ตอนที่ 6
เพราะความรู้สึกบังคับไม่ได้ ผ่านมาหลายวันนับตั้งแต่รับกอหญ้ากลับมา แต่รัญรัมภายังคงไม่กล้าพาไปหาจรัสตะวันอีก เธอกลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองและสับสนขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่อกลับมาอยู่คนเดียว ความสุขในวันที่ได้นั่งทานข้าวร่วมโต๊ะเริ่มจางหายไปเมื่อความสำนึกในสิ่งที่ควรทำเริ่มกลับมา
“เรานึกว่ารัญจะโกรธเสียอีกที่เราเอากอหญ้าไปฝากครูจรัสไว้”
คืนนั้นหลังจากที่ทำงานเสร็จแล้วชีวินก็รีบโทรศัพท์มาขอโทษเธอ รวมทั้งสารภาพความรู้สึกที่เขามีต่อจรัสตะวันกับเธอ
“เราถือว่ารัญเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดที่นี่นะถึงกล้าบอก” ชีวินพูดเขิน ๆ
“แล้วบอกครูจรัสหรือยัง” รัญรัมภาพยายามพูดเหมือนปกติ โดยที่ชีวินจับความรู้สึกอื่นไม่ได้
“ยัง เราไม่กล้า ครูจรัสเขารักษาระยะห่างอยู่” น้ำเสียงของชีวินเจือด้วยความเหนื่อยใจ
“ก็เห็นสนิทสนมกันดีนี่นา” รัญรัมภาพูดไปแล้วก็นึกไปถึงภาพที่เห็นครั้งแรกที่ไปบ้านพักครู
“ รัญยังไม่ได้เข้าใกล้ครูจรัสจริง ๆ นะสิ เห็นใจดีแบบนั้นแต่เหมือนมีอะไรกั้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราก็บอกไม่ถูก บางทีเราก็รู้สึกว่าครูจรัสจะมีใจ แต่พอเข้าใกล้ไปอีกแค่นิดเดียว เขาก็ถอยห่างไปอีกไกลจนเราไม่กล้าจะทำอะไรเกินไปกว่านี้ในตอนนี้”
คงเพราะไม่เคยบอกใครและในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุดตอนนี้ ชีวินจึงพูดทุกอย่างออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ระบายออกมานั้นมันมาทับถมอยู่ในใจใครอีกคน
บางครั้งคนเราก็เลือกจะคิดในสิ่งที่แย่ต่อความรู้สึกตัวเอง ชีวินเล่าอะไรหลายอย่างแต่รัญรัมภากลับเก็บแค่ประโยคที่ว่า “บางทีเราก็รู้สึกว่าครูจรัสมีใจ” มาทำให้จิตใจต้องหม่นหมองและสับสน จนกลายเป็นหมกมุ่นกับเรื่องนี้ในเกือบทุกนาทีที่ไม่ได้ตรวจคนไข้ งานของเธอยังไม่เสียหาย ยังทำงานได้ปกติแต่ก็มีเรื่องครูจรัสรบกวนใจตลอดเวลา
“กอหญ้า คิดถึงครูจรัสไหม” รัญรัมภาละจากกองเอกสารที่เตรียมสำหรับโครงงานใหม่มาทักทายกอหญ้าที่นอนแทะกระดูกปลอมอย่างเพลิดเพลิน
มันหยุดแทะกระดูกและลุกเดินมาหา แค่ไม่กี่วันที่อยู่กับจรัสตะวันมันพูดรู้เรื่องหลายคำ เรียกชื่อก็เดินมาหา วางอาหารถ้ายังร้อนแล้วกินไม่ได้ แค่บอกว่ารอก่อน มันก็จะรอจนกว่าจะบอกว่ากินได้ เธอซื้อไก่ย่างมาอุ่นให้มันกินสลับกับอาหารเม็ดบ้างอย่างที่จรัสตะวันบอกมาว่า คนยังเบื่ออาหารแล้วหมามันจะไม่เบื่อหรือที่ต้องกินแต่อาหารเดิม ๆ ทุกวัน
“คิดถึงเหมือนกันใช่”
ไม่มีใครให้คำตอบได้นอกจากหัวใจตัวเอง เสียงเพลงวัยรุ่นที่พึ่งได้ฟังจากผับเมื่อไม่นานจากบ้านยายสายดังมา เธอเปิดหน้าต่างรับลมไว้จึงได้ยินชัดเจน ทีแรกคิดว่าเป็นเสียงจากโทรทัศน์แต่ความจริงเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ คิดในใจยายสายใช้เสียงเรียกเข้าวัยรุ่นกว่าเธออีก
พอเห็นว่าคนเรียกมาแล้วก็ไม่ให้ทำอะไร ขนมก็ไม่ได้กิน กอหญ้าก็เลยกลับไปแทะกระดูกต่อ รัญรัมภาพยายามรวบรวมสมาธิมาสู่งาน แต่เพราะความเงียบของกลางคืน เธอจึงได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพท์ที่คงมานั่งคุยติดรั้วบ้าน ไม่ใช่ยายสาย แต่เป็นเสียงห้าว ๆ ของวัยรุ่นผู้หญิง
“เจมส์ย้ายมาอยู่กับยายแล้วนะ ต่อไปนี้เราก็ได้เจอกันทุกวันแล้ว”
รัญรัมภาแค่ได้ยินแต่ไม่ได้สนใจฟัง หากการสนทนานั้นไม่เอ่ยถึงคนที่กำลังทำให้จิตใจวุ่นวาย
“ครูจรัสที่สวย ๆ ใช่ไหม ทำไมเขาไม่ชอบทอม” น้ำเสียงแข็งกร้าว และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร เสียงที่แข็งกร้าวจึงอ่อนลงในประโยคต่อมา
“เจมส์ขอโทษ แต่เรารักกันมันผิดตรงไหน”
“เขาไม่เข้าใจ แล้วทำไมต้องมาห้ามไม่ให้มีความรักในวัยเรียนล่ะ”
“บอกเขาสิว่าเจมส์พาตาไปซื้อหนังสือติวพิเศษ เจมส์ไม่เคยพาไปทำอะไรให้เสียการเรียนเลยนะ” น้ำเสียงนั้นบ่งความน้อยใจ
“ครูจรัสเขาอยู่แต่ในกรอบของครูนั่นแหละ เขาไม่มีวันเข้าใจความรักหรอก”
“โอเค เจมส์จะยอมเชื่อตา ไม่ไปหาตาที่โรงเรียนในเวลาเรียน แต่ตาต้องสัญญานะว่าจะต้องมาเจอเจมส์ทุกวัน”
บทสนทนาหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของวัยรุ่นสองคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก เธอเดาแบบค่อนข้างแน่ใจว่าคู่ที่กำลังคุยโทรศัพท์นี้คือเด็กนักศึกษาอาชีวะคนนั้นกับเภตรา หลานสาวร้านกาแฟ เมืองเล็กแค่นี้ คงไม่มีคนชื่อตาที่เป็นลูกศิษย์ครูจรัสมากนัก และยิ่งเป็นคนที่กำลังมีความรักในแบบนี้ก็คงมีไม่มาก เธอเห็นตั้งแต่ตอนที่ไปรอกอหญ้าและตอนที่ไปซื้อไก่ย่างแล้วว่าอะไรเป็นอะไร จึงพยายามไม่มองเพื่อให้เด็กรู้สึกผิดสังเกต
อีกแล้วที่เธอมักเก็บเอาคำแย่ ๆ มาคิด “ครูจรัสไม่ชอบทอม” “ครูจรัสอยู่ในกรอบ ไม่มีวันเข้าใจความรัก” คิดวนเวียนไปมาจนแทบไม่เป็นอันทำงาน เธอผ่านความรู้สึกแย่ ๆ มาก็ตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เคยสับสนเท่าครั้งนี้มาก่อนกับผู้หญิงที่เธอได้มีโอกาสคุยด้วยจริงจังแค่ครั้งเดียว
บางทีสิ่งที่ทำให้เธอสับสนอาจจะเป็นตัวตนของคนนั้นเองต่างหาก หาใช่เป็นเพราะใคร แต่ตัวตนจะเป็นอย่างไรเธอเคยใส่ใจด้วยหรือ หากเธอต้องการ ยิ่งยากยิ่งอยากเอาชนะ
“กอหญ้า” จรัสตะวันอุทานอย่างดีใจเมื่อเห็นลูกหมาตัวกลมสีน้ำตาลวิ่งฉิวมาหาในขณะที่เธอกำลังให้เด็กนักเรียนช่วยกันดายหญ้าเตรียมทำแปลงผักเพิ่ม
“มาได้ไง คิดถึงจังเลย” เธอนั่งลงรับกอหญ้าที่กระโดดตะกุยตะกายไปมาอย่างไม่กลัวเสื้อผ้าเลอะ
“พอดีหมอจะไปตลาดเลยแวะพากอหญ้ามาหาครูก่อนค่ะ” รัญรัมภาเดินตามมาทีหลังพูดตอบคำถามนั้น และถือเป็นการทักทายไปในตัว
“ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์พากอหญ้ามาหา คิดถึงอยู่พอดีเลยค่ะ”
จรัสตะวันพูดพลางขยำตามตัวกอหญ้าด้วยความหมั่นเขี้ยวไปด้วย กิริยาอาการแบบนี้ไม่น่าจะเป็นคนมีอคติกับความรักไม่ว่าจะรักแบบไหนเลยสักนิด
“กอหญ้าก็คิดถึงครูจรัสค่ะ” รัญรัมภาพูดราวกับว่ากอหญ้าพูดภาษามนุษย์ได้ ครูจรัสไม่รู้ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนั้น
“คิดถึงข้าวต้มใส่ปลาใช่ไหมล่ะ” จรัสตะวันหันไปคุยกับกอหญ้า ไม่เหลือท่าทางครูจรัสตะวันที่แข็งขันสั่งงานนักเรียนเมื่อสักครู่อยู่สักนิด
“หมอจะไปตลาดไม่ใช่เหรอคะ ฝากกอหญ้าไว้ที่นี่ก็ได้ค่ะ” เมื่อคุยกับกอหญ้าจนพอใจและปล่อยให้ไปลุยแปลงผักกับนักเรียนแล้ว จรัสตะวันจึงหันมาคุยกับรัญรัมภา
“ใช่คะ ไม่รบกวนใช่ไหมคะ ถ้าจะฝากไว้” รัญรัมภาฉวยโอกาสอันน้อยนิดนั้นทันที
“ไม่รบกวนเลยค่ะ ดีกว่าให้เขาไปอยู่ในรถ คุณหมอไม่ต้องห่วงค่ะ” จรัสตะวันพูดพลางหันไปมองกอหญ้าที่กำลังสนุกกับการไล่งับเศษหญ้าที่เด็กนักเรียนเอามาหลอกล่อ
รัญรัมภามองไปตามไปที่กลุ่มนักเรียนหลายคนนั้น แต่ไม่มีเภตรา ปกติเท่าที่รู้มาเภตรามักไม่พลาดกิจกรรมที่มีครูจรัสดูแลแบบนี้ แล้วเธอก็ได้คำตอบโดยไม่ต้องถาม
“ครู เภตราไปซื้อถุงดำตั้งนานแล้วยังไม่มาเลย พวกเราเตรียมดินเสร็จแล้วนะคะ” เด็กหญิงคนหนึ่งในกลุ่มร้องบอกมา
“ใครลองโทรศัพท์ไปตามสิคะ วันนี้จะได้กรอกดินไว้ให้เสร็จ”
รัญรัมภาไม่รู้ว่าครูจรัสจะให้เด็กทำอะไร จากที่คิดว่าทำแปลงผักก็คงไม่ใช่ ดินถูกขุดเป็นกอง ๆ และผสมส่วนผสมอะไรหลายอย่าง
“โทรแล้วค่ะ แต่ว่าตาไม่รับ” เด็กอีกคนบอกมา จรัสตะวันเริ่มหงุดหงิด
“ทำไมเภตราเหลวไหลแบบนี้” เธอพูดน้ำเสียงเคร่งเครียดพลางล้วงกระเป๋ากระโปรงสีกากีเหมือนหาอะไรบางอย่างแต่ก็มีความว่างเปล่าในนั้น
“ใครมีโทรศัพท์ลองโทรอีกครั้งสิคะ โทรศัพท์ครูอยู่บ้าน” จรัสตะวันกลับมาเป็นครูที่เคร่งขรึมอีกครั้ง
“เครื่องหนูยังไม่ได้เติมเงินค่ะ” เด็กอีกคนพูดเสียงอ่อย ๆ ด้วยความกลัวอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของครูจรัส
“ใช้ของหมอก็ได้ค่ะ” รัญรัมภาส่งโทรศัพท์มือถือให้แล้วก็ทำตัวไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ การที่ลูกศิษย์คนหนึ่งอาจจะเหลวไหลไปบ้าง คนเป็นครูต้องโกรธขนาดนี้เชียวหรือ แล้วถุงดำที่ให้ไปซื้อคือถุงดำอะไร มันสำคัญมากมายแค่ไหนกัน ถ้าสำคัญมากเธอจะไปซื้อมาให้เดี๋ยวนี้ก็ได้
ทั้งหมดนั้นรัญรัมภาได้แต่คิดในใจ และยืนเก้ ๆ กัง ๆ ระหว่างที่รอครูจรัสตัดสินใจว่าจะรับโทรศัพท์ไปหรือเปล่า
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันไปตามเองดีกว่า” จรัสตะวันพูดแล้วก็เดินลิ่วออกไป โดยที่บรรดาลูกศิษย์ได้แต่ยืนตะลึง ไม่คิดว่าครูจะตัดสินใจแบบนั้น ต่างหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกกันพัลวัน
“ทั้งไอ้เจมส์ ทั้งตา ไม่รับเลยว่ะ” ต่างพูดแบบเดียวกันและมองหน้ากันด้วยความกังวลใจ
นาทีนั้นรัญรัมภาประมวลเหตุการณ์ทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว และพอจะเข้าใจสาเหตุที่จรัสตะวันต้องโกรธลูกศิษย์ขนาดนั้น และมันก็เหมือนมีบางอย่างที่กระตุ้นความอยากเอาชนะตามนิสัยเดิมของตัวเอง
“หมอฝากหมาไว้หน่อยนะ ไปซื้อขนมหรืออะไรก็ได้ให้กอหญ้ากินหน่อย” รัญรัมภาหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้เด็กคนหนึ่งที่รับไว้อย่างงง ๆ ก่อนที่จะรีบวิ่งตามครูจรัสมา
ครูจรัสกำลังเลื่อนประตูรั้วพอดีตอนที่รัญรัมภาวิ่งมาถึง เพราะอารมณ์รีบร้อน ประตูรั้วที่เคยเลื่อนง่าย ๆ มันก็ติดขัดสะดุดไปหมด
“ครูจะไปตามที่ไหน เดี๋ยวหมอพาไปเอง” รัญรัมภารีบร้องบอกเพราะดูท่าทางว่ากว่าจะเปิดประตูได้คงอีกนาน ถ้าหากจรัสตะวันยังดึงดันจะเปิดประตูที่ล้อเลื่อนตกรางเหล็กไปแล้ว
“ขอบคุณค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหมอ อย่าลำบากเลยค่ะ” จรัสตะวันพูดโดนไม่หันมามองด้วยซ้ำ แต่ยังพยายามจะดันประตูเหล็กเตี้ย ๆ ที่ล้อเลื่อนตกรางนั้นให้มันกว้างพอจะเอารถออกได้
รัญรัมภาเข้าใจว่ายามโกรธคนเราอาจจะทำอะไรได้โดยไม่ยั้งคิด เธอทำงานกับคนป่วยที่มีอารมณ์แปรปรวนมากกว่านี้ และรู้ดีว่าบางครั้งก็ต้องปล่อยให้หมดแรงหรือสงบได้ก่อนจึงจะเข้าไปคุยใหม่ จึงได้แต่ยืนกอดอกพิงรถดูคนที่กำลังดันประตูอย่างสุดแรงเกิดจนหมดแรงอย่างที่คิด
เสื้อสีน้ำตาลมีรอยเหงื่อซึมออกมาที่แผ่นหลัง ผมที่มัดรวบไว้หลุดลุ่ยออกมาระใบหน้าที่มีเหงื่อผุดออกมาจากการออกแรงเมื่อสักครู่
“ประตูมันหลุดจากรางแล้ว มันก็เลื่อนไม่ไปแล้วล่ะ เดี๋ยวค่อยกลับมาให้ใครมาช่วยยกใส่ใหม่ ครูยังจะไปตามลูกศิษย์อยู่หรือเปล่าคะ”
น้ำเสียงของรัญรัมภาไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ แต่เมื่อคนฟังยังอยู่ในอารมณ์คุกรุ่นมันจึงมีผลกระทบรุนแรง
“บอกแล้วไงคะว่าเรื่องนี้หมอไม่เกี่ยว” จรัสตะวันหันมาพูดเสียงดังจนเกือบเหมือนตวาดและยังดึงดันที่จะเปิดประตูให้ได้ทั้งที่เสียเวลามานานแล้ว
“นี่ ครู ถ้าจะไปแล้วมัวแต่จะเปิดประตูแบบนี้ ป่านนี้ลูกศิษย์ครูไปถึงไหนแล้ว ไปกับหมอนี่แหละ”
รัญรัมภาถือโอกาสเดินไปหาฉวยข้อมือดึงจรัสตะวันมาที่รถของตัวเอง คงเพราะหมดแรงไปกับการเปิดประตูและไม่ทันตั้งตัว จรัสตะวันเดินตามแรงดึงนั้นมาอย่างง่ายดาย แถมยังให้รัญรัมภาเปิดประตูและดันเข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับอย่างงง ๆ
“จะไปตามที่ไหนคะ เห็นว่าให้ไปซื้อของ ก็คงที่ตลาดใช่ไหมคะ” พอขับรถพ้นประตูโรงเรียน ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศคงทำให้จรัสตะวันใจเย็นลง รัญรัมภาจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน
“ไปที่วิทยาลัยอาชีวะท้ายตลาดค่ะ หมอรู้จักหรือเปล่า” จรัสตะวันพอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แม้จะรู้สึกผิดที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่ใจก็ยังคงอยู่ที่ลูกศิษย์มากกว่าเรื่องอื่น
ลูกศิษย์ทำผิดเรื่องอะไร ร้ายแรงแค่ไหน เธอสามารถควบคุมจิตใจให้อภัยและคุยด้วยเหตุผลได้เสมอ ยกเว้นเรื่องนี้ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่เคยทำใจยอมรับได้สักที แล้วยิ่งเป็นลูกศิษย์เรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อยอย่างเภตรา ก็ยิ่งยอมรับไม่ได้ที่จะมาหลงทางไปแบบนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เภตราเหลวไหลนับตั้งแต่มีเด็กอาชีวะคนนั้นเข้ามา
“รู้จักค่ะ วิทยาลัยเขาขายถุงดำเหรอคะ ถุงดำอะไร” รัญรัมภาแกล้งพาซื่อ
“ขอโทษนะคะ เรื่องนี้ฉันคงบอกหมอไม่ได้” จรัสตะวันต้องพยายามระงับอารมณ์อีกครั้งกับท่าทางไม่รู้เรื่องของคนที่ขับรถมาให้
“โอเคค่ะ” รัญรัมภารับคำง่าย ๆ ทำหน้าที่คนขับอย่างตั้งใจ ในขณะที่คนนั่งข้างก็ยังควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
วิทยาลัยอาชีวะยามเย็นยังมีการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาภาคค่ำ บรรยากาศจึงไม่ต่างจากตอนกลางวัน มีนักศึกษานั่งรอเข้าเรียนตามซุ้มที่นั่งต่าง ๆ แม้ว่าจะวัยเดียวกับเด็กมัธยม แต่ด้วยลักษณะการเรียนที่ต่างกัน ท่าทางของเด็กเหล่านั้นจึงดูเป็นผู้ใหญ่กว่าลูกศิษย์ของจรัสตะวัน
“จะไปตรงไหนคะ”
พื้นที่ของโรงเรียนอาชีวะก็กว้างขวางพอสมควร พอขับรถเข้ามา รัญรัมภาก็ต้องจอดนิ่งเพราะไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วลูกศิษย์ของจรัสตะวันอยู่ตรงไหนในโรงเรียนนี้
“เดี๋ยวฉันลงไปถามเด็กนักเรียนดูก่อนค่ะ”
พอมาถึงที่จรัสตะวันก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วลูกศิษย์อยู่ที่ไหน เพียงแต่ตอนนั้นค่อนข้างมั่นใจจากพฤติกรรมเดิมที่เภตราเคยทำ เรื่องนี้มีเพียงเธอกับพ่อของเภตราเท่านั้นที่รู้
“หนู รู้จักเจมส์ไหม” จรัสตะวันถามเด็กกลุ่มหนึ่งที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่ใกล้ ๆ
“เจมส์ไหน โรงเรียนนี้มาตั้งหลายเจมส์” เด็กกลุ่มนั้นตอบห้วน ๆ ไม่ได้มีความอ่อนน้อมเหมือนลูกศิษย์เธอสักนิด แล้วแบบนี้จะให้เภตรามาคบหากับเด็กแบบนี้ได้อย่างไร เธอต้องพยายามระงับอารมณ์เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้สำหรับเย็นวันนี้
“เจมส์ที่เป็นผู้หญิงน่ะค่ะ” จรัสตะวันพยายามพูดให้แคบลง
“อ้อ ไอ้เจมส์ทอมใช่ไหม”
“นั่นแหละค่ะ” คำนั้นมันแสลงใจเธอทุกครั้งที่ได้ยิน
“มันเรียนภาคเช้า กลับบ้านไปนานแล้ว คุณมีธุระอะไรกับมัน” เด็กกลุ่มนั้นคงไม่รู้ว่าเธอเป็นครู และดูท่าทางจะเคยชินกับการพูดจาแบบนี้ไม่ว่าจะกับใคร จึงไม่สนใจความเป็นเด็กความเป็นผู้ใหญ่
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ” จรัสตะวันไม่อยากจะอยู่คุยนานกว่านั้น
เมื่อไม่อยู่ที่นี่ก็คงไปที่อื่น ที่ที่เธอไม่รู้ว่าที่ไหน เดินกลับมาที่รถด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนเป็นกังวลใจ เภตราเหลวไหลมากขึ้นและหากปล่อยไว้นานอาจจะติดนิสัยเด็กพวกนี้มาก็ได้ จะอย่างไรเธอก็ต้องไม่ยอมให้ลูกศิษย์คนไหนเป็นแบบเด็กพวกนี้
“ว่ายังไงคะ ไปไหนต่อ” รัญรัมภายังคงถามด้วยน้ำเสียงกลาง ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์เช่นเดิม
“กลับโรงเรียนค่ะ เภตราไม่ได้อยู่ที่นี่” จรัสตะวันเริ่มอ่อนแรง น้ำเสียงจึงอ่อนลง
รัญรัมภารู้ว่าเวลานี้ไม่ควรจะพูดอะไร เริ่มรู้อยู่แก่ใจถึงความรู้สึกบางอย่างที่จะกั้นทางหัวใจของเธอ แต่ยิ่งยากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งอยากเอาชนะมากเท่านั้น
จรัสตะวันนั่งเงียบมาตลอดทาง ใครจะรู้บ้างว่าหัวอกคนเป็นครูจะเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อไม่สามารถสอนให้ลูกศิษย์อยู่ในลู่ทางที่เหมาะสมได้ แล้วยิ่งลูกศิษย์ที่เคยประพฤติดีมาตลอดแต่กลับมาทำตัวเสียหายในปีสุดท้ายก่อนจบการศึกษา โดยมีเธออยู่ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา ลูกศิษย์ของเธอยังเดียงสาต่อความรักและความเป็นจริงในสังคมมากนัก ความรักที่ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งสมมติและหลอกหลวงให้หลงไปกับภาพลวงตาเท่านั้น อย่างเรื่องของหมอรัญที่เธอเคยได้ยินมา และคิดว่าเภตราก็น่าจะพอรู้เรื่องก็เป็นตัวอย่างที่ดี
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ ต้องขอโทษถ้าเผลอพูดอะไรไม่ดีกับคุณหมอไป”
พอรถจอดหน้าพักครูหลังสุดท้าย จรัสตะวันก็หันมาพูดกับเธออย่างคนที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว ผิดกับตอนขาไป
“ไม่เป็นไรค่ะ หมอเข้าใจ ไปดูกอหญ้าดีกว่าค่ะ ป่านนี้ได้กินอะไรหรือยังไม่รู้” รัญรัมภายิ้มให้ แสดงออกว่าไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ และเปลี่ยนเรื่องไปคุยในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตึงเครียดในตอนนี้
แต่สิ่งที่คิดว่าจะดีขึ้นกลับแย่ลงเหมือนเดินมาถึงแปลงผัก เภตรากับเพื่อน ๆ กำลังกรอกดินที่ผสมไว้ใส่ถุงดำใบเล็ก สำหรับเตรียมเพาะกล้าอย่างสนุกสนาน มันคงจะไม่มีอะไรถ้าหนึ่งในกลุ่มนั้นคือคนที่รัญรัมภาพึ่งพาครูจรัสไปตามหามาเมื่อสักครู่
“ครูจรัสกลับมาแล้ว” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมาเมื่อหันมาเห็น
ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณแปลงผักไปชั่วอึดใจ และก็ได้เสียงเห่าชวนเล่นของกอหญ้าดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น รัญรัมภาถือโอกาสเดินไปหากอหญ้า เภตรานั่งนิ่งก้มหน้ามองถุงดำและกองดินด้วยรู้ตัวว่าทำผิด เด็กอาชีวะที่นั่งข้าง ๆ ค่อยลุกขึ้นปัดมือให้เศษดินหลุดออก และยกมือไหว้จรัสตะวันด้วยท่าทางเก้งก้างอย่างคนไม่เคยชินกับการทำแบบนี้
“สวัสดีค่ะครูจรัส” เสียงห้าวนั้นสั่นเล็กน้อย ถึงจะกิริยาท่าทางเหมือนผู้ชายแต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็กนักเรียน แม้จะไม่ได้เป็นลูกศิษย์จรัสตะวัน แต่ความเป็นครูก็มีอิทธิพลต่อคนที่ยังอยู่ในวัยเรียน
“พากันไปไหนมา” จรัสตะวันยิงคำถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไปซื้อถุงดำค่ะ” น้ำเสียงคนตอบนั้นไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนกับเด็กที่เจอในโรงเรียนอาชีวะ แต่ว่าเป็นความไม่ชินในการพูดให้อ่อนโยนมากกว่า
“ไปซื้อถึงไหนกัน ถึงหายไปเป็นชั่วโมง ตลาดก็อยู่แค่นี้”
นาทีนี้จรัสตะวันเหมือนครูแก่ ๆ คนหนึ่งซึ่งไม่ว่าเด็กจะตอบว่าอย่างไรก็ยังผิดเสมอในสายตา ถ้าไม่ตอบตามที่ต้องการให้เป็น
“พอดีร้านในตลาดถุงขนาดนี้หมด เลยต้องออกไปซื้อร้านที่อยู่นอกออกไปค่ะ”
คำตอบนั้นไม่รู้ว่าจรัสตะวันจะเชื่อหรือไม่ หรือเด็กจะตอบตามความเป็นจริงหรือแก้ตัวก็ไม่มีใครรู้ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดการสนทนานั้น
“เภตรา ลุกมานี่” จรัสตะวันเรียกลูกศิษย์คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวจริง ๆ ให้มาหา
“คุณกลับไปได้แล้ว” และประโยคต่อมาก็บอกคนที่ยืนตรงหน้าให้กลับไป สรรพนามที่ใช้บ่งบอกถึงความวางตัวในอีกแบบ ที่ไม่ใช่แบบของคนเป็นครู
เจมส์ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมกลับไปอย่างที่จรัสตะวันบอก เหมือนอยากลองดี ยิ่งทำให้บรรยากาศอึมครึม เภตราค่อย ๆ ลุกเดินช้า ๆ มายืนข้างคนรัก รัญรัมภาได้แต่อาศัยกอหญ้าเป็นเพื่อนเล่นบังหน้า จะลากลับตอนนี้ก็ดูอิหลักอิเหลื่อ จะให้สนใจจริงจังกับเหตุการณ์ตรงหน้าก็ดูเหมือนว่าไม่เหมาะสม
“เจมส์กลับไปก่อนนะ” เภตราพูดเบา ๆ แต่ทุกคนก็ได้ยินชัดว่าน้ำเสียงนั้นมันเต็มไปด้วยความรักและความเห็นใจ
เจมส์เงียบคิดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพยักหน้าและยังไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ลาจรัสตะวัน แต่คงลืมว่ามีรัญรัมภาอยู่ด้วย
“วันนี้เก็บของกลับบ้านได้แล้วค่ะ เภตราเดี๋ยวไปคุยกับครูที่บ้าน” จรัสตะวันสั่งให้นักเรียนเก็บของและเดินไปได้สองสามก้าวจึงนึกได้ว่ามีรัญรัมภากับกอหญ้าอยู่ด้วย หันกลับมาจะพูดอะไรบางอย่างแต่รัญรัมภาชิงพูดขึ้นก่อน
“ครูไปทำธุระเถอะค่ะ เดี๋ยวหมอก็กลับพร้อมนักเรียนนี่แหละ”
“วันนี้ต้องขอโทษคุณหมอด้วยนะคะ มาแล้วไม่ได้คุยด้วยเลย” จรัสตะวันพูดด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ท่าทางกอหญ้าชอบแปลงผักนี่ วันหน้าขออนุญาตพามาอีกนะคะ”
“ค่ะ ยินดีค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
ไม่ว่าจะพูดตามมารยาทหรือพูดออกมาจากใจ แต่รัญรัมภาก็ถือว่าอนุญาตแล้ว จรัสตะวันเดินกลับไปบ้านพัก โดยมีเภตราเดินตามไปช้า ๆ เพื่อถ่วงเวลา
“ครูจรัสเกลียดทอมจะตาย ไอ้ตาไม่น่าเลย” เด็กนักเรียนต่างช่วยกันเก็บของและพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นไป ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าเพื่อนจะโดนดุอย่างไรบ้าง แต่ทุกอย่างที่คุยกันก็รัญรัมภาจับความได้ว่า “ครูจรัสเคยพูดว่า ความรักเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่มีจริง” “ครูจรัสจะรักใครเป็น หมอวินดีขนาดไหนยังไม่ชอบเลย” “ยิ่งผู้หญิงกับผู้หญิงครูจรัสยิ่งไม่ชอบ” “สรุปครูจรัสรักใครไม่เป็นหรอก”
รัญรัมภาเล่นกับกอหญ้าอีกสักพัก พอนักเรียนเก็บของเรียบร้อย เธอก็พากอหญ้ากลับพร้อมพวกเขา
“ครูจรัสเกลียดทอม”
คำพูดนั้นเหมือนกระทบกระเทือนจิตใจรัญรัมภาอย่างบอกไม่ถูก ความหมายของมันไม่ใช่แค่เกลียดกิริยาอาการ ถ้ามันแค่นั้นเธอก็ไม่รู้สึกอะไร แต่นี่มันเกลียดไปถึงความรู้สึก แล้วทำไมเธอต้องรู้สึกกับคำพูดเพียงเท่านี้ ทั้งที่เคยได้ยินคำพูดที่รุนแรงกว่านั้นมาแล้ว
วันนี้สิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง แต่กลับได้รู้อะไรที่เจ็บปวดยิ่งกว่า ไม่ชอบไม่เป็นไร แต่นี่มันไปไกลถึงคำว่าเกลียดแล้ว ความรู้สึกอย่างเอาชนะยังคงอยู่ ในขณะเดียวกันก็เกิดความไม่เข้าใจว่าทำไมจึงอยากเอาชนะผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่ไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่เธอรู้ว่าคิดแบบนี้
ตะวันเริ่มราแสงเข้าสู่ช่วงอัสดงที่เธอเคยหลงใหล แต่วันนี้หัวใจห่อเหี่ยวจนรู้สึกว่าเวลาพระอาทิตย์อัสดงกลับเป็นเวลาที่รู้สึกเศร้าที่สุด ดวงตะวันกลมโตสีส้มที่เคยเห็นว่าสวยงามก็เหมือนฉายแสงแห่งความเหงามาแทน กอหญ้าตาปรือตั้งแต่ขึ้นรถเพราะโดนแอร์เย็น ๆ เป่าตัวและก็หลับโดยที่ยังไม่พ้นประตูโรงเรียน
“หมอจะทำอย่างไงดี กอหญ้า แกจะช่วยหมอได้ไหม ช่วยให้ครูจรัสไม่เกลียดความรัก”
รัญรัมภาลูบหัวมันเบา ๆ ความรู้สึกปวดร้าวมันมากผิดปกติอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
:26: :26: :26: