ตอนที่ 5
ยังไม่ทันจะได้นอนพักสักงีบ รัญรัมภาลงมาเปิดประตูรั้วเอารถออกและเลื่อนประตูรั้วมาปิดไว้เฉย ๆ โดยไม่ล็อค แถวนี้ไม่มีโจรขโมย แต่มีคนที่ขโมยของเธอไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีจุดประสงค์เพื่ออะไร จะรักจะชอบกันก็รักไป ทำไมต้องเอาของของเธอไปยุ่งเกี่ยวด้วย
รถยนต์คันนั้นบีบแตรลั่นเพื่อไล่ฝูงยามประจำหมู่บ้านที่พากันออกมาวิ่งต้อนรับด้วยความดีใจเพราะไม่ได้ยินเสียงรถคันนี้มาหลายวัน อาจจะมีอาหารดี ๆ มาแจก แต่พวกมันก็ต้องผิดหวังเมื่อรถคันพุ่งทะยานไปโดยไม่สนใจเปิดกระจกมาทักทายพวกมันเหมือนเคย
“หมอรัญเขาจะรีบไปไหน” กลุ่มแม่บ้านที่พาลูกหลานออกมาเดินเล่นและจับกลุ่มคุยกันที่หน้าบ้านหลังหนึ่งมองตามรถของรัญรัมภาและถามไถ่กันเองด้วยความสงสัย หมอรัญไม่เคยขับรถเร็วละรีบร้อนขนาดนี้
“นั่นสิ หรือมีใครเป็นอะไรด่วนที่โรงพยาบาล หมอรัญนี่ยิ่งกว่านางฟ้าอีกนะ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยมา มีเงินไม่มีเงิน ถ้าเจอหมอรัญก็สบายใจได้ ไม่ตายหรอก”
เมื่อคนหนึ่งพูดเรื่องนี้ขึ้นมา คนอื่นก็เสริมตามประสบการณ์ของตัวเองที่ได้เคยรักษากับหมอรัญ หรือบางคนก็ฟังคนอื่นมาอีกที แต่ไม่มีใครสักคนจะบอกว่าหมอรัญรักษาไม่ดี
“แต่ก็น่าสงสาร ไม่มีใครรักหมอรัญจริงสักคน ว่าก็ว่าเถอะนะ ทีแรกฉันก็ตะขิดตะขวงใจเวลาเห็นหมอรัญไปไหนมาไหนกับผู้หญิง แต่ตอนนี้ฉันสงสารอยากให้หมอรัญมีคนมาดูแลด้วยจริง ๆ”
ตลอดเย็นวันนั้นวงสนทนาก็แต่เรื่องของหมอรัญ ในขณะที่เจ้าตัวนั้นขับรถด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านไปรับลูกหมา อุตส่าห์เก็บของที่ไม่มีค่า ไม่มีใครสนใจมาเป็นของตัวเองแล้วก็ยังมีคนมาแย่งไปอีก
รัญรัมภาจอดรถที่หน้าพักครูหลังสุดท้ายติดบ่อปลา บ้านเงียบ ประตูบ้านคล้องกุญแจไว้จากข้างนอกแสดงว่าไม่มีคนอยู่ในบ้าน รวมทั้งกอหญ้า ไม่รู้พากันไปไหน เธอหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ระงับความโกรธไว้ได้ในระหว่างที่ขับรถมา
ตอนออกบ้านตั้งใจว่าจะต่อว่าคนที่เอาของเธอมาโดยวิสาสะ แต่พอมาสักพักก็เปลี่ยนใจเป็นแค่มาเอาของเธอคืนแล้วจะไม่มายุ่งเกี่ยวด้วยอีก แม้จะโกรธแต่อย่างไรชีวินก็เป็นเพื่อนและเขาก็มาก่อน ตอนที่เธอถูกแย่งของรักเคยรู้สึกอย่างไร ชีวินก็คงรู้สึกไม่ต่างกันหากเธอทำแบบนั้น
ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหนและไม่รู้จะถามใคร เพราะไม่เห็นบ้านพักครูหลังไหนมีคนอยู่ ก็ต้องรอจนกว่าครูจรัสหรือมีใครกลับมา ขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็เลยถือโอกาสไปสำรวจบ่อปลากับเล้าไก่ จะเดินไปดูทุ่งนาก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เห็นทุ่งนาแต่ไม่เห็นทางเดินไป เวลาอาทิตย์อัสดงที่เธอเคยหลงใหลกลับไม่น่าสนใจเมื่อใจยังจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ชีวินเอากอหญ้ามาฝากครูจรัส
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“คุณหมอ สวัสดีค่ะ” กลุ่มนักเรียนหญิงที่อยู่ในเล้าไก่พร้อมใจกันร้องทักเธอเมื่อเธอเดินไปหยุดดูที่หน้าประตูทางเข้า
เล้าไก่ของโรงเรียนเป็นที่อาคารโล่ง ๆ มีตาข่ายโปร่ง ๆ กันไก่ออกไปข้างนอก มีถังใส่อาหารและน้ำห้อยเป็นระยะ ฝูงไก่เดินไปมาเต็มเล้า เขาไม่ได้เลี้ยงแบบฟาร์มไก่ไข่ที่ให้แม่ไก่อยู่เป็นช่อง ๆ ได้แต่จิกอาหารกับออกไข่ แต่เป็นการเลี้ยงแบบปล่อยเดินอิสระในพื้นที่โรงเลี้ยงนี้
“สวัสดีคะ ทำอะไรกันอยู่คะ” รัญรัมภาทักทายเด็ก ๆ ที่กำลังสับฟักทองกับเศษผักให้ไก่
เด็ก ๆ จำเธอได้เพราะเคยมาให้ความรู้เรื่องสุขอนามัยอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยได้เข้ามาสำรวจโรงเรียนละเอียดขนาดนี้ มาทีไรก็มาอบรมอยู่ในแค่หอประชุมแล้วก็กลับ และเธอก็ไม่ได้มาอีกหลายเดือนตั้งแต่ก่อนที่คนรักคนล่าสุดจะแต่งงาน
“ให้อาหารไก่ค่ะ คุณหมอเอาไข่ไปทานไหมคะ ไข่อนามัยเลี้ยงด้วยหลักการธรรมชาตินะคะ” เสียงเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งอธิบายอย่างฉะฉานราวกับนักวิชาการเกษตร
“หมอไม่ได้ทำกับข้าวทานเองค่ะ” รัญรัมภาปฏิเสธอย่างสุภาพเพื่อไม่ให้เด็กเสียใจเพราะเห็นในตะกร้ามีไข่ไก่อยู่เกือบเต็ม เด็กเหล่านี้คงอยากให้จริง ๆ เป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้นิสัยใจคอคนต่างจังหวัดมาตลอดระยะเวลาสามปีนี้ ถ้าบอกว่าให้ก็คืออยากให้ ไม่ใช่ให้ตามมารยาท
“อร่อยนะคะคุณหมอ ยิ่งไข่สดใหม่ยิ่งอร่อยค่ะ” เด็กหญิงคนนั้นยังคะยั้นคะยอ รัญรัมภานึกออกแล้วว่าเด็กคนนั้นคือเภตราลูกสาวร้านกาแฟโบราณร้านโปรดของเธอนั่นเอง
“หมอไม่มีเวลาทำหรอกค่ะ” เธอยังปฏิเสธ
“เอาไปต้มกินกับข้าวสวยก็อร่อยแล้วค่ะ” เภตราพยายามหาทางให้หมอรับน้ำใจที่เธอมีให้
“ขอบคุณค่ะ ไม่ดีกว่า เอาไปจะทิ้งไว้ในตู้เย็นเปล่า ๆ ขอบคุณมากค่ะ” รัญรัมภาพยายามพูดให้ดูดี ทั้งที่ความจริงที่ไม่อยากบอกคือเธอทำกับข้าวไม่เป็น ยกเว้นต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับอุ่นอาหารกล่อง
“น่าเสียดายจังค่ะ ถ้าไปกรุงเทพไม่ได้ทานแบบนี้หรอกนะคะ” เภตราพูดจาราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักเมืองใหญ่เป็นอย่างดี ทั้งที่ทั้งชีวิตได้ไปกรุงเทพไม่กี่ครั้ง
ก็คงจะครูจรัสนั่นแหละที่สอนไว้จากที่รู้ว่าเภตราเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่างเพราะครูจรัส พอนึกได้รัญรัมภาเลยถือโอกาสถามหาครูจรัสกับเด็ก ๆ กลุ่มนี้
“ครูจรัสไปเยี่ยมพี่สุภาค่ะ สักพักคงกลับค่ะ ไปตั้งแต่หลังเลิกเรียนแล้ว”
เมื่อรู้ว่าครูจรัสไปไหน รัญรัมภาก็ไม่ถามอะไรต่อ พี่สุภาอาจจะเป็นเพื่อนหรือเป็นญาติของเขา เธอขอตัวไปเดินดูแปลงผักที่อยู่เลยเล้าไก่ พื้นที่หลังโรงเรียนตลอดแนวนี้เป็นส่วนของการทำเกษตรผสมผสานทั้งหมด แต่เธอก็ยังหาทางเดินลงไปท้องนาไม่ได้
ตะวันคล้อยลงไปมากกว่าเดิม เด็ก ๆ เริ่มเตรียมตัวกลับบ้าน รัญรัมภาจึงเดินย้อนกลับมาที่หน้าบ้านครูจรัสอีกครั้ง เด็กสาวสี่ห้าคนเดินหยอกล้อกันออกมาจากเล้าไก่ พวกเขายังอยู่ในวัยที่สดใส มีความสุขกับชีวิตไม่ต้องคิดอะไรมากมายนอกจากตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด
ภาพของเด็กกลุ่มนี้ช่างต่างกับชีวิตเธอในสมัยมัธยมโดยสิ้นเชิง หลังเลิกเรียนเธอต้องรีบไปเรียนพิเศษ วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีเว้น แล้วก็เป็นผลดีที่เธอสามารถสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ของสถาบันผลิตแพทย์อันดับต้น ๆ ของประเทศได้ แต่ชีวิตวัยรุ่นหายไป เธอจึงมาสัมผัสชีวิตวัยรุ่นได้สุดเหวี่ยงตอนมาอยู่หอพักนักศึกษาแพทย์
เพื่อนผู้ชายจากต่างจังหวัดสอนให้เธอรู้จักเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ และเพื่อนนักศึกษาพยาบาลคนหนึ่งซึ่งบังเอิญต้องเรียนปรับพื้นฐานด้วยกันก็สอนให้เธอรู้จักความรักในแบบที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
มันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้นและก็เปลี่ยนผันเปลี่ยนคนเรื่อยไปจนรู้สึกฝังใจว่าความรักในรูปแบบเธอนั้นไม่มีวันยั่งยืนได้ จึงไม่อยากรักและคาดหวังกับใครอีก แต่ก็ไม่เคยทำได้จริง ๆ สักครั้ง แม้จะผิดหวังซ้ำ ๆ
รถจักรยานยนต์แต่งแบบวัยรุ่นขับมาจอดที่หน้าพักครูข้างรถของเธอ จากชุดที่สวมใส่ทำให้รู้ว่าเป็นเด็กนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวะ คนขับตัวสูงผอมบาง แต่ท่าทางทะมัดทะแมง พอจอดรถเสร็จก็ถอดหมวกกันน็อคออกมาสะพัดผมซอยสั้นสองสามทีให้เข้าทรง ใบหน้าที่ไม่มีอะไรปิดบัง แม้ท่าทางจะห้าวหาญอย่างไรแต่ใบหน้านั้นก็ยังเป็นผู้หญิง
“มีคนเป็นเพื่อนกลับบ้านแล้วสิเภตรา” เด็กหญิงกลุ่มนั้นส่งเสียงแซวเพื่อนอย่างสนุกสนานขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีรถจักรยานยนต์คันนั้นมาจอด
รัญรัมภาชะงักฝีเท้าหยุดเดินทันที เหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้เธอไม่กล้าเดินไปใกล้เด็กกลุ่มนั้น อยู่ ๆ เธอก็หวาดหวั่นกับภาพที่ซ้อนขึ้นมา เภตราทำท่าเขินอายเมื่อเดินไปใกล้ถึงเจ้าของรถจักรยานยนต์ ระยะที่ห่างไกลเธอไม่ได้ยินว่าเด็ก ๆ คุยอะไรกัน สักครู่ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เภตราเดินไปคว้ารถจักรยานที่จอดอยู่ข้างรั้วบ้านพักครูปั่นออกไป โดยมีนักศึกษาอาชีวะคนนั้นขับรถช้า ๆ ขนาบข้างไปเรื่อย ๆ
คล้อยหลังเภตรา ลูกหมาตัวสีน้ำตาลอ้วนกลมก็วิ่งออกมาจากรั้วบ้านอีกฝั่งของบ้านพักครูจรัส มันเห่าเสียงดังแหลมเล็กอย่างลูกหมาด้วยความดีใจวิ่งตรงมายังรถของเธอและดม ๆ สำรวจไปตรงบริเวณประตูคนขับ
“กอหญ้า” รัญรัมภาตะโกนเรียกด้วยความดีใจนั่งลงไปรอรับมันที่ทันทีที่ได้ยินเสียงเธอก็ผละจากรถวิ่งตรงหาทันที
มันกระดิกหางรัวเร็วจนหมุนเป็นวงกลมด้วยความดีใจ พยายามเกาะเกี่ยวปีนป่ายจะขึ้นมาบนตัวเธอให้ได้ ลิ้นสีแดงหอบห้อยหายใจแฮ่ก ๆ ทั้งด้วยความเหนื่อยจากที่วิ่งมาอย่างเร็วและความดีใจ
“เป็นไง คิดถึงหมอไหม ไปไหนมา” รัญรัมภาจับตัวมันให้นิ่ง ๆ และถามราวกับว่ามันจะฟังเข้าใจ
พอเจอกอหญ้าเธอก็ลืมว่าตั้งใจจะมาทำอะไร สิ่งที่คิดไว้มลายหายไปหมดและยิ่งโกรธไม่ลงเมื่อครูจรัสเดินตาม กอหญ้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า รัญรัมภาอุ้มกอหญ้าขึ้นมา รู้สึกว่ามันหนักกว่าเดิมมาก ตัวกลม ๆ นั้นเย็นชื้นเปียกน้ำ ความรักสะอาดของเธอหายไปเมื่อได้เจอกอหญ้า เธอไม่สนใจว่ามันจะทำให้เสื้อผ้าเธอเปราะเปื้อนหรือไม่
“สวัสดีคะคุณหมอ” จรัสตะวันเป็นฝ่ายทักทายก่อนด้วยน้ำเสียงก้ำกึ่งเกรงใจ ก้ำกึ่งไม่มั่นใจ
เธอไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะต้องมาเจอกับรัญรัมภาในลักษณะนี้ ชีวินบอกว่าจะมารับกอหญ้าเอง เพราะหมอรัญเป็นคนหวงของมาก เขาไม่อยากให้เธอมีปัญหา แต่กลายเป็นว่ารัญรัมภากลับมาเองโดยไม่บอกไม่กล่าว เธอสงสัยตั้งแต่ที่เดินมาถึงหลังบ้านแล้ว อยู่ ๆ กอหญ้าก็หูตั้งวิ่งลิ่วมาหน้าบ้าน สัญชาตญาณของมันละเอียดอ่อนกว่าที่มนุษย์จะรับรู้ได้ มันอาจจะได้กลิ่นหรืออะไรบางอย่างที่รู้ว่าเจ้าของตัวจริงมารับแล้ว
สุนัข ไม่ว่าจะไปอยู่กับใครที่ไหน สุขสบายอย่างไรมันก็ยังซื่อสัตย์กับเจ้าของคนแรกเสมอ ผิดกับมนุษย์ที่พร้อมจะทรยศกันได้ทุกเมื่อเมื่อมีโอกาส
“สวัสดีค่ะ” รัญรัมภากลับทำตัวไม่ถูกเมื่อได้เผชิญหน้ากับครูจรัสจริง ๆ สิ่งที่คิดจะทำก็ลืมไปหมด
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เอากอหญ้ามาเลี้ยงไม่ได้บอกหมอ” จรัสตะวันตัดสินใจพูดตามความจริง เพราะไม่มีสิ่งใดจะดีเท่าการพูดความจริง
“เอ่อ ครูเอากอหญ้ามาเลี้ยงเหรอคะ” รัญรัมภาไม่รู้จะหาคำพูดอะไรที่ดีกว่านี้
“ค่ะ พอดีสงสาร ไม่อยากให้เขาอยู่แต่ในกรง เลยขอหมอวินเอามาเลี้ยงให้ชั่วคราว ต้องขอโทษคุณหมออีกครั้งนะคะ”
กิตติศัพท์ความหวงของของรัญรัมภาที่รู้จากหมอวินมานั้นช่างน่ากลัว แต่พอมาเจอกันจริง ๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนั้น หมอรัญยังไม่ได้ต่อว่าอะไรสักคำด้วยซ้ำ แต่เธอก็รู้สึกทำผิดที่ไปเอาของเขามาโดยไม่ขออนุญาตก่อน
รัญรัมภารู้สึกหัวใจพองโตเมื่อได้ยินคำนั้น จรัสตะวันขอกอหญ้ามาเลี้ยงเอง ไม่ใช่ชีวินเอามาให้เลี้ยง เพียงเท่านี้ความเหนื่อยจากการไปประชุม และความร้อนรุ่มที่คุกรุ่นในใจก็หายเป็นปลิดทิ้ง สิ่งที่เธอคิดไปเองมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
“ต้องขอบคุณครูมากกว่าค่ะ ที่ช่วยเอากอหญ้ามาเลี้ยง” รัญรัมภาพูดได้เท่านั้น แล้วก็หาคำพูดมาต่อไม่ได้ ผิดวิสัยคนอย่างหมอรัญแท้ ๆ
“หมอจะรับกอหญ้ากลับเลยหรือเปล่าคะ พอดีว่าต้มปลาเผื่อเขาไว้แล้ว ให้เขากินข้าวก่อนได้ไหมคะ”
จรัสตะวันมองลูกหมาในอ้อมแขนรัญรัมภาด้วยความอาลัย แม้จะได้มาอยู่ไม่กี่วันแต่มันก็ทำให้เธอมีความสุขอย่างประหลาด มันฉลาดและพูดรู้เรื่อง ตอนกลางวันเธอให้มันอยู่แต่ในบริเวณบ้านซึ่งมีรั้วแค่เพียงไม้ระแนงตีไว้ให้รู้อาณาเขตเท่านั้น มันก็ไม่เคยออกมาข้างนอกแม้จะมุดรั้วออกมาได้ มันจะรออยู่ในบ้านจนกว่ากลางวันที่เธอจะมาหาและรออีกเวลาคือตอนเย็นหลังเลิกเรียนที่ได้ออกไปวิ่งเล่นกับนักเรียนบ้าง กับหมาตัวอื่นในโรงเรียนบ้าง แต่ไม่ว่าเธอจะย่างก้าวไปไหนมันจะไม่ให้เธอห่างสายตาเป็นอันขาด ขนาดนี้วันนี้เธอไปเยี่ยมบ้านมันยังวิ่งตามและทำตัวเรียบร้อยรอคอยจนเธอทำธุระเสร็จ
“ได้ค่ะ ได้” รัญรัมภาตอบรับเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และลืมไปด้วยซ้ำว่าจรัสตะวันกับชีวินนั้นอาจจะมีความสัมพันธ์กันในระดับที่มากกว่าเพื่อน
เธออุ้มกอหญ้าและเดินตามจรัสตะวันไปยังบ้านพักครูด้วยความไม่เข้าใจว่าเธอกำลังทำอะไร พอประตูรั้วบ้านเปิดเธอก็วางกอหญ้าให้มันวิ่งเข้าไปเอง
“คุณหมอไปล้างมือล้างแขนที่ก๊อกน้ำนั้นก่อนก็ได้ค่ะ” จรัสตะวันหันมาบอกในขณะที่กำลังไขกุญแจเข้าบ้าน เสื้อของรัญรัมภามีรอยด่างจากน้ำที่มาจากตัวกอหญ้า ซึ่งบัดนี้กำลังไปวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อกับแมลงปอที่มาบินว่อนอยู่ในสนามหญ้าโล่ง ๆ ข้างบ้านนั้น
ล้างมือล้างแขนเสร็จเธอเดินตามเข้าไปในบ้าน ชั้นล่างเป็นห้องโล่ง ๆ ที่มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ติดผนังกับตู้กระจกใส่เอกสารใบใหญ่ ที่มีหนังสือและแฟ้มเอกสารเต็มอยู่ในนั้น พื้นที่นอกนั้นก็โล่ง ๆ ตรงมุมห้องมีกองผ้าเช็ดตัวเก่าวางอยู่กับตุ๊กตาเน่าตัวนั้นและเก้าอี้พลาสติก คงเป็นที่นอนของกอหญ้า รัญรัมภาแอบยิ้มอย่างดีใจเมื่อรู้ว่ากอหญ้าได้นอนในบ้าน แสดงว่าจรัสตะวันต้องดูแลมันอย่างดีสังเกตจากที่มันอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ทานน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวขอทำข้าวให้กอหญ้าก่อน” จรัสตะวันเอาน้ำมาให้และรีบหายไปในครัวที่อยู่ด้านหลัง
รัญรัมภายกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร ในห้องนี้ไม่มีแม้กระทั่งโทรทัศน์ ไม่มีการจัดสิ่งของมาประดับตกแต่งแต่อย่างใด นอกจากโต๊ะที่เธอนั่งที่คงเป็นทั้งโต๊ะทานอาหารและโต๊ะทำงาน สังเกตจากกองเอกสารกองใหญ่ที่วางอยู่ติดผนัง
ไม่นานจรัสตะวันก็ออกมาพร้อมกับชามข้าวใบใหญ่ เธอเอาไปวางไว้ที่เก้าอี้พลาสติกเพื่อให้หายร้อนก่อนจะเอาไปให้กอหญ้าที่ยังวิ่งเล่นสนุกอยู่นอกบ้าน
“ถ้ากอหญ้ากลับไปแล้วไม่มีข้าวแบบนี้ให้กินจะทำอย่างไงคะ” รัญรัมภามองข้าวในชามที่มีน้ำแกงจืดผสมกับเนื้อปลาคลุกให้ แล้วกังวลว่ากอหญ้าจะยอมกลับมากินอาหารเม็ดหรือไม่ เธอคงไม่สามารถทำอาหารแบบนี้ให้กอหญ้าได้
“กินได้ค่ะ ลองแล้ว กอหญ้ายังกินอาหารเม็ดได้เหมือนเดิม จะบอกว่ามีอะไรเขาก็กินอันนั้นแหละค่ะ” จรัสตะวันอธิบายเพื่อให้รัญรัมภาสบายใจ ในใจก็คิดว่าหมาก็เหมือนคน ใครจะทนกินอาหารซ้ำ ๆ รสชาติเดิม ๆ ได้ทุกวัน
“อ่อ ค่ะ ถ้ากอหญ้าไม่ยอมกินอาหารเม็ด หมอคงลำบากแน่”
รัญรัมภาค่อยสบายใจขึ้น จรัสตะวันอยากจะพูดว่าถ้าหมอเลี้ยงไม่ได้ก็ยกให้เธอเลยก็ได้ แต่ก็ยั้งไว้เพราะรู้ว่าอย่างไรหมอรัญก็คงรักกอหญ้ามาก ไม่อย่างนั้นคงไม่มารับกลับด้วยตัวเอง
“หมอจะไปเล่นกับกอหญ้าก่อนก็ได้นะคะ คงอีกสักพักว่าข้าวจะเย็นกินได้ ฉันต้องขอตัวทำกับข้าวก่อน”
จรัสตะวันพูดอย่างเกรงใจที่ปล่อยให้หมอรัญต้องมานั่งแกร่วคนเดียว แต่เธอเคี่ยวน้ำแกงไว้ต้องไปดูก่อนที่มันจะไหม้ จะชวนหมอรัญทานข้าวด้วยก็ไม่กล้า เกรงว่าจะหมอจะทานอาหารแบบบ้าน ๆ ไม่ได้ จำได้วันที่พาเด็กตกต้นไม้ไปโรงพยาบาล ป้ามลมาบ่นกับเธอเรื่องหมอคนหนึ่งที่กินยากที่สุด แล้วเธอก็จำหน้าได้ว่าหมอคนนั้นคือหมอรัญคนนี้
“ครูมีกับข้าวอะไรทานคะ” รัญรัมภาทำท่าสนใจ เมื่อได้ยินว่าครูจรัสทำกับข้าว
“เอ่อ กับข้าวง่าย ๆ ค่ะ” จรัสตะวันตอบกลาง ๆ
“อะไรล่ะคะ กอหญ้าก็มีข้าวกินแล้ว หมอยังไม่มีอะไรกินเลย”
ความเคยชินในการฉวยโอกาสกลับมา ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ทำร้ายเพื่อน
“หมอคงทานไม่ได้หรอกค่ะ” จรัสตะวันเลี่ยงตอบไปอย่างอื่น
“ยังไม่รู้เลยว่ากับข้าวอะไร แล้วรู้ได้ไงว่าหมอจะกินไม่ได้”
สายตาของรัญรัมภาที่มองมาตรง ๆ นั้น ทำให้จรัสตะวันหาทางออกไม่ได้ รู้สึกพลาดไปตั้งแต่ที่บอกให้รู้ว่าเธอทำกับข้าวทานเอง เธอเกรงใจที่จะชวนหมอรัญทานข้าวด้วยเพราะคิดว่าหมอคงไม่สะดวกใจในการทานอาหารกับคนที่พึ่งรู้จักกันและอาหารนั้นยังเป็นอาหารที่ทำง่าย ๆ เก็บผักเก็บหญ้าแถวนี้มาทำ
“ไหนทำอะไร ให้หมอดูก่อนก็ได้แล้วจะบอกว่ากินได้หรือไม่ได้” รัญรัมภารุกต่อ และถือวิสาสะเดินเข้าไปในครัว เพราะเห็นแล้วว่าบ้านนี้ไม่มีสมบัติอะไรให้เจ้าของต้องระวัง
จรัสตะวันเดินตามไป นึกแปลกใจ หมอรัญไม่ได้เป็นทั้งอย่างที่ป้ามลและชีวินบอกสักอย่าง ตั้งแต่มาเธอยังไม่ได้ยินคำพูดอะไรที่บ่งบอกว่าหมอรัญไม่พอใจที่เธอเอากอหญ้ามาเลี้ยง และยังเรื่องกินยากอีก
หม้อใบเล็กที่เปิดฝาทิ้งไว้บนเตาไฟนั้นมีควันฉุยออกมาพร้อมกับกลิ่นอาหารมาแตะจมูก
“น่ากินจัง ครูทำอะไรกินคะ” รัญรัมภาชะโงกดูในหม้อแกง แต่ควันที่พวยพุ่งออกมาจึงทำให้ไม่สามารถเห็นอาหารในหม้อได้ชัดได้แต่กลิ่นหอมของสมุนไพรที่แยกไม่ออกว่ามีกลิ่นอะไรบ้าง
“แกงเลียงค่ะ” จรัสตะวันตอบสั้น ๆ ก่อนที่จะเดินไปหยิบทัพพีมาคนหม้อแกงแล้วดับไฟ พอควันหายไปก็ได้เห็นอาหารในหม้อชัด ๆ
แกงเลียงของครูจรัสมีผักสารพัดชนิดแต่ไม่เห็นมีเนื้อปลา หรือว่าเอาไปให้กอหญ้าหมดแล้ว
“ครูทำแกงเลียงไม่ใส่ปลาเหรอคะ” รัญรัมภาถามเพราะนอกจากไม่เห็นแล้วยังไม่ได้กลิ่นด้วย
“ใส่สิคะ แต่โขลกละเอียดผสมเป็นน้ำแกงไปแล้วค่ะ”
“ขอโทษค่ะ หมอไม่รู้ว่าแกงเลียงทำแบบนี้ มื้อนี้จะให้หมอกินข้าวด้วยได้หรือยัง” รัญรัมภามัดมือชกเอาดื้อ ๆ พูดแบบนี้ใครล่ะที่จะกล้าปฏิเสธ
“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณหมอทานได้ เดี๋ยวฉันทำไข่เจียวเพิ่มอีกอย่าง คุณหมอไปรอข้างนอกก่อนดีกว่าค่ะ เอาข้าวไปให้กอหญ้าก็ได้ ป่านนี้คงเย็นแล้ว”
จรัสตะวันไม่สามารถปฏิเสธได้ ถ้าเธอทานคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่นี่มีแขกมาเพิ่มกับข้าวอย่างเดียวก็ดูน้อยเกินไปและคงไม่เหมาะ แม้แขกจะมาแบบไม่ทันตั้งตัว
รัญรัมภาเดินออกมาข้างนอกตามที่จรัสตะวันบอก หยิบชามข้าวออกไปให้กอหญ้ากินอย่างอารมณ์ดี มองดูกอหญ้ากินข้าวพร้อมกับได้กลิ่นไข่เจียวหอมแปลก ๆ มาจากในครัว
เป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุด แกงเลียงซึ่งปกติรัญรัมภาจะไม่ทานเพราะมันมีกลิ่นคาวปลา แต่แกงเลียงของครูจรัสไม่มีกลิ่นคาวสักนิด และยังมีไข่เจียวใส่ใบโหระพาที่เธอได้กลิ่นหอมแปลก ๆ มาเพิ่มอีกอย่าง ใครบอกว่าเธอกินยาก อยากให้มาดูตอนนี้จริง ๆ ความจริงแค่ข้าวไข่เจียวเธอก็กินได้แล้ว แต่ไม่มีใครทำให้ต่างหาก
อยากขอบคุณกอหญ้าที่พาให้เธอต้องมาในวันนี้ อยากขอบคุณอะไรก็ได้ที่ดลใจให้ครูจรัสขอกอหญ้ามาดูแลให้ระหว่างที่เธอไม่อยู่ หลังจากโรงพยาบาลเธอผ่านเกณฑ์ของโครงการยังมีอีกหลายครั้งที่ต้องไปประชุมที่กรุงเทพ
“แล้วหมอจะพากอหญ้ามาเยี่ยมครูนะ”
รัญรัมภาบอกเมื่อให้กอหญ้าขึ้นบนรถเรียบร้อยและรับถุงอาหารเม็ดมาจากครูจรัส แล้วเห็นสายตาที่มองกอหญ้าอย่างอาลัยอาวรณ์ จรัสตะวันไม่ตอบแต่พยักหน้ารับและกล่าวคำลาให้รัญรัมภาขับรถพากอหญ้ากลับไป
“เรานี่ไม่ใช่เล่นนะ” รัญรัมภาลูบหัวกอหญ้าที่ตาปรือนอนเอาคางพาดขาและหลับตาลง เกิดเป็นหมาไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ได้กิน เล่น นอนก็พอแล้ว แต่ตอนนี้คนที่เป็นเจ้าของกำลังคิดมากกว่าที่หมาหรือแม้แต่คนที่พึ่งจากมาจะเข้าใจ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จรัสตะวันเก็บจานชามไปล้างทั้งของหมาและของคน ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับลงมานั่งทำงาน กองผ้าเช็ดตัวเก่า ๆ กับตุ๊กตาเน่าที่มุมห้องยิ่งทำให้เหงา อยากจะเอาลูกหมามาเลี้ยงเป็นของตัวเอง แต่ในโรงเรียนก็ไม่มีลูกหมาตัวไหนยอมห่างแม่แต่พอโตมามันก็ไม่ยอมจะมาอยู่ในรั้วบ้านแบบนี้แล้ว หรือหมาที่วัดที่เธอพึ่งขอยาชีวินไปช่วยรักษาเห็บหมัดและขี้เรื้อนก็มีเณรเด็ก ๆ ที่รักพวกมันมากดูแลอยู่ วันที่เธอเอายาไปให้พร้อมกับลูกศิษย์ผู้ชายสองสามคน ทั้งเณรทั้งพระต่างดีใจ มาฟังเธออธิบายวิธีการใช้ยาอย่างตั้งใจและช่วยกันจับหมาในวัดมาจนครบทุกตัว
แต่ที่มากไปกว่านั้น ไม่มีหมาตัวไหนเหมือนกอหญ้าที่มันเจียมตัวว่าถูกทอดทิ้งและมีคนเมตตาเก็บมาเลี้ยงให้รอดตายอย่างหวุดหวิด แม้มันจะเป็นสัตว์มันก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกัน
อย่าจมปลักกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และอย่าหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยหมอรัญที่บอกว่าจะพากอหญ้ามาหาบ้าง คิดได้อย่างนั้นก็ลงมือทำงานแม้จะรู้สึกเหงาอย่างประหลาด
นั่งทำงานไปได้ครู่ใหญ่ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ตั้งแต่ย้ายกลับมาบ้าน โทรศัพท์มือถือก็แทบไม่มีความสำคัญ คนแถวนี้ยังนิยมสื่อสารด้วยการเห็นหน้ากัน นาน ๆ นอกจากมีธุระจำเป็นเร่งด่วนจึงจะใช้การติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์
“ครูจรัสใช่ไหมครับ” เสียงผู้ชายปลายสายทำให้เธอขมวดคิ้ว
“ค่ะ” เธอรับคำโดยที่ยังนึกไม่ออกว่าเพื่อนผู้ชายคนไหนบ้างที่มีหมายเลขโทรศัพท์ของเธอ
“ผมพ่อของเภตรานะครับครู”
พอรู้ว่าเป็นใครเธอยิ่งแปลกใจ ปกติถ้าผู้ปกครองจะติดต่ออาจารย์ก็มักจะมาหาที่โรงเรียนหรือโทรศัพท์มาที่โรงเรียนในเวลาราชการ
“ค่ะ คุณพ่อมีอะไรคะ” จรัสตะวันรู้สึกหวั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่พ่อของเภตราโทรมาตอนนี้
“เภตราไปทำรายงานอะไร เขามาบอกว่าจะไปทำรายงานวิชาครูจรัส ครูสั่งรายงานอะไร ทำไมต้องทำจนค่ำครับ” น้ำเสียงนั้นไม่เชิงตำหนิแต่เป็นเชิงสงสัยมากกว่า เภตราเป็นเด็กเรียบร้อยและตั้งใจเรียนมาตลอด
“คะ รายงาน” จรัสตะวันหยุดคำพูดที่คิดจะพูดออกไปไว้ได้ก่อน และเปลี่ยนเป็นคำพูดใหม่
“เดี๋ยวดิฉันดูก่อนนะคะพอดีมีสั่งรายงานเด็กหลายกลุ่มค่ะ”
เธอตัดสินใจโกหกไปก่อนแม้ว่ามันจะผิดจรรยาบรรณครู แต่เธอก็รู้ว่าเภตราต้องมีเหตุบางอย่างในวันนี้ก่อนที่จะให้ผู้ปกครองต้องกังวลใจ เธอเข้าใจช่วงชีวิตวัยรุ่นว่าบางครั้งก็อยากจะมีโลกส่วนตัวกับเพื่อนบ้าง แม้เธอจะไม่เคยมีโลกอย่างนั้นก็ตาม และการที่ผู้ปกครองโทรมาถามเธอแทนที่จะถามลูกเอง แสดงว่าเขาก็น่าจะมีเหตุผลอะไร
กดโทรศัพท์ไปหาเภตรา เธอจะมีหมายเลขโทรศัพท์ของลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้สองสามคนเผื่อบางครั้งต้องติดต่อในเวลาที่เธออาจจะไม่ได้เข้าสอนเพราะมีงานอื่นเร่งด่วน
“เภตรา หนูอยู่ไหน” จรัสตะวันถามทันทีที่ได้ยินเสียงสวัสดีของลูกศิษย์
“อยู่บ้านเพื่อนค่ะ” เสียงนั้นตอบมาเบา ๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน
“เพื่อนคนไหนคะ” น้ำเสียงจรัสตะวันเปลี่ยนไป ไม่ใช่ครูจรัสที่แสนจะใจดีเหมือนเคย
“เพื่อนในตลาดค่ะ” เภตราตอบไม่เต็มเสียงนัก
“มืดค่ำป่านนี้ทำไมหนูยังไม่กลับบ้าน พ่อหนูโทรมาหาครู หนูควรกลับบ้านได้แล้ว”
“ค่ะ หนูจะรีบกลับเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
จรัสตะวันกำโทรศัพท์แน่นเพื่อระงับความรู้สึกบางอย่าง ฟังจากน้ำเสียงที่ลูกศิษย์ตอบมาก็รู้ว่าอยู่กับใคร เป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นและถือเป็นหน้าที่โดยตรงที่ต้องป้องกันไม่ให้ลูกศิษย์ถลำลึกไป เธอไม่ต้องการให้ลูกศิษย์มีชีวิตที่ผิดที่ผิดทาง โดยเฉพาะลูกศิษย์อย่างเภตราที่ดูว่าจะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน
ออกจากบ้านครูจรัสมา รัญรัมภาก็นึกได้ว่าน่าจะซื้อไก่ย่างที่ตลาดไปไถ่โทษพวกยามเฝ้าหมู่บ้านที่มันอุตส่าห์ดีใจเมื่อได้ยินเสียงรถเธอ แต่เธอกลับไม่สนใจเพราะมันแต่คิดจะไปเอาของตัวเองคืน ดังนั้นจึงขับรถเลยไปในตลาด รถเข็นขายไก่ย่างจะมาตั้งที่หน้าร้านกาแฟโบราณในตอนเย็นเป็นประจำ
รัญรัมภาได้ที่จอดรถห่างออกมาจนถึงมุมตึก เลื่อนกระจกลงพอให้กอหญ้าที่หลับอยู่ได้มีอากาศหายใจก่อนที่จะลงจากรถไป มองซ้ายมองขวาเพื่อดูว่าจอดรถกีดขวางการจราจรหรือไม่ แล้วสายตาก็ไปเห็นเด็กอาชีวะรถแต่งคนนั้นกับเด็กนักเรียนหญิงคนที่เธอจำได้กำลังร่ำลากันอย่างดูดดื่มก่อนที่เด็กหญิงจะเดินจากมาในมือถือตำราเรียนสองสามเล่ม
เธอรีบหันหน้าหนีภาพนั้นและเดินไปที่ร้านขายไก่ย่าง พ่อของเภตรานั่งคุยกับเพื่อนบ้านสองสามคนกับลูกค้าที่รอซื้อไก่ย่างอีกสามสี่คน ทุกคนทักทายเธอราวกับรู้จักสนิทสนมดีทั้งที่เธอจำพวกเขาได้จริง ๆ ไม่กี่คน
“ทำรายงานเสร็จแล้วเหรอ” พ่อของเภตราร้องทักลูกสาวที่พึ่งเดินมาถึง
“ค่ะ” เภตราตอบเพียงเท่านั้นและรีบเข้าบ้าน โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ารัญรัมภาอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่รอซื้อไก่ย่างด้วย
“อย่าลืมนะ รอให้ลูกชายผมเรียนจบจากเมืองนอกกลับมา เภตราก็น่าจะจบมหาวิทยาลัยพอดี แถวนี้ไม่มีคู่ไหนจะเหมาะสมเท่าลูกชายผมกับลูกสาวเฮียแล้วล่ะ”
“ให้มันจริงเถอะ ไม่ใช่กลับมาเอาเมียฝรั่งมาด้วย ผมยกลูกสาวให้คนอื่นเลยนะ อาแปะแกอยากมีเหลนชายไว้สืบสกุลเร็ว ๆ เสียด้วยสิ ”
วงสนทนาของพ่อเภตราหัวเราะอย่างครื้นเครง มันคงเป็นเรื่องพูดคุยตามประสาพ่อแม่ที่คุ้นเคยกันดีก็อยากจะมีความเกี่ยวดองกัน สมัยนี้ไม่มีใครคลุมถุงชนกันแล้วนอกจากการคุยเล่นเผื่อเป็นจริงแบบนี้ แต่ที่สำคัญภาพที่เธอเห็นนั้นอาจจะคาดหมายได้ว่าเภตราคงไม่ชอบลูกชายของเพื่อนพ่อหรอก
เรื่องของหัวใจและความรู้สึกไม่มีใครมาบังคับใครได้
:26: :26: :26: