web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 159
Total: 159

ผู้เขียน หัวข้อ: อัสดงดวงใจ ตอนที่ 2  (อ่าน 3012 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 2
« เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 20:14:41 »
ตอนที่ 2
   บ่ายวันอาทิตย์ที่มีแต่ความเงียบสงบ ถนนสายเล็ก ๆ จากหลังโรงพยาบาลไปบ้านพักก็เงียบสงบ มีบ้านคนหลบอยู่กลุ่มต้นไม้ใหญ่สองสามหลัง และต้นไม้สองข้างทางยังช่วยบังแสงแดดยามบ่ายให้คลายความร้อนลงไปได้มาก
   รัญรัมภานึกอยากจะให้ถนนทุกสายในประเทศไทยเป็นแบบนี้ ได้สูดอากาศดี ๆ และสัมผัสกับธรรมชาติอันผ่อนคลาย มิน่าเห็นชาวบ้านคนเฒ่าคนแก่เวลาไปมาหาสู่กันถึงชอบเดิน ไม่ยอมให้ลูกหลานขับรถไปส่ง ทั้งที่ระยะทางก็ไกลโข เพราะเขาได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบนี้นี้เอง
   เมื่อตอนสายใช้เวลาห้านาทีสำหรับถนนสายนี้ แต่ตอนบ่ายเธอกลับใช้เวลาเดินทอดน่องตามสบาย ไม่ต่ำกว่าสิบห้านาทีแล้วก็ยังไม่มีรถสักคันผ่านมาเพราะว่าเป็นถนนซอยที่ไม่ค่อยมีคนนอกรู้จัก นอกจากชาวบ้านแถวนี้กับคนที่มาซื้อบ้านในหมู่บ้านจัดสรรเดียวกับเธอ
   มันเป็นหมู่บ้านจัดสรรแบบที่สร้างเรียงกันแบบกรุงเทพก็จริง แต่ยังมีสิ่งที่เป็นวิถีชาวบ้าน นั่นคือทุกคนในหมู่บ้านประมาณยี่สิบกว่าหลังคาเรือนก็รู้จักกันหมด ระยะแรกที่มาอยู่รัญรัมภาเคยตกใจที่มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาตะโกนเรียกหน้าบ้านพร้อมกับปิ่นโตใส่อาหาร เนื่องจากที่บ้านจัดงานแต่งงานให้ลูกสาวเลยแบ่งกับข้าวและขนมมาให้เธอด้วย ทั้งที่เคยเจอเธอตอนไปตรวจที่โรงพยาบาลแค่ครั้งเดียว
   ใกล้ถึงทางเข้าหมู่บ้าน หันกลับไปยังมองเห็นตึกของโรงพยาบาล บางทีต่อไปนี้หากคิดว่าจะไม่มีธุระไปไหนเธออาจจะใช้การเดินมาทำงานหรือจะซื้อจักรยานสักคันดีกว่า เพราะว่าระยะทางเท่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์เลย ความจริงเธอคิดสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ย้ายมาทีนี่ แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำเสียที
   ป้อมยามไม่เคยมียามตั้งแต่เธอก่อนเธอมาอยู่ แต่ก็ไม่เคยมีโจรขโมยเข้ามาในหมู่บ้านเพราะมียามรักษาการณ์ที่ดีกว่าคน คือฝูงสุนัขจรจัดนับสิบตัวที่ชาวบ้านช่วยกันเลี้ยงไว้ ครบปีก็ให้ปศุสัตว์อำเภอมาฉีดยาพิษสุนัขบ้า ช่วยกันรักษาขี้เรื้อนเห็บหมัด ตัวไหนใกล้เวลาจะเป็นสัดก็ช่วยกันจับมัดพาไปทำหมัน เช้าสายบ่ายเย็นจนกระทั่งกลางคืน สุนัขพวกนี้ไม่เคยบกพร่องหน้าที่ มีคนแปลกหน้าเข้ามาเมื่อไหร่ได้เห่าส่งสัญญาณกันทั้งหมู่บ้าน รัญรัมภาก็เคยซื้อไก่ทอด ไก่ย่างมาแจกบ่อย ๆ แม้จะไม่ค่อยได้มาดูแลพวกมันเหมือนชาวบ้านคนอื่น
   วันนี้เธอไม่มีของฝากพวกมัน แต่พลันเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาก็พาก็วิ่งมาต้อนรับ ล้อมหน้าล้อมหลังอย่างดีใจ
   “วันนี้วันอาทิตย์คนขายไก่ไม่มา ลืมซื้อขนมมาให้ พรุ่งนี้ค่อยกินนะ”
   รัญรัมภาพูดกับหมาด้วยรู้สึกว่าน่าจะมีของกินมาฝากพวกมัน แต่สุนัขเหล่านั้นก็ยังดีใจที่จะได้วิ่งตามมาส่งเธอที่บ้าน พ้นป้อมยามมาได้ไม่ไกลก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่กอหญ้าข้างทาง เหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น พร้อมกับการวิ่งกรูไปล้อมเห่าอะไรบางอย่างในกอหญ้าของฝูงสุนัขที่ตามเธอมา เธอหยุดพิจารณาก่อนที่จะเข้าไปดู เผื่อเป็นงูหรือสัตว์มีพิษ เมื่อดูดีแล้วว่าไม่น่าจะเป็นสิ่งมีอันตรายเธอจึงเดินเข้าไปดูในวงล้อมนั้นด้วย
   ข้างกอหญ้าที่เหมือนว่ามีอะไรอยู่ก็เป็นจริงดังคาด มองไกล ๆ อาจเหมือนตุ๊กตาสกปรก ๆ ตัวหนึ่ง แต่ความจริงมันเป็นสิ่งชีวิตที่มีสิทธิ์โดนเจ้าถิ่นขย้ำหากรัญรัมภาไม่ร้องดุสุนัขพวกนั้นไว้ก่อน
   ลูกหมาสีน้ำตาลที่คงไต่ขึ้นมาจากบ่อโคลนข้างทางนี้เอง เนื้อตัวจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนสีดำคล้ำและกลิ่นเหม็นน้ำครำ มันนอนซุกตัวสั่นเทาพยายามเบียดตัวเข้าไปในกอหญ้าเพราะว่าคงเป็นที่ปลอดภัยเดียวที่จะช่วยชีวิตได้ ไม่รู้อะไรดลใจหมอรัญที่รักความสะอาดของร่างกายยิ่งกว่าสิ่งใด ให้ก้าวฝ่าวงล้อมของสุนัขเข้าไปอุ้มเจ้าตัวเล็กนั้นมาไว้ในอ้อมกอดด้วยความเวทนา
   “มายังไงนี่ เอ๊ะ นี่น้อง จะกัดทำไม ไม่ใช่ขโมย” รัญรัมภาหันมาดุสุนัขพวกนั้นที่พยายามกระโดดมาเพื่องับลูกหมาในอ้อมกอดเธอ
   “ทั้งหิวทั้งกลัวใช่ไหม ไม่เป็นไร อยู่กับหมอแล้ว” รัญรัมภาปลอบใจเหมือนกับเวลาที่รักษาคนไข้เด็ก ลูกหมาในอ้อมแขนเธอตัวเบาราวกับปุยนุ่นและสัมผัสได้ว่าใต้ผิวหนังและขนที่พองฟูด้วยความกลัวนั้นมันมีแต่กระดูก
   “บอกว่าให้เงียบไง เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่ให้กินขนมเสียนี่ ไป กลับไปเฝ้าหน้าหมู่บ้าน หมอจะพาน้องกลับบ้าน”
   รัญรัมภาดุสุนัขพวกนั้นอีกครั้ง เพราะบางตัวยังคงเห่าและทำท่าจะเข้ามาแย่งลูกหมาที่อยู่ในอ้อมกอดเธอให้ได้ แต่มันไม่ได้มีท่าทางว่าจะทำร้ายเธอ แต่มันต้องการแค่ตัวที่เธออุ้มไว้ ครั้นโดนดุไปหลายครั้งและรัญรัมภาก็รีบพาลูกหมานั้นกลับมาบ้าน พวกมันจึงหยุดตามและกลับไปเป็นยามหน้าหมู่บ้านเหมือนเดิม
   ครั้นกลับมาถึงบ้านและวางลูกหมาลงที่สนามหญ้า รัญรัมภาก็ยืนงง ไม่รู้จะทำอย่างไร มองลูกหมาตัวสกปรกที่ยังตัวสั่นไม่หาย จะอาบน้ำให้ก่อนหรือหาอะไรให้มันกินก่อน แต่ในบ้านเธอก็ไม่อาหารที่ลูกหมาจะกินได้สักอย่าง นอกจากนมสดกับน้ำหวาน แต่เท่าที่มีความรู้มาลูกหมาห้ามกินนมวัวเพราะจะทำให้ท้องเสีย
   เธอเป็นหมอรักษาคนไม่ใช่รักษาหมา เพราะฉะนั้นพาไปหาสัตวแพทย์ก่อนดีที่สุด หยุดชะงักเมื่อก้มลงมองเสื้อยืดราคาแพงของตัวเองที่บัดนี้มีทั้งสีและกลิ่นโคลนไม่ต่างจากลูกหมา รวมทั้งมองมือตัวเองที่เต็มไปด้วยโคลนไม่ต่างกัน
   “หมดกันเสื้อตัวเป็นพันของฉัน” รัญรัมภาถอนหายใจและมองลูกหมาที่พยายามมุดหน้าซุกลงในพื้นหญ้านั้น
   “ไปหาหมอล่ะกัน ฉันก็ไม่รู้จะเลี้ยงแกอย่างไง” รัญรัมภาพูดกับลูกหมาแล้วเดินไปหากล่องมาใส่ ก่อนจะเข้าบ้านไปล้างมือเปลี่ยนเสื้อออกมาพาลูกหมาขึ้นรถไปหาคลินิกสัตวแพทย์ในตลาดตัวอำเภอที่เธอเห็นมีอยู่สองสามแห่ง
   -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
   รัญรัมภาตัดสินใจไปคลินิกสัตวแพทย์ที่ปศุสัตว์อำเภอเป็นเจ้าของ เขากับเธอรู้จักกันจากการมีการประชุมสาธารณสุขร่วมกันบ่อย ๆ และเขาก็เคยไปช่วยฉีดยาพิษสุนัขบ้าภายในหมู่บ้านด้วย รู้ว่าเขาเปิดคลินิกรักษาสัตว์หลังเลิกงาน ชีวิตเขาก็ไม่ต่างจากเธอที่มาจากเมืองใหญ่และตั้งใจจะทำงานที่นี่เหมือนกัน เจอกันบ่อยก็เลยสนิทกัน การเปิดคลินิกของเขาก็เพื่อคลายเหงาตามประสาชายโสด ผิดกับเธอที่หาวิธีคลายเหงาทางอื่น
   “อ้าว รัญ เอาอะไรมา” เขาทักก่อนที่เธอจะวางกล่องนั้นลงด้วยซ้ำ
   “ลูกหมา วินช่วยดูให้หมดเลยนะ เราไม่รู้จะทำอย่างไง” รัญรัมภาวางกล่องลงบนเก้าอี้ หมอวินหรือชีวินเดินมาดูในกล่องและหัวเราะชอบใจ
   “ไปเอามาจากไหน ทำไมมันเป็นแบบนี้”
   “เก็บได้ข้างทางเข้าหมู่บ้าน มันจะโดนหมาใหญ่กัด วินจัดการให้หน่อยนะ แบบว่าโมดิฟายใหม่เลย”
   “ได้ ๆ เดี๋ยวเอาไปอาบน้ำก่อนดีกว่า น้อย ๆ มาเอาลูกหมาไปอาบน้ำหน่อย” ชีวินร้องเรียกลูกจ้างที่ที่กำลังจัดชั้นอาหารสัตว์ที่สั่งมาขายให้มาเอาลูกหมาไปอาบน้ำ
   ระหว่างนั่งรอลูกหมาอาบน้ำ ชีวินก็นั่งคุยกับรัญรัมภาไปพลาง ๆ ชีวิตหมอรักษาสัตว์กับหมอรักษาคนก็ไม่ต่างกัน งานในพื้นที่แบบนี้ หมอไม่ได้มีหน้าที่แค่รักษาแต่มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านทั้งหมดด้วย
   ชีวินเป็นปศุสัตว์อำเภอ งานของเขาหนักกว่ารัญรัมภาด้วยซ้ำ เพราะต้องออกไปตรวจสัตว์ตามท้องไร่ท้องนาและตามฟาร์มต่าง ๆ ยิ่งช่วงมีโรคระบาด เขาแทบไม่ได้หลับได้นอน
   “เราว่าอยู่ที่นี่ก็สบายใจดี มีชาวบ้านบางคนที่ทำนาไม่มาก เริ่มกลับมาใช้วัวควายไถนา เวลาไปฉีดยาให้วัวควายเขาเราก็รู้สึกว่าได้ช่วยคนไปด้วย” 
   ชีวินมองโลกในแง่ดีเสมอและเขาก็มักเป็นคนที่ไกล่เกลี่ยเวลาการประชุมเริ่มตึงเครียด ผิดกับรัญรัมภาที่มักจะไม่ยอมหากยังคุยกันไม่เข้าใจ
   “จริงเหรอ เสาร์อาทิตย์ไหนวินไปออกพื้นที่ ให้เราไปด้วยสิ อยากดูควายไถนา” รัญรัมภาตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน ควายไถนาเธอคิดว่ามันเป็นแค่ตำนานในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไปแล้วเสียอีก
   “ไม่ต้องออกพื้นที่หรอก ไปที่โรงเรียนมัธยมก่อนถึงตลาดนั่น หลังโรงเรียนเขาทำนานะ จ้างชาวบ้านเอาควายมาไถแล้วให้เด็กนักเรียนหว่านกล้า ดำนาเอง เรายังเคยไปช่วยดำนาเกี่ยวข้าวเลย สนุกดี” ชีวินมีประสบการณ์ในพื้นที่กว้างไกลกว่าเธอมาก
   “ทำไมวินไม่เคยบอกเราเลยล่ะ ถ้ารู้เราจะได้ไปดำนาเกี่ยวข้าวด้วย” รัญรัมภานึกสนุกมากกว่าที่จะอยากทำจริงจัง
   “ใครจะไปรู้ล่ะว่ารัญจะอยากทำนา เอาเป็นว่าแค่ไปดูดีกว่าอย่าไปทำเลย ดำนามือดำ เล็บดำนะ ล้างเป็นเดือนยังไม่ออกเลย” ชีวินพูดพลางชำเลืองมองมือขาวสะอาดที่บัดนี้ตามซอกเล็บมีโคลนติดอยู่ เพราะเธอล้างมือมาลวก ๆ และรีบพาลูกหมามาหาหมอก่อน
   รัญรัมภามองตามสายตาชีวินที่มองมือเธอ พอเห็นคราบโคลนที่ซอกเล็บก็นึกรังเกียจ ไม่รู้เมื่อสักครู่อุ้มเจ้าตัวนั้นได้ไง
   “หมอคะ น้อยอาบน้ำ เป่าขนเสร็จแล้วค่ะ ให้กินนมไปถ้วยหนึ่งกับอาหารเปียกแล้วค่ะ ท่าทางหิวจัดซัดเรียบเลย” ลูกจ้างของหมอชีวินเดินออกมารายงานและเป็นการบอกให้หมอเข้าไปตรวจรักษาลูกหมาได้แล้ว
   “เราไปตรวจก่อน รัญรอสักพักนะ” ชีวินบอกและเดินเข้าห้องตรวจไปโดยน้อยเดินตามกลับไปเป็นผู้ช่วย          รัญรัมภาลุกไปล้างมือที่ห้องน้ำ พยายามใช้กระดาษทิชชู่เช็ดขัดเข้าไปตามซอกเล็บให้สะอาดที่สุด และยังล้างสบู่ยาอีกหลายครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีกลิ่นโคลนติดมือ
   คงจะจริงอย่างที่ชีวินบอก เธอคงไม่ลงไปลุยโคลนในท้องนาหรอก หากว่ามันจะล้างทั้งคราบไคลและกลิ่นออกได้ยากขนาดนี้ อย่างดีก็คงไปดูให้เห็นกับตาว่าคนใช้ควายไถนาได้อย่างไร และเขาหว่านกล้า ดำนากันอย่างไร ตั้งสามปีแล้วที่อยู่ที่นี่ ทำไมเธอไม่เคยรู้ว่ามีการทำนาแบบนี้ เพราะทุกที่ที่ไปเห็นก็มีแต่ควายเหล็กกับรถเกี่ยวข้าวทุกครั้ง
   กลับมานั่งเปิดนิตยสารอ่านรอเวลา มีทั้งนิตยสารดารา นิตยสารที่บอกเล่าชีวิตอันหรูหราของคนในเมืองกรุง และนิตยสารสัตว์เลี้ยง รัญรัมภาเลือกนิตยสารที่มันใกล้เคียงกับชีวิตเธอ โรงแรมใหญ่ในกรุงเทพเปิดบริการบุฟเฟต์ใหม่ในราคาสุดคุ้มเพียงสามพันห้าร้อยบาทต่อครั้งในเวลาให้บริการเพียงสี่ชั่วโมงแต่อาหารที่จัดมาให้บริการแพงเหลือหลายแค่จานเดียวก็คุ้มกับราคาต่อหัวแล้ว นอกจากนี้ยังมีอีกที่เป็นบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นราคาต่อหัวเกือบหมื่นบาทยังไม่รวมค่าเครื่องดื่ม
   รัญรัมภาปิดนิตยสารฉบับนั้นทันที ภาพเด็กที่แคระแกร็นขาดสารอาหาร และลูกหมาที่เธอพึ่งอุ้มมาเมื่อสักครู่ทำให้ความคิดเธอเปลี่ยนไป หากเป็นเมื่อก่อนมีร้านเปิดใหม่แบบนี้อย่างไรก็ต้องไปลองสักครั้ง ทั้งที่รู้ว่ามันก็แค่ราคาที่เอามาอวดกันว่าใครได้ทานของแพงกว่า เกาเหลาข้าวเปล่า และข้าวเหนียวมะม่วงเมื่อกลางวันยังทำให้เธออิ่มจนถึงบัดนี้
   เธอเปลี่ยนเป็นหยิบนิตยสารสัตว์เลี้ยงมาดู มีความรู้เรื่องการเลี้ยงหมาแมวกระต่าย แต่ส่วนใหญ่ก็พันธุ์ราคาแพงที่ต้องประคบประหงมอย่างดี มองไปที่กรงสัตว์เลี้ยงที่ต้องรักษาตัวที่นี่เกือบสิบกรง ส่วนใหญ่มีแต่หมาแมวพันธ์ธรรมดา มีหมาพันธ์ดีบ้างแต่ก็ยังไม่เหมือนที่ถ่ายรูปลงนิตยสาร เธอเลยเลือกที่จะมองพวกมันแทะกระดูก เล่นตุ๊กตาอย่างเหงา ๆ ไป เพราะไม่สบายต้องอยู่ในกรงไปก่อน หมาแมวของชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ได้วิ่งเล่นอิสระทั้งนั้น

“รัญ ต้องให้ลูกหมาแอดมิดที่นี่ก่อนนะ ขาดอาหารอย่างหนักเลย เราเจาะเลือดส่งไปแลบที่จังหวัดด้วยคงอีกเป็นอาทิตย์กว่าจะได้ผล”
   ชีวินเดินออกมาบอกอาการของลูกหมาด้วยใบหน้าปกติ แต่คนที่ตกใจกลับเป็นหมอรักษาคนแทน
   “มันเป็นไรมากหรือเปล่า วินรักษาให้ดีที่สุดเลยนะ”
   “รัญจะตกใจทำไม มันแค่ขาดอาหาร ค่าเลือดมันเลยต่ำ ส่วนที่ส่งแลบไปเราก็เจาะเผื่อไว้ ถ้ามันเป็นอะไรจะได้รักษาทันแค่นั้นเอง รัญไม่เหมือนหมอเลยนะ” ชีวินหัวเราะกับอาการตกใจเกินเหตุของรัญรัมภา
   “ไม่รู้นี่ เรารักษาแต่คน หมามันตัวเล็กคงเหมือนเด็ก เป็นอะไรเล็กน้อยมาก็หนักกว่าผู้ใหญ่ทั้งนั้น” รัญรัมภาพูดเก้อ ๆ
   “ไม่ต้องห่วงหรอก แอดมิดก่อน เอากลับไปรัญก็ไม่มีเวลาดูแล ต้องป้อนยาเป็นเวลาด้วย ตั้งชื่อยัง เราจะทำบัตรให้”
   ชีวินเดินไปที่โต๊ะที่กั้นพื้นที่เป็นโต๊ะทำงาน คลินิกนี้เป็นตึกแถวแค่สองชั้น จัดพื้นที่ง่าย ๆ กั้นพื้นที่ด้านล่างส่วนหนึ่งสำหรับสัตว์ที่ต้องรักษาอยู่ที่นี้ พื้นที่อาบน้ำ ตรวจรักษาอยู่ด้านหลัง ชั้นสองเป็นที่พักของน้อยลูกจ้างที่มีพื้นที่เหลือบางส่วนก็เก็บไว้ เผื่อมีสัตว์ป่วยมามาก ส่วนชีวินพักอยู่บ้านพักของปศุสัตว์อำเภอ
   เขามาเปิดคลินิกทุกเย็นวันธรรมดาและวันเสาร์อาทิตย์ ถ้าไม่มีติดงานราชการ กลางวันให้น้อยคอยดูแลสัตว์ป่วยพวกนี้ให้ ส่วนใหญ่ก็ป่วยเป็นหวัดหมาหวัดแมว หรือถูกกัด ถูกฟัน ขาหักมา ไม่ใช่อาการป่วยที่หนักหนาอะไร
   “ชื่อกอหญ้าก็แล้วกัน เราเก็บได้ในกอหญ้า”
   รัญรัมภาตั้งชื่ออย่างรวดเร็ว เพราะบางครั้งนอกจากจะเป็นหมอรักษาคนแล้ว ยังต้องเป็นหมอดูตั้งชื่อให้เด็กเกิดใหม่ก็หลายครั้ง
   “โอเค เด็กหญิงกอหญ้า อายุประมาณสองเดือน สีน้ำตาล พันธ์ทางผสม” ชีวินกรอกประวัติลูกหมาตามที่เขาเห็น แล้วยื่นบัตรให้รัญรัมภา ในนั้นระบุรายละเอียดการรักษาและวัคซีนที่ฉีดให้แล้ว
   “รัญเอาบัตรนี้มาด้วยทุกครั้งนะ แล้วเราจะโทรไปบอกถ้ามีอะไรฉุกเฉิน แต่คงไม่มีอะไร ว่างวันไหนก็ค่อยมาเยี่ยมก็แล้วกัน คงอยู่สักอาทิตย์ดูอาการกับรอผลเลือด ถ้าไม่มีอะไร รัญก็เอากลับได้”
   ลูกหมาตัวผอมมอมแมมด้วยโคลนเมื่อสักครู่นี้ ถูกขัดสีฉวีวันใหม่และใส่กรงมาไว้รวมกับสัตว์ตัวอื่น ขนสีน้ำตาลไม่ได้สั้นเกรียนแต่ก็ไม่ยาวมากนั้นบัดนี้สะอาดน่าอุ้ม พุงแฟบ ๆ เมื่อครู่ป่องออกมาเพราะว่าพึ่งกินนมและอาหารไป ขาหน้าข้างหนึ่งถูกพันผ้าแน่นหนาเพราะว่าเสียบเข็มให้น้ำเกลือ
   รัญรัมภาไปลาลูกหมาที่กรง มันปรือตาขึ้นมามองราวกับรับรู้คำพูดของเธอ
   “อย่าซนนะ แล้วหมอจะเยี่ยมใหม่ หายแล้วค่อยกลับบ้านนะ”
   ออกจากคลินิกมา รัญรัมภาก็นึกถึงคำพูดตัวเอง เธอจะเลี้ยงลูกหมาตัวนั้นหรือ ความจริงที่ชีวินบอกว่าให้มารับกลับก็อาจหมายความว่าเอามาอยู่รวมกับหมาจรจัดตัวอื่นในหมู่บ้านพวกนั้น มันก็เคยมีหลายตัวที่มาถูกมาปล่อยตั้งแต่ตัวเท่ากอหญ้า แล้วชาวบ้านก็จับมาอาบน้ำ ป้อนนม ป้อนข้าวแล้วก็เอาไปคืนฝูงเหมือนเดิม แต่นั่นมันมาพร้อม ๆ ไล่ ๆ กัน มันมีเพื่อนตัวเท่ากันหลายตัว แต่กอหญ้ามาตัวเดียว
   แววตาที่หวาดกลัวและตัวที่สั่นเทาเหมือนเข้าไปฝังอยู่ในหัวใจของเธอ จนไม่สามารถจะให้ลูกหมาที่หลงทางมาไปอยู่อย่างหวาดกลัวในฝูงหมาใหญ่ได้
   ไม่เป็นไร หมาไทยเลี้ยงง่าย เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็ยังดี ชีวินคงบอกวิธีเลี้ยงได้ว่าต้องทำอย่างไร
   ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
   ตะวันเริ่มเป็นสีส้มตอนที่รัญรัมภาขับรถกลับมาจนจะถึงโรงเรียนประถมที่เด็กคนนั้นเรียนอยู่ เหลือบมองดูเวลา ถ้าครูจรัสอยู่บ้านพักครูก็คงจะอยู่ในโรงเรียน จะแวะไปขอโทษเลยดีไหม เธอไม่ชอบให้มีอะไรค้างคาในใจ แต่เวลาก็ใกล้ค่ำแล้ว คงไม่ดีแน่หากไปรบกวนเวลาส่วนตัว ประตูรั้วโรงเรียนก็ปิดสนิท ความคิดต่าง ๆ จึงต้องยุติทันที
   พรุ่งนี้เขาคงจะไปเยี่ยมลูกศิษย์ นึกแล้วก็คิดโมโหตัวเองที่วู่วาม ไม่เช่นนั้นป่านนี้อาจได้ทำความรู้จักกันไปแล้ว
   “อย่าเอาเรื่องสนุกของหมอไปล้อเล่นกับเขา” คำพูดของป้ามลวนเวียนกลับมาในความคิดอีกครั้ง เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย ป้ามลรู้ได้ไงว่าเธอจะไปล้อเล่นกับครูจรัส เธออาจจะสนุกสนานกับการเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อย ๆ แต่ผู้หญิงเหล่านั้นก็ล้วนแต่เจอกันในผับในบาร์ มาเพื่อแลกเปลี่ยนความสุขกันแล้วก็ไม่มีความผูกพันใด ๆ ให้จดจำ แต่กับที่เธอจริงจัง เธอไม่เคยล้อเล่น แต่กลับเป็นฝ่ายถูกล้อเล่นต่างหาก จนไม่อยากจะรู้สึกจริงจังกับใคร
   แม้แต่กับครูจรัสก็แค่รู้สึกว่าต้องการขอโทษ เพราะด้วยอาชีพการงานการเป็นครูเธอก็ควรจะให้เกียรติเขา
   -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
   วันแล้ววันเล่าจนกระทั่งเด็กออกจากโรงพยาบาลก็ไม่มีวี่แววว่าครูจรัสจะมา กลางวันตอนงานยุ่งรัญรัมภาก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ทำไมพอหมดคนไข้แล้วเธอต้องใช้เวลากับงานเอกสาร ต้องมีเรื่องราววันที่เจอครูจรัสเข้ามาในความคิดทุกที ภาพทุกอย่างที่จำได้ ไม่มีใบหน้าครูจรัสให้เห็นด้วยซ้ำ
   สิ่งที่คาในใจจนทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน รัญรัมภาปิดแฟ้มเอกสาร เลิกงานตามเวลาราชการที่นาน ๆ ครั้งเธอถึงจะทำแบบนี้ ส่วนใหญ่เธอจะเลิกเมื่อจัดการเอกสารของวันนั้นเรียบร้อย เพราะไม่ชอบทิ้งงานไว้ข้ามวัน
   “หมอจะไปไหนคะ นี่วันพฤหัสนะคะ” ป้ามลทักเมื่อเดินสวนมาระหว่างทางเดิน การเลิกงานตรงเวลาของหมอรัญหมายความคืนนี้ต้องมีรายการนัดสังสรรค์ที่ไหนสักที่ แต่ปกติหมอรัญจะไปเฉพาะคืนวันศุกร์หรือวันเสาร์
   “หมอปวดหัวค่ะ เลยว่าจะกลับไปนอนพัก” รัญรัมภาไม่กล้าบอกความจริงกับป้ามล คนอะไรดุได้ไม่เกรงใจใคร ระดับผู้อำนวยการยังต้องยอมให้ แล้วเธอเป็นใครที่จะไม่กลัว
   “หายากินเองยังคะ เป็นหมออย่าเก่งแต่รักษาคนอื่น ถ้าหมอยังไม่ดูแลตัวเอง คนไข้ก็จะไม่เชื่อใจนะคะ”
   รัญรัมภารู้ว่าสิ่งที่ป้ามลพูดนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องปวดหัวที่เธออ้างบังหน้า แต่หมายถึงพฤติกรรมอื่น ๆ ของเธอต่างหาก
   “กินแล้วค่ะป้า เลยว่าจะรีบกลับไปนอน ขอตัวก่อนนะคะ”
   เธอรีบเลี่ยงมาก่อนที่จะโดนบ่นไปมากกว่านี้ รู้ดีว่าสิ่งที่ป้ามลพร่ำบ่นทุกคนในโรงพยาบาลล้วนมาจากพื้นฐานความหวังดีทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เป็นหนึ่งในคนที่ขึ้นไปขอร้องให้ผู้อำนวยการไม่อนุมัติการขอเกษียณก่อนกำหนดของป้ามลหรอก แม้ครั้งนั้นจะแลกกับการถูกป้ามลชี้หน้าบริภาษตั้งแต่ผู้อำนวยการยันนักการภารโรงก็ตาม
   “กลับไปนอนนะคะ อย่าไปตามเทิดทูนที่บ้านล่ะ”
   ป้ามลไม่วายร้องบอกตามมา ป้ามลคนรู้ใจ ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้หรอกนะ ยังดีที่ตลอดเวลาหลายวันรัญรัมภาไม่ได้ถามหาครูจรัสกับป้ามล ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนสงสัยมากกว่านี้
   ครูจรัส เป็นอย่างไร ทำไมป้ามลจึงไม่อยากให้เธอไปรู้จัก บางคนหากป้ามลไม่ต้องการให้เธอไปยุ่งด้วยก็มักจะมีเหตุผลเสมอ เธอก็เชื่อป้ามลมาตลอด แต่สำหรับครูจรัส ขอขัดคำสั่งของป้ามลสักครั้ง
   --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขับรถไปยังโรงเรียนประถมเล็ก ๆ นั้น มีเด็กตัวเล็ก ๆ หญิงชายวิ่งเล่นไล่กันสนุกสนานอยู่กลางสนามฟุตบอล แต่ไม่เห็นมีผู้ใหญ่ที่น่าจะเป็นครูอยู่แถวนั้นสักคน มีแต่ภารโรงที่คงทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าโรงเรียนไปด้วย กำลังเก็บกวาดป้อมยามอยู่พอดีตอนที่เธอไป
   “ลุงคะ สวัสดีค่ะ” รัญรัมภายกมือไหว้ลุงภารโรงที่อาวุโสกว่าก่อน
   “โอ๊ย หมอ สวัสดีครับ ไม่ต้องไหว้ผมครับ” ลุงภารโรงรีบทิ้งไม้กวาดมายกมือไหว้เธอคืนด้วยความตกใจที่อยู่เธอมาทักก่อนแบบไม่ทันตั้งตัว
   “หมอมาหาครูจรัส บ้านพักครูจรัสอยู่ไหนคะ” รัญรัมภาบอกธุระ ไม่อยากจะมีพิธีการอะไรมากมาย
   “ครูจรัส แกเกษียณไปหลายปีแล้วครับ” ลุงภารโรงทำหน้างง หมอรัญไม่น่าจะรู้จักครูจรัสที่เกษียณไปหลายปีก่อนที่หมอจะมาทำงานที่นี่เสียอีก
   “เกษียณอะไรคะ ครูสาว ๆ ค่ะ ที่พาเด็กตกต้นไม้ไปส่งโรงพยาบาลไงคะ” รัญรัมภาทำหน้านิ่ว ก็เด็กคนนั้นบอกเองว่าเรียนโรงเรียนนี้ แล้วจะไม่มีครูจรัสได้อย่างไร
   “ครูสาว ๆ ยิ่งไม่มีครับชื่อจรัส มีแต่ชื่อเพราะ ๆ ยาว ๆ ทั้งนั้นแหละครับ” ลุงภารโรงยังยืนยันหนักแน่น
   “ลุงนึกดี ๆ สิคะ ครูจรัสพาเด็กไปส่งโรงพยาบาล หมอผ่าตัดให้เองนะคะ” รัญรัมภาก็ไม่ยอมแพ้
   “ไม่มีแน่ครับ ครูโรงเรียนนี้มีแค่สิบห้าคน ผมจำได้หมดแน่นอนครับ”
   “ครูจรัส สาว ๆ ผมยาว ๆ......”
   รัญรัมภาพยายามนึกจุดเด่นเท่าที่จำได้ แต่ก็ยังได้รับคำยืนยันว่าโรงเรียนไม่มีครูจรัส ลุงภารโรงถึงขนาดพา        รัญรัมภาเข้าดูป้ายแสดงทำเนียบครูที่หน้าห้องพักผู้อำนวยการ แม้จะไม่ได้มองหน้าให้ชัดเจนแต่ก็ไม่มีครูจรัสในนั้นแน่นอน
   ขอบคุณลุงภารโรงแล้วก็ขับรถกลับบ้านด้วยความเศร้าซึม ไม่มีแม้แต่กะจิตกะใจจะไปเยี่ยมกอหญ้าอย่างที่ตั้งใจไว้ อีกสองวันชีวินบอกว่าก็รับกอหญ้ากลับมาได้แล้ว เขาสั่งซื้อนมชงสำหรับลูกสุนัขมาให้เป็นพิเศษตามที่เธอสั่งแล้ว ส่วนอาหารลูกสุนัขร้านเขามีขาย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าห่วง กลางคืนแค่ให้นอนในกรงอย่าให้ยุงกัด กลางวันก็เทอาหารเม็ดกับน้ำสะอาดไว้ให้ ก็ปล่อยให้อยู่ในรั้วบ้านตัวเดียวได้ หมาไทยเลี้ยงไม่ยากอย่างที่คิดจริง ๆ
   แต่ตอนนี้สิ่งที่ยากกว่าคือการตามหาคน หัวใจยิ่งร้อนรนจากที่คิดว่าครูจรัสน่าจะอยู่ใกล้ ๆ ต้องไปถามใครก็ได้ที่เรื่องนี้จะไม่ถึงหูป้ามล ความสับสนหลายอย่างก่อเกิดขึ้นในใจทีละน้อย ทำไมเธอต้องไม่อยากให้ป้ามลรู้ ทำไมต้องคิดถึงครูจรัส ชื่อนี้วนเวียนแจ่มชัดในความคิดแทบจะตลอดเวลา ถ้าป้ามลรู้ว่าเธอมาตามหาครูจรัสแล้วจะเป็นไรไป ในเมื่อเธอไม่ได้ทำอะไรเสียหายและไม่ได้คิดล้อเล่นกับครูจรัสเลย
   กลับมาถึงบ้านตอนที่ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว สุนัขจรจัดในหมูบ้านเริ่มกระจายกำลัง บางส่วนไปท้ายหมู่บ้าน บางส่วนยึดป้อมยามเป็นที่หลับนอน พอรัญรัมภาจอดรถลงไปเปิดประตู พวกมันก็พากันมาต้อนรับด้วยความดีใจเหมือนทุกวัน แต่พอไม่มีอาหารพิเศษก็แยกย้ายกันไปกระจายกำลังต่อ
   “ขอโทษนะ พรุ่งนี้สัญญาจะซื้อลูกชิ้นมาฝาก” รัญรัมภาพูดกับสุนัขตัวสุดท้ายที่เดินจากไป
   มันทำให้เธอเหงาอย่างผิดปกติ ทั้งที่สุนัขเหล่านี้ก็ยังเหมือนเดิมทุกวัน วันไหนมีอาหารกินกันเสร็จมันก็แยกย้าย วันไหนไม่มีมันก็ยังวิ่งมารับแล้วก็จากไปแบบนี้ สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือเธอเองต่างหาก อยากเจอคนที่อยากขอโทษก็ไม่ได้เจอ แล้วยังไม่รู้เธอคนนั้นอยู่ที่ไหน
   เข้าบ้านไปเพื่อเจอสิ่งที่เหมือนเดิมทุกวัน การตกแต่งอย่างมีศิลปะอย่างที่เธอชอบจากเพื่อนที่เป็นมัณฑนากร ทำให้แบบบ้านจัดสรรที่ออกแบบอย่างแข็งกระด้างนั้นดูอบอุ่นขึ้นมา แต่ทว่ามันไม่ทำให้คนอยู่อบอุ่นเท่าไหร่นัก เพราะทั้งบ้านมีเธออยู่คนเดียว และไม่เคยมีใครได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้นานกว่าเวลาที่เธออาบน้ำ ยกเว้นคนทำความสะอาด
   เธอชอบการได้ไปสังสรรค์สนุกสนานนอกบ้าน แต่เมื่อกลับเข้าบ้านเธอต้องการความเป็นส่วนตัว เหมือนต้องการเก็บบ้านนี้ไว้ให้เป็นโลกของเธอคนเดียว
   “เมื่อไหร่หมอจะให้แพทย้ายมาอยู่ด้วยล่ะคะ”
   ผู้หญิงคนที่รัญรัมภาจริงใจด้วยมากที่สุดเคยพูดแบบนี้หลายครั้ง แต่รัญรัมภาก็ยังไม่พร้อมที่จะให้ใครเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวจริง ๆ ก็คงเหมือนกับผู้หญิงคนนั้นที่ขอร้องไม่ให้เธอไปหายังโรงเรียนที่สอนอยู่ ด้วยบทบาทความเป็นครูที่ต้องรักษาภาพลักษณ์เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่นักเรียน รัญรัมภาก็เข้าใจ เธอจึงได้แต่นัดพบกันข้างนอก
   จากที่นัดเจอกันแทบทุกวันมันก็ค่อยห่างไป จนกลายเป็นเดือนละครั้ง ด้วยข้ออ้างที่ต้องทำงานประกันคุณภาพการศึกษาบ้าง ต้องไปอบรมในจังหวัดบ้าง และสุดท้ายที่ทุกอย่างชัดเจนก็คือ ข่าวลือว่าครูพัดชาขอย้ายไปสอนที่โรงเรียนในจังหวัดเพราะกำลังจะแต่งงานกับข้าราชการระดับสูงคนหนึ่ง
   “แพทจะแต่งงานทำไมไม่บอกกันบ้างเลย” รัญรัมภาถามตรง ๆ ในวันที่พัดชามาบอกว่าเธอจำเป็นต้องขอย้ายไปสอนที่อื่น
   “แพทก็ตั้งใจจะมาบอกหมอวันนี้แหละค่ะ” พัดชาที่ทำหน้าเศร้า แต่รัญรัมภากลับรู้สึกว่าเธอไม่ได้เศร้า แววตาแพรวพราวอย่างคนที่มีความสุขมันชัดเจนขนาดนั้น
   “ส่งการ์ดให้หมอด้วยนะ หมออยากไปแสดงความยินดีด้วย” รัญรัมภารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเหนี่ยวรั้ง ข่าวการแต่งงานนั้นค่อนข้างแน่นอนแล้ว หลายคนในโรงพยาบาลได้รับการ์ดเชิญมาเป็นเดือนแล้วแต่ไม่มีใครบอกเธอตรง ๆ
   “ความจริงแพทรักหมอนะคะ แต่แพทต้องการชีวิตที่ปกติธรรมดา ไม่ต้องมาคอยปิดบังสังคม” พัดชาพยายามหาเหตุผลมาอ้าง
    คนจะไป ถึงอย่างไรก็ต้องไป ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัญรัมภาต้องฟังเหตุผลนี้จากคนที่คิดว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต จากที่คิดว่าจะเจ็บปวดแทบขาดใจกลับกลายเป็นเฉยชา จนสามารถที่จะไปร่วมงานแต่งงานได้โดยไม่สะทกสะท้านเมื่อคืนวันเสาร์ต่อเช้าวันอาทิตย์ที่ต้องตื่นมาผ่าตัดด่วนนั้นเอง
   แล้วเธอก็เหมือนลืมทุกอย่างไปแล้วด้วยซ้ำ จนมาถึงวันนี้ที่เธอแค่ไม่ได้เจอครูจรัส ความรู้สึกมันอึดอัดอัดอั้นตันใจยิ่งกว่าที่คนรักเธอไปแต่งงานเสียอีก
   “บ้าแล้วหมอรัญ พรุ่งนี้ก็ไปถามใครก็ได้ โรงเรียนแถวนี้มีไม่กี่โรงเรียนเอง”
   เธอปลอบใจตัวเอง แล้วปิดบ้าน ขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน เสียงละครจากบ้านยายสายที่ใช้รั้วเดียวกันดังลั่นจนเธออยากรู้ว่าเรื่องอะไร ยายสายในวันเจ็บสิบกว่าปี ยังแข็งแรงดีทุกประการยกเว้นหูตึง ดังนั้นแกดูรายการอะไรที่น่าสนใจ     รัญรัมภาจึงได้อาศัยเปิดตามทำให้คลายความเหงาได้ อย่างน้อยเสียงหัวเราะของยายสายก็เป็นเพื่อนว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้
   -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กว่าที่จะหาคนถามที่ไว้ใจได้ว่าเรื่องจะไม่ไปถึงป้ามลก็พ้นมาอีกวัน
   “ครูจรัสตะวันค่ะ สอนอยู่โรงเรียนมัธยมก่อนถึงตลาดไงคะ พึ่งย้ายมาแทน เอ่อ แทนครูพัดชาค่ะ”
   คนตอบก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ที่จะตอบเหมือนกันเมื่อเธอถามทีแรกและเล่ารายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้ฟัง นอกจากได้คำตอบที่พอใจแล้ว ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมป้ามลไม่อยากให้เธอไปรู้จักครูจรัส จรัสตะวัน เพราะมันเกี่ยวพันกับคนรักเก่าเธอนี่เอง ถ้าให้เดาความคิดป้ามลก็คงคิดว่าเธอจะให้ครูจรัสมาแทนครูพัดชา อยากบอกว่าเธอไม่เคยให้ใครมาแทนใคร และครูจรัสเธอก็ยังไม่เห็นหน้าตาด้วยซ้ำ แค่อยากพูดคำว่าขอโทษจริง ๆ
   อยากจะเลิกงานก่อนเวลา ต้องไปรับกอหญ้าออกจากคลินิกก่อนสี่โมงเย็นหากต้องการเจอชีวินด้วย เพราะหลังจากนั้นเขาต้องออกไปดูฟาร์มไก่ให้ชาวบ้านและเธอก็จะได้กลับมาแวะพบครูจรัสตะวันก่อนจะมืดค่ำ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ต้องเลิกงานตรงเวลาอยู่ดี
   “เราเขียนใบนัดไว้ให้แล้ว อาหารกับนมก็เตรียมแล้ว คิดค่ารักษาค่าฝากทุกอย่างแล้ว จ่ายเงินที่น้อยได้เลย” ชีวินโทรศัพท์มาบอกว่าเขาต้องออกไปดูฟาร์มไก่ ไม่สามารถรอเจอเธอได้
   “ไม่เป็นไร ขอบใจมาก วินคิดราคาเต็มที่นะ กอหญ้ามันหมาไฮโซ”  แม้งานจะยังไม่เสร็จตามที่ต้องการแต่        รัญรัมภาก็อารมณ์ดีจนมีอารมณ์ขันคุยกับชีวินได้
   เขาเป็นเพื่อนผู้ชายที่เธอสนิทพอ ๆ กับเทิดทูน แต่ดีกว่าตรงไม่กินเหล้าเมายา วันที่ไปงานแต่งงานพัดชาเขาก็เป็นคนขับรถพาเธอกับเทิดทูนที่เมาจนขับรถไม่ได้ทั้งคู่มาส่งที่บ้าน ถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่ชอบผู้ชาย ก็คงอยากได้ผู้ชายแบบชีวินมาเป็นคู่ชีวิต
   ออกจากโรงพยาบาลแล้วรีบไปรับกอหญ้า ลูกหมาตัวแรกในชีวิตที่เธอจะเลี้ยงอย่างจริงจัง มันกระดิกหางอย่างดีใจทันทีที่เห็นเธอจนแทบจะเปิดกรงออกมาเองถ้าทำได้ มันอ้วนขึ้น แววตาสดใสไร้เดียงสาและน่ารักขึ้นมาก   
   “ตอนเด็ก ๆ เขาจะน่ารักแบบนี้ แต่โตไปจะไม่ค่อยน่ารัก หมออย่าทิ้งเขานะคะ แล้วเวลาชงนมอย่าชงข้นนัก จะท้องผูก แล้วก็อย่าให้ทานแต่อาหารเม็ดกับอาหารกระป๋อง หาของทำสดใหม่ให้เขากินด้วยนะคะ ถ้าเลี้ยงไม่ได้ก็อย่าเอาไปปล่อย เอามาให้น้อยนะคะ” น้อยทำท่าเหมือนไม่ไว้ใจว่าเธอจะเลี้ยงกอหญ้าได้ตลอดรอดฝั่ง เธอคงได้ฟังอะไรจากชีวินมามากเหมือนกัน
   “ใบนัดทำวัคซีนครั้งหน้า หมออย่าลืมนะคะ”
   น้อยสั่งอีกหลายอย่างเกี่ยวกับการดูแลสุนัข ทั้งเรื่องความสะอาดและเรื่องอาหารการกินตามที่ชีวินบอกไว้
   กรงกอหญ้าถูกนำมาวางไว้ที่เบาะหลัง พอออกจากตลาด รัญรัมภาก็ปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดกระจกโล่งเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเท กอหญ้าตะกุยตะกายอยากออกมารับลมนอกกรง
   “ไม่ได้ ถึงบ้านค่อยออกมา” รัญรัมภาดูจากกระจกส่องหลังแล้วพูดกับลูกหมาวัยสองเดือนที่ครางหงิง ๆ และกำลังพยายามแทะกรงอยู่โดยไม่สนใจกระดูกปลอมที่น้อยใส่มาให้ในกรง
   ต่อไปนี้นอกจากเสียงหัวเราะของยายสาย เธอก็คงจะได้กอหญ้ามาเป็นเพื่อนร่วมโลกอีกตัว และไม่ต้องกลัวว่ามันจะหลอกลวงด้วย เคยได้ยินมานานแล้วว่าสุนัขเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุด กอหญ้าก็คงเป็นอย่างนั้น ขนาดได้เจอกันไม่นานมันยังดีใจทุกครั้งที่เธอไปเยี่ยม 
   ถึงโรงเรียนที่อดีตคนรักเคยสอน แต่เธอไม่เคยเข้ามาในโรงเรียนสักครั้ง บ้านพักครูอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้




ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 2(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 20:16:55 »
ตอนที่ 2(ต่อ)

   “มาพบครูจรัสตะวันค่ะ” รัญรัมภาแจ้งยามหน้าประตูโรงเรียนที่ดูเป็นทางการมากกว่าโรงเรียนประถมที่เธอไปมาเมื่อครั้งที่แล้ว
   “ขับรถอ้อมหลังตึกใหญ่นี้ไปนะครับ บ้านครูจรัสตะวันหลังสุดท้ายติดบ่อปลาครับ”
   ขับรถมาตามทางที่ยามบอก ชีวินเคยเล่าว่าโรงเรียนนี้มีการทำนาที่หลังโรงเรียน สงสัยว่าครูจรัสจะลงมือทำนาเองหรือเปล่า ขับรถตรงไปผ่านบ้านพักครูหลายหลังจนกระทั่งถึงหลังสุดท้ายก่อนถึงบ่อปลา แต่ทว่าบ้านกลับคล้องกุญแจข้างนอก หรือจะมาเสียเที่ยว กอหญ้าที่คงเหนื่อยกับการแทะกรงเงียบเสียงไปแล้ว
   “อยู่ในรถก่อนนะ เดี๋ยวหมอไปเดินหาครูจรัสก่อน” รัญรัมภาบอกลูกหมาที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาแทะกระดูกปลอมอยู่
   เธอออกจากรถมามองซ้ายมองขวา ปลาในบ่อกำลังฮุบอาหารดังจุ๊บจั๊บ ๆ มองเลยบ่อปลาออกไปเป็นทุ่งนาเขียวขจี คงเป็นนาที่ชีวินเคยบอก นอกจากนั้นถัดจากบ่อไปก็เป็นเหมือนเล้าไก่ ไม่น่าเชื่อว่าในโรงเรียนที่ภายนอกดูธรรมดา แต่เข้ามาข้างในกลับมีพื้นที่เกษตรผสมผสานซ่อนอยู่
   แล้วครูจรัสอยู่ไหน รัญรัมภาไม่รู้จะถามใครและไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน มองออกไปที่ท้องนาเขียวขจีในเวลาที่ตะวันคล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ สีเขียวของใบข้าวกับแสงเงาสีส้มของดวงตะวันกลายเป็นภาพอาทิตย์ยามอัสดงที่ชวนหลงใหล เธอไม่เคยเห็นยามใกล้ค่ำที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน จากที่จะไปตามหาครูจรัสตะวันกลายเป็นยืนมองอาทิตย์ยามอัสดงอยู่อย่างนั้น
   “รัญ มาได้อย่างไง” เสียงผู้ชายเรียกชื่อเธออย่างสนิทสนมทำให้เธอสะดุ้งจากภวังค์ หันไปทางเสียงนั้น
   ชายหนุ่มหญิงสาวเดินเคียงคู่กันมา แสงอ่อนของตะวันนั้นกลืนไปกับชุดกากีของหญิงสาวและเข้ากันดีกับเสื้อสีกรมท่าของชายหนุ่มที่เดินคู่กันมา ปศุสัตว์อำเภอหนุ่มกับครูสอนมัธยมสาว ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมลงตัวที่สุดสำหรับฉากนี้
   “ไหนวินว่าไปดูฟาร์มไก่” รัญรัมภาตั้งสติได้ แต่ไม่ตอบคำถามเชิงทักทายนั้น
   “นี่ไง ฟาร์มไก่ของโรงเรียน ครูจรัสเขาให้มาดู ไก่ไม่ค่อยออกไข่มาสองสามวันแล้ว” ชีวินอธิบายและชี้มือไปยังเล้าไก่ที่เธอเห็นตั้งแต่เข้ามาทีแรก
   “ลืมแนะนำ นี่ครูจรัสตะวัน พึ่งย้ายมาสอน” ชีวินแนะนำและก็ส่งสายตาที่บ่งบอกว่าเห็นใจมาด้วย แต่รัญรัมภาพยักหน้าให้เขาสบายใจว่าไม่เป็นไร
   “สวัสดีค่ะ ครูจรัส แนะนำตัวอีกครั้งนะคะ ดิฉันรัญรัมภาค่ะ” รัญรัมภาแนะนำตัวเองโดยไม่ต้องรอชีวินแนะนำ
   “สวัสดีค่ะ คุณหมอ” จรัสตะวันทักทายกลับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เธอคงไม่ได้คิดอะไรอย่างที่ป้ามลบอก
   “เรียกหมอรัญเหมือนคนอื่นก็ได้ค่ะ” รัญรัมภาค่อยโล่งใจที่จรัสตะวันไม่ได้แสดงอาการอะไรให้ชีวินสงสัย
   “แล้วรัญมาอย่างไง เข้ามาถึงข้างในนี้ได้” ชีวินยังคงสงสัยกับการมาของเธอ
   “อ๋อ พอดีเราไปรับกอหญ้าแล้วก็เลยอยากดูนาที่วินเคยเล่าให้ฟังไง ก็เลยถามยามแล้วขับรถเข้ามา” รัญรัมภาแก้สถานการณ์ไปได้อย่างหวุดหวิด ชีวินไม่ติดใจกับคำตอบนั้น แต่รัญรัมภารู้สึกว่าครูจรัสเหมือนยังสงสัยในคำตอบของเธอ
   “มาค่ำป่านนี้ไม่มีอะไรให้ดู ต้องมาตอนกลางวันกว่านี้ เราจะพาไปดูปลาในนาข้าว” ชีวินพูดด้วยความภาคภูมิใจราวกับว่าเป็นผืนนาของเขาเอง
   “ก็ไม่ได้ตั้งใจแค่แวะมา ไม่คิดว่าจะเจอวินด้วย เรากลับแล้วนะ กอหญ้าร้องแล้ว ขอตัวนะคะคุณครู”
   รัญรัมภารีบเดินกลับมาที่รถเมื่อได้ยินเสียงกอหญ้าร้องอีกครั้ง ชีวินรีบเดินตามมา ทำให้จรัสตะวันต้องตามมาด้วย
   “กอหญ้าเป็นอะไรไม่รู้ ตะกายกรงจะออกใหญ่เลย” รัญรัมภาหันมาบอกชีวินเพราะเขาเป็นสัตวแพทย์
   “สงสัยมันปวดท้อง ลองปล่อยมันดูซิ” ชีวินบอก
   ทันทีที่เปิดกรงและจับวางลงกับพื้น กอหญ้าก็วิ่งไปหาพื้นหญ้าทันทีตามสัญชาตญาณ
   “ลูกหมาน่ารักจัง” จรัสตะวันเผลออุทานเมื่อเห็นลูกหมา
   “ตอนเช้ารัญต้องรีบเอามันออกจากกรงนะ เพราะว่าหมาถ้ามันเคยทำธุระที่ไหน มันจะอั้นไว้จนกว่าจะได้ที่ธุระของมัน นอกจากมันจะอั้นไม่ไหวจริง ๆ ถึงจะฉี่ใส่กรง” ชีวินแนะนำเพิ่มเติม แต่รัญรัมภากลับมองไปที่ครูจรัสซึ่งเดินตามลูกหมาไป
   กอหญ้าฉี่เรียบร้อยแล้วก็วิ่งกลับมาหารัญรัมภา
   “ฉลาดมากนะเนี่ย ขนาดแค่สองเดือนจำเจ้าของได้แล้ว ถ้าสอนดี ๆ มันน่าทำได้หลายอย่างเลยนะ” ชีวินเอ่ยชม
   “จะสอนอะไรล่ะ เราเป็นหมอ ไม่ใช่ครู หรือว่าจะเอามาให้ครูจรัสสอนดีคะ” เธอพยายามหาเรื่องคุยให้จรัสตะวันได้เข้ามาในวงสนทนาด้วย
   “ฉันสอนสัตว์ไม่เป็นหรอกค่ะ ให้หมอวินสอนให้สิคะ” จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ
   “ผมรักษาสัตว์ครับ ไม่ใช่สอนสัตว์ ครูจรัสเข้าใจผิดแล้วครับ” ชีวินหัวเราะไปกับสิ่งที่จรัสตะวันพูด แต่รัญรัมภากลับรู้สึกไม่สนุก ชีวินคงสนิทสนมกับครูจรัสพอสมควรถึงล้อเล่นกันได้ และก็คงไม่ใช่สนิทแบบที่สนิทกับเธอ
   “เราขอตัวกลับก่อนนะ  ใกล้ค่ำแล้ว กลับก่อนนะคะครูจรัส” รัญรัมภารีบตัดบทร่ำลา เผื่อว่าเขาอยากจะอยู่หยอกล้อกันต่อแค่สองคน
   เธอมาผิดที่ผิดเวลาเอง คำขอโทษที่ตั้งใจไว้ก็ถือว่าเป็นอันหายกัน รู้ความจริงที่แท้จริงยิ่งกว่าเดิมแล้วว่าทำไมป้ามลถึงไม่ให้เธอมายุ่งเกี่ยวกับครูจรัส บอกแต่แรกว่าชีวินมาติดพันอยู่เสียก็สิ้นเรื่อง เธอไม่ชอบยุ่งกับคนมีเจ้าของอยู่แล้ว
   ขับรถพากอหญ้ากลับบ้าน เชื่อว่ามันจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอแน่นอน

“คุณหมอเขาโกรธหรือเปล่าคะ” จรัสตะวันถามชีวินด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
   “โกรธเรื่องอะไรครับ” ชีวินทำหน้าสงสัย
   “ก็โกรธที่เห็นคุณอยู่กับดิฉันไงคะ” จรัสตะวันพูดเพียงเท่านั้น แต่ไม่เล่าว่าเธอรู้สึกตั้งแต่ที่เดินมาแล้วว่าหมอรัญมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ เธอจึงเปลี่ยนใจเป็นเดินตามลูกหมาไปก่อน เพื่อให้พวกเขาได้คุยกัน
   “รัญกับผมเป็นเพื่อนกันครับ เขาไม่ได้โกรธหรอก คงรีบกลับจริง ๆ เพราะกว่าจะขับรถถึงโรงพยาบาลก็คงมืดพอดี” ชีวินอธิบายโดยไม่ได้คิดอะไร
   “งั้นก็แล้วไปค่ะ ฉันกลัวทำให้พวกคุณมีปัญหากัน” จรัสตะวันพยักหน้า แต่ชีวินรู้ว่าเธอยังไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
   “คือ รัญเขา” ชีวินพยายามจะอธิบายแต่ก็นึกได้ว่าไม่เหมาะสมที่เขาจะเป็นคนพูดเรื่องส่วนตัวคนอื่น
   “ขอบคุณหมอมากนะคะ พรุ่งนี้จะให้ภารโรงมารื้อให้อากาศระบายอย่างที่หมอบอก” จรัสตะวันรีบเปลี่ยนเรื่องมาที่งานของเธอ ก่อนที่จะต้องฟังชีวินอธิบายอะไรเกี่ยวกับหมอรัญไปมากกว่านี้
   “ไม่เป็นไรครับ อย่างไงพรุ่งนี้ผมจะมาดูให้อีกครั้งว่ามีอะไรต้องแก้ไขอีก อยากมาถามเด็กที่เลี้ยงด้วยว่าให้อาหารแค่ไหน อย่างไง” ชีวินก็กลับเข้ามาสู่เรื่องงาน ดีกว่าการจะบอกเล่าเรื่องคนอื่น
   ชีวินกลับไปแล้ว จรัสตะวันไขกุญแจเข้าบ้าน บ้านพักครูหลังอื่นอยู่กันเป็นครอบครัว แต่เธออยู่ตัวคนเดียว แต่ครูหลายคนในโรงเรียนบอกว่า ถ้าใครได้อยู่บ้านพักหลังนี้ไม่ถึงปีได้มีคู่ทุกราย และก็กลายเป็นเรื่องเชื่อกันเป็นตุเป็นตะมากขึ้นเมื่อครูคนเก่าที่ขอย้ายแล้วเธอได้มาอยู่แทนพึ่งแต่งงานไป พอเธอมาอยู่ได้ไม่นาน ชีวินก็หมั่นมาดูแลบ่อปลาเล้าไก่โดยที่ไม่ต้องบอก
   จรัสตะวันไม่เชื่อในเรื่องขำขันที่เล่ากันเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ เพราะสิ่งที่สำคัญของการที่จะมีใครสักคนนั้นคือหัวใจ และที่สำคัญไปกว่าสิ่งใด นั่นคือหัวใจของเธอที่ไม่ต้องการใคร
   โลกนี้ไม่มีความรักอย่างแท้จริง สิ่งต่าง ๆ ก็คือภาพลวงตา เธอปวารณาตัวเองแล้วว่าทั้งชีวิตและจิตใจจะมอบให้การสอนหนังสือ ความรักเดียวที่เธอจะมีต่อไปนี้คือความรักที่ครูมีให้ลูกศิษย์เท่านั้น

 :26: :26: :26:

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.