ตอนที่ 15
“กอหญ้า กอหญ้า”
รัญรัมภาถือแก้วกาแฟพร้อมกับถุงใส่ขนมปังไส้กรอกที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อออกมาเรียกหากอหญ้า หลังจากที่ล้าสายตาจากการอ่านเอกสารสำหรับการประชุมในครั้งถัดไปมาตลอดวัน เธอต้องพิจารณาและตัดสินใจให้ดี หลังจากที่ทำรายงานการประชุมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล ท่านก็ให้เธอมีอำนาจตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“กอหญ้า กอหญ้า” รัญรัมภาเดินไปยังกลุ่มกระถางต้นไม้หน้าบ้านที่มันชอบไปขุดดินนอนเล่นที่นั่น
“ไปไหน ชักเอาใหญ่แล้วนะ” รัญรัมภาบ่นเมื่อมองไปที่กระถางต้นไม้แล้วไม่เห็นกอหญ้านอนอยู่เหมือนเคย เดี๋ยวนี้กอหญ้าเริ่มดื้อมากขึ้น กลางคืนไม่ยอมเข้านอนในบ้าน อาหารเม็ดที่ให้ไว้ก็ไม่ค่อยยอมกิน และวันนี้เธอเรียกแล้วยังไม่มาหา ทำให้ต้องเดินตามหาว่าไปแอบหลับหลบมุมอยู่ที่ไหน
บริเวณบ้านไม่กว้างขวางหรือมีมุมให้กอหญ้าหลบนอนได้มากนัก และมันก็ไม่ได้หลบไปไหน แต่ไปนอนแทะกระดูกกระดูกชิ้นโตอยู่ริมรั้วติดบ้านยายสาย เจมส์ชอบเอากระดูกมาให้มันบ่อย ๆ พอเดินไปใกล้ ๆ เธอจึงได้เห็นว่ามีกระดาษแบบที่ใช้ห่ออาหารวางอยู่ข้างตัวด้วย รู้สาเหตุได้ทันทีว่าทำไมอาหารเม็ดที่ให้ไว้จึงเหลือเต็มถ้วยเกือบทุกวัน
กอหญ้าชอบกินข้าวคลุกกับกับข้าวมากกว่าอาหารเม็ด แต่เธอก็ไม่ค่อยมีเวลามาทำให้ อย่างดีก็มีไก่ย่างหมูปิ้งมาฝากในบางวัน สงสารมันเหมือนกันเวลาที่กลับมามือเปล่าแล้วมันวิ่งไปกินอาหารเม็ดอย่างซังกะตาย ราวกับว่าได้อดทนหิ้วท้องรอมาทั้งวันเผื่อจะมีอาหารพิเศษมาฝาก
ความจริงวันนี้เป็นวันหยุดเธอน่าจะไปหาซื้อหมูซื้อไก่มาต้มคลุกข้าวให้กอหญ้ากิน แต่กลับใช้เวลาตั้งแต่ตื่นนอนกับการศึกษาเอกสารและเตรียมการประชุม จนบ่ายเมื่อยล้าพึ่งนึกจะเอาขนมมาแบ่งกันกิน
กอหญ้าหยุดแทะกระดูกนิดหนึ่งเมื่อเธอยื่นขนมให้แต่มันก็แค่ดมห่าง ๆ แล้วหันไปสนใจแทะกระดูกเล่นต่อ
“เดี๋ยวนี้เลี้ยงยากนะกอหญ้า” รัญรัมภาต้องฉีกขนมนั้นใส่ปากตัวเองแทน
“มันพึ่งกินข้าวมันไก่ไป คงยังอิ่มมั้งคะหมอ” เจมส์สะพายกระเป๋าผ้าเดินออกมาจากบ้านเหมือนว่ากำลังจะออกไปข้างนอก
เธอไม่เคยได้คุยกับเจมส์จริงจังนัก นอกจากทักทายยิ้มทักทายกันบ้างเวลาที่เห็นหน้ากันแต่เมื่อวานเจมส์ก็แสดงถึงความมีน้ำใจอย่างที่เธอไม่คาดคิด เจมส์ที่ทำท่าจะออกไปข้างนอกกลับเดินมาหาเธอที่ริมรั้ว
“เจมส์สงสารมัน หมอคงไม่ว่านะถ้าเจมส์จะเอาข้าวให้มันกิน”
พึ่งได้คุยจริง ๆ ครั้งแรก รัญรัมภาก็รู้สึกว่าเจมส์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ แม้คำพูดนั้นจะแข็ง ๆ ไปบ้าง
“ไม่ว่าอะไรหรอก อยากขอบคุณด้วยซ้ำไป แต่หมอไม่อยากให้เจมส์สิ้นเปลือง กอหญ้ามันกินอาหารเม็ดได้”
“ไม่สิ้นเปลืองหรอก บ้านเพื่อนเจมส์ขายข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู วันไหนเจมส์ไปเป็นเด็กเสิร์ฟ เขาก็ให้มาฟรี”
ยิ่งคุยกันรัญรัมภายิ่งได้รู้ในสิ่งที่ไม่คาดคิด ท่าทางเจมส์ที่เห็นก็เป็นเด็กอาชีวะที่เหมือนเรียน ๆ เล่น ๆ และจีบผู้หญิงไปวัน ๆ เท่านั้น
“แต่หมอเกรงใจ ถึงเขาจะให้ฟรีก็เถอะ เจมส์ก็ต้องใช้แรงงานแลกมา” รัญรัมภาไม่ชอบเอาเปรียบใคร แม้สิ่งที่เขาให้มาเหมือนจะไม่ได้ใช้เงินซื้อมา
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ เจมส์อยากเลี้ยงหมาแต่ยายยังไม่ให้เลี้ยง” ยิ่งคุยกัน เจมส์ยิ่งทำให้เธอเอ็นดู
“ทำไมล่ะ” รัญรัมภาพูดน้ำเสียงอ่อนโยนลงเหมือนเวลาพูดกับคนไข้
“ยายยังไม่เชื่อว่าเจมส์จะมีความรับผิดชอบพอ เพราะถ้าเอามาเลี้ยงยายบอกว่าเจมส์ต้องรับผิดชอบมันจนมันตาย” อยู่บ้านติดกันมาสามปี รัญรัมภามองยายสายเป็นแค่หญิงชราหัวโบราณ อยู่บ้านไปวัน ๆ ให้ลูกหลานเลี้ยง ชีวิตไม่ต้องคิดอะไร ดูรายการโทรทัศน์อะไรก็สนุกไปหมด แต่วันนี้พึ่งรู้ว่ามองคนผิดไป
“เจมส์ขออนุญาตหมอเลี้ยงกอหญ้าด้วยนะ ยายจะได้ให้เจมส์เลี้ยงหมาเร็ว ๆ ตอนนี้หมาที่โรงเรียนเจมส์กำลังท้องด้วย ถ้ามันคลอดเจมส์จะได้ขอยายเอามาเลี้ยง”
ภาพของเจมส์ในสายตาของเธอตอนนี้เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น อีกทั้งยังเชื่อฟังผู้ปกครองเป็นอย่างดี ทุกคำพูดที่สื่อสารออกมาล้วนแต่รู้สึกได้ถึงความจริงใจ มิน่าเภตราซึ่งเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ ครูบาอาจารย์มาตลอดถึงยังดื้อคบหากับเจมส์แม้จะถูกคาดโทษมาหลายครั้งแล้วก็ตาม และที่มากไปกว่านั้น เธออยากให้จรัสตะวันได้รู้จักเจมส์ มากกว่านี้ อย่าดูเพียงที่ภาพลักษณ์ภายนอก
“ได้สิ วันไหนอยู่บ้านจะเอามันไปเล่นด้วยก็ได้ ตรงรั้วผุ ๆ นั่น เจมส์ก็ดัน ๆ ไม้ออกเอาก็แล้วกัน” รัญรัมภาพูดอนุญาตพลางชี้มือให้เจมส์เห็นรั้วบ้านตรงมุมที่ผุอยู่แล้วเธอยังไม่มีเวลาให้ช่างมาซ่อม เคยหงุดหงิดตัวเองที่ปล่อยให้มันผุโดยที่ไม่รีบซ่อม แต่ตอนนี้เธอเห็นว่ามันมีประโยชน์ดี รั้วบ้านนี้ใช้ร่วมกับบ้านยายสายที่ไม่จำเป็นต้องระแวดระวังภัยใด ๆ
“ขอบคุณมากค่ะหมอ” เจมส์ยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความดีใจ
เจมส์ก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่มีพิษมีภัยใด ๆ อีกทั้งยังมีจิตใจอ่อนโยน มีน้ำใจ และยังรู้จักทำงานหารายได้ทั้งที่ยังอยู่ในวัยเรียน มีเพียงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้นที่ดูห่าม ๆ เหมือนเด็กเกเร แต่นาทีนี้เธอมั่นใจว่าเจมส์ไม่ใช่เด็กประเภทนั้น
“แล้วนี่จะไปไหน ไปทำงานเหรอ” รัญรัมภารู้สึกคุยกับเจมส์ได้สนิทสนมมากขึ้น
“ยังหรอก จะไปรับตราที่เรียนพิเศษก่อน แล้วค่อยไปทำงาน วันนี้เจมส์ทำที่ร้านบะหมี่ ร้านเปิดห้าโมงเย็นค่ะ”
น้ำเสียงของเจมส์แฝงไว้ด้วยความสุขและความภาคภูมิใจในตัวเอง กระเป๋าผ้าที่สะพายนั้นมีรอยสันหนังสือนูนออกมา เธอเดาได้แล้วว่าสาเหตุที่เจมส์กลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ก็คงเพราะไปทำงานและยังเอาหนังสือไปอ่านด้วย ถ้าจรัสตะวันรู้แบบนี้ยังจะมีอคติกับเจมส์อยู่อีกหรือเปล่า
“ขยันดีจริง อย่างนี้คุณพ่อคุณแม่คงภูมิใจนะ”
รัญรัมภาพูดตามความรู้สึกของเธอที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ก็ยังภูมิใจในสิ่งที่เจมส์ทำ แต่เจมส์กลับเฉย ๆ กับคำพูดของเธอ
“หมอไม่ไปเยี่ยมพี่สุภาเหรอคะ” เจมส์ทำท่าจะผละไปแต่กลับถามเหมือนพึ่งนึกได้
“พอดีหมอมีงานด่วนต้องทำ พรุ่งนี้ก็ต้องไปตอนสอบปากคำอยู่แล้ว” รัญรัมภาพูดแล้วหันไปหยิบแก้วกาแฟที่วางไว้ขอบรั้วขึ้นมาดื่ม มันเย็นชืดหมดแล้ว
“พี่สุภาไม่เหมือนคนทั่วไป หมอน่าจะไปให้กำลังใจก่อนนะ” เจมส์พูดทำนองให้คำแนะนำแต่แฝงเลศนัยบางอย่างที่รัญรัมภารู้สึกได้
“ไม่เป็นไรหรอก เขาอยู่กับครูจรัสแล้ว” เธอพูดตามปกติ ยกกาแฟเย็นชืดนั้นขึ้นดื่มจนหมดแก้ว โยนขนมปังในมือให้กอหญ้า มันยังสนใจแทะกระดูกมากกว่า
“พากอหญ้าไปวิ่งเล่นที่โรงเรียนสิคะ กอหญ้าชอบวิ่งเล่นที่กว้าง ๆ ชอบทุ่งนา” เจมส์ยังไม่ละความพยายาม
“วันนี้อากาศร้อน หมอว่าจะอาบน้ำให้มันหน่อย” อยู่ ๆ เธอก็เพียรหาข้ออ้างมาแก้ตัวไปต่าง ๆ นานา
ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ เหมือนเจมส์และเธอจะเข้าใจตรงกันว่าเรื่องที่คุยกัยอยู่นั้น แท้จริงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุภาและกอหญ้าเท่าใดนัก
“หมอ” เจมส์เดินมาใกล้รั้วมากขึ้น พูดเบา ๆ แต่หนักแน่นและจริงจัง
“ถ้าหมออยากได้อะไรแล้วมันมีอุปสรรคมาก ทำไมหมอไม่พิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นล่ะว่าหมอเหมาะสมกับสิ่งนั้น เหมือนที่เจมส์กำลังทำให้ยายเชื่อว่าจะเลี้ยงหมาได้ และกำลังพยายามพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเจมส์คบกับตราแล้วไม่ได้พากันไปในทางเสียหาย” เจมส์พูดในสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของเด็กวัยรุ่นที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดี
“เจมส์พูดอะไร” รัญรัมภาตอบไปเพราะยังหาคำพูดมาแย้งไม่ได้
“เรื่องหมอกับครูจรัส ใคร ๆ ก็รู้ทั้งนั้น ทำไมหมอไม่ทำให้เขาเห็นล่ะว่าหมอจริงใจ”
คราวนี้รัญรัมภาต้องยอมรับกับสิ่งที่เจมส์พูด เรื่องของเธอกับจรัสตะวันถูกใส่สีตีไข่ไปมากกว่าความจริงหลายเท่า
“เจมส์ยังเด็ก ทำอะไรอย่างดีก็โดนแค่ผู้ใหญ่ตำหนิ แต่หมอเป็นผู้ใหญ่ถ้าทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ” เธอตอบด้วยถ้อยคำที่ยอมรับโดยปริยาย เจมส์คงเข้าใจความรู้สึกของเธอดีกว่าคนอื่นในความรักแบบนี้
“หมอจะแคร์คนที่หมอรักหรือแคร์สังคมมากกว่ากัน ถ้าหมอแคร์สังคมมากกว่าหมอก็อย่ารักใคร”
รัญรัมภาถอนหายใจ เจมส์ยังเป็นเด็กและมีอิสระในการใช้ชีวิตอยู่จึงสามารถทำตามใจตัวเองได้ แต่เธอรวมทั้งจรัสตะวันเป็นผู้ใหญ่แล้วและยังมีหน้าทีการงานที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ หากทำได้ทำไมเธอจะไม่อยากทำอย่างที่เจมส์พูด
“เจมส์ไปก่อนนะหมอ ตราคงเรียนเสร็จแล้ว กอหญ้า พี่ไปก่อนนะ คืนนี้รอกินข้าวคลุกหมูแดงด้วย”
เจมส์ขยับกระเป๋าผ้าแล้วเดินไปเปิดประตูบ้าน กลับมาขับรถจักรยานยนต์ออกไปแล้วก็ปิดประตูไว้เหมือนเดิม เมื่อได้ยินรถจักรยานยนต์ กอหญ้าก็ลุกมายืนมองและเห่าสองสามทีก่อนที่จะกลับไปแทะกระดูกต่อ
ยายสายเปิดโทรทัศน์เสียงดังเหมือนเคย แต่ระหว่างที่คุยกับเจมส์เธอไม่ได้สนใจจึงเหมือนไม่ได้ยิน เสียงหัวเราะของยายสายประสานกับเสียงในโทรทัศน์ คงเป็นรายการเบาสมองสำหรับบ่ายวันอาทิตย์ที่เธอไม่เคยตลกด้วยเลย บางครั้งที่เปิดไว้ก็เพื่อเอาเสียงเป็นเพื่อนเท่านั้น
เมื่อสักครู่ไม่ได้ยินเสียงโทรทัศน์เพราะไม่สนใจ แต่ตอนนี้ได้ยินชัดและรู้ว่ารายการอะไรก็เพราะให้ความสนใจ “หมอจะแคร์คนที่หมอรักหรือแคร์สังคมมากกว่ากัน ถ้าหมอแคร์สังคมมากกว่าหมอก็อย่ารักใคร” คำพูดของเจมส์กลับมาทำให้ฉุกคิดอีกครั้ง
เมื่อก่อนเธอก็ไม่เคยสนใจสายตาสังคมว่าจะมองเธออย่างไร และก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้เธอนักหากเธอจะรักใคร อาจจะมีบ้างที่บางครั้งต้องระวังตัวแต่ก็ไม่ได้ระวังจนกลายเป็นระแวงแบบนี้ ความจริงแม้จะมีคนนินทาแต่ทว่าก็ไม่มีใครรังเกียจ เธอยังอยู่ในสังคมได้ตามปกติ แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงต้องมาใส่ใจสายตาสังคมมากมายเมื่อได้รู้จักจรัสตะวัน
เมื่อวานเธอกับจรัสตะวันช่วยกันดำเนินการเกี่ยวกับการดำเนินคดีจนเรียบร้อยดี โดยที่ไม่ได้สนใจว่าใครจะมองอย่างไร เธอพาสุภามาส่งที่บ้านให้อยู่กับแสงตะวัน หลังจากนั้นก็ไปสถานีตำรวจด้วยกันแล้วก็ต้องไปบ้านสุภากับตำรวจเพื่อเก็บหลักฐาน มีชาวบ้านมาดูหลายคน จรัสตะวันก็ลืมสนใจด้วยซ้ำว่าจะถูกชาวบ้านมองอย่างไรที่เมื่อเดินไปทางไหนก็มีเธอตามติดตลอด
“กอหญ้า ไปเที่ยวกัน มานี่”
รัญรัมภาตัดสินใจนาทีนั้น เรียกกอหญ้าแล้วเดินนำมา มันยังทำท่าเป็นห่วงกระดูก รัญรัมภาเข้าบ้านไปคว้ากุญแจรถและปิดบ้าน ทันทีที่ได้ยินเสียงปิดบ้าน กอหญ้าก็ทิ้งกระดูกวิ่งมารอข้างรถทันที มันรู้เวลาว่าถ้าหากเป็นตอนเช้าหมอไปทำงาน หรือเวลามืดค่ำหมอไปทำธุระอื่นมันต้องเฝ้าบ้าน แต่ถ้าไม่ใช่เวลาเช้าและค่ำก็จำได้ว่าเป็นเวลาที่มันจะได้ไปด้วย
“ทีนี้รู้ดีเชียวนะ” รัญรัมภาพูดพลางเปิดประตูด้านหลังให้ กอหญ้าตัวใหญ่จนนั่งเบาะหน้าไม่ถนัดแล้ว
เธอเดินไปเปิดประตูรั้ว เอารถออก ปิดประตูรั้วแล้วขับออกไปด้วยความมั่นใจว่าจะไปที่ไหน แม้ลึก ๆ ในใจจะสับสนและขัดแย้งในตัวเองอยู่ว่าเธอจะสร้างปัญหาให้จรัสตะวันอีกหรือไม่
“ไปเยี่ยมพี่สุภานะ พี่สุภาน่าสงสาร” เธอพูดกับกอหญ้าเพื่อหาทางเข้าข้างตัวเองในสิ่งที่กำลังทำ
“นี่ ๆ ๆ ๆ ซ้าย ๆ ๆ ๆ เตะ ๆ ๆ ๆ หนีก่อน ๆ ๆ ๆ กระโดด ๆ ๆ ๆ” เสียงแสงตะวันสอนสุภาเล่นเกมในคอมพิวเตอร์สลับกับเสียงหัวเราะดังเป็นระยะ ๆ ปกติจรัสตะวันชอบทำงานเงียบ ๆ แม้กระทั่งโทรทัศน์ก็จะเปิดเฉพาะตอนดูข่าวสารบ้านเมืองหรือรายการสารคดีที่สนใจเท่านั้น แต่วันนี้เธอกลับรู้สึกมีความสุขที่มีเสียงของสองคนนี้ดังอยู่เกือบตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อหันไปเห็นสุภาเปลือยใบหน้าเล่นเกม ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นและบิดเบี้ยวผิดรูปนั้นอาจจะยิ่งน่าเกลียดยามเจ้าตัวหัวเราะหรือยิ้ม แต่สำหรับเธอกับแสงตะวันเห็นตรงกันว่าเป็นภาพที่สวยงามในความรู้สึก
ไม่รู้ว่าแสงตะวันทำอย่างไร เมื่อวานแค่อยู่เป็นเพื่อนสุภาระหว่างที่เธอกับรัญรัมภาไปจัดการเรื่องคดีความไม่กี่ชั่วโมง พอกลับมาก็พบว่าสุภานั่งเล่นเกมกับแสงตะวันอย่างสนุกสนานและยังไม่มีผ้าพันใบหน้าด้วย
แสงตะวันเข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ก็ไม่คิดว่าจะเข้ากับสุภาที่กว่าเธอจะทำให้ไว้ใจได้ก็ต้องเทียวไปเยี่ยมเยียนพูดคุยอยู่หลายรอบ ได้ยินเสียงหัวเราะของสุภาแล้วก็อยากจะทำได้แบบแสงตะวัน . . . คือทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้มีความสุขแต่เธอมักจะทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้เป็นทุกข์มากกว่า
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เหลือบมองนาฬิกาก็เดาได้ว่าใครโทรมา
“ค่ะ ครูแพท”
“จรัสยุ่งไหม แพทคุยได้หรือเปล่า”
พัดชามักจะโทรศัพท์มาเวลานี้และถามด้วยประโยคนี้ จรัสตะวันก็ตอบเหมือนเดิมทุกทีว่า ไม่ยุ่ง คุยได้ จนกลายเป็นขั้นตอนแรกที่คุยกัน หลังจากนั้นพัดชาก็จะหาเรื่องมาคุย บางครั้งก็ระบายความอึดอัดในระบบการทำงานหรือ พฤติกรรมนักเรียนที่เธอก็เจอสถานการณ์ไม่ต่างกัน บางครั้งก็นำเรื่องของคนนั้นคนนี้ที่บางคนก็เคยได้ยินชื่อมาบ้างมาเล่าให้ฟัง สิ่งเดียวที่เธอคิดว่าทำให้คนอยู่ใกล้สบายใจได้บ้างก็คือการเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่มีการโต้แย้งให้คู่สนทนาต้องขัดเคืองใจ แม้บางอย่างอาจจะไม่เห็นด้วยแต่ก็เงียบไปดีกว่า
พัดชาเล่าทุกเรื่องของทุกคน ยกเว้นเรื่องของตัวเอง
“วันนี้แพทมีเรื่องสำคัญจะเล่านะ” พัดชามักเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นเสมอ แรก ๆ เธอก็ตื่นเต้นไปด้วยแต่หลัง ๆ มาก็รู้แล้วว่าไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นหรอก
“เรื่องอะไรคะ” เธอยังไม่สามารถใช้คำพูดที่สนิทสนมได้เหมือนที่พัดชาใช้ แต่พัดชาก็ไม่ได้สนใจ
“เรื่องนี้แพทตื่นเต้นจริง ๆ นะ วันอังคารนี้เป็นวันเกิดรัญ จรัสจำได้ไหมที่เราซื้อผ้าปูที่นอนลายเดียวกันเพราะรัญก็ชอบการ์ตูนเรื่องนั้น”
เธอไม่เคยตื่นเต้นกับวันเกิดของใคร ที่จำได้แม่นยำและต้องทำอะไรพิเศษให้ก็มีเพียงวันเกิดแม่กับน้องสาว ส่วนวันเกิดตัวเองบางปีกลับลืมด้วยซ้ำ แต่คำว่า “วันเกิดรัญ” กลับทำให้ใจสั่น เธอลืมเรื่องวันที่ซื้อชุดผ้าปูที่นอนไปแล้ว
“ค่ะ” เธอตอบรับเพื่อให้พัดชาเล่าต่อ
“ทีแรกแพทว่าจะให้ชุดผ้าปูที่นอน แต่รู้สึกว่ามันธรรมดาไป แต่ก็ให้ด้วยแหละ แต่อยากหาของขวัญพิเศษอื่นให้ด้วย จรัสว่าควรจะให้อะไรดีที่มีความหมายหน่อย” พัดชาจะเป็นฝ่ายพูดยาว ๆ แบบนี้เสมอ
“ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่เคยซื้อของขวัญพิเศษแบบนี้ให้ใคร” การคุยกับพัดชานั้นมีดีอยู่อย่างที่สามารถพูดในเรื่องที่คนอื่นอาจจะตะขิดตะขวงใจในการพูดถึงได้ แต่พัดชาไม่เคยปิดบังเลยว่ายังรู้สึกอย่างไรกับรัญรัมภา แม้ว่าจะแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็ตาม
“รัญก็ไม่เหมือนคนอื่นด้วยสิ วันเกิดปีที่แล้วก็ไปบริจาคร่างกายกับไปเลี้ยงอาหารผู้พิการซ้ำซ้อน” น้ำเสียงของพัดชาบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจนัก ซึ่งตรงข้ามกับความรู้สึกของจรัสตะวันโดยสิ้นเชิง
“ก็ดีแล้วนี่คะ ได้ทำบุญ” จรัสตะวันจะพยายามหาข้อดีมาพูด โดยไม่เป็นการตำหนิ
“ได้บุญก็ดี แต่บางทีแพทก็อยากมีอะไร ๆ แบบที่คนพิเศษเขาทำให้กันในวันพิเศษบ้าง” พัดชาพูดราวกับว่ายังคบหากับรัญรัมภาอยู่เหมือนเดิม
“ครูแพทอยากทำอะไรล่ะ ทำไมไม่บอกคุณหมอไป” เธอกลายเป็นที่ปรึกษาไปโดยปริยาย
“บอกแล้ว แต่อย่างดีก็แค่พาไปกินข้าว ฟังเพลงแล้วก็กลับ” พัดชาทำเสียงเบื่อหน่าย
“แล้วปีนี้ครูแพทอยากทำอะไรให้ล่ะคะ” จรัสตะวันไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อหน่ายทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่ธุระของเธอเลย
“แพทอยากจะเซอร์ไพร้ส์เอาเค้กไปให้ที่บ้านตอนกลางคืน เพราะว่าวันเกิดเป็นวันทำงาน รัญไม่ไปไหนอยู่แล้ว แต่อยากให้จรัสช่วยเชคให้แน่นอนหน่อยว่ารัญไม่ไปไหนจริง ๆ”
จรัสตะวันรู้ว่าพัดชามีแผนการอยู่ในใจแล้ว การมาปรึกษาเธอก็เพื่อเกรินนำไปสู่การขอความช่วยเหลือนั่นเอง
“ฉันคงเชคให้ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันไม่ได้สนิทกับคุณหมอขนาดจะถามเรื่องส่วนตัวได้” จรัสตะวันพูดตามความรู้สึก ไม่ได้คิดถึงเรื่องมารยาทสักนิด
“แพทรู้ว่าจรัสไม่ได้สนิทกับรัญ แต่สนิทกับหมอวิน หมอวินก็สนิทกับรัญ วานจรัสถามจากหมอวินได้ไหม”
“ฉันก็ไม่ได้สนิทกับหมอวินขนาดนั้นเหมือนกัน” จรัสตะวันพูดตอบทันทีโดยอัตโนมัติ
“อ้าว แล้วจะทำอย่างไงดีล่ะ ไม่เป็นไร ๆ รัญคงไม่ไปไหน แต่วันอังคารนี้จรัสไปเป็นเพื่อนแพทหน่อยนะ หลังเลิกเรียนแพทจะรีบขับรถมาหาจรัสเลย”
“แล้วฉันต้องทำอย่างไง”
“ไม่ต้องทำไง เดี๋ยวแพทไปหาก็ทำตามที่แพทบอกพอ ขอบคุณมากนะจรัส แพทมองคนไม่ผิดจริง ๆ”
จรัสตะวันมักจะตามความคิดไว ๆ ของคนอื่นไม่ทัน และกว่าจะคิดได้ก็กลายเป็นเหมือนตกปากรับคำไปแล้ว พัดชาพูดล่ำลาอีกสองสามประโยคแล้วก็วางสายไป
สุภากับแสงตะวันยังเล่นเกมด้วยกันอย่างสนุกสนาน เล่นกันมาตั้งแต่เช้า พักทานข้าวแล้วก็มาเล่นต่อ ถ้าเธอไม่ดุไว้ก็เกือบจะถือจานข้าวมากินหน้าจอเหมือนกัน แต่กระนั้นก็ยังไม่วายเอาทั้งน้ำอัดลมและขนมถุงกรอบ ๆ มากองไว้พร้อม
นั่งทำงานมาตั้งแต่เช้าพักแค่ตอนทานข้าวเหมือนกัน ประกอบกับอยากทบทวนเรื่องที่พึ่งคุยกับพัดชาจึงเดินออกมานั่งเล่นหน้าบ้าน วันนี้อากาศดีมีเมฆก้อนหนา ๆ มาช่วยบังแสงอาทิตย์ ผีเสื้อแมลงปอบินหาน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ดอกนั้นแล้วก็ดอกนี้วนเวียนไปมา เป็นภาพที่เธอเห็นจนชินตาแต่ทว่าไม่เคยเบื่อจะมอง
แม้เวลานี้จะมีเรื่องไม่สบายใจนักกับสิ่งที่พัดชามาขอความช่วยเหลือ แต่ผีเสื้อ แมลงปอ และดอกไม้ก็ทำให้เธอผ่อนคลายลงไปได้มาก บางครั้งก็อยากจะเป็นอย่างพวกมันที่ไม่ต้องคิดถึงวัน เวลาและหน้าที่ แค่มีชีวิตไปตามวัฏจักรก็พอ
“คุณหมอมา” จรัสตะวันรู้ทันทีที่ได้ยินเสียงฝูงหมาที่พึ่งเป็นอิสระจากการถูกขังหลังทำหมันพากันพากันเห่าด้วยความดีใจ และไม่นานก็พากันวิ่งนำหน้ารถยนต์ที่พึ่งเลี้ยวมาตรงมุมตึก
“กอหญ้า แสง กอหญ้ามา” ในบรรดาฝูงหมานั้นเธอจำได้แม่นยำเมื่อเห็นหมาสีน้ำตาลตัวเล็กกว่าตัวอื่น ๆ วิ่งปะปนมาด้วย แสงตะวันบ่นคิดถึงกอหญ้ามาหลายวัน เธอรีบตะโกนบอกน้องสาวโดยลืมไปว่ามีสุภาอยู่ด้วย ครั้นนึกได้ก็รีบเดินกลับเข้าไปในบ้านก่อน
“คุณหมอมา” เธอบอกทั้งแสงตะวันและสุภาไปพร้อม ๆ กัน
สุภารีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาจะพันใบหน้า แต่แสงตะวันจับมือไว้มั่นพลางแอบส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เธอออกมารอต้อนรับรัญรัมภาก่อน ตอนนี้เธอต้องเชื่อในสิ่งที่น้องสาวให้ทำและมั่นใจว่าจะต้องเป็นผลดี กอหญ้าที่วิ่งมาถึงรั้วก่อนเจ้าของร้องงึด ๆ ด้วยความดีใจ เธอรีบเดินมาเปิดประตูให้มันเข้ามา ส่วนหมาตัวอื่นก็รออยู่ข้างนอกอย่างรู้หน้าที่
“โตขึ้นเยอะเลย” เธอนั่งลงแบมือให้มันสวัสดี ขนสีน้ำตาลมันวาวที่เคยเหมือนจะเป็นหมาขนสั้นนั้นก็ยาวขึ้นจนกลายเป็นหมาขนปุย ๆ แทน ทักทายกับกอหญ้ายังไม่ทันจะหายดีใจ รถยนต์ของรัญรัมภาก็มาจอดหน้าบ้าน จรัสตะวันลุกขึ้น และปล่อยให้กอหญ้าไปหาพี่หมาที่รออยู่ข้างนอกแล้วก็พากันวิ่งไปทางแปลงผัก เดาไม่ยากว่าหลังจากนั้นก็คงพากันไปวิ่งเล่นในทุ่งนา
“สวัสดีค่ะครู” รัญรัมภาทักทายก่อนที่เดินเข้ามาในบ้านด้วยซ้ำ
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” เธอทักทายกลับพลางเลื่อนประตูรั้วให้กว้างขึ้นแต่ก็ไม่ทันกว้างพอ รัญรัมภาก็เบียดตัวเข้ามาจนเฉียดกับเธอ
“สุภาเป็นอย่างไงบ้าง” คำถามนั้นทำให้การพูดคุยกันง่ายขึ้น
“อยู่ในบ้านเล่นเกมกับแสงอยู่ค่ะ คุณหมอนั่งรอข้างนอกก่อนนะคะ ฉันจะไปเอาน้ำมาให้”
เธอพูดเร็ว ๆ และรีบเดินเข้าไปในบ้าน โดยไม่ต้องอธิบายขยายความ รัญรัมภาก็รู้ว่าเธอยังไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าไปในบ้านตอนนี้ แต่ก็เหมือนมีสัญญาณดี ๆ ที่สุภาเล่มเกมกับแสงตะวัน
จรัสตะวันเข้าไปเอาน้ำนานกว่าปกติ สักครู่ใหญ่จึงถือขวดน้ำเย็นกับแก้วเปล่าออกมาให้และนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามก่อนที่เปิดขวดน้ำรินใส่แก้วให้
“มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม” รัญรัมภาถามด้วยความร้อนใจโดยที่ยังไม่ยกน้ำขึ้นดื่ม
“มีดีมากเลยค่ะ ตอนนี้สุภาไว้ใจแสงอีกคนแล้ว กลับมาเมื่อวานก็เห็นเล่มเกมอยู่ด้วยกัน สุภาไม่พันหน้าด้วยนะคะ” อยู่ ๆ จรัสตะวันก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้บอกข่าวดีนี้แก่รัญรัมภา เธอพูดเบา ๆ ราวกับว่ากำลังคุยความลับสำคัญ
“อย่างงี้ก็หมอก็ดูใบหน้าเขาได้แล้วสิ” รัญรัมภาก็พลอยตื่นเต้นดีใจไปด้วย
“หมอจะคุยกับแสงไหมคะ ฉันไม่รู้ว่าแสงคุยอะไรกับสุภาบ้าง ยังไม่มีโอกาสถามเลย” จรัสตะวันไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะทำอย่างไร สุดท้ายเธอก็ต้องพึ่งพาน้องสาวเหมือนเดิม
“สุภาจะระแวงหรือเปล่าถ้าให้แสงออกมาคุยกับหมอตอนนี้” รัญรัมภายังคงคิดได้รอบคอบรอบด้านเหมือนเคย
“แล้วจะทำอย่างไงดี” บางทีเธอก็หงุดหงิดตัวเองที่คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไม่ดีเลย รัญรัมภานิ่งเงียบครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา
“บอกว่าหมอวินฝากธุระมาก็แล้วกัน” รัญรัมภาก็แต่งเรื่องสร้างสถานการณ์ไม่เก่งเหมือนกันจึงได้ข้ออ้างที่ดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่
แต่ก็ใช้ได้ผล แสงตะวันเข้าใจสถานการณ์ทันที
“สงสัยฝากแผ่นเกมใหม่มาแน่เลย พี่จรัสเล่นเป็นเพื่อนสุภาหน่อยสิ คอยกดแค่ปุ่มนี้เพิ่มพลังนะ เวลาเส้นนี้มันตกมาจะถึงขีดแดง สุภาอย่าพึ่งหยุดนะ ไม่งั้นต้องกลับไปด่านแรกใหม่ เสียโบนัสหมดด้วย”
แสงตะวันลุกขึ้นยืนและขยับออกมาให้พี่สาวนั่งแทนที่ จรัสตะวันนั่งลงและรีบวางนิ้วที่ปุ่มแป้นพิมพ์ที่น้องสาวบอก
สุภาทำท่าพะวักพะวงจะหยิบผ้ามาพันหน้าแต่ก็ห่วงเกมด้วย เมื่อก่อนเธอคิดว่าเกมคอมพิวเตอร์มีแต่พิษภัย ยิ่งมีข่าวว่าแม้กระทั่งผู้ใหญ่ยังติดจนลาออกจากงานมาเพื่อมาเล่นเกม หรือเล่นจนตายในร้านเกม เธอยิ่งเห็นแต่โทษของมัน แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าการติดเกมบางครั้งก็มีประโยชน์เหมือนกัน โดยเฉพาะสำหรับสุภา
“สุภาอย่าหยุดเตะตัวนี้ พี่จรัสรีบเพิ่มพลัง ๆ” แสงตะวันร้องบอกก่อนที่จะเดินออกไปเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าต้องกดเพิ่มพลังตอนไหน
เกิดมาเธอก็ไม่เคยเล่มเกมคอมพิวเตอร์ยาก ๆ แบบนี้ นอกจากเกมยิงลูกบอลสี ๆ ที่เธอก็เล่นได้ไม่กี่ด่านก็ไปต่อไม่ได้ แม้จะทำหน้าที่เล่นเกมช่วยสุภา แต่ทว่าเธอก็ลุ้นว่าแสงตะวันกับรัญรัมภาจะคุยอะไรกันมากกว่า
ลอบมองใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นและบิดเบี้ยวแล้วก็ภาวนาในใจขอให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี เธอเป็นคนที่ได้โอกาสดี ๆ ในชีวิตมามากมาย ก็อยากให้คนอื่นได้โอกาสดี ๆ เหมือนกัน
สักครู่ใหญ่แสงตะวันก็กลับเข้ามา
“ผ่านด่านได้ยัง พี่จรัสมาให้แสงเล่นเองดีกว่า หมอรัญรอกอหญ้ากลับมา พี่ไปคุยเป็นเพื่อนหน่อยสิ แสงจะเล่นเกม”
แสงตะวันแตะนิ้วมือที่ปุ่มต่อ จรัสตะวันลุกขึ้นให้แสงตะวันนั่งลงเหมือนเดิมแล้วก็ออกมาหารัญรัมภาที่นั่งรออยู่หน้าบ้าน
“แสงว่าอย่างไงบ้างคะ” จรัสตะวันรีบถามทันทีที่นั่งลง
“น่าจะอีกไม่นาน ดี ไม่ดีก็วันนี้แหละ แสงเขาจะพูดกับสุภาให้ เหมือนเรากำลังเข้าใจสุภาผิดพลาดไปนะ”
รัญรัมภาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เข้าใจผิดอะไรคะ” จรัสตะวันเริ่มกังวลใจ สิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือความผิดพลาด
“ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไรครู” รัญรัมภาจับความรู้สึกเธอได้อย่างรวดเร็ว
“เรื่องที่สุภาไม่ยอมออกบ้าน ไม่ยอมให้ใครเห็นหน้า อาจจะไม่ใช่ความอับอาย แต่เป็นความรู้สึกอื่น” เธอรีบพูดต่อก่อนที่จรัสตะวันจะกังวลใจมากไป
“ฉันไม่เข้าใจ คุณหมอพูดตรง ๆ ได้ไหมคะ” แต่จรัสตะวันยังไม่คลายความกังวล
“ความผิดหวัง” รัญรัมภาออกมาสั้น ๆ จรัสตะวันยิ่งไม่เข้าใจ
“เหมือนว่าตอนที่เกิดอุบัติเหตุใหม่ ๆ ก็มีคนไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจสุภากันเยอะ ทั้งหมอทั้งพยาบาลต่างก็บอกว่าจะช่วยให้สุภาไม่เสียโฉม ชาวบ้านก็บอกว่าจะบริจาคช่วยค่าผ่าตัดสุภาเต็มที่ แต่พอผ่านไปไม่นานเรื่องซา ๆ ทุกคนก็ลืมสุภา หมอบอกให้มารอคิวผ่าตัดก่อนจนผ่านไปเป็นปีก็ไม่มีวี่แวว จนสุดท้ายสุภาก็กลายเป็นคนที่ถูกลืม ลืมว่าเคยพูดอย่างไงไว้ด้วย”
รัญรัมภาหยุดเล่าแล้วถอนหายใจก่อนที่จะเล่าต่อ
“ที่สุภาไม่ยอมให้ใครเห็นหน้า อาจจะเพราะไม่ต้องการความสงสารจากใคร หรืออาจจะไม่ต้องการให้ใครมาให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ก็ต้องผิดหวังเหมือนเดิมก็ได้ หมอก็ไม่ได้คิดในแง่นี้เลย” เธออดที่จะโทษตัวเองไม่ได้
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เพราะฉันเองต่างหากที่คิดว่าสุภาอาย ทำให้คุณหมอเข้าใจผิดไปด้วย” จรัสตะวันพูดด้วยความรู้สึกผิดที่คิดแทนสุภา
“ครูไม่เคยให้สุภาเล่าใช่ไหมว่าตอนเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างไง” รัญรัมภาถามเพื่อจะอธิบายต่อ จรัสตะวันส่ายหน้ายอมรับ
“หมอเองก็ไม่เคยถาม เพราะคิดว่าไม่อยากจะให้สุภากระทบกระเทือนใจ แต่เผอิญแสงเขาถามและให้สุภาเล่าให้ฟังทั้งหมด ก็เลยได้รู้ตื้นลึกหนาบาง หมอประมวลเอาเองนะว่าที่สุภายังไม่ยอมให้หมอดูใบหน้าเป็นเพราะกลัวความผิดหวังมากกว่า”
“แล้วทีนี้จะทำอย่างไงต่อคะ” จรัสตะวันรู้สึกว่าความหวังที่เคยเรืองรองเริ่มเลือนรางอีกครั้งจากน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจของรัญรัมภา
“หมอก็ต้องทำให้สุภามั่นใจว่าเขาจะได้ผ่าตัดจริง ๆ แสงรับปากแล้วว่าจะพยายามพูดให้สุภาเชื่อ” รัญรัมภากลับมาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอีกครั้ง
รัญรัมภาเหมือนคนที่อารมณ์แกว่งไปมา แต่ทว่าเมื่อได้พูดอย่างหนักแน่นเมื่อไหร่ จรัสตะวันกลับรู้สึกมั่นใจในคำพูดนั้นมากกว่า
“คุณหมอจะช่วยให้สุภาได้ผ่าตัดจริง ๆ ใช่ไหมคะ คุณหมอจะไม่ลืมคำพูดเหมือนคนอื่นใช่ไหมคะ” จรัสตะวันถามย้ำ ความผิดหวัง ความผิดพลาด ล้วนเป็นสิ่งที่เธอกลัว
“หมอสัญญา ถ้าวันนี้แสงยังพูดไม่สำเร็จ ก็ต้องรอให้ยายกลับมา หมอจะคุยกับยายอย่างจริงจัง เราต้องวางแผนให้ดี ต้องรอผลที่ยายจะผ่าตัดดวงตาด้วย ถ้าทางการรักษาทางยายไม่มีปัญหา ก็จัดการเรื่องสุภาได้ไม่ยาก”
แม้จะบอกว่าไม่ยากแต่น้ำเสียงของรัญรัมภาก็ยังแฝงด้วยความหนักใจ
“คุณหมอ ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องมาเหนื่อยด้วย” จรัสตะวันพูดน้ำเสียงเกรงใจ เพราะรู้สึกว่าเธอกำลังบีบคั้นอีกฝ่ายมากเกินไป
“หมอเป็นหมอนะ มีหน้าที่ต้องรักษาคนไข้อยู่แล้ว ยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ต้องรักษาให้ได้ ครูสิไม่ได้มีหน้าที่ยังอุตส่าห์จะรักษา อย่างนี้หมอจะยอมแพ้ได้ไง”
รัญรัมภาเปลี่ยนน้ำเสียงให้สดใส เมื่อเห็นว่าความวิตกกังวลของเธอที่เผลอแสดงออกนั้นมีผลกระทบต่อความรู้สึกของจรัสตะวัน
“ครูจะว่าอะไรไหม ถ้าระหว่างที่สุภาอยู่ที่นี่หมอจะมาเยี่ยมทุกวัน หรือตอนกลับไปอยู่บ้าน หมอจะให้ครูช่วยพาไปเยี่ยมสุภาบ่อย ๆ เพื่อให้เขามั่นใจว่าจะถูกหลอกให้มีความหวังอีก”
รัญรัมภากลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกครั้ง แต่สายตากลับมองตรงไปยังบ้านพักครูหลังอื่น จรัสตะวันหันมองตามโดยอัตโนมัติ และทันเห็นคนที่รีบเปิดประตูเข้าบ้านไป
แม้ใจจะสั่นระรัว แต่เมื่อหันกลับมาเห็นสายตาของรัญรัมภาที่จ้องเขม็งและใบหน้าบึ้งตึงด้วยอารมณ์โกรธข้างใน
“จะอะไรก็ช่างเถอะค่ะ ตอนนี้เรื่องสุภาสำคัญที่สุด” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ยินดียินร้าย แต่กลับช่วยให้รัญรัมภาคลายความโกรธลงได้ในทันที
“หมอสัญญานะว่าสุภาจะได้รับการผ่าตัดจากหมอที่เก่งที่สุด แล้ววันที่ยายออกจากโรงพยาบาลศูนย์หมอจะไปรับด้วยตัวเอง ครูไปกับหมอนะ”
:26: :26: :26: