครัวไปสะกิดแขนคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นนี้
“มีอะไรค่อยว่ากันแม่วุ่นอยู่”
ช่างเป็นคำตอบกับการกระทำที่ไร้เยื่อใยจริงๆเพราะดูมารดาจะให้ความสนใจกับเครื่องครัวตรงหน้ามากกว่าลูกสาวตัวเป็นๆอย่างเธอ
“แม่จ๋าสนใจกานต์หน่อย”
รวิกานต์พูดขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปกอดมารดาจากด้านหลังแต่กลับถูกตีที่แขนให้ต้องเด้งตัวออกอย่างเร็ว
“แม่อะใจร้าย”
“ถ้าแม่ใจร้ายก็ไม่มีคนใจดีบนโลกนี้แล้วล่ะ”
“ชมตัวเองก็เป็นด้วย”
ศศิวิมลฟาดมือลงไปที่แขนคนพูดมากอีกครั้ง
“มีอะไรรีบพูดแม่ต้องทำกับข้าวอีก”
“กานต์แค่จะมาบอกว่าเย็นนี้แม่ไม่ต้องเหนื่อยแล้วเดี๋ยวมีคนเสนอตัวมาทำกับข้าวให้”
“ใครกัน”
รวิกานต์ไม่ตอบแต่ชี้ไปยังประตูที่บัดนี้มีหญิงสาวตัวเล็กยืนยิ้มอย่างอายๆอยู่
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
“หนูดาว”
ศศิวิมลมองหน้าคนพูดกับคนเสนอตัวไปมาอย่างสงสัยแต่ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้คนต้นคิดจึงรีบเดินเข้ามาจับแขนมารดาเอาไว้ก่อนจะหาคำพูดแก้ตัว
“พี่ดาวเค้าได้สูตรอาหารพิเศษมาน่ะค่ะกานต์เลยเสนอให้มาทำที่บ้านเราเพราะที่บ้านพี่ดาวไม่มีใครจะมาเป็นหนูทดลองให้”
คนพูดหัวเราะออกมาพร้อมกับหันไปยักคิ้วให้กับคนที่เธอพาดพิงถึง
“พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะลูกพี่เค้าอุตสาห์มาทำของอร่อยให้ทาน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้ากานต์ยังเด็กเลยอาจจะแยกเรื่องเล่นกับเรื่องจริงไม่ออก”
ละอองดาวเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินไปคว้าแขนเด็กพูดมากให้มายืนข้างเธอ
“งั้นป้าฝากด้วยนะจ๊ะมีไรก็ให้ตัวแสบช่วยละกัน”
พูดจบศศิวิมลก็เดินออกจากครัวทันทีโดยปล่อยให้เด็กๆได้ทำกันเองน่าจะสะดวกกว่าที่เธอจะมายืนเกะกะด้วย
“เอาล่ะทำไมต้องลากฉันมาทำกับข้าวด้วย”
ละอองดาวเปิดฉากทันทีเมื่ออยู่เพียงลำพังเพราะเท่าที่จำได้เธอบอกให้อีกคนมารับเธอทานข้าวไม่ได้มีข้อความอะไรเลยที่บ่งบอกว่าเธอจะเป็นคนทำอาหาร
“ก็…คุณจะได้แสดงฝีมือไงมันคือการสร้างความประทับใจอีกอย่างหนึ่ง”
“เดี๋ยวนี้เค้าไปซื้อแล้วมาอุ่นเอาแป๊บเดียวก็ได้กิน”
“แต่มันไม่อร่อยเท่าทำเอง”
คนตัวเล็กเดินดูรอบๆครัวก่อนจะหันมามองคนพูด
“นี่อยากกินเองหรือเปล่า”
“คนกำลังช่วยอยู่นะไม่ทำก็แล้วแต่”
รวิกานต์พูดออกมาพร้อมกับทำท่าจะเดินออกจากห้องครัวไปแต่ก็ถูกคนตัวเล็กจับแขนไว้
“จับทำไมไม่ทำก็ออกมาสิ”
“หัวก็ไม่ล้านใจน้อยไปได้มาๆทำอะไรดี”
ละอองดาวดึงคนตัวโตกลับเข้ามาก่อนจะเริ่มลงมือทำเมนูที่อีกคนบอกว่าเป็นของโปรดของภาสกรว่าแต่เธอก็เพิ่งรู้ว่าชายหนุ่มชอบอาหารคล้ายๆเธอนี่แหละที่เขาว่ากันว่าคนเป็นเนื้อคู่กันมักชอบอะไรคล้ายๆกัน
“นี่ๆเหม่ออยู่นั่นแหละแพนงไหม้หมดแล้ว”
คนพูดรีบยกกระทะขึ้นก่อนที่อาหารข้างในจะไหม้ไปมากกว่านี้
“ดูดิจะกินได้มั้ยเนื่ย”
“อย่าเรื่องมากเดี่ยวตักอันที่ไหม้ทิ้งก็หมดเรื่องบ่นอย่างกับฉันฆ่าใครตาย”
“ทำผิดแล้วยังจะมาว่าคนอื่นอีก”
“ถ้าไม่เลิกพูดฉันจะเอาเศษที่ไหม้ยัดปากเธอ”
เป็นคำขู่ที่ได้ผลเพราะสามารถทำให้คนที่ยืนบ่นอยู่เงียบไปได้
“ต่อไปอะไร”
เงียบไร้เสียงตอบจากคนข้างๆ
“ฉันถามว่าต่อไปอะไร”
ละอองดาวหันมาหาคนข้างๆที่เอาแต่เงียบไม่พูดอะไรออกมาทั้งๆที่เธอถามเสียงออกดัง
“รวิกานต์!หูตึงหรือไง”
คราวนี้คนถามตะโกนใส่หูอีกคนอย่างดังทำเอารวิกานต์กระโดดถอยหลังอย่างเร็ว
“คราวนี้ได้ยินหรือยัง”
“หูจะแตกอยู่แล้ว”
“ถามดีๆไม่ตอบนิ”
“ก็ให้เงียบไม่ใช่เหรอ”
“อยากโดนใช่มั้ย”
ละอองดาวทำท่าจะทุ่มหม้อใส่คนกวนจนรวิกานต์ต้องรีบเดินมาจับมือคนใจร้อนเอาไว้
“ไม่กล้าแล้วค่ะ”
“ถ้ามีอีกรอบฉันจะจับเธอยัดหม้อแน่”
“ไม่มีแน่นอนค่ะ”
“ดีงั้นเริ่มทำเมนูอื่นได้แล้ว”
จากนั้นทั้งสองสาวก็ช่วยกันทำอาหารด้วยความทุลักทุเลอาจเพราะครัวที่ไม่คุ้นเคยหรือคนบางคนที่คอยก่อกวนจนละอองดาวไม่เป็นอันทำกับข้าวเพราะคอยแต่จะจัดการตัวแสบให้ได้หงอและในที่สุดอาหารที่แสนจะพิเศษของละอองดาวก็สำเร็จออกมาเป็นรูปร่างซะที
“ทำอาหารนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันเนาะ”
คนตัวสูงบ่นออกมาเมื่อจัดการตัดอาหารอย่างสุดท้ายลงจาน
“มันไม่เหนื่อยหรอกถ้าเธอจะช่วยฉันมากกว่านี่”
“ขนาดนี่ไม่เรียกว่าช่วยอีกเหรอ”
“เรียกว่าก่อกวนมากกว่า”
“นี่!ใช่ซิ๊เราหมดประโยชน์แล้วนิ”
รวิกานต์ทำเสียงสูงพร้อมกับทำหน้าบูดออกมาอย่างเหลืออด
“เป็นบ้าอะไรของเธอ”
คนถูกว่าทำตาโตเมื่อไม่ได้รับการง้ออย่างที่ตัวเองต้องการ
“คุณนี่มัน…”
“ฉันทำไม”
คนตัวสูงโบกมือแทนคำตอบก่อนจะเดินไปยกอาหารเพื่อไปวางที่โต๊ะ
“ทำเป็นใจน้อยไปได้”
ละอองดาวเดินเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดผมที่หน้าผากคนตัวสูง
“ทำอะไร”
“ก็จะดูว่าหัวเธอล้านหรือเปล่า”
“จะบ้าเหรอต้นตระกูลฉันไม่มีใครล้านนะขอบอก”
“ยืนยันขนาดนั้นเลยเหรอ”
คนพูดหัวเราะออกมาน้อยๆแต่ยังไม่ยอมเอามือออกจากผมของอีกคน
“ไม่เชื่อเหรองั้นดู”
รวิกานต์พูดพร้อมกับก้มลงให้คนตัวเล็กได้เห็นแบบเต็มๆตา
“เป็นไงชัดมั้ย”
“ชัดเต็มตาเลย”
“เห็นมั้ยล่ะบอกแล้ว”
“เห็น…อีกไม่เกิน2ปีเธอคงเป็นคนแรกของตระกูลที่จะต้องใช้น้ำยาปลูกผม”
พูดจบละอองดาวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจก่อนจะเดินไปเตรียมจานข้าวต่อและไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อคนถูกว่าเดินเข้าไปดึงคนตัวเล็กให้หันกลับมาแต่ด้วยแรงปะทะที่แรงเกินไปทำให้ทั้งสองสาวเซจนล้มลงไปกองกับพื้น
ละอองดาวเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังทับคนตัวสูงอยู่ทั้งตัวมิน่าเธอถึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย
“ลุกได้แล้วแม่คุ๊ณ!”
รวิกานต์พูดขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกทับอยู่เป็นเวลานานแล้ว
“ไม่ลุกเธอเป็นคนดึงฉันมาเองนี่นา…อีกอย่างกำลังสบายเลย”
“นี่…ฉันไม่ใช่ที่นอนนะ”
“แต่ฉันว่ามันนุ่มกว่าที่นอนอีกนะสบายดีจัง”
คนตัวเล็กเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่เอื้อมมือไปล็อคคอคนที่เธอทับอยู่เอาไว้
“ถ้ากล้าทำกับฉันอย่างตะกี้อีกล่ะก็เธอเจอดีแน่!”
รวิกานต์พยักหน้าเข้าใจก่อนสายตาจะหันไปเห็นใครบางคนหน้าประตู
“พี่กร”
“เอ่อ…พี่ว่าจะมาช่วยแต่เดี๋ยวไปเตรียมโต๊ะดีกว่านะ”
ละออกดาวรีบเด้งตัวขึ้นแต่พอหันหลังไปที่ประตูก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่เธอตั้งใจมาทำกับข้าวให้ทาน…หญิงสาวหันไปทำตาดุใส่คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องก่อนจะรีบมายกจานอาหารไปวางที่โต๊ะอย่างอารมณ์เสีย
และแล้วอาหารมื้อเย็นก็จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยทุกเมนูได้รับการตอบรับจากคนบนโต๊ะเป็นอย่างดีจนคนทำรู้สึกอิ่มยิ่งกว่ากินข้าวซะอีก
“ฝีมือหนูดาวอร่อยมากเลยนะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้าทานได้ดาวก็ดีใจแล้วค่ะ”
“เป็นแม่บ้านแม่เรือนขนาดนี้ใครได้เป็นแฟนหนูต้องโชคดีมากแน่ๆ”
รวิกานต์เบะปากเมื่อได้ยินบิดาพูดประโยคแบบนั้นออกมาใครเลยจะเห็นท่าแท้ยัยพริกขี้หนูนี่เท่าเธอ…
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณลุงอีกอย่างเนื้อคู่ดาวคงยังไม่เกิดเลยหาไม่เจอซักที”
คนพูดแอบชำเลืองมองไปยังชายหนุ่มที่ทำหน้านิ่งมาตั้งแต่เริ่มกินข้าวไม่รู้ว่าภาสกรมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าถึงได้ทำหน้าตาไม่รับแขกแบบนั้น
“จริงสิไม่อยากจะเชื่อ”
“นั่นสิจ๊ะป้าว่าอย่างหนูดาวน่าจะมีเป็นโหลมากกว่า”
“เรื่องจริงเลยค่ะคนเดียวยังไม่มี”
ละอองดาวเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอันที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่มีใครมาขายขนมจีบให้แต่เพราะเธอไม่คิดจะสนใจต่างหากคนพวกนั้นจึงไม่มีช่องว่างที่จะแทรกเข้ามาใกล้
“วันนี้อาหารอร่อยมากเลยนะครับ”
อยู่ๆชายหนุ่มที่นั่งเงียบก็พูดออกมาละอองดาวยิ้มรับคำชมนั้นด้วยหัวใจที่พองโต
“ไม่ยักกะรู้ว่าคุณดาวทำอาหารอร่อยขนาดนี้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะแต่ถ้าคุณกรชอบดาวมาทำให้ทานบ่อยๆก็ได้นะคะ”
ภาสกรยิ้มรับกับประโยคที่ได้ยินก่อนจะหันไปมองหน้าน้องสาวแต่เพียงครู่เขาก็หันกลับมาจ้องหน้าหญิงสาวตัวเล็กต่อ
“แต่คนที่ถูกใจที่สุดหน้าจะเป็นกานต์นะครับ”
ละอองดาวทำหน้าสงสัยกับประโยคที่ได้ยินก่อนจะหันไปมองหน้าคนตัวสูงที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ยังไงเหรอคะ”
“ก็อาหารวันนี้มีแต่ของโปรดของกานต์ทั้งนั้นเลยท่าทางจะถูกใจมาก”
รวิกานต์ค่อยๆหุบยิ้มลงก่อนจะเหลือบไปเห็นสายตาอำมหิตที่ใครบางคนส่งมาให้ หญิงสาวหยิบน้ำเย็นมาดื่มเพื่อดับความร้อนที่กำลังปะทุขึ้นไม่คิดว่าพี่ชายของเธอจะพูดอะไรไม่น่าฟังออกมาแบบนี้แย่แน่ๆ…
หลังจากทานของว่างเสร็จเรียบร้อยละอองดาวจึงขอตัวกลับบ้านพร้อมกับการเดินมาส่งของชายหนุ่มที่แสนปลื้มโดยครั้งนี้รวิกานต์ให้เหตุผลว่าขอแก้ตัว
“วันนี้อากาศดีนะครับ”
ชายหนุ่มชวนคุยขณะที่เดินมาถึงสนามหญ้าหน้าบ้าน
“แต่มองไม่เห็นดาวกับพระจันทร์เลยนะคะ”
“ฝนคงใกล้ตกมั้งครับ”
ละอองดาวยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะหันไปเห็นใครบางคนที่ยืนล้ออยู่แถวรั่วบ้าน
“พรุ่งนี้ไปไหนมั้ยครับ”
ภาสกรตัดสินใจเอ่ยถามออกมาก่อนจะต้องหันไปมองคนข้างๆที่เดินเงียบไม่ตอบอะไรเขาเลย
“คุณดาวครับ…คุณดาว”
ละอองดาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆคนข้างๆก็เรียกเธอเสียงดัง
“อะไรนะคะ”
“ผมเรียกคุณดาวตั้งนานเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นอะไรค่ะเอ่อคุณกรพูดอะไรนะคะ”
“ไม่มีอะไรครับเดินเข้าบ้านดีๆนะครับ”
ชายหนุ่มยืนส่งหญิงสาวตัวเล็กเข้าบ้านก่อนจะเดินกลับมายังบ้านของตัวเองทั้งๆที่เขาตั้งใจจะชวนอีกคนไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันพรุ่งนี้แท้ๆแต่พอละอองดาวทำท่าเหมือนไม่สนใจเขาก็พูดอะไรแทบไม่ออกภาสกรหันไปมองรั่วบ้านของคนที่เพิ่งไปส่งก็พบเข้ากับภาพของน้องสาวตัวเองกำลังยืนพูดคุยกับเพื่อนบ้านสาวอย่างสนิทสนมแล้วไหนจะเหตุการณ์ในครัวนั่นอีก
เขารู้ว่าน้องสาวเป็นแบบไหนแต่หวังว่าละอองดาวจะไม่เป็นแบบนั้นไปด้วยหวังว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้นเพราะท่าทีที่เพื่อนบ้านสาวแสดงต่อเขามาตลอดมันก็บ่งบอกความรู้สึกได้เป็นอย่างดีชายหนุ่มสะบัดเรื่องเหลวไหลออกจากหัวเขายังมั่นใจว่าความสนใจของละอองดาวยังอยู่ที่เขาและมันคงไม่สายไปหากเขาจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ซะที…