ตอนที่ 1
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตวัยเรียนเพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเธอก็ต้องก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานมันจะเป็นอย่างไรนะจะสนุกและตื่นเต้นแบบที่ผ่านๆมาหรือว่าจะน่าเบื่อเหมือนที่เคยได้ยิน
หญิงสาวตัวสูงเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวในห้างใหญ่ที่วันนี้ดูเหมือนจะมีคนมาเดินเล่นมากกว่าทุกวันรวิกานต์หันไปมองยังเวทีการแสดงที่สามารถดึงดูดความสนใจของคนในห้างได้มากเป็นพิเศษเธอว่าเจ้าของงานลงทุนมากอยู่เหมือนกันที่ยอมจ้างดารามาตั้งสามสี่คนเพื่อใช้โปรโมทงานนี้แต่แล้วเสียงบางอย่างก็ทำให้รวิกานต์เลิกสนใจบนเวทีก่อนจะหมุนไปรอบๆตัวเธอว่าตัวเองได้ยินเสียงบางอย่าง…แล้วมันอยู่ไหนกันนะแต่ยังไม่ทันจะหมุนได้รอบทิศร่างสูงก็ต้องเซล้มลงเพราะถูกคนที่วิ่งมาด้วยความเร็วชนอย่างแรง
“นี่คุณ!”
รวิกานต์เอ่ยออกมาได้แค่นั้นเพราะคนที่ชนเธอลุกขึ้นแล้ววิ่งไปอย่างเร็วโดยไม่มีแม้คำขอโทษ
“ไร้มารยาทสิ้นดีคนอะไร”
หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกระเป๋าของคนนิสัยแย่ท่าทางคงรีบมากถึงได้ไม่สนใจอะไรเลย
“กลับมาเอาล่ะน่าดู”
คนตัวสูงก้มหยิบกระเป๋าก่อนจะยิ้มออกมาแบบอาฆาตแต่จู่ๆเธอก็ต้องตกใจเมื่อถูกคนบ้าที่ไหนไม่รู้กระหน่ำฟาดแบบไม่ยั้งมือแถมที่เด็ดกว่านั้นยังตะโกนเสียงดังว่าเธอเป็นหัวขโมย
“เจ็บนะ!เธอทำบ้าอะไรเนื๊ย”
รวิกานต์ตะโกนใส่คนที่ทำร้ายเธอได้เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้นเธอก็ถูกล็อคคอจนดิ้นแทบไม่ได้
“เจ็บนะยัยโรคจิต”
“อย่าพูดมากตามฉันไปหาตำรวจเลยยัยหัวขโมย”
“พูดเรื่องบ้าอะไรของเธอปล่อย!”
คนถูกจับออกแรงดิ้นอีกครั้งแต่ก็ไร้ผลซ้ำยังรู้สึกว่าคนที่จับเธอออกแรงรัดแขนกับคอของเธอแน่นขึ้นจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
“ยอมแล้วๆ”
“แน่นะ”
คนถูกจับพยักหน้ารับปากก่อนจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ รวิกานต์รวบมือคนที่จับเธอก่อนจะดึงเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับคักคิ้วแบบเยาะเย้ย
“ทีฉันบ้า”
แต่คนที่คิดว่าตัวเองกำลังจะได้เปรียบกลับคิดผิดเพราะยังไม่ทันหายใจออกผู้หญิงที่ดูตัวเล็กกว่าเธอก็หมุนมือเธอกลับพร้อมกับออกแรงบิดอย่างเต็มแรง
“โอ๊ย!”
“ไหนล่ะทีเธอฉันไม่ยักกะเห็น”
ทั้งน้ำเสียงแววตารอยยิ้มที่ส่งมามันบ่งบอกได้ว่าคือการเยาะเย้ยจากคนพูดแต่ตอนนี้รวิกานต์ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อีกแล้วเธอมีเพียงความรู้สึกเจ็บและเจ็บมาก…ขอบอก
ในออฟฟิคของห้างใหญ่ที่เกิดเรื่องทั้งสองสาวพร้อมกับผู้จัดการของห้างกำลังนั่งดูกล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปละอองดาวมองหน้าจอคอมก่อนจะแลสายตาไปยังโจรปลอมที่เธอจับมาผิด
“เห็นมั้ยล่ะ”
รวิกานต์ระเบิดเสียงออกมาเมื่อในที่สุดก็สามารถหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้เธอหันไปจ้องหน้าคนที่นั่งเงียบตั้งแต่คลิปถูกเปิด
“ว่าไง”
“ใครจะไปรู้ล่ะแต่งตัวคล้ายๆกัน”
“นี่คุณทำผิดแล้วยังจะมาโทษคนอื่นอีกเหรอ”
“ใครใช้ให้เธอหน้าเหมือนโจร”
“นี่คุณ…โตๆกันแล้วทำผิดก็แค่พูดขอโทษมันจะยากอะไร”
ละอองดาวหันไปมองคนที่บังอาจมาสั่งสอนเธอดูจากลักษณะท่าทางแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเธอไม่ต่ำกว่า5ปีแต่กลับมาพูดจาตะคอกใส่เธอเหมือนไม่ให้เกียรติ์
“ว่าไงคุณขอโทษพูดเป็นมั้ย”
“เป็นแต่ไม่ใช่สำหรับเธออีกอย่างเธอดันทะเล่อทะล่าถือกระเป๋าของฉันเองเพราะฉะนั้นฉันก็ไม่ผิดที่จะคิดว่าเธอเป็นคนร้าย”
เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นของคนพูดยิ่งเพิ่มความโมโหให้กับคนฟัง
“ทำผิดแล้วไม่ขอโทษงั้นเหรอ”
“ฉันไม่ผิด”
“จะขอโทษไม่ขอโทษ”
ละอองดาวหันไปสบตาคนพูดก่อนจะยิ้มออกมาแบบไร้ความรู้สึก
“เอาเป็นว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดฉันคงต้องไปทำธุระต่อ”
หญิงสาวตัวเล็กยื่นแบงค์สีเทาให้คนที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้า
“ค่าเสียเวลา”
คนพูดมองสำรวจอีกคนตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะล้วงไปหยิบแบงค์ในกระเป๋ามาเพิ่ม
“อะ5,000ค่าเสียเวลา”
ละอองดาวยัดเงินใส่มือคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าก่อนจะเดินออกมาหน้าตาเฉยโดยไม่มีแม้แค่การชายตากลับไปมองยังคนในห้องรวิกานต์มองเงินในมือก่อนจะหันมองตามร่างเล็กอย่างเจ็บใจเกิดมาไม่เคยพบเคยเจอและไม่ขอที่จะเจออีก
“ยัยโรคจิต!”
รวิกานต์เอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะหันไปทำตาขวางใส่คนที่นั่งเงียบอยู่ในห้องกับเธอไหนบอกจะมาช่วยเคลียร์แต่ตั้งแต่เข้ามานั่งในห้องนี้เธอยังไม่เห็นพูดซักคำหญิงสาวสะบัดหน้าค่อยๆประคองร่างบอบช้ำที่เพิ่งถูกทำร้ายเดินออกไปส่วนบุคคลที่สามที่ตอนแรกจะมาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยก็ถึงกับยกมือขึ้นทาบอกที่เหตุการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดีเพราะเมื่อครู่คิดว่าต้องเรียกพี่ปอซะแล้ว…
หญิงสาวตัวเล็กลากกระเป๋าลงรถเข้าสนามบินวันนี้วันซวยของเธอจริงๆที่ถูกคนมากระชากกระเป๋ากลางห้างแล้วไหนจะยัยเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นอีกนึกขึ้นมาทีไรก็อดเจ็บใจไม่ได้
“เหมือนกันซะขนาดนั้นแล้วไหนจะหน้าตาท่าทางหยั่งกะโจร”
ละอองดาวบ่นพึมพำออกมาเบาๆก่อนจัดการเช็กอินพร้อมกับโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องกลับภูเก็ตเธอมากรุงเทพเพื่อติดต่อเรื่องงานได้เกือบอาทิตย์อาจเป็นเวลาที่ไม่นานสำหรับใครหลายๆคนแต่สำหรับเธอมันเป็นช่วงเวลาที่แสนยาวนานหรืออาจเป็นเพราะเธอไม่ชอบกรุงเทพความรู้สึกมันถึงได้แย่ขนาดนี้แต่หนึ่งในเหตุผลหลักก็เห็นจะเป็นที่นี่มีคนอย่างยัยเด็กไร้มารยาทนั่น
รวิกานต์วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเวลานี้เธอควรจะอยู่บนเครื่องแล้วแต่เพราะความชะล่าใจของตัวเองทำให้เธอต้องพบเจอกับคำว่าสายแต่เธอจะมัวมาโทษตัวเองไม่ได้ตอนนี้สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือไปให้ทันขึ้นเครื่อง
คนตัวสูงเดินมองไปยังที่นั่งของตัวเองก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยที่สุดคนที่นั่งข้างเธอเป็นผู้หญิงเมื่อเดินมาถึงรวิกานต์ค่อยๆหย่อนก้นนั่งเบาๆเพราะเกรงว่าจะทำให้คนที่หลับอยู่ตื่น เธอหันไปมองคนนั่งข้างๆอีกครั้งก่อนจะนึกคุ้นหากแต่มันไม่ชัดเจนมากนักเพราะอีกคนเอาผ้ามาคาดตาไว้ท่าทางจะเพลียมากถึงได้หลับตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้น
และในที่สุดก็ได้เวลาเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านซักที รวิกานต์มองไปยังหน้าต่างที่วิวค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดเครื่องก็บินทรงตัวอยู่ในระดับของมัน
“ลาก่อนเมืองศิวิไลซ์”
หญิงสาวพูดเบาๆกับตัวเองก่อนจะลวงกระเป๋าไปหยิบสร้อยรูปพระอาทิตย์ที่เธอตั้งใจซื้อไปฝากมารดาไม่รู้ว่าท่านจะชอบหรือเปล่าปกติเวลากลับบ้านเธอก็มักจะหาซื้อไปฝากแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีเฉพาะสร้อยเท่านั้นที่จะต้องอยู่ที่บ้านเพราะจะมีเธอกลับไปอยู่ที่นั่นด้วยแบบถาวร
“รอก่อนนะคะแม่”
หญิงสาวชูสร้อยให้สูงขึ้นก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุขแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆเครื่องบินที่นั่งอยู่เกิดตกหลุมอากาศอย่างแรงจนสร้อยในมือของหญิงสาวเกิดหลุดออกจากมือไปตกอยู่ที่ฝั่งคนนั่งข้างๆรวิกานต์หันไปหมายจะหยิบสร้อยที่หล่นแต่เจ้าตัวต้องรีบชักมือกลับเพราะสร้อยของเธอดันทะลึ่งไปอยู่ที่ร่องอกของผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ…ให้มันได้อย่างนี่สิ
“คุณคะ…คุณ…คุณ”
รวิกานต์เอ่ยเรียกคนข้างๆอยู่นานแต่ก็ไร้ผลนี่เธอทั้งเรียกทั้งสะกิดแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆจนเธอชักจะไม่แน่ใจว่าตกลงคนข้างๆหลับหรือว่าตายกันแน่หญิงสาวใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแลเห็นสายสร้อยที่โผล่ออกมา…และแล้วคนตัวสูงก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบที่สายสร้อยที่โผล่มาอย่างเบามือแต่ รวิกานต์ก็ต้องรีบชักมือกลับเมื่อคนหลับขยับตัวทำเอาเธอหัวใจเกือบวายแล้วไหนจะสร้อยที่ดึงไม่ขึ้นเหมือนติดอะไรนั่นอีก…เอาน่ะท่าทางคงยังไม่ตื่นคราวนี้หญิงสาวค่อยๆโน้มทั้งตัวและหน้าลงไปดูว่าตกลงสร้อยของเธอติดอะไรกันแน่…และแล้วความพยายามก็เป็นผลเมื่อเธอสามารถแกะสร้อยออกมาได้สำเร็จรวิกานต์ยิ้มกว้างมองสร้อยที่อยู่ในมือแต่แล้วรอยยิ้มกลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นการอ้าปากตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าแทน…
“ไอ้โรคจิต!”
หญิงสาวที่หลับตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกว่ามีบางอย่าง ผิดปกติและก็เป็นจริงอย่างที่คิดเมื่อเธอเอาผ้าปิดตาออกแล้วมาเจอกับคนโรคจิตที่กำลังแอบดู…ดู…
“แกตาย!!!”
เธอพูดเพียงสองคำเท่านั้นก่อนจะสอยคนโรคจิตร่วงด้วยหมัดเดียว
รวิกานต์ตื่นขึ้นมาพบกับสายตาหลายๆคู่ที่มองมายังเธอ…
“นี่เกิดอะไรขึ้น”
“คุณสลบไป”
“อันนี้รู้แล้วแต่…อยากรู้ว่าใครต่อยฉัน”
คนตัวสูงหันไปมองรอบตัวก่อนจะพยายามปรับสายตาให้เป็นปกติเพื่อมองหาคนที่ทำร้ายร่างกายเธอ
“คุณผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว”
“นี่คุณปล่อยไปได้ยังไงเค้าทำร้ายฉันจนสลบเลยนะ”
รวิกานต์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ขอประทานโทษนะครับคุณคงลืมไปว่าคุณเป็นฝ่ายกระทำเธอก่อน”
“ฉันเนื๊ยนะ!”
ทุกคนในห้องพยักหน้าก่อนจะเปิดวิดีโอบันทึกภาพทั้งหมดให้คนโมโหได้ดูรวิกานต์เกือบจะเป็นลมเพราะมุมกล้องที่ได้มามันช่างเปลี่ยนให้เธอเป็นคนโรคจิตได้แบบอธิบายให้ตายก็ไม่มีใครเชื่อ
“คือ…ฉัน…มัน…ไม่ใช่แบบนั้นนะ”
รวิกานต์ถึงกับพูดอะไรไม่ถูกเพราะภาพที่เห็นนั่นทำให้เธอตกเป็นจำเลยไปแล้ว
“ไม่เป็นไรครับเพราะคุณผู้หญิงท่านนั้นเธอบอกไม่เอาเรื่องแต่เธอฝากโน๊ตถึงคุณ”
คนพูดเอ่ยออกมาพร้อมกับส่งกระดาษแผ่นเล็กมาให้ รวิกานต์รับมาเปิดอ่านก่อนจะขยำเหวี่ยงลงพื้นแล้วกระโดดเหยียบซ้ำไปซ้ำมา
“คุณครับกรุณาอยู่ในความสงบด้วย”
คนถูกว่าหันไปมองคนพูดตาขวางก่อนจะกระโดดเหยียบต่ออย่างบ้าคลั่ง
“ถ้าไม่หยุดผมจับส่งโรงพยาบาลนะครับ”
เมื่อพูดแล้วไม่มีสิ่งใดดีขึ้นคนพูดจึงโทรเรียกรปภ.เท่านั้นแหละรวิกานต์ถึงยอมหยุดแล้วสะบัดหน้าเดินออกไปด้วยความโกรธจะไม่ให้เธอเป็นแบบนี้ได้อย่างไรเมื่อกระดาษแผ่นนั้นมันเขียนว่า
“ ถึง…ยัยโจรโรคจิต
ฉันอโหสิกรรมให้2ครั้งแล้วนะ
หวังว่าเธอจะได้ไปที่ชอบๆซะที
มันคงไม่ดีแน่หากจะมีครั้งที่3
ถ้าถึงบ้านจะกรวดน้ำให้นะ…
จาก…คนสวย”