ตอนที่ 3
เสียงวิ่งจากด้านบนทำให้ศศิวิมลต้องรีบเดินไปดักคนที่ทำรุนแรงจนบ้านแทบพัง
“อุ๊ย!ตกใจหมดเลยค่ะแม่”
รวิกานต์เบรกแทบไม่ทันก่อนจะโดนคนยืนรอเอื้อมมือมาตีแขน
“เสียงดังหยั่งกะเด็กเรียบร้อยหน่อยก็ไม่ได้”
“โธ่…แม่จ๋าก็กานต์ยังเด็กอยู่นี่คะ”
“แล้วเด็กที่ไหนเค้าเที่ยวกลางคืนกัน”
ศศิวิมลทำหน้าจริงจังก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวเธอไม่ได้ว่าอะไรเพียงอยากให้ลูกรู้จักดูแลตัวเองบ้างแล้วไหนจะความไม่รอบคอบของเจ้าตัวอีกสักวันเธอห่วงว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีได้แต่ครั้นจะพูดห้ามก็คงจะทำได้ยากเพราะลูกสาวคนนี้ของเธอเคยเชื่อฟังซะที่ไหนบอกให้ไปซ้ายจะไปขวาให้เดินหน้าก็กลับหลังซะงั้น
ที่ร้านอาหารกึ่งผับรวิกานต์กำลังสอดส่ายสายตามองหาคนที่เธอนัดไว้แต่หาจนทั่วร้านแล้วกลับไม่พบคนที่นัดหญิงสาวล้วงเอามือถือขึ้นมาตามตัวเพื่อนรักทันที
“อยู่ไหนแล้วเนื๊ย”
“กำลังจะถึงแล้ว”
“สายตลอดเลยนะ”
“บ่นเป็นยายแก่ไปได้เดี๋ยวเลี่ยงข้าวไถ่โทษ”
“งั้นก็ได้…มาเร็วๆด้วย!หิวแล้ว”
คนพูดกระแทกเสียงส่งท้ายพร้อมกับกดวางสายทันทีก่อนจะเดินไปหาที่นั่งทำเลดีๆ
รวิกานต์นั่งฟังเพลงพร้อมกับจิบเบียร์เย็นๆอย่างอารมณ์ดีแต่มันจะดีมากกว่านี้ถ้าเพื่อนของเธอจะโผล่หัวมาซักทีนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็อดโมโหคนมาสายไม่ได้หญิงสาวยกแก้วขึ้นดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าแต่ก็ยังไร้เงาอรวรรณเพื่อนรัก
“สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวสวยเซ็กซี่เดินเข้ามาทักทายคนที่นั่งดื่มหนักไม่แพ้ตัวเองส่วนคนถูกทักก็ถึงกับต้องหันไปมองด้านหลังเพื่อให้แน่ใจว่าสาวสวยตรงหน้าไม่ได้ทักคนที่นั่งเลยเธอไป
“ฉันทักคุณนั่นแหละค่ะขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ”
“เอ่อ…”
“ไม่ได้เหรอคะ”
คนพูดส่งสายตาหวานมาให้จนรวิกานต์ต้องพยักหน้าอนุญาตในที่สุด
รวิกานต์แอบสอดสายตาสำรวจหญิงสาวตรงหน้าท่าทางที่แสนมั่นใจของเจ้าหล่อนทำให้เกิดเสน่ห์ที่ดึงดูดได้อย่างไม่น่าเชื่อแล้วไหนจะชุดเปิดไหล่สีแดงเพลิงนั่นอีกไม่มีใครสะกิดบอกหล่อนเลยเหรอว่าอาจจะโดนฉุดได้เพราะมันเซ็กซี่เกินกว่าความจำเป็นไปแล้ว
“ฉันนิศามณีเรียกนิสาก็ได้ค่ะ”
คนพูดแนะนำตัวพร้อมกับยื่นมือออกมาเพื่อผูกสัมพันธ์อย่างสุภาพแต่กลับทำให้คนที่กำลังใช้ความคิดเพลินๆถึงกับสะดุ้งก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“รวิกานต์ค่ะเรียกกานต์ก็ได้”
รวิกานต์เอ่ยตอบก่อนจะยื่นมือของตัวเองไปสัมผัสตามคำเชิญชวนของคนตรงหน้า
“นิสามาที่นี่บ่อยแต่ไม่ยักกะเคยเห็นหน้าคุณมาก่อน”
“ไม่แปลกหรอกค่ะเพราะกานต์เพิ่งมาเป็นครั้งแรก”
“งั้นก็ยินดีต้อนรับนะคะ”
นิศามณีไม่พูดเปล่าแต่กลับค่อยๆเอื้อมมือไปลูบไล้ที่มือของคนที่เธอคุยด้วยรวิกานต์ยิ้มออกมาน้อยๆท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมามันทำให้รู้ว่าสาวสวยตรงหน้าพึงพอใจเธอมากขนาดไหนแบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าผีเห็นผี
สองสาวพูดคุยกันอย่างถูกคออาจเพราะด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เริ่มครอบครองสติให้เหลือน้อยลงทำให้บางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนไว้ค่อยๆแสดงออกมา
“ตากานต์สวยมากรู้ตัวมั้ยคะ”
ประโยคที่เอ่ยออกมาไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อยเมื่อสายตาของคนตรงหน้าเธอมันดูเปล่งประกายชวนให้หลงใหลเป็นที่สุด
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะแต่ก็ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ”
รวิกานต์ยิ้มออกมาน้อยๆเธอเคยชินกับประโยคแบบนี้เพราะไม่ว่าใครก็ต่างพากันชื่นชอบดวงตาของเธอแต่สำหรับตัวเธอเองกลับรู้สึกเฉยๆสิ่งที่มีคุณค่าคือความหมายของมันต่างหาก
“จริงๆนะคะ”
นิศามณีเขยิบเก้าอี้มานั่งชิดคนที่คุยด้วยจนตอนนี้เธอและรวิกานต์ตัวติดกันยิ่งกว่าฝาแฝด
“หนาวนะคะ”
คนพูดทั้งนั่งเบียดและเอ่ยประโยคอันแผ่วเบาที่ข้างหู รวิกานต์จนเจ้าตัวขนลุกไปหมดผู้หญิงคนนี้ร้อนแรงจนตัวเธอแทบจะลุกเป็นไฟแล้วไหนจะท่าทีแสนยั่วยวนนั่นอีกเธอไม่ใช่เด็กที่จะดูไม่ออกว่าคนข้างๆต้องการอะไร
“กานต์ว่าร้อนมากกว่าคะ”
“นั่นสิคะเดี่ยวหนาวเดี่ยวร้อนแปลกจังนะคะ”
“ค่ะ”
“นิสาเสนอให้เราลองเปลี่ยนสถานที่ดูมั้ยคะเผื่ออะไรๆจะดีขึ้น”
นิศามณีพูดพร้อมกับจ้องไปยังตาคู่สวยที่ตอนนี้มันดูเปล่งประกายมากกว่าเดิมหลายเท่า
“ที่ไหนคะ”
“ห้องนิสาไงคะรับรองกานต์จะต้องติดใจ”
รวิกานต์ยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อเดาความคิดของหญิงสาวสุดเอ๊กซ์ได้ถูกแต่ก่อนที่เธอจะลุกตามคนที่เชิญชวนก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนเดินมาขว้างทางเธอทั้งคู่ไว้
“จะไปไหนกันมิทราบ”
เสียงของบุคคลที่อยู่ด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสามดังขึ้นก่อนที่คนพูดจะเดินแหวกกลางออกมา
“ว่าไงครับจะไปไหนกัน”
“พี่ธร”
“แล้วคิดว่าใครล่ะ”
ชายหนุ่มมาดมาเฟียเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนเรียบหากแต่สายตาที่มองมายังคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่าง รวิกานต์นี่สิมันช่างเย็นจับขั้วหัวใจ
“เอ่อ…”
นิศามณีรีบเดินไปเกาะที่แขนชายหนุ่มก่อนจะพยายามดึงแขนให้ไปที่อื่นแต่ก็ไร้ผลเมื่อตอนนี้ธรรมธรกำลังเดินตรงไปยังใครบางคนที่นั่งหน้าซีดอยู่ที่โต๊ะ
“มีอะไรจะพูดมั้ย”
ประโยคทักทายที่ฟังยังไงๆก็เหมือนคนพูดจงใจหาเรื่องชัดๆทำเอารวิกานต์เริ่มใจคอไม่ดีแต่เจ้าตัวก็พยายามทำใจดีสู้เสือ
“เราไม่รู้จักกันฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”
รวิกานต์พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าได้ล่วงรู้ความกลัวที่อยู่ภายในของเธอ
“แล้วเธอมายุ่งกับ…”
ชายหนุ่มเว้นวรรคก่อนจะหันไปยิ้มให้กับหญิงสาวที่ตอนนี้ถูกล็อคตัวโดยคนของเขาจากนั้นธรรมธรก็หันมาทำหน้าโหดใส่คนที่เขาจะหาเรื่องต่อ
“กับผู้หญิงของฉันทำไม”
“พี่ธร!”
นิศามณีสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้หลุดจากการควบคุมแต่ต่อให้เธอใช้แรงทั้งหมดก็คงไม่สามารถต้านแรงชายหนุ่มร่างบึกพวกนี้ได้
“พาคุณนิสาไปพักผ่อนก่อน”
เพียงเท่านี้นิศามณีก็ถูกลากตัวออกไปอย่างง่ายดาย รวิกานต์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นตอนนี้ตัวช่วยของเธอได้หมดลงแล้วเธอจะหันหน้าไปพึงใครได้นอกจาก…
“ที่รักจ๋า…”
นี่ล่ะตัวช่วยของเธอ”ละอองดาว”พี่สาวข้างบ้านที่ออกจะเอ็นดูและรักเธอมาก!!!...(ไม่มีทางเลือกแล้วนิรวิกานต์คิด)
ละอองดาวหันไปตามเสียงหวยโหยของใครบางคนอันที่จริงก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่ตะโกนนั้นเรียกใครแต่น้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสารทำให้เธออดไม่ได้ที่ต้องหันไปมองแต่ยังไม่ทันหันไปยังเป้าหมายก็มีใครบางคนวิ่งมากอดเธอแบบไม่ทันตั้งตัว
“รอตั้งนานมาช้าจังเลย”
คนถูกกอดพยายามดันตัวคนโรคจิตให้ออกไปให้พ้นตัวก่อนจะมองหน้าให้ชัดว่าคือใคร
“จำกันไม่ได้เหรอจ่ะ”
“นึกว่าใครที่แท้ก็…”
พูดยังไม่ทันจบเมื่อรวิกานต์ทำท่าจุ๊ปากก่อนจะส่งสายตาของร้องอ้อนวอน
“เป็นบ้าอะไรของเธอ”
“ช่วยฉันหน่อย”
เป็นประโยคที่ออกมาแค่ลมเมื่อเสียงได้ถูกเจ้าตัวกลืนเก็บไว้เพราะกลัวคนที่กำลังเดินตามมาจะได้ยิน
“อะไรนะ”
“ช่วยฉันหน่อย”
“ถ้าพูดแบบนี้อีกคำเดียวฉันจะไม่สนใจเธอแล้วนะ”
รวิกานต์ดึงคนที่กำลังจะเดินไปเข้ามากอดก่อนจะแอบกระซิบที่ข้างหูขอความช่วยเหลือ
“จำเป็นมั้ยอะ”
พูดจบละอองดาวก็ดันตัวออกอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าเดินไปทางอื่น
“เดี๋ยวๆช่วยฉันหน่อยจะให้ฉันทำอะไรก็ได้”
คนพูดส่งสายตาขอร้องอีกครั้งก่อนจะหันไปมองยังคนที่เดินใกล้เข้ามาทุกที
“ก็ได้”
“จริงนะ”
“อืมแต่มีข้อแม้…”
“อะไรอีกล่ะ”
“ถ้าไม่ทำก็…”
ละอองดาวลากเสียงยาวตอนท้ายทำเอาคนฟังที่เริ่มรนรานพยักหน้ารับคำอย่างแรงจนเธอต้องแอบยิ้มออกมา
“เซ็นนี่”
รวิกานต์หันไปมองหน้าคนพูดก่อนจะก้มลงมองกระดาษที่อยู่ในมือ
“อะไร”
“เซ็นๆเถอะน่ะชักช้าช่วยไม่ทันไม่รู้นะ”
คนพูดชี้นิ้วไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาก่อนจะดึงนิ้วกลับมาปาดที่คอตัวเองช่างเป็นการกระตุ้นต่อมความกลัวของคนตรงหน้าได้ดีมากซะจนรวิกานต์ต้องรีบดึงกระดาษนั้นมาเซ็นโดยไม่มองแม้แต่หัวข้อ
“อะเสร็จแล้วเร็วเลย”
ละอองดาวรับกระดาษกลับมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปมองหน้าชายหนุ่มที่ตอนนี้หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
“สวัสดีครับคุณดาว”
“สวัสดีค่ะไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อ้อ…ผมมีเรื่องบางอย่างต้องคุยกับคุณผู้หญิงที่หลบอยู่ข้างหลังคุณน่ะครับ”
“มีอะไรบอกฉันก็ได้นะคะ”
“ไม่ได้หรอกครับต้องขอคุยกับเจ้าตัวโดยตรง”
“ถ้างั้นฉันก็คงให้ตามที่คุณขอไม่ได้”
ธรรมธรชักสีหน้าใส่คนพูดทันทีแต่เพียงชั่วครู่ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดังเดิม
“ทำไมล่ะครับ”
ละอองดาวดึงคนตัวสูงที่หลบอยู่ด้านหลังออกมาก่อนจะค่อยๆสอดแขนของตัวเองเข้ากับแขนของอีกคน
“เพราะฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับคนของฉัน”
น้ำเสียงเย็นๆบวกกับสายตาดุจนางพญาทำเอาธรรมธรถึงกับเดินถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ถึงละอองดาวจะดูบอบบางตัวเล็กแต่กลับเป็นผู้มีอิทธิพลทางด้านธุรกิจโรงแรม…ร้านอาหารเป็นที่สุดหากว่าเขาจะดันทุรังมีเรื่องกับเจ้าหล่อนมันคงจะมีผลเสียกับธุรกิจครอบครัวของเขาไม่น้อย
“เข้าใจใช่มั้ยคะ”
“ครับ…ครับงั้นผมขอตัวก่อน”
ชายหนุ่มก้าวออกจากร้านด้วยความรู้สึกเสียหน้าหากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในเมื่อวันนี้มันไม่ใช่วันของเขาแต่หากมีสักวันที่ผู้หญิงคนนี้ล้มเขาพร้อมเป็นคนแรกที่จะเหยียบย่ำให้จมดิน!
รวิกานต์มองตามคนที่เดินโมโหออกไปจากร้านก่อนจะหันมามองผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เล็กพริกขี้หนูนะเราน่ะ”
“เพื่อนเล่นหรือไง”
ละอองดาวหันไปมองคนที่เธอช่วยตาขวางคนอะไรไม่มีจิตสำนึกไม่ขอบคุณยังจะมาปากดีใส่เธออีก
“ตะกี้ฉันชมต่างหากใครจะไปคิดว่าคุณจะทำให้หมอนั่นหงอได้ขนาดนั้น”
“ไปไกลๆป่ะเห็นหน้าแล้วกินข้าวไม่ลง”
คนพูดโบกมือไล่ก่อนจะเดินไปอย่างเร็วจนรวิกานต์มองตามไม่ทัน
“คนหรือผีนะผลุบๆโพล่ๆ”
พูดจบเจ้าตัวก็ต้องสะบัดหัวไปมาตอนนี้เธอรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของตัวเองท่าทางเบียร์ที่ดื่มไปหลายขวดคงกำลังออกฤทธิ์แล้วเป็นแน่
เช้าวันต่อมารวิกานต์เดินลงมาจากห้องด้วยอาการมึนๆงงๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใครบางคนที่เธอว่าไม่ใช่คนในครอบครัวเธอแน่ๆ
“ตื่นสายเชียวนะ”
ละอองดาวยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตูก่อนจะเดินยกถ้วยข้าวต้มมาวางที่โต๊ะ
“เธอมาทำไมเข้ามาได้ยังไงเนื๊ย!”
“ฉันก็เดินมาสิยะจะให้ขับรถมาเหรอบ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้”
คนพูดลอยหน้าลอยตาพร้อมกับกวักมือเรียกคนที่ยืนทำหน้างงให้มานั่งที่โต๊ะกินข้าว
“มีธุระอะไร”
รวิกานต์เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ฉันแค่เอาข้าวต้มมาให้เธอ”
หญิงสาวตัวเล็กพูดพร้อมกับยิ้มออกมาแบบนางเอกสุดๆ
“ไม่มีทางมีอะไรก็ว่ามา”
น้ำเสียงและสายตาของคนพูดทำให้นางเอกอย่างละอองดาวค่อยๆก้มหน้าลงอย่างน่าสงสารจนรวิกานต์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดแรงไปเธอจึงค่อยๆเขยิบเข้าใกล้หมายจะปลอบ
“เข้าเรื่องเลยก็ได้!”
จู่ๆนางเอกที่เหมือนจะเล่นบทเศร้าก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับการแปลงร่างเป็นนางมารเต็มตัวทำเอาคนที่คิดจะปลอบตกใจถอยหลังจนเกือบตกเก้าอี้
“ตกใจหมดเลยเป็นบ้าอะไรของเธอ”
รวิกานต์ยกมือลูบที่อกตัวเองก่อนจะมองไปยังกระดาษที่คนน่ากลัวยื่นมาให้
“อะไร”
“สัญญาของเราไงจำไม่ได้เหรอ”
“ฉันไปสัญญาอะไรกับเธอพูดบ้าๆ”
“เมื่อคืนไง”
น้ำเสียงออดอ้อนแต่ทำไมคนฟังรู้สึกได้ถึงความกวนประสาทของคนพูดมากมายขนาดนี้รวิกานต์กระชากกระดาษนั้นมาอ่านก่อนจะต้องอึ้งกับข้อความที่ได้เห็น
“บ้าไปแล้ว”
“ไม่บ้าหรอก”
“เธอนี่มัน!”
รวิกานต์ลุกขึ้นก่อนจะจัดการฉีกกระดาษในมือให้ขาดเป็นสองท่อน
“เพราะฉันรู้ว่าปากเปล่าของเธอมันเชื่อไม่ได้”
ละอองดาวกล่าวออกมาอย่างผู้ที่เหนือกว่าก่อนจะลุกขึ้นส่งยิ้มให้คนหน้าบึ้ง
“มันเป็นสัญญาปลอมฉันไม่มีวันเชื่อเธอ”
"เธอไม่ทำก็ได้แต่จ่ายมา10ล้านอีกอย่างที่ฉีกไปมันเป็นแค่สำเนาจะเอาอีกมั้ยล่ะฉันถ่ายไว้เต็มบ้านเลย"
น้ำเสียงแสนหวานหากแต่ใบหน้าของคนพูดกลับเต็มไปด้วยความเจ้าเลห์...ก่อนจะเดินออกประตูไป
รวิกานต์มองตามแผ่นหลังน้อยๆนั้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาจากนั้นจึงค่อยๆล้มตัวนั่งอย่างหมดแรงงานนี้เธอพลาดแล้วจริงๆไม่น่าเลย…ให้ตายเหอะ!